Cicada Health Care

Cicada Health Care อุปกรณ์และนวัตกรรม เพื่อสร้างความปลอดภัยให้ชีวิต

💥🔥 กาวดิ่งขั้นสุด! แค่เอาเท้าจุ่มน้ำธรรมชาติ…ร่างกายมึงจะถูก “ซ่อมด้วยพลังงานบำบัดจากโลก” เร็วกว่าการเดินเท้าเปล่าหลายเท...
29/08/2025

💥🔥 กาวดิ่งขั้นสุด! แค่เอาเท้าจุ่มน้ำธรรมชาติ…ร่างกายมึงจะถูก “ซ่อมด้วยพลังงานบำบัดจากโลก” เร็วกว่าการเดินเท้าเปล่าหลายเท่า!

⚠️ คำเตือนก่อนอ่าน
บทความนี้ใช้ถ้อยคำที่ถ่อยไม่สุภาพไม่เหมาะกับบุคคลทั่วไปที่รับความหยาบกร้านไม่ได้ขอให้ท่านกดเลื่อนผ่านออกไปเลยนะครับ

นี่ไม่ใช่โพสต์โลกสวย แต่มันคือ คำเตือนจากโลกจริง ที่มึงกำลังเหยียบอยู่…

❝ ถ้ามึงยังคิดว่าโลกคือดาวเคราะห์ทรงกลมหมุนไปเฉยๆ… มึงยังไม่รู้เลยว่าทุกตารางมิลลิเมตรรอบตัวมึง หลังศตวรรษที่ 21 มานี้ มันกลายเป็น สมรภูมิสนามแม่เหล็กพิษ ที่กัดกร่อนร่างกายมึงทุกวินาที ❞

มึงหนีไม่ได้

สัญญาณ 4G 5G ที่ทะลุผนังทุกที่

WiFi ที่ยิงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุก 100 มิลลิวินาที

มือถือที่แนบกะโหลกสมองมึงวันละหลายชั่วโมง

Router ที่ยิง Beacon ไม่หยุดแม้ตอนนอน

ทั้งหมดนี้สร้างสิ่งที่เรียกว่า
Magnetic Garbage Field
(แมกเนติกการ์เบจฟีลด์)
มันอาบอนุมูลอิสระใส่เซลล์มึงไม่สน4 สน8
ว่ามึงจะหลับ หรือตื่น แบบมองไม่เห็น แต่มันกัดจริงตลอดเวลาอย่างไม่หยุดยั้ง

📉 ระบบภูมิคุ้มกันมึงเริ่มเพี้ยน
⚡ ฮอร์โมนเครียดพุ่งสูง
🧬 ไมโตคอนเดรียค่อยๆ ดับ
🔥 และโรคร้ายก่อตัวในความเงียบ…แบบ Slow Kill (สโลว์คิล)

แต่ข่าวดีคือ...

ธรรมชาติยังอยู่ข้างมึงเสมอ...ถ้ามึงโลกะวิฑูรย์
= รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง โดยเฉพาะสิ่งที่ต้องรู้ในยุคที่เข้าสู่ มหาวิทยาลัย ไฟบรรลัยกัลป์

สิ่งที่จะใช้รับมือกับโลกยุควิบัตินี้ คือพลังอันไร้ขีดจำกัดของธรรมชาติ ทุกคนมีโอกาสเข้าถึง ไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจนเพียงใดก็ตาม
ยกเว้นคนที่ยังไม่หายโง่......ก็โง่กันต่อไปให้สุดแล้วกัน...ค่อยเริ่ม

“พลังบำบัดธรรมชาติ” มีให้มึงใช้ รีเซ็ตระบบร่างกายฟรีๆ แบบยุติธรรมที่สุดในโลก
ไม่ต้องถือบัตรสมาชิก VIP ใด
ไม่ต้องต่อค่าสมาชิกสโมสร
ไม่ต้องครอบครองเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี่
ไม่ต้องมีเงินมีทองก็มีสิทธิ์ทั้งนั้น
ไม่ต้องซื้อ Detox (ดีท็อกซ์)
ไม่ต้องแดกอาหารเสริมราคาเหี้ยห่าไรไม่รู้
ไม่ต้องเสียค่าเข้าคอร์สเรียนไลค์โค้ชสุขภาพแพงๆ

แค่เจอธรรมชาติที่อยู่ข้างหน้าใช้ได้ผลทั้งนั้น

🧬 วิทย์ลึก: Grounding (กราวดิ้ง)
ในน้ำธรรมชาติที่เชื่อมอยู่กับพื้นผิวแกนโลกโดยตรง = แรงกว่าการทำ grounding แบบยืนอยู่บนพื้นดินด้วยเท้าเปล่า หรือ เดินเท้าเปล่า 50–100 เท่า

น้ำธรรมชาติ (ไม่ใช่น้ำก๊อกหรือน้ำในถัง!)
แต่เป็นน้ำที่เชื่อมกับพื้นผิวโลกโดยตรง เช่น ลำธาร น้ำตก หนองน้ำ หรือทะเล มีค่าการนำไฟฟ้า
Electrical conductivity
(อิเล็กทริเคิลคอนดักทิวิตี้)
สูงถึง 50–500 µS/cm
เทียบกับหญ้าแห้งหรือพื้นดินทั่วไปที่อยู่แค่
5–20 µS/cm

แปลว่า…แค่เอาเท้าจุ่มน้ำธรรมชาติพื้นดินหรือโคลนที่มีความชุ่มชื้น = รับอิเล็กตรอนเร็วกว่า ยืนเฉยๆเดินบนดินธรรมดา 25–100 เท่า!!

⚡ อิเล็กตรอนจากโลก = สารต้านอนุมูลอิสระระดับจักรวาล Natural nano-antioxidant
(เนเชอรัลนาโนแอนตี้ออกซิแดนท์)

ทุกวันมึงโดนถล่มจาก:

แสง UV (ยูวี)

อาหารแปรรูป

ความเครียด

สนามแม่เหล็กพิษที่บอกไป

แต่แค่เอาเท้าจุ่มน้ำ…...หรือทำกิจกรรมทางการเกษตรสัมผัสพื้นดิน โคลนที่ชุ่มชื้น (ทำนา)

🌍 อิเล็กตรอนจากโลกจะไหลเข้าร่างมึง
ระดับคอมโบ.....แบบไม่ต้องสั่งซื้อ

🚫 ไม่ต้องกินวิตามินซี ไม่ต้องแดกกลูต้า
แอสตร้าแซนติน ใดๆ

🔋 แต่มึงจะได้ พลังที่บำบัดลึกถึงระดับ
ไมโตคอนเดรีย

ผลที่เกิดขึ้นจริง
จากอาสาสมัครทดลองในมนุษย์จริง ไม่ใช่แค่หนูทดลอง

1. ลดคอร์ติซอล (Cortisol – คอร์ติซอล)
ภายใน 30 นาที — วัดจากน้ำลายจริง

2. ลด Pro-inflammatory cytokines
(โปรอินฟลามเมทอรี่ไซโตไคน์)
เช่น IL-6 (ไอแอลซิกซ์)
TNF-α (ทีเอ็นเอฟอัลฟ่า)
อย่างมีนัยสำคัญ

3. เพิ่ม parasympathetic activity
(พาราซิมพาเธติกแอคทิวิตี้) → หัวใจเต้นช้าลง สมองโคตรนิ่ง

4. เสริมพลังไมโตคอนเดรีย → ผลิต ATP
มากขึ้นเฉลี่ย 10–20% จากข้อมูลระดับเซลล์
อันนี้โคตรว้าว สำหรับคนอ่อนแอ ป่วย
กระบวนการเผาพัง เป็นโรคเบาหวาน โรคมะเร็ง
แก่ชราตามสภาพ

งานวิจัยระดับโลกยันไทย

🇺🇸 Chevalier, Sinatra & Oschman
(เชอวาลิเยร์ ซินาตรา แอนด์ออชแมน) – สหรัฐอเมริกา

> “Grounding with water immersion significantly reduces blood viscosity, inflammation, and improves heart rate variability.”
— The Journal of Environmental and Public Health
(เดอะเจอร์นัลออฟเอ็นไวรอนเมนทอลแอนด์พับลิกเฮลท์)

🇩🇪 University of Leipzig
(ยูนิเวอร์ซิตี้ออฟไลพ์ซิก) – เยอรมนี

“การ grounding ผ่านน้ำธรรมชาติ
ช่วยลด IL-6 ได้เฉลี่ย 37% ภายใน 1 ชั่วโมง”

🇹🇭 มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง – ประเทศไทย

งานวิจัยปี 2566 (2023)

“แช่เท้าในน้ำธรรมชาติช่วยลดคอร์ติซอลในน้ำลายลงเฉลี่ย 22%, เพิ่มคลื่นสมองอัลฟา (Alpha brain wave – อัลฟาเบรนเวฟ) +43%, ลดความดันโลหิตเฉลี่ย 8–12 mmHg (มิลลิเมตรปรอท) ภายใน 15 นาที และปรับสมดุลระบบประสาทอัตโนมัติแบบชัดเจน”

-💣ทำไม “จุ่มน้ำธรรมชาติ”
ถึงแม่งเหนือชั้นกว่าทุกสิ่ง

เพราะ ความแรงการรับอิเล็กตรอน ที่เข้าสู่ร่างกายในแต่ละกิจกรรม มีผลต่อเซลล์ไม่เท่ากัน

เดินบนหญ้าเปียก ⭐⭐⭐ สบายๆ ปานกลาง

เดินบนดินแห้ง ⭐⭐ พอได้ ต่ำ

จุ่มเท้าในน้ำธรรมชาติ ⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐ ส่งถ่ายอิเล็กตรอน สะท้านถึงใจ
ทะลุเข้าไมโตคอนเดรีย!!

🌞 เทคนิคที่คนไม่รู้: เพิ่มพลัง “น้ำธรรมชาติ”
ด้วยแสงแดด

ถ้ามึง จุ่มเท้าในน้ำ + ตากแดดพร้อมกัน
= มึงใช้ “2 มิติพลังงานแม่งโคตรเดือด”แบบไฮบริด

แสงแดดช่วย

กระตุ้น Nitric oxide (ไนตริกออกไซด์)
→ ขยายหลอดเลือด

สร้าง Vitamin D3 (วิตะมินดีทรี)
→ เสริมภูมิคุ้มกัน

เพิ่มการดูดซึมอิเล็กตรอน
→ แบบ “เปิดประตูพลังงานระดับผิวหนัง”

🕖 แนะนำเวลาที่ได้ประโยชน์ร่วมกับแสงแดด

7:30 – 9:00 น. หรือ 16:30 – 17:30 น.
เพื่อความแรงแบบไม่โดนเผา

สรุป

❝ ถ้ามึงยังเดินบนหญ้า... มึงยังอยู่แค่ยุค
Nokia 3310 ❞

❝ แต่ถ้ามึงจุ่มเท้าในน้ำธรรมชาติ... มึงเข้าสู่จักรวาล Tesla Powerwall (เทสล่าพาวเวอร์วอลล์)
เวอร์ชันชีวภาพ! ❞

โลกแม่งมีระบบซ่อมชีวิต ที่ยุติธรรมไม่เอนเอียงไม่เลือกข้าง ชนชั้น วรรณะ ธรรมชาติฝังอยู่ในทุกหยดน้ำ ทุกอณูผืนแผ่นดิน ทุกสายแสงที่สาดส่อง

ไม่ต้องไล่ซื้อของ ไม่ต้องโดนปั่นให้กลัวแดด
แค่เท้าเปล่า และผืนกาย จุ่มลงในแหล่งน้ำธรรมชาติ และให้โลก "เยียวยาร่างมึงให้ฟื้น"

❝ ถ้ามึงอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว…ยังไม่ลองจุ่มเท้าในน้ำธรรมชาติเลยสักครั้งในชีวิต แปลว่ามึงยังอยู่ในฝันของโลกเสมือน ❞
ลองเถอะ… แค่เอาเท้าจุ่มน้ำ โลกทั้งใบอาจเริ่มเยียวยามึงตั้งแต่วินาทีแรก

เรื่องกาวดิ้งยังไม่จบแค่นี้ ยังมีอะไรดีๆที่น่าสนใจแล้วจะนำมาเล่าให้ฟังอีกในโอกาสต่อไป...นะมึง

ขอขอบคุณเพจ อาชัย ล้างพิษปรับสมดุล

https://fb.watch/BHND_bS5E2/?

แค่เอาเท้าไปแตะพื้น ช่วยป้องกันโรคลิ่มเลือดอุดตันได้อย่างไร?
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1279816514156231&id=100063836841413

ทำกาวดิ้ง ช่วยเสริมประสิทธิภาพเม็ดเลือดแดงได้อย่างไร ?
https://fb.watch/BHMfnmaVzD/?

กาวดิ้ง ต่ออายุขัย
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1278035024334380&id=100063836841413

ประโยชน์ของการทำกาวดิ้ง Byอาชัย
https://fb.watch/BHMmJS977q/?

เมื่อเท้าเปล่าเหยียบดิน อิเลคตรอนจากโลก ยาอายุวัฒนะธรรมชาติให้มาฟรีๆ
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1275420741262475&id=100063836841413

จัดอันดับพื้นในการทำกาวดิ้ง
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1275901131214436&id=100063836841413

กาวดิ้ง รีเซ็ทนาฬิกาชีวภาพ
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1278867674251115&id=100063836841413

แผนไทยด็อกเตอร์ AI ถามทุกเรื่องที่อยากรู้เกี่ยวกับ การรักษาโรค,สมุนไพรไทย และอื่นๆ
28/08/2025

แผนไทยด็อกเตอร์ AI ถามทุกเรื่องที่อยากรู้เกี่ยวกับ การรักษาโรค,สมุนไพรไทย และอื่นๆ

ตำราอ้างอิงยาสมุนไพรไทยเล่ม 2 #ตำราอ้างอิงยาสมุนไพรไทย  #ตำราอ้างอิงยาสมุนไพรไทยเล่ม2
27/08/2025

ตำราอ้างอิงยาสมุนไพรไทยเล่ม 2
#ตำราอ้างอิงยาสมุนไพรไทย #ตำราอ้างอิงยาสมุนไพรไทยเล่ม2

ตำราอ้างอิงยาสมุนไพรไทยเล่ม 1 #ตำราอ้างอิงยาสมุนไพรไทย  #ตำราอ้างอิงยาสมุนไพรไทยเล่ม1
27/08/2025

ตำราอ้างอิงยาสมุนไพรไทยเล่ม 1
#ตำราอ้างอิงยาสมุนไพรไทย #ตำราอ้างอิงยาสมุนไพรไทยเล่ม1

🦶🔥 “วิชาฝ่าเท้าเหล็ก” เกิดขึ้นได้ยังไง?เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนเดินเท้าเปล่าบนหินกรวดแข็งๆ ได้เป็นกิโลโดยไม่สะทกสะท้านแต่...
21/08/2025

🦶🔥 “วิชาฝ่าเท้าเหล็ก” เกิดขึ้นได้ยังไง?

เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนเดินเท้าเปล่าบนหินกรวดแข็งๆ ได้เป็นกิโลโดยไม่สะทกสะท้าน
แต่บางคนถอดรองเท้าได้ไม่กี่ก้าวก็แทบร้องจ๊าก?

นี่ไม่ใช่แค่เรื่อง “ความด้าน” ธรรมดา แต่มันคือ วิวัฒนาการทางชีวภาพ ที่ฝึกซ้ำๆ จนร่างกายงัดเอากลไก 3 ประสานออกมาใช้ครบทั้ง

1. #ผิวหนังฝ่าเท้า

2. #กล้ามเนื้อใต้ฝ่าเท้า

3. #กระดูกรับน้ำหนักฝ่าเท้า

1. ทฤษฎีกระตุ้นสะสมเคราติน – ผิวหนังสร้างเกราะป้องกัน

ฝ่าเท้าที่ถูกใช้งานหนักจะสร้าง
(Keratin – เคราติน) หนาแน่นขึ้น กลายเป็นหนังด้าน (Callus – คอลลัส) กระจายทั่วฝ่าเท้า
มันทำหน้าที่เหมือน รองเท้าชีวภาพ
(Biological shoes ไบโอโลจิคัล ชูส์)
ที่ยีนของเราพัฒนาขึ้นเพื่อการอยู่รอด

👉 Callus ไม่ได้ทำให้ประสาทรับความรู้สึกลดความไว แต่กลับ “กรองแรง” ก่อนถึงตัวรับประสาทเจ็บปวด (แมคคาโนรีเซ็พเตอร์ และ โนซิเซ็พเตอร์)
สมองจึงไม่ตีความว่าเจ็บแบบ “ภัย” แต่แปรเป็นแรงที่ทนได้

📌 งานของ Harvard ที่ศึกษาชนเผ่า Daasanach ในเคนยา พบว่า แม้ฝ่าเท้าพวกเขาจะหนามาก แต่ระบบประสาทสัมผัสยังไวเหมือนคนใส่รองเท้า เพียงแต่แรงกดถูกกระจายก่อนถึงปลายประสาทเจ็บปวด

2. ทฤษฎีพัฒนามัดกล้ามเนื้อใต้ฝ่าเท้า

วิวัฒนาการบีบคั้นให้ กล้ามเนื้อใต้ฝ่าเท้า ต้องเป็นมัดแรกๆ ที่แข็งแรงที่สุด เพราะทุกก้าวคือก้าวแห่ง
การล่า ก้าวแห่งการหนีเอาชีวิตรอด และการใช้ชีวิตบนพื้นดินที่ไม่เคยราบเรียบเป็นปกติ

จนมัดกล้ามเนื้อสำคัญ เช่น

Flexor digitorum brevis
(เฟล็กซอร์ ดิจิทอรัม เบรวิส)

Abductor hallucis (แอบดักเตอร์ แฮลลูซิส)

👉 มัดกล้ามเนื้อที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าเหล่านี้คือแกนหลักของ arch support ถ้ามันฝ่อไป อุ้งเท้าจะพัง
เกิดรองช้ำ (Plantar fasciitis) ได้ง่าย

แต่ในยุคปัจจุบัน กล้ามเนื้อมัดนี้แทบไม่ได้ถูกใช้งานเลย จึง “ฝ่อและอ่อนแอ” โดยที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว

คุณไม่มีวันเข้าใจว่ามันอ่อนแรงแค่ไหน...
จนกว่าคุณจะถอดรองเท้าแล้วเหยียบหินกรวดเพียงไม่กี่ก้าว ร่างกายจะตะโกนบอกคุณเองว่า
“เชดเข้เอ้ย ! ...กล้ามเนื้อมัดนี้มันถูกหลงลืมไปนานแค่ไหนแล้วว่ะ”

ตรงกันข้าม คนที่เดินเท้าเปล่าเป็นประจำ
มวลกล้ามเนื้อ (Muscle mass – มัสเซิลแมส)
ใต้ฝ่าเท้าจะเพิ่มขึ้น ทำให้ฝ่าเท้าทำงานเต็มศักยภาพ เหมือนได้ “รีเทิร์นวิวัฒนาการกลับคืนมาตามสเปค”

3. ทฤษฎีวูล์ฟส์ลอว์ (Wolff’s Law)
กระดูกปรับตัวให้แข็งเหมือนเหล็ก

นี่คือจุดที่โหดที่สุด

ทุกครั้งที่ฝ่าเท้าหรือหน้าแข้งถูกแรงกระแทก จะเกิดรอยร้าวระดับจิ๋ว
(Microfracture – ไมโครแฟรกเจอร์)
ร่างกายจะส่งเซลล์สร้างกระดูก
(Osteoblasts – ออสทีโอบลาสท์ส)
ไปซ่อมแซม และซ่อมให้ “แข็งกว่าเดิม”

สะสมไปเรื่อยๆ กระดูกจะแข็งแกร่งจน
“เกินมนุษย์ปกติ”
👉 ไม่ใช่แค่หนาขึ้น แต่กระดูกยัง
re-architecture ตัวเองใหม่ให้รับแรงได้ดีกว่าเดิม เหมือนวิศวกรรีโนเวทตึกให้ทนแผ่นดินไหว

นี่คือเหตุผลที่หน้าแข้งนักมวยไทยที่ผ่านการฝึกโหดๆ จะกลายเป็นเหมือน แท่งเหล็กมีชีวิต ที่เตะอะไรก็แทบแตกหัก

ฝ่าเท้าของคนที่เดินเท้าเปล่าก็ใช้หลักเดียวกันนี้
จนกลายเป็น “ฝ่าเท้าเหล็ก”

สรุป

“ฝ่าเท้าเหล็ก” ไม่ได้เกิดเพราะดวง แต่มาจากการฝึกซ้ำๆ จนร่างกายเรียกใช้ 3 กลไก วิวัฒนาการรองเท้าชีวภาพ:
เคราติน + กล้ามเนื้อ + วูล์ฟส์ลอว์

มือใหม่ = เจ็บแทบตาย
คนชินแล้ว = เดินบนหินกรวดได้เป็นชั่วโมงเหมือนเดินบนหญ้า

แล้วในชีวิตจริงล่ะ?

ใช่ครับ...ในบริบทความจริงที่ทุกคนเห็นทุกวันนี้ มันก็ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรจะต้องไปพัฒนาฝ่าเท้า เพราะพื้นส่วนใหญ่ถูกปูกระเบื้องเรียบ อีกทั้งรองเท้าก็ไม่ได้เป็นของขาดแคลน

แต่เดี๋ยวก่อน...ลองคิดกลับอีกมุม —

วันหนึ่งเมื่อแก่ชรา คุณเคยได้ยินไหมว่า
“อย่าได้ล้มเป็นอันขาด”
เพราะการล้มคือ “ประตูแห่งความเสื่อม” ที่ร่างกายไม่อาจย้อนกลับมาเหมือนเดิมได้

กระดูกสะโพกแตก ระบบประสาทและกล้ามเนื้อสลายตัวอย่างรวดเร็ว เกิดโรคแทรกซ้อน และบางคนเสียชีวิตในไม่กี่วันหลังจากล้ม — จุดจบที่โหดร้ายแต่มักถูกมองข้าม

ทั้งหมดนี้คือผลจากความเสื่อมของ ระบบสมดุลการยืนเดิน ซึ่งเกี่ยวพันกับ Sensory neuron (เซนเซอรี่นิวรอน) ที่ทำงานฉับพลันเพื่อพยุงชีวิต แต่มันถูกปิดสวิตช์ไปนานแล้ว...ตั้งแต่วันที่เราถูกเลี้ยงมาในโลกที่เต็มไปด้วยรองเท้าและพื้นเรียบ

👉 ถ้าฝ่าเท้าไม่ถูกฝึก ระบบประสาทสมดุลก็ไม่ถูกเรียกใช้งาน
👉 ถ้าระบบนี้ถูกปิดสวิตช์ตั้งแต่วัยเด็ก ผลลัพธ์คือความเสี่ยงล้มที่ไม่อาจเลี่ยงในบั้นปลายชีวิต

เพราะฉะนั้น “วิชาฝ่าเท้าเหล็ก” ไม่ใช่แค่ของเล่นแปลกใหม่ แต่มันคือการฟื้นชีวิตระบบสมดุล ก่อนที่วัยชราจะพรากมันไปอย่างถาวร

สุดท้ายแล้ว...ไม่ใช่เรื่องว่าเดินบนหินกรวดได้หรือไม่ได้ แต่มันคือคำถามที่โหดกว่ามาก — “คุณจะยังยืนอยู่ได้หรือเปล่าในวันแก่?”

✍️ อาชัย ล้างพิษปรับสมดุล

#วิชาฝ่าเท้าเหล็ก #สมดุลชีวิต

🌍  #เมื่อธรรมชาติบำบัดกลายเป็นเรื่องน่ากลัว   #มนุษย์กำลังเสียความเป็นมนุษย์เมื่อกระแสแนวทางธรรมชาติบำบัดกลับมาอีกครั้ง ...
19/08/2025

🌍 #เมื่อธรรมชาติบำบัดกลายเป็นเรื่องน่ากลัว #มนุษย์กำลังเสียความเป็นมนุษย์

เมื่อกระแสแนวทางธรรมชาติบำบัดกลับมาอีกครั้ง พาคนกลับคืนสู่สมดุลที่เคยมีมายาวนานนับล้านปี วิถีชีวิตที่ควรจะเป็น “เรื่องปกติ”

กลับถูกคนในโลกยุคนี้ตีตราว่าเป็นเรื่องน่ากลัวเสียยิ่งกว่าสงคราม

เพราะเพียงไม่เกิน 2–3 ชั่วอายุคนที่ผ่านมา สังคมปัจจุบันถูกครอบงำด้วย “อุปทาน” ที่ฝังลึกลงไปใน DNA ของจิตวิญญาณคนรุ่นใหม่

ว่า ทุกอย่างที่ไม่ผ่านมืออุตสาหกรรม ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ พาสเจอร์ไรส์สเตอริสลาย คือภัยคุกคามทั้งหมด แบคทีเรียก็ร้าย เชื้อโรคก็ร้าย
พยาธิปรสิตก็น่าขยาด สารเคมีก็สยอง และแม้แต่

“ดราม่าโรคดิน” ก็ถูกเอามาขู่ให้กลัวกันจนหัวหด เหยียบดิน ถอดเท้าเปล่าเมื่อไหร่ ดราม่ามาเต็มราวกับคุณเอาชีวิตไปแขวนไว้บนเส้นด้าย

🧬 วิวัฒนาการไม่เคยโกหก

ตั้งแต่ยุคแรกของ Homo sapiens (โฮโมเซเปียนส์) ร่างกายเราสร้างระบบภูมิคุ้มกันจากการอยู่ร่วมกับเชื้อและปรสิต
ระบบภูมิคุ้มกัน Macrophage (แมคโครฟาจ)
และ T-cell (ทีเซลล์) ไม่ได้เกิดมาเพื่ออยู่ในตู้ปลอดเชื้อ แต่ถูก “ฝึก” ให้รู้จักแยกแยะมิตรและศัตรูจากการสัมผัสสิ่งแวดล้อมจริง

และที่สำคัญ — มันต้อง อัปเกรดตลอดเวลา เพราะเชื้อโรค แบคทีเรีย และปรสิตก็วิวัฒนาการต่อเนื่องไม่มีวันหยุด
เมื่อไหร่ที่คุณกันมันออกไป ไม่ให้ทำหน้าที่ ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามยังพัฒนาความสามารถเพิ่มขึ้นทุกปี สุดท้ายก็เหมือน “ตำรวจที่ถูกแช่แข็งไว้ในยุค 1950” แล้วปลุกขึ้นมาล่าผู้ก่อการร้ายในปี 2020 — ไม่มีทางตามทัน

📌 ร่างกายมนุษย์ไม่ได้ถือกำเนิดมาพร้อมภูมิคุ้มกันที่เก่งกาจ แต่มันเรียนรู้จากศัตรูที่เคยเจอ ยิ่งสัมผัส ยิ่งมีข้อมูล ยิ่งพัฒนา
คล้าย AI ที่ต้องฝึกด้วย data set จริง
แต่ในโลกปลอดเชื้อวันนี้ มึงกำลังป้อนให้ร่างกายแค่โลกจำลองแบบเล่นปาหยี สุดท้ายก็ได้ภูมิคุ้มกันปลอม ที่เก่งแค่ในห้องแลป แต่พังในสนามรบของจริง

🪱 พยาธิในดินคือ ครูเก่าของภูมิคุ้มกัน

โลกยุคนี้ทำให้คนจำนวนมากสับสน กลัวพยาธิราวกับมันเป็นปีศาจจากนรก แค่เดินเท้าเปล่าในสวนหรือทุ่ง ก็มีคนบอกว่า “ระวังพยาธิเข้าเท้า” ทั้งที่ในมุมชีววิทยาวิวัฒนาการ มนุษย์อยู่ร่วมกับพยาธิหลายสายพันธุ์มานับล้านปี

งานวิจัยจาก 🇦🇺 James Cook University (มหาวิทยาลัยเจมส์คุก, ออสเตรเลีย, 2017)
พบว่า การไม่มีพยาธิในร่างกายเลย เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง
(Autoimmune diseases – ออโตอิมมูน ดีซีส)
และภูมิแพ้เรื้อรัง เพราะระบบภูมิคุ้มกันขาดการฝึกซ้อมจนกลายเป็น
Hyper-reactive (ไฮเปอร์รีแอกทีฟ)
ทำงานเกินเหตุและโจมตีร่างกายตัวเอง

สิ่งที่อันตรายจริงๆ ไม่ใช่พยาธิในธรรมชาติ แต่คือภูมิคุ้มกันที่ไม่เคยซ้อมรับมือกับมัน เหมือนเอานักมวยไปนั่งห้องแอร์ทั้งปี แล้วส่งขึ้นเวทีไฟต์ใหญ่ — จบตั้งแต่ยกแรก

📌 โรคอย่าง
Multiple sclerosis (มัลติเพิล สเคลอโรซิส),

Crohn’s disease (ครอนส์)

Lupus (ลูปัส)

เบาหวานชนิดที่ 1

หรือแม้แต่ SLE — ล้วนเชื่อมโยงกับภูมิคุ้มกันที่
“ว่างงานนานเกินไป”
และนี่คือแก่นของ Hygiene Hypothesis
(ทฤษฎีความสะอาดทำลายภูมิคุ้มกัน)
ที่เสนอโดย Dr. David Strachan จาก 🇬🇧 University of London (สหราชอาณาจักร, 1989)
ที่ระบุว่า “เด็กที่โตมาแบบเปื้อนเลอะ ติดเชื้อบ่อย” กลับมีแนวโน้มสุขภาพภูมิคุ้มกันดีกว่าเด็กสะอาดเกลี้ยงไร้เชื้อ

🥩 อาหารปศุสัตว์ = เครื่องย่อยภูมิคุ้มกัน

อีกหนึ่งตัวการที่ทำให้ภูมิคุ้มกันของคนยุคนี้พังแบบเงียบๆ คือ การกินเนื้อ นม ไข่ และสัตว์น้ำจากฟาร์มอุตสาหกรรม ที่อัด Antibiotics (แอนทิไบโอติกส์ – ยาปฏิชีวนะ) เข้าไปแทบทุกวันตลอดอายุสัตว์

สารเหล่านี้สะสมอยู่ในเนื้อและนมที่คุณกิน แล้วค่อยๆ ล้างระบบภูมิคุ้มกันของคุณให้โง่ลง เพราะมันฆ่าแบคทีเรียทั้งดีและร้ายแบบไม่เลือกหน้า → โปรไบโอติก (Probiotic – โปรไบโอติก) ในลำไส้หายฮวบ → ลดการผลิต Short-chain fatty acids (ชอร์ตเชน แฟตตีแอซิดส์ – กรดไขมันสายสั้น) ที่เป็นสารสื่อภูมิคุ้มกัน → กองทัพเม็ดเลือดขาวไร้การฝึกและขาดการประสานงาน

งานวิจัยจาก 🇳🇱 Wageningen University (มหาวิทยาลัยวาเกนนิงเกน, เนเธอร์แลนด์, 2020) ยืนยันว่าการลดลงของโปรไบโอติกหลักอย่าง Bifidobacterium (บิฟิโดแบคทีเรียม)
และ Lactobacillus (แลคโตบาซิลลัส)
ส่งผลให้ความสามารถในการจัดการเชื้อ Salmonella และ E. coli ลดลงกว่า 40%

🐾 เมื่อสัตว์เสียสัตว์ มนุษย์ก็เสียมนุษย์

คุณเอาเสือและสิงโตมาขังในกรง ป้อนอาหารสำเร็จรูปทุกวัน ไม่นานมันก็ลืมวิธีล่าเหยื่อ
สูญสัญชาตญาณปกป้องตัวเอง และในกรงเลี้ยงสมัยใหม่ ยังพบการระบาดของปรสิตอย่าง

Toxoplasma gondii (ท็อกโซพลาสมา กอนดิไอ)

และ Dirofilaria immitis
(ไดโรฟิลาเรีย อิมมิติส – พยาธิหัวใจ)

ที่ทำลายกล้ามเนื้อหัวใจของสัตว์นักล่าจนตาย

นี่คือโรคที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นในธรรมชาติที่เสือและสิงโตอยู่รอดสืบพันธุ์มานับล้านปี — แต่มนุษย์เพิ่งสร้าง “สภาพแวดล้อมพัง” ให้สัตว์เหล่านี้ต้องเผชิญในเวลาไม่กี่ทศวรรษ และมนุษย์เองก็กำลังเดินเส้นทางเดียวกัน

โรคดิน ไม่ใช่ฆาตกร แต่คือกระจกสะท้อนความพัง

นี่แหละ “ไบแอด–อุปทานใหม่”
ที่ถูกงัดขึ้นมาล่อหลอกให้คนที่อยากกาวดิ้ง (Grounding – กาวดิ้ง)

สัมผัสพื้นดินต้องขนหัวลุก เหมือนกำลังจะเอาเท้าไปเหยียบกับดักระเบิดเขมรที่ละเมิด
สุทธิสัญญาออตตาว่า

ทั้งที่ความจริงมันคือ “ผืนปฐพี” ที่มนุษย์เดินย่ำอยู่ทุกวันมาตั้งแต่ยุคยังไม่มีภาษาจะพูด

Melioidosis (เมลิออยโดสิส)
จากเชื้อแบคทีเรียพื้นฐานทั่วไปในธรรมชาติ Burkholderia pseudomallei
(เบอร์คโฮลเดอเรีย ซูโดมาเลไอ)
อยู่ในดินและน้ำเข้าสู่ร่างกายเราได้ตลอดเวลา
มานานกว่ามนุษย์จะรู้จักตัวเองว่าเป็นมนุษย์
มันไม่ใช่ปีศาจสำหรับคนที่ระบบภูมิคุ้มเป็นแบบมนุษย์ปกติสามัญ ที่สำคัญมันยังเป็นตัวช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายไม่ให้เฉื่อยชา และทำหน้าที่อย่างสมเหมาะสมควร เมื่อไหร่ที่เราไม่ได้รับเชื้อแบคทีเรียพื้นฐานธรรมชาติเหล่านี้ ฟังก์ชันในร่างกายเราก็จะค่อยๆอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องติดเชื้อง่าย และมีอายุขัยที่สั้นลงไปด้วยซ้ำ

สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกเรื่องคืออาหารที่ดูดซับสารพิษจากปศุสัตว์คือ ยาปฏิชีวนะ

โปรไบโอติก ในลำไส้พังจากยาปฏิชีวนะ

การนอนหลับซ่อมแซมถูกริดรอน

การเชื่อมต่อร่างกายกับโลก
(Grounding – กาวดิ้ง) ถูกตัดขาด

การเลิกซ้อมรบกับเชื้อในธรรมชาติกลายเป็นวิถีชีวิต

เชื้อที่เคยอยู่ร่วมกันได้ กลับกลายเป็นนักฆ่าในร่างกายอ่อนแอ มนุษย์ที่เสียสมดุลความเป็นมนุษย์ไปแล้ว

สรุป

ดินไม่ผิด น้ำไม่ผิด พยาธิในธรรมชาติก็ไม่ผิด ผิดที่เราเอง ทำตัวเองให้พังจนอยู่ร่วมกับธรรมชาติไม่ได้ และถ้าไม่คืนสมดุลกลับมาให้เร็วพอ — วันหนึ่งคุณจะไม่ตายเพราะโรคดินหรือพยาธิ แต่จะตายเพราะโลกที่คุณสร้างขึ้น… ซึ่งธรรมชาติไม่เคยออกแบบมาให้มนุษย์รอดในสภาพนั้น

📌 ถ้ามึงยังไม่หยุดหมกตัวในบ้าน ตัดขาดจากดิน จากเชื้อ และโลกจริง
มึงอาจจะไม่ตายทันที แต่จะตายอย่างเชื่องช้า
ในร่างที่ถูกภูมิคุ้มกันตัวเองเผาไหม้
โดยไม่มีไวรัสหรือพยาธิแม้แต่นิดเดียว

📌 โลกที่สะอาดเกินไป กำลังทำให้มึงกลายเป็นคนอ่อนแอที่พร้อมตายทุกเมื่อ แม้ไม่มีศัตรู ❞

❝ ดินไม่เคยเปลี่ยน — มีแต่มึง ที่สร้างอุปทานใหม่เปลี่ยนตัวเองให้ออกจากโลกแห่งความจริง
ไปอยู่ในโลกแห่งมายาคติ
จนเดินมาถึงจุดที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติ
ไม่ได้อีกต่อไป ❞

หรือ
“ทุกวันนี้มึงกลัวดิน หรือกลัวความอ่อนแอของตัวเองกันแน่?”

✍️ อาชัย ล้างพิษปรับสมดุล

#ธรรมชาติบำบัด #กาวดิ้ง #ล้างพิษ #ฟื้นฟูภูมิคุ้มกัน #สุขภาพองค์รวม #ยืนบนดิน #ปล่อยพลังงานลบ #ต่อต้านอุปทาน #อาชัยล้างพิษ

🦶 เพียงถอดรองเท้า เดินเท้าเปล่าบนพื้นขรุขระบ้างสัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง…คือการ “รักษาต้นทุนความมั่นคงของชีวิต”แน่นอนว่า…ถ้าคุ...
19/08/2025

🦶 เพียงถอดรองเท้า เดินเท้าเปล่าบนพื้นขรุขระบ้างสัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง…

คือการ “รักษาต้นทุนความมั่นคงของชีวิต”

แน่นอนว่า…ถ้าคุณไม่เคยทำ สิ่งแรกที่จะรู้สึกคือ ความเจ็บปวด
ตั้งแต่ย่างก้าวแรกที่ฝ่าเท้าเหยียบลงบนก้อนกรวด มันไม่ได้นุ่มเหมือนพรมในบ้านหรือเรียบเสมอเหมือนพื้นกระเบื้องที่คุณเหยียบอยู่ทุกวัน
แต่เจ็บนี่แหละคือ “สัญญาณไฟฟ้า”
ที่ปลุก แมคคาโนรีเซ็ปเตอร์ (mechanoreceptor) ใต้ฝ่าเท้าให้ทำงาน ส่งตรงไปยัง
สมองส่วนเซเรเบลลัม (Cerebellum )
ภายในเสี้ยววินาที

วิวัฒนาการ 7 ล้านปีที่อยู่ในฝ่าเท้า

อย่าลืมว่า นับตั้งแต่ มนุษย์สายพันธุ์เรา (Hominin) ลงมาจากต้นไม้เมื่อราว 7 ล้านปีก่อน และเริ่มยืนตัวตรง เดินสองขาเต็มรูปแบบ—ฝ่าเท้า คือฐานรากของวิวัฒนาการทั้งหมด

ทุกก้อนหิน ทุกผิวดิน ทุกแรงสะเทือน คือตัวฝึกระบบประสาท

ฝ่าเท้า = เซนเซอร์ชีวภาพที่หล่อเลี้ยงสมดุลชีวิต

การเดินบนพื้นผิวธรรมชาติซ้ำ ๆ คือสนามซ้อมที่สร้างปลอกไมอีลินให้หนาขึ้น โดยมี

Oligodendrocyte (โอลิโกเดนโดรซัยท์)
คอยสร้างฉนวนในสมองและไขสันหลัง

Schwann cell (ชวานน์เซลล์)
คอยสร้างฉนวนในเส้นประสาทส่วนปลาย

ผลคือเส้นประสาทเราสามารถนำไฟฟ้าชีวภาพได้อย่างรวดเร็ว คม และมั่นคงขึ้น

⚡ รู้ทันความจริงที่ซ่อนอยู่

ถ้าคุณไม่เคยถอดรองเท้าเดินบนพื้นธรรมชาติเลย เท้าคุณกำลังถูก “ปิดกั้น” จากสนามฝึกประสาทที่วิวัฒนาการสร้างมาให้
เซเรเบลลัมไม่ได้รับข้อมูลเต็มที่
แมคคาโนรีเซ็ปเตอร์ถูกทำให้เฉื่อยชา
และปลอกไมอีลินที่เคยหนาและแข็งแรงก็จะเสื่อมสลายเร็วขึ้นเรื่อย ๆ

ความเสี่ยงที่ไม่มีใครบอก

ในผู้สูงอายุ การล้ม คือหนึ่งในความเสี่ยงอันดับต้น ๆ ของการเสียชีวิต

ล้มครั้งหนึ่งอาจทำให้ กระดูกสะโพกหัก
→ ระบบประสาทและกล้ามเนื้อที่เคยประสานกันถูกตัดขาด
→ สูญเสียความสามารถในการเดินอย่างถาวร

หลังจากนั้นเกิด ภาวะแทรกซ้อน เช่น กล้ามเนื้อลีบอย่างรวดเร็ว (muscle atrophy),
การไหลเวียนเลือดเสื่อม, และโอกาสติดเชื้อเพิ่มขึ้น

สถิติทางการแพทย์ยืนยันว่า ผู้สูงอายุที่กระดูกสะโพกหัก มีอัตราการเสียชีวิตภายใน 1 ปีสูงกว่าคนปกติหลายเท่า

พูดให้ตรงไปตรงมา—การล้มเพียงครั้งเดียว อาจทำให้คุณลุกไม่ขึ้นอีกเลย

สรุป

เพียงถอดรองเท้า เดินเท้าเปล่าบนพื้นธรรมชาติสัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง ครั้งละ 10–15 นาที
คุณไม่ได้แค่ฝึกฝ่าเท้า แต่กำลัง ต่ออายุให้เซเรเบลลัม เซลล์ประสาท และไมอีลินของคุณ
นี่คือ “การลงทุนกับความมั่นคงของชีวิต” ที่อยู่ภายใต้กฎธรรมชาติ
Cr: อาชัย

18/08/2025

♦น้ำเหลือง♦ ♦เลือด♦ และ ♦ภูมิคุ้มกัน♦ เกี่ยวข้องกันอย่างไร??
◈… เมื่อพูดถึงเลือด และภูมิคุ้มกัน หลายๆ ท่านคงจะคุ้นเคย และให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ เพราะรู้ดีว่าถ้าเลือดเรามีปัญหาก็จะทำให้ภูมิคุ้มกันเราลดต่ำลง และเมื่อภูมิคุ้มกันเราต่ำลงก็จะทำให้เกิดโรคตามมาได้ใช่ไหมคะ แต่ในทางกลับกัน ถ้าหากพูดถึงน้ำเหลืองหลายคนมักจะไม่ค่อยให้ความสำคัญเพราะคิดว่าการที่น้ำเหลืองมีปัญหานั้น จะทำให้เกิดโรคเล็กๆ น้อย เช่น ขาลายหรือแขนลายเพราะยุ่งกัด หรือการทิ้งรอยดำ และหายยากเมื่อร่างกายเกิดบาดแผลหรือการอักเสบเล็กๆ น้อยๆ ขึ้น แต่ที่มากไปกว่านั้นคือบางคนอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าน้ำเหลืองคือของเสียที่เกิดจากการเน่าเสียของเลือดหรือของเหลวในร่างกาย อันที่จริงแล้วความสำคัญของน้ำเหลืองมีมากมายกว่าที่เราคิดนะคะ หมอสามารถพูดได้เลยว่ามีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเลือด และภูมิคุ้มกันของเราเลย
◈…ทั้ง 3 ส่วนมีความเกี่ยวเนื่อง และสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งมีปัญหาก็จะส่งผลกระทบกับส่วนอื่นๆ ตามมา เหมือนกับโดมิโน่ที่ล้มต่อกันไปเป็นทอดๆ โดยน้ำเหลืองนั้นจะเป็นตัวรักษาสมดุลของร่างกายรวมถึงเลือดและภูมิคุ้มกัน เช่น น้ำเหลืองมีหน้าที่สำคัญในการลำเลียงสารเข้าสู่กระแสเลือดและการนำของเสียจากกระแสเลือดออกมาเพื่อกำจัดออกจากร่างกายทำให้เลือดสะอาดมีคุณภาพ เมื่อเลือดสะอาดก็จะทำให้เซลล์ต่างๆ แข็งแรงและทำให้ภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราจึงมีร่างกายที่แข็งแรงไม่เกิดโรคได้ง่ายนั่นเอง
◈…ส่วนภูมิคุ้มกันนั้น จะมีเม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าสำคัญ เป็นเหมือนหน่วยทหารลาดตระเวนที่คอยดูแลสอดส่อง และกำจัดผู้รุกรานที่จะเข้ามาทำอันตรายต่อร่างกายของเราค่ะ เจ้าเม็ดเลือดขาวนี้จะอาศัยอยู่ภายในน้ำเหลืองเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะตามต่อมน้ำเหลืองในจุดต่างๆ ทั่วร่างกาย การที่เม็ดเลือดขาวจะสามารถเคลื่อนที่ไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเพื่อป้องกัน และกำจัดเชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ที่เข้ามาภายในร่างกายจากช่องทางต่างๆ เช่น ทางบาดแผล, ทางจมูก และทางปาก ก็ต้องอาศัยการเคลื่อนที่ของน้ำเหลืองไปตามท่อน้ำเหลืองที่อยู่ทั่วร่างกายนั่นเอง ซึ่งการที่น้ำเหลืองสะอาดมีคุณภาพดี ไหลเวียนสะดวก จะทำให้เม็ดเลือดขาวเคลื่อนที่ หรือทำหน้าที่ได้อย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพตามไปด้วย ในทางกลับกันหากน้ำเหลืองมีการไหลเวียนที่ผิดปกติ เกิดการอัดอั้นหรือมีสารพิษอยู่เป็นจำนวนมากภูมิคุ้มกันก็จะอ่อนแอ หรือเกิดการสับสนไม่สามารถแยกออกได้ว่าเซลล์ไหนคือเซลล์ร้าย หรือเซลล์ไหนคือเซลล์ดี จนเกิดการต่อต้านเซลล์ในร่างกายของตัวเองทำให้เกิดการอักเสบขึ้น ตัวอย่างของโรคที่เกิดจากกรณีนี้ก็อย่างเช่น โรคพุ่มพวง หรือโรคเอสแอลอี (SLE) นั่นเองค่ะ . .พื้นฐานที่สำคัญของการมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงนั้น เกิดจากการทำงานประสานกันอย่างเป็นระบบของทั้งสามส่วนนี้คื่เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนและเข้าใจได้ง่ายขึ้น ในบทความถัดไปหมอจะมาอธิบายแยกความสัมพันธ์ของทั้ง 3 ส่วนออกเป็นคู่ๆ ไป คือ น้ำเหลืองกับเลือด, น้ำเหลืองกับภูมิคุ้มกัน และเลือดกับภูมิคุ้มกันค่ะ ท่านผู้อ่านจะได้ทราบ และเข้าใจถึงมูลเหตุของการเจ็บป่วยอันทำให้เกิดความทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกาย และจิตใจได้อย่างถูกต้องเพื่อที่จะหาวิธีป้องกันเละรักษาได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ เพื่อคุณภาพของชีวิตที่ดีในทุกๆ ด้านค่ะ
Cr:
#ทีมแพทย์แผนไทยกรุงเทพทิพโอสถ
#น้ำเหลืองดีสุขภาพดี

18/08/2025

เลือด น้ำเหลือง และภูมิคุ้มกัน สัมพันธ์กันอย่างไร?
เมื่อพูดถึงเลือดและภูมิคุ้มกัน ทุกคนคงจะคุ้นเคยและทราบว่ามีความสำคัญต่อความเเข็งเเรงของร่างกายเราเป็นอย่างมาก แต่ในทางกลับกันหากพูดถึงน้ำเหลือง หลายคนยังมีความเข้าใจว่า 'น้ำเหลืองหมายถึงน้ำหนอง' เเละคิดว่าการที่น้ำเหลืองมีปัญหานั้น จะทำให้เกิดโรคเล็กๆ น้อย เช่น ขา-แขนลาย เกิดรอยดำง่าย แผลหายช้า เเต่ที่จริงแล้วน้ำเหลืองมีความสำคัญมากกว่าที่เราคิดค่ะ
สาเหตุที่น้ำเหลืองมีความสำคัญมากนั้น เป็นเพราะว่าระบบเลือด ระบบน้ำเหลือง เเละระบบภูมิคุ้มกัน ทั้ง 3 ส่วนนี้ มีความเกี่ยวเนื่องและทำงานสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งมีปัญหาก็จะส่งผลกระทบกับส่วนอื่นๆ ตามมา เหมือนกับโดมิโน่ที่ล้มต่อกันไปเป็นทอดๆ ค่ะ
น้ำเหลืองเป็นตัวรักษาสมดุลของร่างกาย รวมถึงเลือดและภูมิคุ้มกัน เช่น น้ำเหลืองมีหน้าที่สำคัญในการลำเลียงสารต่างๆ เข้าสู่กระแสเลือด และการนำของเสียจากเลือดออกมาเพื่อกำจัดออกจากร่างกาย ทำให้เลือดสะอาดมีคุณภาพ เมื่อเลือดสะอาดก็จะทำให้เซลล์ต่างๆ แข็งแรง รวมถึงทำให้ภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราจึงมีร่างกายที่แข็งแรงค่ะ
นอกจากนี้ระบบน้ำเหลืองยังมีความสำคัญต่อการทำงานของภูมิคุ้มกันเป็นอย่างมาก เพราะภูมิคุ้มกันจะมีเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าสำคัญ คอยกำจัดสิ่งเเปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย รวมไปถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย เช่น
เซลล์ที่ผิดปกติ เป็นต้นค่ะ
เซลล์เม็ดเลือดขาวเหล่านี้ จะอาศัยอยู่ภายในน้ำเหลืองเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะบริเวณต่อมน้ำเหลืองในจุดต่างๆ ทั่วร่างกาย เเละการที่เซลล์เม็ดเลือดขาวจะเคลื่อนที่ไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้นั้น ก็ด้วยอาศัยการไหลเวียนของน้ำเหลืองไปตามท่อน้ำเหลืองที่อยู่ทั่วร่างกายนั่นเองค่ะ
การที่ระบบน้ำเหลืองทำงานได้ดี ไหลเวียนสะดวก จะทำให้เลือดสะอาด ภูมิคุ้มกันทำหน้าที่ได้อย่างเป็นระบบเเละมีประสิทธิภาพ เเต่ในทางกลับกัน หากระบบน้ำเหลืองมีการไหลเวียนที่ผิดปกติ เกิดการอัดอั้นหรือมีสารพิษอยู่เป็นจำนวนมาก ก็จะทำให้เลือดมีของเสียสะสมอยู่มาก เเละทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ จนทำงานบกพร่องหรือสับสน
เช่น การต่อต้านเซลล์ในร่างกายของตัวเองทำให้เกิดการอักเสบขึ้น ตัวอย่างเช่นโรคพุ่มพวง หรือโรคเอสแอลอี (SLE) ค่ะ
การเเพทย์เเผนไทย จึงเรียกผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเลือดเเละภูมิคุ้มกันรวมกันว่า 'กลุ่มอาการที่เกี่ยวข้องกับภาวะน้ำเหลืองเสีย' ซึ่งมีโรคอยู่หลายชนิดด้วยกัน ที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ เช่น เริม สะเก็ดเงิน SLE ภูมิเเพ้ ลมพิษ เเละมะเร็งเป็นต้นค่ะ
เราจะเห็นได้ว่าโรคที่จัดอยู่ในกลุ่มผู้ที่มีภาวะน้ำเหลืองเสียนั้น ค่อนข้างมีอยู่เยอะ เเละหลายโรคจะมีอาการกำเริบเมื่อภูมิคุ้มกันเราอ่อนแอลง ดังนั้นการที่เราจะมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงได้นั้น ทั้งระบบเลือด ระบบน้ำเหลือง เเละระบบภูมิคุ้มกัน จะต้องทำงานประสานกันอย่างเป็นระบบเเละส่งเสริมซึ่งกันเเละกันค่ะ
Cr:
#ทีมแพทย์แผนไทยกรุงเทพทิพโอสถ (ป)
#น้ำเหลืองดีสุขภาพ

น้ำเหลืองไหลจากแผลอันตรายหรือไม่?
18/08/2025

น้ำเหลืองไหลจากแผลอันตรายหรือไม่?

น้ำเหลืองที่ไหลออกจากแผลอาจเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการรักษาแผลตามปกติ แต่หากมีลักษณะสีเขียว มีกลิ่นเหม็....

18/08/2025
18/08/2025

น้ำเหลืองกับหนอง

หากพูดถึง "น้ำเหลือง" หลายคนอาจจะยังสับสนคิดว่าคือ "หนอง" เพราะสองคำนี้มักจะเป็นคำที่เกี่ยวกับบาดแผลหรือการอักเสบเรื้อรัง แต่ที่จริงเเล้ว "น้ำเหลืองกับน้ำหนอง" คือคนละอย่างกันค่ะ
น้ำเหลือง มีหน้าที่สำคัญในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เป็นที่อยู่และเส้นทางที่เซลล์เม็ดเลือดขาวให้สามารถเดินทางไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย และยังมีหน้าที่ในการซึมผ่านของสารต่างๆ และพลังงานจากหลอดเลือดสู่เซลล์ เพราะในระหว่างเซลล์จะมีที่ว่างเล็กๆ ที่มีน้ำเลี้ยงอยู่ ส่วนของน้ำที่อยู่ระหว่างเซลล์นี้เองที่มารวมกันแล้วเข้าสู่ระบบน้ำเหลืองและหลอดเลือดฝอย
ระบบน้ำเหลืองจะประกอบไปด้วยน้ำเหลือง ท่อน้ำเหลือง และอวัยวะน้ำเหลือง ได้แก่ ต่อมน้ำเหลือง ต่อมทอนซิล เเละม้าม โดยบริเวณท่อน้ำเหลืองใหญ่ๆ มักจะมีเม็ดรูปไข่ติดอยู่ตามท่อเป็นระยะๆ เรียกว่า "ต่อมน้ำเหลือง" พบได้มากในบริเวณคอ รักแร้ และขาหนีบ
ภายในต่อมน้ำเหลืองจะมีเซลล์เม็ดเลือดขาวอัดแน่นอยู่ เพื่อคอยทำหน้าที่ในการดักจับ กำจัด กัดกิน และทำลายเชื้อโรค ต่อมน้ำเหลืองจึงเป็นเหมือนกับป้อมปราการที่คอยดักทำลายเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ก่อนที่เชื้อโรคเหล่านี้จะเข้าสู่กระเเสเลือด หากมีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายเป็นจำนวนมากเกินกว่าที่เซลล์เม็ดเลือดขาวจะทำลายได้หมด จะเกิดการอักเสบขึ้นมา โดยเฉพาะบริเวณต่อมน้ำเหลือง เช่น ทอนซิลอักเสบ เป็นต้น
ส่วน "หนอง" คือ ของเหลวข้นที่เกิดจากการอักเสบของร่างกาย จากการติดเชื้อ ประกอบด้วยเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เสื่อมสภาพแล้ว เชื้อโรค แบคทีเรียหรือจุลินทรีย์อื่นๆ ที่อาจจะมีทั้งที่ตายเเล้วและยังมีชีวิตอยู่ รวมถึงเศษเนื้อเยื่อต่างๆ โดยหนองมีทั้งสีขาวข้น สีขาวอมเหลือง สีน้ำตาล หรือสีเขียว อาจจะมีกลิ่นหรือไม่มีกลิ่นเหม็นก็ได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อโรคหรือเชื้อแบคทีเรียนั้นๆ ดังนั้น "หนอง" จึงเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าร่างกายของเราเกิดการติดเชื้อนั่นเอง
หากจะให้เปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆ คือ "น้ำเหลือง" เปรียบเหมือนเป็นที่อยู่ของทหารที่คอยป้องกันร่างกายจากศรัตรูคือเชื้อโรค ส่วน "หนอง" เปรียบเหมือนซากศพของทหาร ซากศพของศรัตรู
เนื่องจากหนองและการอักเสบเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ เพราะฉะนั้นโรคที่มีการอักเสบเรื้อรัง การติดเชื้อทั้งหมด จึงเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันและระบบน้ำเหลืองโดยตรง โดยเฉพาะกลุ่มโรคที่มีการอักเสบเรื้อรัง เช่น มะเร็งชนิดต่างๆ ฝีหนอง เริม งูสวัด สะเก็ดเงิน ผื่นคัน ผื่นแพ้เรื้อรัง ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง การดูแลรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้จึงต้องดูแลระบบน้ำเหลือง เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ช่วยลดการอักเสบและการเกิดหนอง "น้ำเหลืองกับหนอง" จึงเป็นคนละอย่างกัน เเต่เกี่ยวข้องกันค่ะ ...
Cr:
#ทีมแพทย์แผนไทยกรุงเทพทิพโอสถ (ป)
#น้ำเหลืองดีสุขภาพดี

ที่อยู่

Bang Phutsa

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Cicada Health Careผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Cicada Health Care:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram