23/06/2025
ไอโซเทรทิโนอิน (Isotretinoin) คือยาอะไร
ไอโซเทรทิโนอินเป็นเรตินอยด์ชนิดรับประทาน (oral retinoid) ซึ่งมีโครงสร้างเป็นอนุพันธ์ของกรดวิตามินเอในรูปแบบ 13-cis-retinoic acid ได้รับการรับรองให้ใช้สำหรับรักษาสิวชนิดรุนแรงประเภทนอดูลโลซิสติก (severe nodulocystic acne) โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะดื้อต่อการรักษามาตรฐาน เช่น ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน ยาใช้เฉพาะที่ (topical therapy) หรือหัตถการทางผิวหนังต่าง ๆ
กลไกการออกฤทธิ์ของไอโซเทรทิโนอินประกอบด้วยการลดการทำงานของต่อมไขมัน (sebaceous gland suppression) ลดการหลั่งซีบัม (sebum production) ต้านการอักเสบ (anti-inflammatory effect) และยับยั้งการเกิด hyperkeratinization ภายในรูขุมขน ส่งผลให้กระบวนการเกิดสิวลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดอัตราการกลับเป็นซ้ำในระยะยาวในผู้ป่วยส่วนใหญ่
กลไกการออกฤทธิ์ของไอโซเทรทิโนอิน
เมื่อรับประทานไอโซเทรทิโนอิน ร่างกายจะเปลี่ยนยาเป็นสารออกฤทธิ์ในตับและผิวหนัง ซึ่งสามารถออกฤทธิ์ครอบคลุมพยาธิสภาพหลักของสิวทั้ง 4 ด้าน ได้แก่
- ลดการทำงานของต่อมไขมัน : ขนาดและการผลิตซีบัมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (ประมาณ 80–90%) ทำให้ผิวมันลดลงและรูขุมขนอุดตันน้อยลง
- ลดการอุดตันของรูขุมขน : ช่วยให้เซลล์เคราติโนไซต์ที่ลอกหลุดภายในรูขุมขนมีการเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ ลดการเกิด comedone
- ลดจำนวนเชื้อแบคทีเรีย Cutibacterium acnes : ทำให้การติดเชื้อแบคทีเรียภายในรูขุมขนลดลง
- ต้านการอักเสบ : ลดปฏิกิริยาการอักเสบ ส่งผลให้รอยแดงและบวมจากสิวยุบตัวเร็วขึ้น
ในระดับโมเลกุล พบว่าไอโซเทรทิโนอินกระตุ้นการแสดงออกของโปรตีนควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ เช่น p53, FoxO1 และ FoxO3 ในเซลล์ต่อมไขมัน ทำให้เซลล์เข้าสู่กระบวนการ apoptosis (การตายของเซลล์อย่างมีแบบแผน) ส่งผลให้ต่อมไขมันฝ่อลงอย่างถาวรในบางราย
ประสิทธิภาพและขนาดยา
ขนาดยามาตรฐานของไอโซเทรทิโนอินอยู่ที่ 0.5–1 มก./กก./วัน โดยให้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา ประมาณ 4–6 เดือน ขึ้นอยู่กับการตอบสนองและการทนต่อยาของผู้ป่วย
เป้าหมายหลักของการรักษาคือการให้ยาจนถึงขนาดยาสะสมรวม ≥120–150 มก./กก. ตลอดคอร์สการรักษา ซึ่งมีข้อมูลล่าสุดในปี 2025 สนับสนุนว่าการให้ถึงระดับยาสะสมดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับการลดอัตราการกลับเป็นซ้ำของสิว และลดความจำเป็นในการวนกลับมารักษาซ้ำในอนาคต
ในผู้ป่วยที่ไม่สามารถทนต่อผลข้างเคียงได้ดี อาจพิจารณาใช้ ขนาดต่ำ (low-dose) หรือ ให้แบบวันเว้นวัน (intermittent dosing) เป็นทางเลือก แม้จะมีแนวโน้มเกิดผลข้างเคียงน้อยลง แต่ก็อาจต้องใช้เวลารักษานานขึ้น และประสิทธิภาพในการควบคุมสิวอาจช้ากว่าการให้ขนาดเต็มตามมาตรฐาน
ใครบ้างที่เหมาะสมกับการใช้ไอโซเทรทิโนอิน
- ผู้ที่เป็นสิวชนิดรุนแรง เช่น สิวหัวช้าง (nodular acne), สิวซีสต์ (cystic acne) หรือสิวอักเสบลึก ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่จะทิ้งรอยแผลเป็นถาวร
- ผู้ที่เป็นสิวระดับปานกลาง แต่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีมาตรฐาน เช่น ยาทาและยาปฏิชีวนะรับประทาน มาแล้วเป็นเวลานานกว่า 6 เดือน
- ผู้ที่สิวส่งผลกระทบทางจิตใจอย่างมีนัยสำคัญ เช่น ภาวะเครียดจากรูปลักษณ์ ความมั่นใจลดลง หรือประสบปัญหาถูกล้อเลียนหรือละอายต่อสังคม
กลุ่มผู้ป่วยเหล่านี้อาจได้รับประโยชน์อย่างมากจากการใช้ไอโซเทรทิโนอิน ทั้งในด้านการควบคุมสิว การลดการกลับเป็นซ้ำ และการฟื้นฟูคุณภาพชีวิตในระยะยาว
การใช้ยาและการติดตามผลการรักษา
- ควรรับประทานไอโซเทรทิโนอินพร้อมอาหารที่มีไขมันเพื่อเพิ่มการดูดซึมของยาเข้าสู่ร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ
- ผู้ป่วยต้องได้รับการตรวจเลือดก่อนเริ่มยาและติดตามซ้ำทุก 4–8 สัปดาห์ เพื่อประเมินความปลอดภัยระหว่างการรักษา โดยเน้นที่ :
- ระดับไขมันในเลือด (LDL, Triglyceride)
- การทำงานของตับ (Liver function tests)
- สำหรับสตรีวัยเจริญพันธุ์ จำเป็นต้องใช้วิธีคุมกำเนิด 2 วิธีร่วมกัน โดยเริ่มก่อนใช้ยาอย่างน้อย 1 เดือน ต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่ใช้ยาและต่อเนื่องหลังหยุดยาอีก 1 เดือน เนื่องจากไอโซเทรทิโนอินมีความเสี่ยงสูงในการก่อความพิการแต่กำเนิด (teratogenicity)
- ห้ามบริจาคเลือดขณะใช้ยาและอย่างน้อย 1 เดือนหลังหยุดใช้ยา เพื่อป้องกันการถ่ายเลือดไปยังหญิงตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจ
- ควรเตรียม ลิปบาล์ม ครีมบำรุงผิว และครีมกันแดด เพื่อบรรเทาอาการแห้งลอกของผิวและริมฝีปาก รวมถึงป้องกันผิวไวแสงที่มักเกิดระหว่างการรักษาด้วยยาในกลุ่มนี้
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยจากการใช้ไอโซเทรทิโนอิน
ผลไม่พึงประสงค์ที่พบได้บ่อยระหว่างการรักษา ได้แก่ :
- ปากแห้ง ผิวแห้ง ตาแห้ง เนื่องจากผลของยาต่อการทำงานของต่อมไขมัน
- ผื่นแดงหรือผิวไวต่อแสงแดด โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสรังสี UV
- ระดับไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride)
- ค่าเอนไซม์ตับ (LFTs) สูงชั่วคราว ซึ่งมักไม่ก่ออาการและกลับสู่ปกติเมื่อหยุดยา
ข้อมูลจากการทบทวนวรรณกรรมปี 2024 ที่รวบรวมผลจาก 64 งานวิจัยชี้ว่า ผลข้างเคียงเหล่านี้สามารถควบคุมได้ด้วยการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ ครีมกันแดดและการปรับขนาดยาตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการอย่างเหมาะสม
อย่างไรก็ตาม ควรเฝ้าระวังอาการอื่นที่อาจเกิดร่วม เช่น ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อและอาการปวดศีรษะซึ่งหากรุนแรงควรประเมินเพิ่มเติมก่อนพิจารณาให้ยาต่อเนื่อง
ความเสี่ยงสำคัญที่ควรทราบก่อนใช้ไอโซเทรทิโนอิน
ความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ (Pregnancy Category X) : ไอโซเทรทิโนอินเป็นสารก่อความพิการแต่กำเนิดที่รุนแรง (teratogenicity) จึงห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์โดยเด็ดขาด ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ต้องมีมาตรการคุมกำเนิดอย่างเข้มงวดตลอดระยะเวลาการรักษารวมถึงก่อนและหลังใช้ยาอย่างน้อย 1 เดือน
ผลกระทบต่อสุขภาพจิต : การศึกษาจากฐานข้อมูล FAERS ที่รวบรวมรายงานอาการไม่พึงประสงค์กว่า 20 ปี พบรายงานเกี่ยวกับ ภาวะซึมเศร้า และอาการทางจิตเวชอื่น ๆ แม้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันความสัมพันธ์เชิงสาเหตุโดยตรง แต่แนะนำให้เฝ้าสังเกตอารมณ์และพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด หากมีอาการผิดปกติ เช่น อารมณ์เปลี่ยนแปลง หดหู่ หรือมีความคิดทำร้ายตนเอง ควรพบแพทย์ทันทีเพื่อประเมินและจัดการอย่างเหมาะสม
ประเด็นใหม่ ๆ ในปี 2025 เกี่ยวกับการใช้ไอโซเทรทิโนอิน
แนวทางการให้ขนาดต่ำ (Low-dose หรือ Micro-dose) : มีการศึกษาและนำมาใช้มากขึ้น โดยให้ในขนาดต่ำ เช่น 10–20 มก./วัน หรือ 40 มก. ทุก 3 วัน เพื่อลดผลข้างเคียงที่เกี่ยวกับความแห้งของผิวหนังและเยื่อบุ โดยเฉพาะในผู้ที่ไวต่อยา อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้มักต้องใช้ระยะเวลาการรักษานานขึ้นเพื่อให้ถึงขนาดยาสะสมที่มีประสิทธิภาพ
การเสริมยาต้านฮิสตามีน (Antihistamine adjunct therapy) : การศึกษาแบบ (RCT) ในปี 2025 ที่มีผู้เข้าร่วม 64 ราย พบว่าการใช้ Desloratadine ร่วมกับไอโซเทรทิโนอินสามารถช่วยลดอาการผิวแห้งและริมฝีปากแตกได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของการรักษาสิว
แนวโน้มเหล่านี้สะท้อนการปรับรูปแบบการใช้ยาเพื่อเพิ่มความสบายในการใช้ยาสำหรับผู้ป่วย โดยยังคงรักษาผลลัพธ์ทางคลินิกไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สรุป
ไอโซเทรทิโนอินถือเป็น “ทางเลือกสุดท้าย” ที่ทรงประสิทธิภาพในการรักษาสิวชนิดรุนแรง เนื่องจากออกฤทธิ์ครอบคลุมทุกกลไกของพยาธิสภาพสิว หากใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ร่วมกับการตรวจเลือดเป็นระยะ และมีมาตรการป้องกันการตั้งครรภ์อย่างเคร่งครัด ยานี้สามารถให้ผลการรักษาที่ยั่งยืน ลดโอกาสเกิดแผลเป็น และช่วยฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างมีนัยสำคัญ
เอกสารอ้างอิง
1. Reynolds RV, Yeung H, Cheng CE, et al. Guidelines of care for the management of acne vulgaris. J Am Acad Dermatol. 2024;90(5):1006.e1‑1006.e30.
2. Pile HD, Patel P, Sadiq NM. Isotretinoin. In: StatPearls [Internet]. Treasure Island (FL): StatPearls Publishing; 2025 Mar 4.
3. Melnik BC. Acne transcriptomics: fundamentals of acne pathogenesis and isotretinoin treatment. Cells. 2023;12(22):2600.
4. Lai J, Barbieri JS. Acne relapse and isotretinoin retrial in patients with acne. JAMA Dermatol. 2025;161(4):367‑374.
5. Rajput I, Anjankar VP. Side effects of treating acne vulgaris with isotretinoin: a systematic review. Cureus. 2024;16(3)\:e55946.
6. Nie W, Wu X, Xia Y, Zheng L, Lu H. Reported psychiatric adverse events among isotretinoin users: monitoring priorities from a 20‑year FDA adverse event reporting system database study. J Am Acad Dermatol. 2025 Feb 28: S0190‑9622(25)00368‑8.
7. El‑Ghareeb MI, Kandeel AH, Khayrullah NM. Efficacy and safety of combined oral isotretinoin and desloratadine vs. isotretinoin alone in acne vulgaris: a comparative study. Arch Dermatol Res. 2025;317(1):689.