ร้านขายยา วิตามิน อาหารเสริม ลาดพร้าว111 วัชรพล รามอินทรา79 รุ่งเรืองเภสัช

ร้านขายยา วิตามิน อาหารเสริม ลาดพร้าว111 วัชรพล รามอินทรา79 รุ่งเรืองเภสัช ร้านยาคุณภาพ ราคาเปนมิตร

 #ท้องลม
15/09/2025

#ท้องลม

ท้องลมคืออะไร ?
จากข่าวดาราสาวท่านหนึ่ง ประกาศตั้งครรภ์ ต่อมาแล้ว ไม่พบตัวอ่อน ก่อนอื่น ต้องขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ ...
#ท้องลมคืออะไร ?

“ท้องลม” "ภาวะไข่ฝ่อ (อังกฤษ: blighted o**m หรือ anembryonic pregnancy) เป็นภาวะหนึ่งในการตั้งครรภ์ที่ผิดปกติ ในช่วงแรกที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิและฝังในมดลูกแล้ว แต่ตัวอ่อนไม่ได้พัฒนา (หรือหยุดพัฒนาตั้งแต่เนิ่น ๆ) ทำให้เมื่ออัลตร้าซาวนด์ตรวจจะพบเพียงถุงการตั้งครรภ์ (gestational sac) โดยไม่มีตัวอ่อนอยู่ภายใน หรือมีตัวอ่อนแต่สลายไปแล้ว อาการและฮอร์โมนบางอย่างอาจทำให้เข้าใจว่าตั้งครรภ์ปกติในช่วงแรก

สาเหตุ
แม้ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดทั้งหมด แต่มักมีปัจจัยเหล่านี้ร่วมด้วย
- ความผิดปกติของโครโมโซมตัวอ่อน ประมาณ 45-50% ของท้องลมเกิดจากตัวอ่อนที่มีโครโมโซมผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถแบ่งเซลล์หรือพัฒนาได้ตามปกติ
-คุณภาพของไข่หรืออสุจิ ไข่หรืออสุจิมีบางส่วนผิดปกติ (เช่น โครงสร้างหรือพันธุกรรม) อสุจิที่ไม่สมบูรณ์ก็มีบทบาท
-อายุของผู้ตั้งครรภ์ ยิ่งอายุมาก โอกาสที่ไข่จะมีความเสื่อม หรือโอกาสที่โครโมโซมผิดปกติมากขึ้น
-โครงสร้างมดลูก หรือสภาพโพรงมดลูก ถ้ามีความผิดปกติของมดลูก เช่น รูปร่างผิดปกติ เนื้องอกเยื่อบุโพรงมดลูก หรือภาวะอื่นที่ทำให้การฝังตัวไม่เหมาะสม
-ฮอร์โมนและสภาวะภายในตัวแม่ ฮอร์โมน เช่น โปรเจสเตอโรนไม่พอ หรือภาวะฮอร์โมนโดยรวมไม่สมดุล อาจทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่พร้อมรองรับตัวอ่อน

อาการ
ท้องลมช่วงแรกอาจมีอาการคล้ายการตั้งครรภ์ปกติ แต่จะมีลักษณะที่ผิดปกติเมื่อเวลาผ่านไป
ระยะเวลา อาการที่อาจมี สิ่งที่สังเกตได้ว่าอาจไม่ปกติ
---
การวินิจฉัย
แพทย์มักใช้วิธีเหล่านี้:
1. ตรวจเลือดวัดระดับฮอร์โมน HCG — เพื่อดูว่าระดับเพิ่มขึ้นเหมาะสมกับอายุครรภ์หรือไม่
2. อัลตราซาวนด์ — โดยเฉพาะอัลตราซาวนด์ทางช่องคลอด (transvaginal ultrasound) เพื่อมองถุงการตั้งครรภ์และตรวจว่ามีตัวอ่อนอยู่หรือไม่ ถ้าหากอายุครรภ์ถึงจุดที่ควรเห็นตัวอ่อนแล้วแต่ไม่เจอ แพทย์อาจวินิจฉัยว่าเป็นท้องลม
3. ตรวจซ้ำ — บางครั้งหากอายุครรภ์ยังน้อยมาก อาจต้องรอ 1-2 สัปดาห์แล้วตรวจซ้ำเพราะอาจยังไม่เห็นตัวอ่อนในช่วงเริ่มต้น
---
การรักษา

การรักษาจะขึ้นกับสภาพและความพร้อมของร่างกายผู้ตั้งครรภ์:
- รอให้แท้งเองตามธรรมชาติ — ถ้าร่างกายสามารถขับถุงการตั้งครรภ์หรือเนื้อเยื่อออกได้เอง และไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ
-ใช้ยา — เช่นยาเพื่อช่วยกระตุ้นให้แท้งออกมาได้เร็วขึ้น (อาจใช้ misoprostol) ในกรณีที่ร่างกายไม่สามารถแท้งเองได้หรือเมื่อมีเลือดออก /เศษเนื้อค้างอยู่
-ขูดมดลูก (Dilation & Curettage, D&C) — เมื่อตรวจพบว่าเนื้อเยือก/ถุง/เยื่อบุการตั้งครรภ์ตกค้าง หรือมีเหตุจำเป็นทางการแพทย์ เช่นเลือดออกมาก ปวดท้องมาก
- ดูดสูญญากาศ ด้วยเครื่องดูดสูญญากาศแบบใช้มือ (MVA)

-ดูแลจิตใจ — ภาวะท้องลมอาจก่อให้เกิดความเศร้า กังวล จึงควรได้รับการสนับสนุนทางจิตใจ พูดคุยกับครอบครัวหรือผู้เชี่ยวชาญเมื่อรู้สึกเครียดมาก ๆ
---
การดูแลตัวเองก่อน /หลังภาวะท้องลม &ลดความเสี่ยง

แม้ว่าจะไม่มีวิธีใดที่รับประกันว่าจะป้องกันท้องลมได้ 100% แต่มีแนวทางที่ช่วยให้ร่างกายพร้อมและลดความเสี่ยง ดังนี้:

1. ฝากครรภ์ตั้งแต่แรกหรือเมื่อทราบว่าตั้งครรภ์ เพื่อการติดตามและตรวจอัลตราซาวนด์อย่างเหมาะสม

2. รับประทานโฟเลต /วิตามินก่อนตั้งครรภ์ — โฟเลตช่วยในการสร้างเซลล์และพันธุกรรมที่ดีเยี่ยม รวมถึงสารอาหารครบถ้วนตามคำแนะนำทางโภชนาการ

3. พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด — สุขภาพจิตและการพักผ่อนสำคัญ เพราะความเครียดและพักผ่อนไม่พออาจกระทบต่อฮอร์โมน หรือกระบวนการในร่างกายที่รองรับการตั้งครรภ์

4. รับประทานอาหารที่สมดุล — ครบ 5 หมู่ เน้นโปรตีน ไขมันดี วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น เช่น ธาตุเหล็ก แคลเซียม ฯลฯ

5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ — ในระดับที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับสุขภาพของตนเอง

6. ตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์ — รวมทั้งตรวจโครโมโซมถ้ามีประวัติท้องลม หรือแท้งหลายครั้งเพื่อหาสาเหตุเพิ่มเติม

7. รอให้ร่างกายฟื้นตัว — หลังจากมีท้องลมหรือแท้ง ควรให้เวลาให้ร่างกายโดยเฉพาะมดลูกและฮอร์โมนกลับสู่ภาวะปกติก่อนลองตั้งครรภ์ใหม่ บางแหล่งแนะนำให้รออย่างน้อยในช่วงมีประจำเดือนครบ 2-3 รอบ

---

ผลกระทบและโอกาสตั้งครรภ์ต่อไป

🥺ท้องลม ไม่ใช่การตั้งครรภ์ที่สำเร็จ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่หมายถึงว่าจะไม่สามารถตั้งครรภ์ที่สมบูรณ์ได้ในอนาคต ผู้ที่เคยมีภาวะท้องลมมีโอกาสตั้งครรภ์ใหม่ได้ และมีโอกาสสูงที่จะประสบความสำเร็จ ถ้ามีการดูแลตัวเองและสุขภาพโดยรวมดีขึ้น

แต่ถ้ามีการท้องลมหลายครั้ง (ซ้ำ ๆ) แพทย์อาจทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจโครโมโซมทั้งฝ่ายหญิงและชาย, ตรวจฮอร์โมน, ตรวจสุขภาพมดลูก, หรือประเมินปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ค่ะ
---
สรุป

ท้องลมเป็นภาวะการตั้งครรภ์ที่ตัวอ่อนไม่สามารถพัฒนาอยู่ได้ ถึงแม้จะมีอาการคล้ายตั้งครรภ์ในระยะแรกก็ตาม แม้จะไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด แต่การดูแลตัวเองทั้งทางกายและจิตใจ การฝากครรภ์ และการวางแผนก่อนตั้งครรภ์ สามารถช่วยลดความเสี่ยงและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับตั้งครรภ์ครั้งต่อไปได้ค่ะ
#ท้องลม #ภาวะไข่ฝ่อ #แท้ง

 #โรคทาลัสซีเมีย
13/09/2025

#โรคทาลัสซีเมีย

สรุปกลไกโรคกลุ่ม Thalassemia
โดยจะเน้นชนิดรุนแรง (β-thal/HbE, Homoβ) ส่วนพาหะอยู่ข้อสุดท้ายค่ะ


1️⃣ ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับ hemoglobin (Hb)

⊚ เม็ดเลือดแดง (RBC) มี Hb ไว้ขนส่ง O₂
⊚ Hb ประกอบ Hb ย่อย 4 ตัว
⊚ 1Hbย่อย = Heme ประกอบกับ Globin
⊚ Heme: มีธาตุเหล็ก เป็นส่วนจับกับ O₂
⊚ Globin: ควบคุมโดย DNA มีสองชนิด α,β
⊚ กฎเหล็กคือ Globin สาย α ต้องจับกับสาย β
⊚ ดังนั้น 1Hb จะมี α 2 ตัว, β 2 ตัว

สรุป: สารขนส่ง O₂ ชื่อ Hb มีโปรตีน globin ต้องจับเป็นคู่ๆ α-globin + β-globin


2️⃣ ทาลัสซีเมียคืออะไร

⊚ โรคกรรมพันธุ์ที่สร้าง α-globin หรือ β-globin ลดลง
⊚ หัวใจของโรคนี้คือ มันทำให้สายที่ปกติมันเกิน
⊚ เช่น เด็กเป็นทาลัสซีเมียชนิด β แบบรุนแรง
= β ต่ำลง, α ที่ปกติ แต่หาคู่ไม่ได้
⊚ ตัวที่หาคู่ไม่ได้จะก่อหายนะแก่เม็ดเลือดแดง

สรุป: โรคนี้คือ ‘บาง’ โปรตีนสร้างลดลง ทำให้อีกชนิดที่ต้องเข้าคู่ ไม่มีคู่ วิ่งไปจับนั่นจับนี่จนเกิดอันตราย


3️⃣ ทำไมทาลัสซีเมียทำให้โลหิตจางรุนแรง

⚠️ พูดเฉพาะกรณีทาลัสซีเมียชนิด β แบบรุนแรง

⊚ เม็ดเลือดแดงตัวอ่อน (Blast) เริ่มสะสม α เกิน
⊚ α-globin จะพา heme ไปเกาะที่เยื่อหุ้ม
⊚ แต่ heme มีเหล็กด้วยจึงเร่งสร้างพิษ ·OH
⊚ พิษเข้าทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ blast รุนแรง
⊚ ตัวที่ทนไม่ไหว ตา.ยคาไขกระดูก
⊚ ตัวที่ทนไหว จะอายุสั้น สุดท้ายโดนตับม้ามกำจัด
⊚ จึงเหลือเม็ดเลือดแดงใช้งานได้น้อยมาก

สรุป: Globin ส่วนเกินสร้างพิษเม็ดเลือดแดงตัวอ่อนจนตา.ยคาไขกระดูก ตัวที่รอดก็อายุสั้น โดนตับม้ามกำจัด


4️⃣ ทำไมทาลัสซีเมียถึงมีดีซ่าน

⊚ เม็ดเลือดแดงตา.ยทั้งในไขกระดูกและตับม้าม
⊚ เม็ดเลือดขาวเปลี่ยน heme เป็นสารเหลือง (Bilirubin)
⊚ เหตุที่เปลี่ยเพราะว่าสารเหลืองปลอดภัยกว่า
⊚ สารเหลืองจะไปตับ ตับจะขับทางน้ำดี ปล่อยทางอึและไต
⊚ แต่เนื่องจากเม็ดเลือดตา.ยเยอะเกินตับรับไม่ทัน
⊚ สารเหลืองจึงคั่งตามผิวหนังและตาขาว จนดีซ่าน (Jaundice)

สรุป: เม็ดเลือดแดงตา.ยเยอะเกิน สารเหลืองที่ปล่อยออกมา ตับจัดการไม่ทัน จนคั่งตามผิวหนัง/ตาขาว เกิดดีซ่าน


5️⃣ ทำไมทาลัสซีเมียจึงมีตับม้ามโตมาก

กลไก 1:
⊚ ตับม้ามต้องกำจัดเม็ดเลือดแดงที่ยับเยินจากพิษทั้งวัน
⊚ ทีมกำจัด (RES) จึงของบ ขยายกิจการเพราะงานหนักขึ้น
⊚ ตับม้ามอนุมัติ ทีมกำจัดจึงขยายพื้นที่รุนแรง
⊚ ตับม้ามจึงโต

กลไก 2:
⊚ ไขกระดูกแวดล้อมแย่มาก เพราะตัวอ่อนตา.ยรัวๆ
⊚ เซลล์ต้นกำเนิดขอย้ายสถานที่ ที่แวดล้อมดีกว่า
⊚ จึงขอไปสร้างเม็ดเลือดต่อที่ตับม้าม เพราะอดีตเลยทำงานที่นี่
(Extramedullary hematopoiesis)

สรุป: ตับม้ามโต เพราะ 1.ทำลายเม็ดเลือดแดงเยอะ 2.กลายเป็นสถานที่สร้างเม็ดเลือดชั่วคราว


6️⃣ ทำไมทาลัสซีเมียจึงมีภาวะเหล็กเกิน

กลไก1:
⊚ ตัวอ่อนที่ตา.ยในไขกระดูก ปล่อยสารขอความช่วยเหลือ
⊚ สารนั้น (TWG1, GDF15) ไปบอกตับให้ลดผลิต Hepcidin
⊚ Hepcidin เดิมทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ลำไส้ดูดซึมเหล็กมากไป
⊚ พอ Hepcidin ลดลง จึงเพิ่มการดูดซึมเหล็กจากอาหารมาก

กลไก2:
⊚ โลหิตจากที่รุนแรง ทำให้ต้องการรับเลือดบ่อย
⊚ การรับบ่อยนำมาซึ่งเหล็กที่มากขึ้น

⚠️ กลไก 1 เด่นในรายที่รับเลือดไม่บ่อยมาก


7️⃣ ดูแลรักษายังไง

✅ ชนิดรุนแรง ต้องรับเลือดสม่ำเสมอ
✅ เช็คสภาวะเหล็กเกินเสมอ เพื่อรับยาขับเหล็ก
✅ ระมัดระวังการติดเชื้อ
✅ ดูแลโภชนาการให้ดี เพราะร่างกายอยู่ในภาวะ stress ตลอด
✅ หายได้ด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูก
✅ ป้องกันได้ด้วยการวางแผนก่อนมีบุตร


8️⃣ สำหรับพาหะธาลัสซีเมีย

มีได้หลากชนิดมากค่ะ
🎯สายแอลฟ่า: α-thal1 trait, α-thal2 trait, Hb CS trait
🎯สายเบต้า: β-thal trait, Hb E trait

✅ ไม่มีกลไก 3-6 เลย หรือมีเบามาก ทำให้โลหิตจางนิดหน่อย, มีเม็ดเลือดแดงตัวเล็กเล็กน้อย
✅ มักไม่มีอาการใดๆ หากจู่ๆ มีซีดมากขึ้น ใจสั่น วูบ ควรตรวจเพิ่มเติมอาจเป็นจากอย่างอื่น
✅ บางชนิดเช่น Homozygous Hb E อาจจะโลหิตจางเยอะหน่อย (ระดับปานกลาง) มีอากาได้
✅ หากจำได้แค่ว่าพาหะ ควรตรวจให้แน่ชัดด้วย Hb typing หรือในบางชนิดที่แยกไม่ได้อย่าง alpha-thal1 trait อาจต้องตรวจเพิ่มพิเศษ เช่น ตรวจ DNA probe analysis
✅ ใช้ชีวิตได้ตามปกติ กินอาหารตามปกติ ไม่ต้องกินธาตุเหล็กเพิ่ม แต่อาจกินโฟเลตเพิ่มหรือไม่ก็ได้
✅ วางแผนก่อนมีบุตรเสมอ เพราะถ้าคู่ครองมีพาหะในกลุ่มเดียวกัน (แอลฟ่าเหมือนกัน เบต้าเหมือนกัน) มีโอกาสที่บุตรจะเป็นชนิดรุนแรงแบบในบทความได้

 #ยารักษาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
11/09/2025

#ยารักษาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

มาอัพเดตการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
ล่าสุด ประเทศไทยออกมาแล้วปี พ.ศ.2568
โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (urinary tract infections, UTIs) เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ จากการประมาณการคาดว่าประเทศไทยมีผู้ป่วยติดเชื้อทางเดินปัสสาวะหลายแสนรายต่อปี
1. ระบาดวิทยา
👩UTI เป็นโรคติดเชื้อที่พบบ่อยสุดนอก รพ. โดยเฉพาะ ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์
👵ผู้สูงอายุ, คนมีนิ่ว/ความผิดปกติทางเดินปัสสาวะ, เบาหวาน → เสี่ยงซับซ้อน
🦠เชื้อหลัก: E. coli (~70–90%), รองลงมา Klebsiella, Proteus, Enterococcus, Pseudomonas (ใน รพ.)
☢ปัญหาสำคัญ: เชื้อดื้อยา (ESBL, CRE, MDR Pseudomonas, VRE) ทำให้ตัวเลือกยาน้อยลง
📊การดื้อยา (ข้อมูลไทย – NARST 2566)
E. coli → ไวต่อ nitrofurantoin >95%, แต่ดื้อสูงกับ ciprofloxacin, TMP-SMX
K. pneumoniae → ไวต่อ carbapenems, แต่ดื้อสูงกับ cephalosporins รุ่น 3
2. อาการ/การตรวจวินิจฉัย
Lower UTI (Cystitis): ปัสสาวะแสบขัด, บ่อย, ปวดท้องน้อย
Upper UTI (Pyelonephritis): ไข้, หนาวสั่น, ปวดสีข้าง, CVA (costovertebral angle) tenderness
ผู้สูงอายุ/โรคประจำตัว → อาจแสดงอาการไม่จำเพาะ เช่น อ่อนเพลีย สับสน
🧪ตรวจทางห้องปฏิบัติการ:
ปัสสาวะ (Urinalysis): Pyuria (WBC > 5-10/HPF)
Urine culture: midstream ≥ 10^5 CFU/mL
catheter ≥ 10^4 CFU/mL
suprapubic aspiration: เจอเท่าไหร่ก็ถือว่ามีความสำคัญ
3. การแบ่งประเภท + แนวทางการรักษา
🔹Asymptomatic bacteriuria (ASB)
ไม่รักษา ยกเว้น → หญิงตั้งครรภ์, ก่อนหัตถการทางเดินปัสสาวะ
ยาที่ใช้ (หญิงตั้งครรภ์): Nitrofurantoin 7 วัน, Fosfomycin 1 dose, Amox-clav 7 วัน
🔹Acute uncomplicated cystitis (หญิงทั่วไป)
Nitrofurantoin 5 วัน
Fosfomycin 1 dose
Cefixime / Amox-clav 7 วัน
ทางเลือก: Ciprofloxacin, Levofloxacin, TMP-SMX (3 วัน) → เฉพาะถ้าเชื้อไว
🔹Acute uncomplicated pyelonephritis
เริ่ม IV ก่อน (Ceftriaxone / Gentamicin)
ถ้า sepsis → Meropenem/Imipenem
Switch oral เมื่ออาการดีขึ้นตาม culture → FQ / TMP-SMX / Cefixime / Amox-clav
ระยะเวลา 7–14 วัน
🔹Complicated UTI
ไม่เสี่ยงดื้อยา: Ceftriaxone/ Gentamicin / Amikacin
เสี่ยงดื้อยา: pip/tazo / ceftazidime / cefepime / vancomycin
🙋‍♂️UTI ในเพศชายถือเป็น complicated UTI โดยอัตโนมัติ
เพราะมักเกี่ยวข้องกับปัจจัยเสี่ยง เช่น การอุดกั้นของต่อมลูกหมาก, โครงสร้างทางเดินปัสสาวะผิดปกติ, หรือการติดเชื้อที่ลุกลามลึกกว่าผู้หญิง
🔹Catheter-associated (CA) -UTI
ไม่ sepsis: Piperacillin-tazobactam
มี sepsis/septic shock: Meropenem / Imipenem
*เกณฑ์บ่งชี้ sepsis ได้แก่ SOFA ≥2 คะแนน
ระยะเวลา 7–14 วัน
🔹UTI ในหญิงตั้งครรภ์
Cystitis/ASB: Nitrofurantoin 7 วัน / Fosfomycin 1 dose / Amox-clav 7 วัน
Pyelonephritis: Ceftriaxone IV → switch oral ตามผล culture × 14 วัน
หลักๆ อยากให้เภสัชกรได้อัพเดทส่วนของร้านยาด้วย เพราะเจอเคสเยอะ และ fluoroquinolone ไม่ใช่ยาอันดับแรกละนะ
อย่าลืมไปอ่านฉบับเต็มกันด้วยนา
เดี๋ยวแปะให้ในคอมเม้นต์จ้า..
#หมอยาเพ้อเจ้อ 👨‍⚕️
#กระเพาะปัสสาวะอักเสบ #ปัสสาวะบ่อย

  #แก้ปวด
10/09/2025


#แก้ปวด

 #ยาทาแผลในปาก
09/09/2025

#ยาทาแผลในปาก

ยาชาแบบทาปากสำหรับเด็ก .....ใช้อย่างไรให้ได้ผล และปลอดภัย
สวัสดีค่ะ 😊พอพูดถึงลูกน้อยเจ็บปากหรือเจ็บแผลร้อนในภายในปาก คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจจะนึกถึง "ยาชาชนิดทาปาก" เป็นอันดับแรกใช่ไหมคะ? เพราะดูใช้ง่าย เห็นผลเร็ว แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ! วันนี้เภฯ ค่ะ จะมาให้ความรู้แบบครบทุกมิติ ตั้งแต่ความเสี่ยงที่ต้องระวัง ไปจนถึงวิธีใช้ยาอย่างปลอดภัยในกรณีที่จำเป็นจริงๆ ค่ะ

🩸 รู้จักความเสี่ยงของยาชาทาปาก
ยาชาที่นิยมใช้ทาในช่องปาก จะมีส่วนประกอบหลักๆ เช่น Benzocaine และ Lidocaine ค่ะ ซึ่งทั้งสองตัวนี้มีข้อควรระวังที่สำคัญมาก โดยเฉพาะในเด็กเล็ก

* เบนโซเคน (Benzocaine): มีรายงานความเสี่ยงในการเกิดภาวะ เมทฮีโมโกลบินนีเมีย (Methemoglobinemia) โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี (1) ภาวะนี้คือการที่เม็ดเลือดแดงไม่สามารถขนส่งออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายได้ตามปกติ ทำให้เด็กมีอาการตัวเขียว ซีด หายใจลำบาก ซึ่งอันตรายถึงชีวิตได้ ด้วยเหตุนี้ องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) จึงมีคำเตือนและไม่แนะนำให้ใช้ยาที่หาซื้อได้เอง (OTC) ที่มีส่วนผสมของ Benzocaine เพื่อบรรเทาอาการปวดเหงือกจากการขึ้นของฟันในทารกและเด็กเล็กค่ะ (2)

* ลิโดเคน (Lidocaine): แม้จะปลอดภัยกว่าในแง่ของภาวะ Methemoglobinemia แต่ก็ยังมีความเสี่ยงค่ะ หากใช้ในปริมาณที่มากเกินไป หรือทาบ่อยเกินไป ยาอาจถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด หรือเด็กอาจกลืนยาลงไป ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของหัวใจและระบบประสาทอย่างรุนแรงได้ (3)

🪥วิธีใช้ยา 2% Lidocaine Gel อย่างปลอดภัย
ในกรณีที่แพทย์หรือเภสัชกรพิจารณาแล้วว่าจำเป็นต้องใช้ยาชาทาปาก เช่น สำหรับแผลในปากที่เจ็บปวดมาก หรืออาการเจ็บหลังทำหัตถการในช่องปาก การใช้ยา 2% Lidocaine Gel อย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญที่สุดค่ะ

⚠️สิ่งสำคัญที่ต้องย้ำก่อน:
* ห้ามใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดเหงือกฟันขึ้นในทารกเด็ดขาด
* ควรใช้ยาตัวนี้เมื่อมีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนตามที่แพทย์สั่งเท่านั้น

👉🏻 ขั้นตอนใช้ 2% Lidocaine Gel อย่างปลอดภัย
1: เตรียมตัวและตรวจสอบ
* ล้างมือให้สะอาดทั้งก่อนและหลังใช้ยา
* ตรวจสอบคำสั่งใช้ยาบนฉลากยาให้ชัดเจนว่า แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำให้ใช้ปริมาณเท่าใด และบ่อยแค่ไหน
2: กะปริมาณยาให้แม่นยำ (สำคัญมาก!)
* ห้ามบีบยาจากหลอดเข้าปากโดยตรงเด็ดขาด
* ให้บีบยาในปริมาณเท่า "เมล็ดถั่วเขียว" ลงบนปลายนิ้วที่สะอาด หรือบนปลายคอตตอนบัด (Cotton Bud)
3: ทายาอย่างถูกวิธี
* ใช้คอตตอนบัดหรือผ้าสะอาดซับบริเวณแผลเบาๆ ให้แห้งเล็กน้อย
* ทายาเป็นฟิล์มบางๆ เฉพาะจุดที่เป็นแผล หรือบริเวณที่เจ็บปวดเท่านั้น หลีกเลี่ยงการป้ายยาเป็นบริเวณกว้าง

⚠️ ข้อควรระวังหลังทายา
* งดการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิด อย่างน้อย 30-60 นาทีหลังทายา เพราะอาการชาจะทำให้เสี่ยงต่อการสำลัก กัดลิ้น/กระพุ้งแก้มโดยไม่รู้ตัว
* ความถี่: ปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ควรใช้ยาเกิน 4 ครั้งต่อวัน และควรเว้นระยะห่างแต่ละครั้งอย่างน้อย 3-4 ชั่วโมง

👶แล้วถ้าลูกปวดเหงือกจะทำยังไงดี?
เภฯ ค่ะ แนะนำวิธีที่ไม่ใช้ยาและปลอดภัยกว่าก่อน ซึ่งเป็นวิธีที่สมาคมกุมารแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (AAP) แนะนำเช่นกันค่ะ (4)

✅นวดเหงือก: ใช้ปลายนิ้วที่สะอาด นวดเบาๆ บริเวณเหงือกของลูก
✅ของเย็นช่วยได้: ให้ลูกกัดยางกัดที่แช่เย็น (ย้ำว่าแค่แช่เย็นนะคะ ไม่ใช่แช่แข็ง) หรือใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเย็นให้ลูกกัดเพื่อบรรเทาอาการปวด

หากลองวิธีเหล่านี้แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ควรพาลูกไปพบแพทย์หรือปรึกษาเภสัชกร เพื่อประเมินอาการและพิจารณาการใช้ยาแก้ปวดชนิดรับประทานสำหรับเด็กในปริมาณที่เหมาะสมจะปลอดภัยกว่าค่ะ

การใช้ยาทุกชนิดมีทั้งประโยชน์และความเสี่ยง การปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรและใช้ยาอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดนะคะ

ด้วยรัก ❤️
#เภสัชแม่ลูกอ่อน #ยาชาทาปากเด็ก #วิธีใช้ยาให้ปลอดภัย #เตือนภัยสุขภาพ #ปวดเหงือกฟันขึ้น #แผลในปาก #เรื่องยาน่ารู้ #เภสัชกรให้ความรู้............
เอกสารอ้างอิง (References)
1. U.S. Food and Drug Administration. Risk of serious and potentially fatal blood disorder prompts FDA action on oral drug products containing benzocaine [Internet]. Silver Spring (MD): FDA; 2018 May 23 [cited 2025 Jul 30]. Available from: https:// www.fda.gov/drugs/drug-safety-and-availability/risk-serious-and-potentially-fatal-blood-disorder-prompts-fda-action-oral-drug-products-containing
2. U.S. Food and Drug Administration. FDA Drug Safety Communication: FDA warns that over-the-counter (OTC) oral health products containing benzocaine for teething and mouth pain can cause methemoglobinemia, a serious and potentially fatal condition [Internet]. Silver Spring (MD): FDA; 2018 May 23 [cited 2025 Jul 30]. Available from: https:// www.fda.gov/drugs/drug-safety-and-availability/fda-drug-safety-communication-fda-warns-over-counter-otc-oral-health-products-containing
3. U.S. Food and drug Administration. FDA Drug Safety Communication: FDA recommends not using prescription oral viscous lidocaine 2 percent solution for teething pain; requires new Boxed Warning [Internet]. Silver Spring (MD): FDA; 2014 Jun 26 [cited 2025 Jul 30]. Available from: https:// www.fda.gov/drugs/drug-safety-and-availability/fda-drug-safety-communication-fda-recommends-not-using-prescription-oral-viscous-lidocaine-2
4. American Academy of Pediatrics. Teething: 4 to 7 Months [Internet]. HealthyChildren.org; 2023 [cited 2025 Jul 30]. Available from: https:// www.healthychildren.org/English/ages-stages/baby/teething-tooth-care/Pages/Teething-4-to-7-Months.aspx

08/09/2025

07/09/2025

จริงหรือไหม?? อาหารเสริมที่สามารถ แก้ #เกาต์ #ข้อเสื่อม #เข่าเสื่อม

05/09/2025

แก้ทุกปัญหาด้วยการนอน

#ความเครียดสะสม
#นอนหลับ

รักษาได้ แต่ป้องกันด้วยถุงยางอนามัยปลอดภัยสุด #โรคหนองใน #โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
04/09/2025

รักษาได้ แต่ป้องกันด้วยถุงยางอนามัยปลอดภัยสุด
#โรคหนองใน
#โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

Azithromycin กับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ : ใช้อย่างไรให้ถูกต้อง และทำไม “ไม่ใช่ยาป้องกันล่วงหน้า”

Azithromycin คืออะไร ใช้เมื่อไร
Azithromycin เป็นยาปฏิชีวนะในกลุ่ม macrolides ออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย โดยมักใช้รักษาการติดเชื้อจากแบคทีเรียหลายระบบ เช่น การติดเชื้อทางเดินหายใจ ทางผิวหนัง และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางชนิด (STIs) ตามคำแนะนำของแพทย์
แม้ Azithromycin จะจัดเป็นยาที่ออกฤทธิ์ครอบคลุมเชื้อกว้าง แต่ไม่ควรนำมาใช้ด้วยตนเอง เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียงที่สำคัญ เช่น อาการคลื่นไส้–ท้องเสีย หรือภาวะ QT prolongation โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคหัวใจหรือใช้ยาบางชนิดร่วมกัน

การใช้ Azithromycin ในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
1) โรคหนองใน (Gonorrhea: Neisseria gonorrhoeae)
แนวทางการรักษาหลัก (First-line therapy)
- Ceftriaxone ขนาด 1 กรัม ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เพียงครั้งเดียว
เหมาะสำหรับการติดเชื้อหนองในชนิดไม่ซับซ้อนของ ท่อปัสสาวะ, ปากมดลูก, และทวารหนัก
ทางเลือกหรือในสถานการณ์เฉพาะ
- Cefixime ขนาด 800 มิลลิกรัม ร่วมกับ Azithromycin ขนาด 2 กรัม รับประทานครั้งเดียว
(ใช้เมื่อไม่สามารถฉีดยาได้ หรือในบริบทการรักษาคู่เพศสัมพันธ์ ตามแนวทาง)
ข้อแนะนำเพิ่มเติมตามแนวทาง
- ควรให้ความสำคัญกับ “การรักษาคู่เพศสัมพันธ์” ทุกราย
- งดกิจกรรมทางเพศอย่างน้อย 7 วัน หลังเริ่มการรักษา และจนกว่า คู่เพศสัมพันธ์จะได้รับการรักษาเรียบร้อยแล้ว

2) หนองในเทียม (Chlamydia trachomatis)
แนวทางการรักษาหลัก (First-line therapy)
- Doxycycline ขนาด 100 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง นาน 7 วัน
ทางเลือก
- Azithromycin ขนาด 1 กรัม รับประทานเพียงครั้งเดียว

เหตุใด Azithromycin “จึงไม่ใช่” ยาป้องกันหลังการสัมผัส (PEP)
ปัจจุบันมีการแนะนำเฉพาะการใช้ Doxycycline‑PEP (Doxy‑PEP) สำหรับ กลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ได้แก่
- ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย
- หญิงข้ามเพศ
ที่ได้รับการประเมินว่ามีความเสี่ยงสูงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs)
โดยมีข้อจำกัดและเงื่อนไขการใช้ที่ชัดเจน
> ไม่มีการแนะนำให้ใช้ Azithromycin เป็น PEP แต่อย่างใด
แนวทางของ Centers for Disease Control and Prevention (CDC, สหรัฐอเมริกา) ก็เช่นกัน
ได้ระบุชัดว่าแนวทาง Doxy‑PEP ถูกจำกัดให้ใช้ในกลุ่มเฉพาะเท่านั้น และต้องดำเนินการร่วมกับระบบการดูแลแบบองค์รวม
ประกอบด้วยการตรวจคัดกรอง, การรักษา และการให้คำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง
การใช้ Azithromycin เพื่อการป้องกันล่วงหน้าโดยไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์
อาจส่งผลให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยาอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในเชื้อ Neisseria gonorrhoeae
ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดให้เป็นเชื้อที่มีปัญหาดื้อต่อยาหลายกลุ่ม รวมถึง macrolides แล้วในหลายประเทศทั่วโลก

แนวทางการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ มากกว่าการ “กินยาปฏิชีวนะล่วงหน้า”
การใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น Azithromycin เพื่อป้องกันล่วงหน้าโดยไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ไม่ใช่แนวทางที่แนะนำ และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเชื้อดื้อยาในระยะยาว
แนวทางที่ปลอดภัยและมีหลักฐานสนับสนุน ได้แก่
✅ 1. ถุงยางอนามัย
- ควรใช้ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์และใช้อย่างถูกวิธี
- ลดความเสี่ยงการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้หลายชนิด เช่น หนองใน หนองในเทียม ซิฟิลิส HIV
✅ 2. การตรวจคัดกรองเป็นประจำ
- ควรเข้ารับการตรวจด้วยวิธีที่ได้มาตรฐาน เช่น NAATs (nucleic acid amplification tests) สำหรับ
- Chlamydia trachomatis
- Neisseria gonorrhoeae
- พิจารณาตรวจเพิ่มเติมสำหรับ Mycoplasma genitalium หรือ Trichomonas vaginalis
ในผู้ที่มีอาการหรือพฤติกรรมเสี่ยงสูง
✅ 3. การฉีดวัคซีน
- วัคซีนที่เกี่ยวข้องในการป้องกัน STIs ได้แก่
- วัคซีน HPV (Human papillomavirus)
- วัคซีน ไวรัสตับอักเสบบี
✅ 4. HIV PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis)
- เป็นยาสำหรับ ป้องกันการติดเชื้อ HIV ไม่ใช่ยาปฏิชีวนะ
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง โดยต้องได้รับการประเมินและติดตามโดยแพทย์
✅ 5. Doxycycline‑PEP (Doxy‑PEP)
- ใช้หลังการสัมผัสความเสี่ยง และแนะนำเฉพาะในกลุ่มจำเพาะ ตามแนวทางประเทศไทย
เช่น ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย และหญิงข้ามเพศที่มีความเสี่ยงสูง
- ประเทศไทยยังไม่แนะนำใช้ Doxy‑PEP เพื่อป้องกัน หนองใน
เนื่องจากพบอัตราการดื้อยา tetracyclines สูงในข้อมูลจากต่างประเทศ
และยังต้องมีการเฝ้าระวังแนวโน้มการดื้อยาอย่างต่อเนื่อง

สรุป
การป้องกัน STIs ที่มีประสิทธิภาพ ต้องอาศัยแนวทางแบบผสมผสาน ทั้งการใช้ถุงยาง ตรวจคัดกรอง วัคซีน และการประเมินความเสี่ยงรายบุคคลโดยแพทย์
การใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น ไม่เพียงไม่มีประโยชน์ในการป้องกันโรค แต่ยังเร่งปัญหาเชื้อดื้อยา ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขในระยะยาว

 #เชื้อรา
29/08/2025

#เชื้อรา

28/08/2025
ทางเลือก  #ยาทาผื่นแพ้  และ  #ด่างขาว
27/08/2025

ทางเลือก #ยาทาผื่นแพ้ และ #ด่างขาว

Tacrolimus / Pimecrolimus : ทางเลือกเมื่อเลี่ยงสเตียรอยด์
(Topical Calcineurin Inhibitors: TCIs) สำหรับผื่นภูมิแพ้ผิวหนังและบางกรณีของ vitiligo

TCIs คืออะไร และมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร
Topical Calcineurin Inhibitors (TCIs) เป็นกลุ่มยาทาภายนอกที่ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งเอนไซม์ calcineurin ส่งผลให้ลดการกระตุ้นของ T lymphocytes และลดการหลั่งไซโตไคน์ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ เช่น interleukin-2 (IL‑2) จึงช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง อาการผื่น แดง และอาการคัน
ข้อได้เปรียบที่สำคัญของ TCIs คือ ไม่ทำให้ผิวหนังบาง เหมือนยาทาสเตียรอยด์ จึงเหมาะสำหรับบริเวณที่ผิวบอบบางหรือมีข้อจำกัดในการใช้สเตียรอยด์

ยาในกลุ่ม TCIs ที่มีใช้ในทางคลินิก
1. Tacrolimus ointment
- ความเข้มข้น 0.03%: ใช้ในเด็กอายุ ≥2 ปี
- ความเข้มข้น 0.1%: ใช้ในผู้ใหญ่
2. Pimecrolimus 1% cream
- เหมาะสำหรับโรคผิวหนังที่มีความรุนแรงระดับอ่อนถึงปานกลาง
TCIs ทั้งสองชนิดนี้มักใช้เป็นทางเลือกเสริมหรือทดแทน corticosteroids ในกรณีที่การใช้สเตียรอยด์ไม่ได้ผล หรือไม่เหมาะสม เช่น การใช้ระยะยาว บริเวณใบหน้า หรือรอยโรคเรื้อรังที่ต้องการหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงจากสเตียรอยด์

เหมาะสำหรับใครบ้าง และใช้ในบริเวณใด
Topical calcineurin inhibitors (TCIs) เหมาะสำหรับผู้ป่วย atopic dermatitis (AD) ที่อายุ ≥2 ปี ทั้งเด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงจาก topical corticosteroids ในบริเวณที่ผิวบอบบางหรือมีความเสี่ยงผิวบาง ได้แก่ เช่น
- ใบหน้า
- เปลือกตา
- ซอกพับของร่างกาย
- อวัยวะเพศ
แนวทางเวชปฏิบัติจากหลายสถาบัน รวมถึง American Academy of Dermatology และบทความวิชาการใน PubMed Central (PMC) ได้แนะนำการใช้ TCIs อย่างชัดเจนในบริเวณดังกล่าวเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงจาก corticosteroids
สำหรับภาวะ vitiligo (ด่างขาว), tacrolimus จัดเป็น first-line therapy โดยเฉพาะในรอยโรคที่เกิดบริเวณใบหน้าและตำแหน่งที่ผิวหนังบอบบางหรือไม่เหมาะกับการใช้สเตียรอยด์
ผลการรักษาดียิ่งขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับ narrowband ultraviolet B (NB‑UVB)

วิธีใช้ TCIs ให้ได้ผลและปลอดภัย
1. ในระยะอาการกำเริบ (Flare Phase)
- ล้างทำความสะอาดผิวหนัง และซับให้แห้ง
- ทายาบาง ๆ วันละ 2 ครั้ง เฉพาะบริเวณที่มีรอยโรค
- หยุดใช้เมื่ออาการดีขึ้น
- หากใช้ติดต่อกันเกิน 6 สัปดาห์ แล้วยังไม่ดีขึ้น ควรกลับไปพบแพทย์เพื่อประเมินเพิ่มเติม

2. ในระยะควบคุมหรือป้องกันการกลับเป็นซ้ำ (Proactive Therapy)
หลังจากผื่นสงบแล้ว อาจพิจารณาให้
- ทายาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เฉพาะบริเวณที่มีแนวโน้มกำเริบบ่อย
แนวทางนี้ช่วยลดอัตราการกลับเป็นซ้ำ และยืดช่วงเวลาระหว่างการกำเริบได้อย่างมีนัยสำคัญ

3. การใช้ร่วมกับมอยส์เจอไรเซอร์
- สามารถใช้ร่วมกันได้ และมักช่วยลดความรู้สึกแสบยิบในช่วงเริ่มต้นการใช้ยา
- หลายแนวทางแนะนำให้ทายาก่อนแล้วเว้นระยะสั้น ๆ ก่อนทามอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อให้การดูดซึมของยามีประสิทธิภาพและลดการระคายเคือง

4. การหลีกเลี่ยงแสงแดดและรังสี UV
- ระหว่างใช้ยา ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด, ตู้อบผิวแทน (tanning booth) และการรับการรักษาด้วย phototherapy (UV) ยกเว้นในกรณีที่มีคำแนะนำจากแพทย์โดยตรง
- หากจำเป็นต้องออกแดด ควรปกปิดบริเวณที่ทายาด้วยเสื้อผ้า และปฏิบัติตามคำแนะนำในการป้องกันแสงแดดอย่างเคร่งครัด

ผลข้างเคียงที่พบบ่อยของ TCIs
- อาจมีอาการแสบร้อน คัน หรือรู้สึกร้อนผิวหนัง โดยเฉพาะในช่วงวันแรก ๆ ของการใช้ยา ซึ่งมักจะลดลงเมื่อผื่นเริ่มสงบลง
- ในบางรายอาจเกิดใบหน้าแดง (facial flushing) หลังดื่มแอลกอฮอล์
- ข้อควรระวัง ในการใช้ยา
- ห้ามทายาบนผิวหนังที่มีการติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสดวงตาและเยื่อบุต่าง ๆ

ที่อยู่

ลาดพร้าว
Bang Kapi

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ร้านขายยา วิตามิน อาหารเสริม ลาดพร้าว111 วัชรพล รามอินทรา79 รุ่งเรืองเภสัชผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram