01/01/2023
ปีใหม่แบบนี้ คำอวยพรดีๆคงหนีไม่พ้นการขอให้มีความสุข แล้วทุกท่านสร้างความสุขได้จากอะไรกันบ้างครับ?(คอมเม้นมาแลกเปลี่ยนกันนะ) ถ้าเป็นของ Dr.Lifespan อย่างแรกต้องเน้นสุขภาพกายและจิตที่ดีมาก่อนเลย เคยได้อ่านประโยคหนึ่งจากหนังสือที่จำชื่อไม่ได้แล้วว่า ‘เราไม่อาจมีหัวใจที่เปี่ยมสุขได้ภายใต้ร่างกายที่ไม่แข็งแรง’ อ่านแล้วโดนใจและเห็นด้วยอย่างไม่มีคำปฏิเสธ แต่ยุคสมัยนี้อะไรๆก็เปลี่ยนไปมากใช่ไหมครับ ไม่ว่าจะโรคระบาด และรูปแบบการใช้ชีวิตในทุกๆด้าน ชีวิตดูจะยากขึ้นเรื่อยๆ เราเลยจำเป็นต้องพกกลยุทธ์สร้างความสุขติดตัวเอาไว้รับมือกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป
ในทางวิทยาศาสตร์ของร่างกาย ความสุขมีความเกี่ยวข้องกับการหลั่งของฮอร์โมน ซึ่งฮอร์โมนทางความสุขมี 4 ตัวด้วยกัน ได้แก่ dopamine, oxytosin, serotonin และ endrophines
เพราะฉะนั้นกลยุทธ์ของเราคือเราจะสร้างพฤติกรรมหรือทักษะที่อำนวยความสะดวกให้ฮอร์โมนเหล่านี้หลั่งออกมา แล้วเราทำอะไรได้บ้างล่ะเพื่อสร้างความสุขให้เกิดขึ้นแบบทันยุคสมัยที่จะเกิดขึ้นในปี 2023 ที่เรียกว่าเป็นยุค ‘next normal’ ซึ่งจะเป็นรูปแบบพฤติกรรมหลังยุค post COVID-19 ที่เป็นช่วงที่คนส่วนมากเริ่มค้นพบถึงความไม่แน่นอน ความท้าทาย และการเปลี่ยนแปลง(ที่ส่งผลกระทบระยะยาว) จึงส่งผลให้เรามีความเครียดมากขึ้น สุขภาพกายและจิตย่ำแย่ลง กลยุทธ์ทางพฤติกรรม 5 ข้อที่นำมาฝาก Dr.Lifespan ได้ลองค่อยๆฝึกฝนและปรับใช้มาสักระยะหนึ่ง พบว่าชีวิตมีความสงบสุขและจิตใจเต็มอิ่มมากขึ้น
1.การขอบคุณ (gratitude) หลังจากตื่นนอนมาเรานึกถึงเรื่องอะไรเป็นอย่างแรกในหัว? ส่วนใหญ่แล้วมักเป็นเรื่องของอดีตที่จบลงไปแล้ว หรือไม่ก็เรื่องของอนาคตที่ยังมาไม่ถึง นั่นจึงทำให้เราลืมปัจจุบัน ดังนั้นกลยุทธ์แรกคือเมื่อตื่นนอนขึ้นมาเราจะอยู่กับตัวเอง แล้วนึกถึงเรื่องดีๆที่เรามีแล้วในชีวิตตอนนี้ เช่น ขอบคุณที่ตื่นมาแล้วยังมีอวัยวะครบ32 ตื่นมาแล้วยังมีคนที่รักเรารออยู่ การมีห้องนอนให้เราหลับพักผ่อนอย่างสุขสบาย เป็นต้น เรื่องง่ายๆพื้นฐานนี่แหละครับที่เมื่อเราขยายให้ความสำคัญทุกวันจนเป็นนิสัย เราจะเริ่มพบว่าความสุขนั้นเกิดขึ้นง่ายมาก และเป็นความสุขที่ยืนยาวทำให้อิ่มในใจ ลองฝึกทุกวันให้สิ่งแรกที่นึกถึงคือเรื่องที่ทำให้เรานึกขอบคุณชีวิต อย่างน้อยวันละ 3 เรื่อง แรกๆอาจจะนึกไม่ค่อยออก แต่พอทำไปเรื่อยๆทุกคนจะพบว่าแค่ 3 เรื่องมันน้อยเกินไปมากกับสิ่งที่เรามีอยู่แล้วในชีวิต กลยุทธ์นี้จะช่วยให้เกิดการหลั่งของ dopamine และ serotonin ได้ครับ
2.การบริหารจัดการความเครียด (stress management) จริงๆแล้วความเครียดในระดับอ่อนๆเป็นเรื่องดีครับ เพราะมันสามารถเป็นแรงขับเคลื่อน (motivation) ให้เราทำสิ่งต่างๆได้สำเร็จ ซึ่งก็จะช่วยให้มีการหลั่งของ dopamine แต่สำหรับความเครียดในระดับสูง จะส่งผลให้เกิดการหลั่งของฮอร์โมนความเครียด ‘cortisol’ ที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลต่อสมดุลของฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง ทำให้สภาพร่างกายและสภาพจิตใจแย่ลงจนอาจก่อเกิดเป็นโรคภัยไข้เจ็บได้ ดังนั้นเราจำเป็นต้องมีทักษะนี้ติดตัวเอาไว้ในยุค 2023 เมื่อเผชิญหน้ากับความเครียด ทักษะนี้เราจำเป็นต้องประเมินและรู้จักตัวเองว่าเมื่อเราเจอความเครียดเรามักมีพฤติกรรมอย่างไร แล้วเขียนใส่ลงไปในกระดาษ การเขียนนี่แหละครับช่วยให้เราเข้าใจตัวเองและลดความเครียดได้แบบที่เราไม่เคยคิดมาก่อน อาจเริ่มจากการเขียนระบายความรู้สึกแล้วค่อยๆจับทีละจุดมาสรุปเป็นข้อ จากนั้นเขียนวิธีที่เราจะแก้ปัญหาในแต่ละข้อ แล้วค่อยๆแก้ปัญหาไปทีละเรื่อง เขียนเสร็จแล้วก็ปล่อยมัน! ใช่ครับปล่อยมันไปก่อน แล้วไปทำอะไรที่เราชอบหรืออยากทำ หรืออีกวิธีที่หนึ่งที่ช่วยได้มากคือการไปนวดครับ ช่วยให้เราผ่อนคลายได้ดีขึ้นมาก แล้วค่อยกลับมาอ่านที่เราเขียนไปและแก้ไขมันถ้าหากอยากแก้ไข จากนั้นก็ค่อยลงมือแก้ปัญหา เมื่อเราเริ่มเอาตัวเองออกมาจากการจมอยู่กับมัน ความสามารถในการแก้ปัญหาของเรา(ที่มีอยู่แล้ว)จะสูงขึ้น และช่วยจัดการความเครียดอย่างได้ผล ลองเอาไปทำกันดูนะครับ
3.การออกกำลังกายและการทานอาหาร ข้อนี้ทุกคนน่าจะคุ้นเคยที่สุด เพราะไม่ว่าใครก็จะบอกให้ออกกำลังกายถ้าหากอยากสุขภาพดี ดังนั้นปัญหาไม่ใช่การที่เราไม่รู้ แต่ปัญหาที่แท้จริงคือเราไม่ให้ความสำคัญครับ ดังนั้นการจะทำให้กลยุทธ์นี้ได้ผลคือเราต้องจัดเวลาให้กับมัน เพื่อไม่ให้อย่างอื่นมาแย่งเวลาในการออกกำลังกายไป การออกกำลังกายจะช่วยให้เกิดการหลั่งของ dopamine และ endophines ส่วนในการทานอาหารนั้นก็สำคัญมาก เพราะในระบบทางเดินอาหารของเรามีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘จุลินทรีย์’ อาศัยอยู่จำนวนมากเป็นกลุ่ม เราเรียกกลุ่มของจุลินทรีย์ว่า ‘microbiome’ micobiome นี่แหละครับที่ส่งผลต่อสุขภาพของเรา จุลินทรีย์มีทั้งตัวที่ดีและไม่ดี การทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพจะช่วยให้จุลินทรีย์ตัวดีได้ครอบครองพื้นที่ในระบบทางเดินอาหาร แล้วเจ้าพวกนี้มันจะส่งผลกับความเครียดเราได้อย่างไรล่ะ? จริงๆแล้วระบบทางเดินอาหารกับสมองมี connection ต่อกันครับ พอเราเกิดความเครียดจะทำให้ระบบของ micorbiome ถูกรบกวน และส่งผลให้จุลินทรีย์ตัวดีลดลง ที่เรารู้สึกว่าเวลาเครียดแล้วอาหารไม่ค่อยย่อยเกิดจากเหตุนี้แหละครับ หรือในทางกลับกันหากเราทานอาหารจำพวก prebiotic และ probiotic ก็จะช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ที่ดีในระบบทางเดินอาหารได้ เมื่อมีการสื่อสารไปยังสมองก็จะช่วยในเรื่องของการลดความเครียดได้ครับ แถมได้สุขภาพที่ดีด้วย
4.การรักษาสมดุลในความสัมพันธ์ ใน 1 ชีวิตของเราประกอบด้วยชุดความสัมพันธ์หลายชุด กับพ่อแม่ ลูก เพื่อน เพื่อนร่วมงาน คนรัก เจ้านาย ลูกน้อง ฯลฯ แล้วทุกคนล่ะครับมีความสัมพันธ์แบบไหนในชีวิตบ้าง? หลงลืมความสัมพันธ์กับตัวเองไปหรือเปล่า? ความสัมพันธ์ทุกชุดล้วนต้องการการรักษาด้วยความใส่ใจและความรัก ชีวิตเรามีค่าเฉลี่ยของการมีชีวิตอยู่ประมาณ 4,000 สัปดาห์ และมันไม่นานเหมือนตัวเลขที่ดูเยอะนี้เลย แม้ว่าชีวิตยังมีอีกหลายด้านให้ไขว่คว้าตามหาความสำเร็จ และเมื่อได้มาเราอาจจะรู้สึกมีความสุขและตื่นเต้น แบบนี้เป็นการทำงานของ dopamine (ความรักในช่วงแรกที่เรียกกันว่าช่วงโปรโมชั่นก็เช่นกัน) และมันเป็นความสุขคนละแบบกับที่ได้รับจากความสัมพันธ์ ความสุขแบบนี้เกิดจากการหลั่งของ oxytosin ที่เกิดขึ้นในช่วงของความรักในความสัมพันธ์ที่เกิดความไว้วางใจและความสบายใจต่อกัน ในงานวิจัยมากมายค้นพบว่าเจ้า oxytosin นี้พบได้ในระดับสูงระหว่างแม่กับลูก ดังนั้นเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ดีดับตัวเอง และขยายใหญ่ให้ความสำคัญกับครอบครัว และความสัมพันธ์ชุดอื่นๆที่เรามีอยู่กันนะครับ
5.การท่องเที่ยวในโลกภายใน โลกภายในในที่นี้คือจิตใจของรานั่นเองครับ มันคือการได้กลับมาอยู่กับตัวเองเพื่อรู้จักและยอมรับตัวเราเอง วิธียอดฮิตคือการนั่งสมาธิ (meditation) ครับ แต่ถ้าใครรู้สึกว่ามันยาก Dr.Lifespan มีวิธีอื่นมาฝาก นั่นคือการทำอะไรให้ช้าลง มันดูย้อนแย้งกับความเร็วของการใช้ชีวิตในยุคสมัยนี้ใช่ไหมครับ แต่นั่นคือช่วงเวลาที่จะได้ลองกลับมาสำรวจโลกในใจของตัวเอง ถ้าเราเคยต้องใช้ชีวิตเร่งรีบกับอะไรสักอย่าง ทุกคนเอาใจไปจดจ่อกับอะไรครับ? เป้าหมายใช่ไหมครับว่าเราต้องทำอะไรให้เสร็จตอนไหนในเวลาจำกัด ในหนังสือ ‘ชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์’ บอกว่าจริงๆแล้วเวลาเป็นเพียงหน่วยวัดทางจินตนาการ หากเราลองไม่มองว่าเวลามีหน่วยดูบ้าง เราจะไม่จับยัดทุกอย่างลงไปในขวดโหลแห่งเวลาใบนี้ด้วยกรอบความคิดของ procuctivity เมื่อเราได้ลองทำอะไรให้ช้าลง นั่นแปลว่าเราจะมีเวลามองลึกเข้าไปในใจ ณ ขณะปัจจุบันมากขึ้น และความหมายของหลายสิ่งรอบตัวก็ดูจะมากขึ้นผิดหูผิดตา ซึ่งตัว Dr.Lifespan เองได้ลองเอามาใช้ เช่น ตอนที่เดิน ลองเดินให้ช้าลง ให้ความสำคัญกับการเดิน กับบรรยากาศรอบตัว กับผู้คน มันก็เหมือนได้ประสบการณ์อะไรบางอย่างในใจที่สงบสุขดีเหมือนกันครับ ซึ่งหัวใจของการสำรวจหรือท่องเที่ยวโลกภายในไม่มีอะไรมากครับ ‘ดื่มด่ำกับปัจจุบันและปล่อยให้ตัวเองรู้สึกไปกับมัน’ เท่านี้เองครับ
หรือในอีกด้านหากพูดถึงเกี่ยวกับปรัชญาต่างๆ ก็มีหลายปรัชญาเลยครับที่พูดถึงการสร้างความสุขเอาไว้ Dr.Lifespan ขอพูดถึงปรัชญาที่ชื่นชอบเป็นพิเศษแบ่งปันกับทุกๆคนครับ (ปีใหม่แบบนี้ จัดความรู้กันไปจุกๆเลย) ‘เต้าเต๋อจิง’ ปรัชญาฝั่งตะวันออกของนักปรัชญาอัจริยะ ‘ขงจื๊อ’ มีแก่นพูดถึง ‘การดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ’ (ปรัชญานี้ถูกนำไปใช้กับการทำธุรกิจด้วย) ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่ต้นไม้ใบหญ้า แต่หมายรวมถึงธรรมชาติของชีวิต ใจความของปรัญชานี้คือทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นดำเนินไปตามธรรมชาติ ปลาอยู่ในน้ำ นกบินบนท้องฟ้า ชีวิตของแต่ละคนจึงดำเนินไปตามแบบฉบับของธรรมชาติ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องดีเสมอ ซึ่ง Dr.Lifespan ขอเสริมว่าเห็นด้วยครับ แค่เราต้องฝึกฝนทักษะในการหาบทเรียนที่ดีในทุกเรื่องให้เจอ มันคือการเรียนรู้ เมื่อเรียนรู้…เราจึงสามารถยอมรับและใช้ชีวิตอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติของตัวเรา ผู้อื่น และทุกสิ่งรอบข้าง ซึ่งสุดท้ายมันจะสร้างความหมายในใจเราและพาเราไปพบความสงบสุข ที่เรียกได้ว่า ‘ใจคือบ้านที่แท้จริงของเรา’
สวัสดีปีใหม่ทุกท่านครับ 😊🎉
รับความรู้การฟื้นฟูสุขภาพ การชะลอวัย และดูแลความงาม ปักหมุด 📌
#สุขภาพ #ความงาม #ชะลอวัย