ปูริดาคลินิกการแพทย์แผนไทย

ปูริดาคลินิกการแพทย์แผนไทย รักษา อาการปวดเมื่อย ไหล่ติด ท้องผู? รักษา อาการปวดเมื่อย ไหล่ติด ท้องผูก ด้วย การนวดและยาสมุนไพร

เรื่องของกัญชาประวัติศาสตร์ของการใช้กัญชาเริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่19 ในอังกฤษและอเมริกาเพื่อรักษาอาการปวดและอาการคลื่นไส้ปี ...
28/04/2019

เรื่องของกัญชา

ประวัติศาสตร์ของการใช้กัญชาเริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่19 ในอังกฤษและอเมริกาเพื่อรักษาอาการปวดและอาการคลื่นไส้
ปี 1851 กัญชาได้รับบรรจุอยู่ในตำรายาของอเมริกา แต่ต่อมาในปี 1942 ได้ถูกถอดถอนออกไป
ปี 1970 เป็นยุคฮิปปีที่คนหนุ่มสาวอเมริกาหันมาใช้กัญชาเพื่อการผ่อนคลายอย่างกว้างขวาง
ปี 1990 ทางการแพทย์มีการค้นพบ Canabinoid system(ระบบสารสกัดกัญชา)ในสมอง และเป็นที่มาของการสนใจนำกัญชามาใช้ในทางการแพทย์
ปี 2010 มี 11 รัฐในอเมริกามีการออกกฎหมายควบคุมการใช้กัญชาในทางการแพทย์ แต่ไม่รับรองการใช้กัญชาเพื่อความเพลิดเพลิน(recreational use)
ปี 2014 มี 23 รัฐออกกฎหมายควบคุมการใช้กัญชาในทางการแพทย์ และมี 5 รัฐอนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อความเพลิดเพลิน ได้แก่รัฐ Alaska, Colorado,Oregon,Washington และ
District of Columbia.

ในกัญชานั้นมีสารเคมีมากกว่า 104 ชนิด(สารเคมีเหล่านี้เรียกรวมกันว่าสาร Cannabinoids แต่ที่สำคัญที่สุดมีอยู่ 2 ชนิดคือ THC กับ CBD
สาร 2 ชนิดนี้มีฤทธิ์แตกต่างกันชัดเจน กล่าวคือ THC ออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท(Psychoactive) ทำให้เมาเคลิ้ม ประสาทหลอน และเกิดโรคจิต(Psychosis) ในขณะที่สาร CBD มีฤทธิ์ทำให้สงบ ลดอาการวุ่นวาย และต้านฤทธิ์เมาประสาทหลอน
ดังนั้นในการนำกัญชามาใช้นั้นจะต้องทราบจุดประสงค์ที่แน่นอน และควรทราบปริมาณที่แน่นอนของสารทั้งสองชนิดในสารสกัดกัญชานั้น
ควรทราบว่าสารทั้งสองชนิดนี้นอกจากจะมีอยู่ในกัญชาแล้ว ยังสามารถสังเคราะห์ขึ้นมาได้ด้วย การสังเคราะห์ขึ้นมาสามารถทราบปริมาณของสารทั้งสองชนิดอย่างแม่นยำแน่นอน
ส่วนในใบกัญชานั้น แต่ละสายพันธ์ให้ปริมาณของ THC กับ CBD แตกต่างกันไป มีการศึกษากัญชาในภาคเหนือของประเทศไทย พบว่ามีปริมาณสารทั้งสองอย่างแตกต่างกันมากแม้จะอยู่ในแหล่งเดียวกัน

และ อย่างที่เรียนให้ทราบแล้วว่าการใช้กัญชานั้นมี วัตถุประสงค์ 2 ประการคือใช้ในทางการแพทย์ หรือว่าใช้เพื่อความเพลิดเพลิน กัญชาที่ได้รับอนุญาตให้ใช้เพื่อความเพลิดเพลินนั้น ในต่างประเทศมักจะกำหนดให้มีปริมาณของสาร THC ต่ำมากๆและแม้กระนั้นก็ยังมีการควบคุมการใช้อย่างเคร่งครัด ทั้งปริมาณ สถานที่ที่จะใช้

สารทั้งสองชนิดที่มีอยู่ในกัญชานั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อได้รับความร้อน ดังนั้นจึงต้องนำมาสูบให้เข้าทางลมหายใจ หรือหากมีการสังเคราะห์เป็นของเหลวแบบเข้มข้นก็นำมาหยดไต้ลิ้นซึ่งจะมีการดูดซึมได้เร็วพอๆกับการสูบ แต่การกินเข้าไปจะไม่ได้ผลเพราะจะถูกทำลายโดยกรดในกระเพาะอาหารเกือบหมด

สำหรับการ ใช้ในทางการแพทย์นั้นมีการรับรองการใช้(ในต่างประเทศ)ดังต่อไปนี้
1.รักษาภาวะเกร็งในโรคทางระบบประสาท Multiple Sclerosis
2.รักษาโรคลมชัก(Epilepsy)ชนิดรุนแรงบางชนิด
3.รักษาโรค Parkinson(บางอาการ)
4.รักษาโรค Alzheimer(ยังต้องศึกษาเพิ่มเติม)
5.แก้อาเจียนในผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัด(ที่ให้ยาชนิดอื่นแล้วไม่ได้ผล)
6.แก้ปวดจากมะเร็ง ปวดปลายประสาท ปวดเรื่อรัง
7.ใช้รักษามะเร็งสมอง มะเร็งต่อมลูกหมาก(ยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติม)
8.ใช้เพิ่มน้ำหนักในผู้ป่วยโรคเอดส์(ช่วยให้ความอยากอาหารเพิ่มมากขึ้น)
9.ใช้รักษาต้อหิน(ยังไม่ยืนยันผล)
10.ใช้รักษาโรค Post traumatic stress syndrome
11.ใช้รักษาโรควิตกกังวล
แต่ข้อบ่งชี้ทั้งหมดทั้งมวลนี้ยังต้องการการศึกษายืนยันอีกมาก และในแต่ละโรคนี้บางโรคเป็นผลของ THC บางโรคเป็นผลของ CBD จึงไม่สามารถนำกัญชามาใช้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้าโดยไม่ทราบสัดส่วนและปริมาณของสารทั้งสองชนิดอย่างชัดเจน

การนำสารสกัดกัญชามาใช้นั้นมีหลายรูปแบบทั้งสูด ทั้งหยดไต้ลิ้น และปัจจุบันมีชนิดกินโดยผสมในขนมต่างๆเช่นในคุ๊กกี้ บราวนี เค๊ก Oeo Keef Kat ทำเป็นเนยกัญชา ขี้ผึ้งกัญชา น้ำมันกัญชา

อย่างไรก็ตามการใช้กัญชาหรือสารสกัดจากกัญชาใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีก็หาไม่ จากการศึกษาพบว่ามีผลเสียดังต่อไปนี้
1.เพิ่มการเกิดโรคทางจิต 3.9 เท่า
2.พบการฆ่าตัวตายเพิ่มชึ้น 2.5 เท่า
3.ทำให้ติดกัญชา 10%(ต้องเพิ่มปริมาณการใช้ชึ้นเรื่อยๆ)(อยู่ในวัยเรียน 17%)
4.ทำให้สมองฝ่อ
5.มีปัญหาการเรียนรู้ สมาธิ และความจำ
6.สัมพันธ์กับการเกิดภาวะถุงลมโป่งพอง
7.สัมพันธ์กับภาวะเส้นเลือดสมองตีบ
8.สัมพันธ์กับภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
9.สัมพันธ์กับมะเร็งอัณฑะ
10.เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจขาดเลือด
11.พบอุบัติการณ์การเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนที่สัมพันธ์กับการใช้กัญชาสูงขึ้น

ผลอย่างเฉียบพลันของกัญชานั้น อาจทำให้อารมณ์ครื้นเครงขึ้นแต่จะตามด้วยอาการง่วงซึม
หากใช้ปริมาณมากจะทำให้ความจำลดลง และเพิ่มความวิตกกังวล ประสาทหลอนทางตา
หวาดระแวง(paranoid) และเกิด panic attack
หากใช้ในคนตั้งครรภ์ก็จะทำให้เสี่ยงต่อการพัฒนาการของเด็กในครรภ์ ทำให้การสร้างน้ำนมแม่ลดลง และสารกัญชาจะเข้าไปในน้ำนมด้วย ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ในคนท้องและให้นมบุตร
การใช้ในเด็กจะนำไปสู่การติดสารเสพติดชนิดอื่นมากขึ้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่
- [ ] ดูเหมือนว่าประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีการใช้สารจากกัญชามากที่สุดในโลกโดยพบว่ามีการใช้ในทางการแพทย์ 30 รัฐ ใช้เพื่อการผ่อนคลาย 9 รัฐ แต่รัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกายังถือเป็นสารต้องห้าม แต่ในรัฐที่อนุญาตให้ใช้นั้นก็มีระบุไว้ชัดเจนว่าจะต้องมีปริมาณสาร THC ไม่เกิน 0.5-5% แล้วแต่รัฐ และมีปริมาณสาร CBD มากกว่า 5% ขึ้นไป
- [ ] ส่วนในประเทศอื่นๆพบแตกต่างกันดังนี้
- [ ] ประเทศCanada สามารถใช้ทางการแพทย์ได้ไม่ผิดกฎหมายหากมีข้อบ่งชี้ชัดเจน
- [ ] ประเทศ Australia และ England ถือว่าการเสพกัญชาผิดกฎหมาย ส่วนการใช้ทางการแพทย์ต้องผลิตโดยบริษัทที่ขึ้นทะเบียนเท่านั้น แพทย์ที่จะใช้ก็ต้องขึ้นทะเบียน
- [ ] ผู้ป่วยที่ใช้ก็ต้องลงทะเบียน ติดตามได้ ผู้ปลูกก็ต้องขึ้นทะเบียน
- [ ] ในประเทศ Netherland นั้นคล้ายๆ Australia แต่เพิ่มสามารถปลูกใช้ในครัวเรือนได้ไม่เกิน5 ต้น และสามารถสูบกัญชาได้ในสถานที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
- [ ] ประเทศที่ถือว่ากัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมายทุกกรณีได้แก่ จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น สิงคโปร์

รวบรวมมาจากการประชุมราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย วันที่ 26 เมษายน 2562 ผู้นำเสนอคือ
รศ.พญ.สุดา วรรณประสาท มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ผศ.นพ.วรพันธ์ เกรียงสุนทร ศิริราชพยาบาล
ผศ.นพ.สหภูมิ ศรีสุมะ โรงพยาบาลรามาธิบดี

ที่มา https://pantip.com/topic/38810562

เรื่องของกัญชา ประวัติศาสตร์ของการใช้กัญชาเริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่19 ในอังกฤษและอเมริกาเพื่อรักษาอาการปวด.....

วันนี้มาอ่านเรื่องชุมเห็ดเทศกัน  1.  ชื่อสมุนไพร           ชุมเห็ดเทศ          ชื่อวิทยาศาสตร์ Senna alata (L.) Roxb.   ...
28/04/2019

วันนี้มาอ่านเรื่องชุมเห็ดเทศกัน

1. ชื่อสมุนไพร ชุมเห็ดเทศ

ชื่อวิทยาศาสตร์ Senna alata (L.) Roxb.

ชื่อวงศ์ FABACEAE (LEGUMINOSAE ) - Caesalpinioideae

ชื่อพ้อง Cassia alata L.

ชื่ออังกฤษ Acapulo, Candelabra bush, Candle bush, Ringworm bush

ชื่อท้องถิ่น ขี้คาก, ชุมเห็ดใหญ่, ตะลี่พอ, ลับมืนหลวง, หมากกะลิงเทศ



2. ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ไม้พุ่ม มีกิ่งแตกออกด้านข้างในแนวขนานกับพื้น ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อยรูปขอบขนานแกมรูปรี โคนใบมน ปลายใบมนหรือเว้าเล็กน้อย ขอบใบเรียบ ดอกออกเป็นช่อใหญ่ ตามง่ามใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกจะบานจากล่างขึ้นบน ใบประดับมีสีน้ำตาลแกมเหลืองห่อหุ้มดอกย่อยซึ่งมีกลีบดอกสีเหลืองทองเป็นรูปไข่เกือบกลมหรือรูปช้อน ผลเป็นฝักยาวมีครีบ 4 ครีบ ฝักแก่สีดำและแตกตามยาว เมล็ดแบนเกือบเป็นรูปสี่เหลี่ยม ผิวขรุขระ มีสีดำ



3. ส่วนที่ใช้เป็นยาและสรรพคุณ

- ใบ บรรเทาอาการท้องผูก ใช้เป็นยาภายนอกรักษาโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน

- ดอก บรรเทาอาการท้องผูก



4. สารสำคัญที่เชื่อว่าเป็นสารออกฤทธิ์

สารออกฤทธิ์คือ anthraquinone glycoside จากใบได้แก่ isochrysophanol, physcion-l-glycoside, chrysophanol, chrysophanic acid, emodine, rhein, aloe-emodin, 4,5-dihydroxy-2-hydroxy methylanthrone, และ 4,5-dihydroxy-1-hydroxy methylanthrone (1-7, 8) ในใบชุมเห็ดเทศควรมีสาร hydroxyanthracene derivatives ไม่น้อยกว่าร้อยละ 1.0 โดยน้ำหนัก (โดยคำนวณเป็น rhein-8-glucoside) (9)



5. ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา

5.1 ฤทธิ์รักษาอาการท้องผูก

จากการศึกษาในผู้ป่วยจำนวน 80 ราย พบว่าผู้ป่วยกลุ่มที่ได้รับชาชงจากใบชุมเห็ดเทศ (เตรียมโดยการชงใบชุมเห็ดเทศ 3-6 กรัม ด้วยน้ำเดือด 120 มิลลิลิตร ทิ้งไว้นาน 10 นาที และปรับให้มีสารอนุพันธ์ของ hydroxyl-anthracene ประมาณ 0.04 กรัม) ก่อนนอน ให้ผลในการรักษาอาการท้องผูก โดยผู้ป่วยสามารถถ่ายภายใน 24 ชั่วโมงได้ดีกว่ากลุ่มที่ได้รับยาหลอก ซึ่งให้ผลการรักษาไม่แตกต่างจากกลุ่มที่ได้ยาระบายมิสท์แอลบา (ประกอบด้วย magnesium sulfate 8 กรัม และ magnesium carbonate 1.2 กรัม) (8)

เมื่อให้สารสกัดจากใบชุมเห็ดเทศแห้งด้วยน้ำร้อนกับหนูแรททางปากในขนาด 500 และ 800 มิลลิกรัม/กิโลกรัม พบว่ามีฤทธิ์ช่วยระบาย (10, 11) และเมื่อให้สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำกับหนูเม้าส์ทางปากในขนาดเทียบเท่าผงใบชุมเห็ดเทศแห้ง 5, 10 และ 20 กรัม/กิโลกรัม จะทำให้หนูเม้าส์ถ่ายเหลว โดยการให้ในขนาดต่ำ (5 กรัม/กิโลกรัม) จะออกฤทธิ์ช้ากว่าในขนาดสูง (10 และ 20 กรัม/กิโลกรัม) (12) สาร anthraquinone glycoside จากใบได้แก่ isocrysophanol, physcion-l-glycoside, chrysophanol, emodine, rhein, และ aloe-emodin (1-7) มีฤทธิ์เป็นยาถ่าย (13)

5.2 ฤทธิ์กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้

สารสกัดจากใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำขนาดเทียบเท่าผงใบชุมเห็ดเทศแห้ง 5 กรัม/กิโลกรัม ทำให้ลำไส้เล็กส่วนปลายของหนูตะเภาหดตัวได้ร้อยละ 25 ของฤทธิ์จากฮีสตามีน 1 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำขนาดเทียบเท่าผงใบชุมเห็ดเทศแห้ง 10 และ 20 กรัม/กิโลกรัม มีผลเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้ของหนูเม้าส์ได้มากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ (12) สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำในขนาด 15 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ทำให้ลำไส้เล็กส่วนปลายของหนูตะเภาหดตัวได้ในหลอดทดลอง (14) ในขณะที่สารกลัยโคไซด์จากใบชุมเห็ดเทศมีฤทธิ์กระตุ้นกล้ามเนื้อเรียบในลำไส้ (1)

5.3 ฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพ

สารสกัดจากใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์และครีมชุมเห็ดเทศเข้มข้นร้อยละ 20 สามารถรักษาผู้ป่วยโรคกลาก 30 ราย และโรคเกลื้อน 10 ราย ได้ดีเทียบเท่ากับยาขี้ผึ้ง whitfield แต่ไม่มีผลรักษาราที่เล็บและหนังศีรษะ (15) ยาเตรียมชุมเห็ดเทศในรูปแบบทิงเจอร์และครีม (ซึ่งมีสารสำคัญ rhein 600 ไมโครกรัม/กรัม) ให้ผลในการรักษาผู้ป่วยโรคกลากเกลื้อนที่ผิวหนังได้เช่นเดียวกับยาครีมโคลไตรมาโซลร้อยละ 1 (16) สารสกัดใบชุมเห็ดเทศสดด้วยน้ำ (ใบสด 100 กรัมต่อน้ำ 50 มิลลิลิตร) ความเข้มข้นร้อยละ 100 ทาบริเวณแขน และขา หรือความเข้มข้นร้อยละ 90 ทาบริเวณคอ และมือ และความเข้มข้นร้อยละ 80 ทาบริเวณหน้า วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน 2 ชั่วโมง มีผลรักษาโรคกลากเกลื้อนชนิด Pityraisis versicolor ที่มีสาเหตุจากเชื้อรา Malassezia furfur ในผู้ป่วยจำนวน 200 คนได้ (17)

สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำ (18, 19) สารสกัดด้วยเอทานอล (20-23) สารสกัดด้วยเมทานอล (24-26) และสาร aloe-emodin, rhein (19-22) emodol, 4,5-dihydroxy-1-hydroxymethylanthrone, 4,5-dihydroxymethylanthraquinone (19) และ chrysophanol (3, 6, 7, 20, 22) จากใบชุมเห็ดเทศ มีฤทธิ์ต้านเชื้อราที่ผิวหนังได้แก่ Epidermophyton floccosum (20-22), Microsporium gypseum, Trichophyton rubrum (20-23, 25, 26), T. mentagrophytes (18-20, 22, 24) และ M. canis (20, 23) เมื่อเทียบกับยา tolnaftate (21) โดยสาร rhein ให้ผลยับยั้งเชื้อรา E. floccosum, T. mentagrophytes, และ T. rubrum ได้ดีที่สุด (20) สารสกัดด้วยเอทานอล สารแอนทราควิโนน (27) และสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยเอทานอล ความเข้มข้น 0.104 มิลลิกรัม/มิลลิลตร (28) มีฤทธิ์ต้านเชื้อรา T. rubrum (27) และ M. gypseum (28) ในจานเพาะเชื้อ ได้พอๆกับยา ketoconazole (27, 28) และ itraconazole (28) นอกจากนี้สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยคลอโรฟอร์ม, อีเทอร์, แอลกอฮอล์ และน้ำ (15, 29-30) และสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ร้อยละ 50 จากทุกส่วนของชุมเห็ดเทศ (31) มีฤทธิ์ต้านเชื้อราที่เป็นสาเหตุโรคกลากได้

สารสกัดด้วยน้ำและเอทานอลจากเปลือกต้นชุมเห็ดเทศสามารถยับยั้งเชื้อยีสต์ Candida albicans ได้ โดยที่ความเข้มข้น 30 ไมโครกรัม/ไมโครลิตร จะให้ผลดีเมื่อเปรียบเทียบกับยา ticonazole 30 ไมโครกรัม/ไมโครลิตร (32) แต่สารสกัดจากใบด้วยน้ำและเอทานอลไม่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อยีสต์ (20, 23)

น้ำมันหอมระเหยจากใบชุมเห็ดเทศ (33) สารสกัดจากเปลือกต้นด้วยเมทานอล (34) มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย Bacillus subtilis ในจานเพาะเชื้อได้ปานกลาง (33, 34) สารสกัดด้วยน้ำจากใบชุมเห็ดเทศสามารถยับยั้งเชื้อ Escherichia coli ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อได้ที่ความเข้มข้นมากกว่า 21.8 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร (35)



6. อาการข้างเคียง

อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาหารไม่ย่อย ท้องเสีย (8) และปวดท้องเนื่องจากการบีบตัวของสำไส้ (8, 9)



7. ความเป็นพิษทั่วไปและต่อระบบสืบพันธุ์

7.1 การทดสอบความเป็นพิษ

การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลัน พบว่าสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ร้อยละ 50 ไม่มีพิษเมื่อให้หนูเม้าส์ทางปากและฉีดเข้าใต้ผิวหนัง แต่มีความเป็นพิษเล็กน้อยเมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์ (36, 37) เมื่อฉีดสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ร้อยละ 85 เข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์ในขนาด 2 กรัม/กิโลกรัม ไม่พบความเป็นพิษ (30, 38, 39) สารสกัดจากใบด้วยน้ำ (14) และสารสกัดจากส่วนเหนือดินของชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ร้อยละ 50 (31) มีความเป็นพิษปานกลางเมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์ (14, 31)

การทดสอบพิษกึ่งเรื้อรัง พบว่าเมื่อผสมผงใบชุมเห็ดเทศในอาหารในขนาดร้อยละ 2 และ 10 ของอาหาร แล้วให้หนูแรทกินนาน 4 สัปดาห์ จะพบแผลในลำไส้ ตับ และไต และมีระดับฮีโมโกลบิน และ packed cell volume (PCV) สูงขึ้น แต่จำนวนเม็ดเลือดแดงลดลงใน 2 สัปดาห์แรก เมื่อใส่สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยเอทานอลขนาด 100 มิลลิกรัมในน้ำดื่มให้หนูแรทกินนาน 14 วัน พบว่าเกิดแผลในตับ เซลล์ตับตายกระจัดกระจาย และมีการคั่งของเลือดในเส้นเลือดดำ การฉีดสาร emodin และ kaemferol ขนาด 10 มิลลิกรัม เข้าช่องท้องหนูแรทติดต่อกัน 14 วัน หรือฉีดสาร aloe-emodin ขนาด 100 มิลลิกรัม สาร rhein ขนาด 70 มิลลิกรัม เข้าช่องท้องนาน 4 วัน พบว่าเกิดแผลในตับของหนูทุกกลุ่ม กลุ่มที่ได้รับ aloe-emodin จะพบเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลาย หนูทุกกลุ่มมีระดับฮีโมโกลบิน และ PCV ลดลงภายใน 14 วัน (40) เมื่อป้อนสารสกัดจากใบด้วยน้ำขนาด 10, 50, 100 และ 250 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ให้หนูแรทนาน 14 วัน จะพบระดับฮีโมโกลบิน และ เม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันหนูมีอาการเบื่ออาหาร ผอมแห้ง และน้ำหนักลด (41) การทดสอบพิษเรื้อรัง เมื่อป้อนสารสกัดจากใบด้วยเอทานอลร้อยละ 50 ให้หนูแรทในขนาด 0.75 กรัม/กิโลกรัม/วัน ซึ่งเท่ากับ 25 เท่าของขนาดใช้ในคน (1.5 กรัม/คน/วัน) นาน 6 เดือน ไม่พบความเป็นพิษ (37)

7.2 พิษต่อระบบสืบพันธุ์

เมื่อฉีดสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ร้อยละ 50 เข้าช่องท้องหนูแรทในขนาด 125 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ไม่มีผลทำให้แท้งและไม่พบพิษต่อตัวอ่อน แต่ผลต่อการเปลี่ยนแปลงของรอบเดือนไม่ชัดเจน ส่วนสารสกัดจากใบด้วยน้ำขนาด 300 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร มีฤทธิ์ทำให้มดลูกหนูแรทหดตัวในหลอดทดลอง และมีฤทธิ์เสริม oxytocin (42)

7.3 พิษต่อเซลล์

การทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์โดยใช้ brine shrimp พบว่าสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำในขนาด 7.74 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ทำให้ brine shrimp ตายไปครึ่งหนึ่ง (43) และสารสกัดนี้มีความเป็นพิษต่อเซลล์ Vero โดยความเข้มข้น 1,414 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ทำให้เซลล์ Vero ตายไปครึ่งหนึ่ง (44)

7.4 ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์

สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยเอทานอล มีผลก่อกลายพันธุ์ใน Salmonella typhimurium strain TA98 (45) และพบว่าสารสกัดชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ S. typhimurium strain TA98 และ TA100 โดยในการออกฤทธิ์ต้องการเอนไซม์จากตับหนูกระตุ้นการออกฤทธิ์ (46)



8. วิธีการใช้

8.1 ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขมูลฐาน)

1 การใช้ชุมเห็ดเทศรักษาอาการท้องผูก

- ใช้ใบ 8-12 ใบ ตากแดดให้แห้ง ป่นเป็นผงชงกับน้ำเดือด รินเฉพาะน้ำมาดื่ม (47)

- ใช้ใบสดหรือแห้งประมาณ 12 ใบ ต้มกับน้ำดื่มครั้งละแก้ว หรือใช้ดอกสดประมาณ 3 ช่อ ลวกแล้วรับประทาน (47)

- ใช้ดอก 1 ช่อ กินสดๆ เป็นยาระบาย (48)

- ใช้ใบและก้านขนาดใหญ่ ประมาณ 3-5 ช่อ นำมาต้มกับน้ำประมาณ 2 ขัน (1500 ซี.ซี.) ต้มให้เดือดเหลือน้ำประมาณ 1/2 ขัน ใส่เกลือพอมีรสเค็มเล็กน้อย ดื่มวันละ 1 แก้ว (250 ซี.ซี.)ครั้งต่อไป รับประทานดอกครั้งละประมาณ 1 ช่อ (49)

2 การใช้ชุมเห็ดเทศรักษากลาก เกลื้อน

- นำใบสดมาตำให้ละเอียดใช้ทาบริเวณที่เป็นกลากหรือผื่นคัน (50)

- นำใบชุมเห็ดเทศ 3-4 ใบ มาตำให้ละเอียดเติมน้ำมะนาวนิดหน่อย ทาบริเว1. ชื่อสมุนไพร ชุมเห็ดเทศ

ชื่อวิทยาศาสตร์ Senna alata (L.) Roxb.

ชื่อวงศ์ FABACEAE (LEGUMINOSAE ) - Caesalpinioideae

ชื่อพ้อง Cassia alata L.

ชื่ออังกฤษ Acapulo, Candelabra bush, Candle bush, Ringworm bush

ชื่อท้องถิ่น ขี้คาก, ชุมเห็ดใหญ่, ตะลี่พอ, ลับมืนหลวง, หมากกะลิงเทศ



2. ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ไม้พุ่ม มีกิ่งแตกออกด้านข้างในแนวขนานกับพื้น ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อยรูปขอบขนานแกมรูปรี โคนใบมน ปลายใบมนหรือเว้าเล็กน้อย ขอบใบเรียบ ดอกออกเป็นช่อใหญ่ ตามง่ามใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกจะบานจากล่างขึ้นบน ใบประดับมีสีน้ำตาลแกมเหลืองห่อหุ้มดอกย่อยซึ่งมีกลีบดอกสีเหลืองทองเป็นรูปไข่เกือบกลมหรือรูปช้อน ผลเป็นฝักยาวมีครีบ 4 ครีบ ฝักแก่สีดำและแตกตามยาว เมล็ดแบนเกือบเป็นรูปสี่เหลี่ยม ผิวขรุขระ มีสีดำ



3. ส่วนที่ใช้เป็นยาและสรรพคุณ

- ใบ บรรเทาอาการท้องผูก ใช้เป็นยาภายนอกรักษาโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน

- ดอก บรรเทาอาการท้องผูก



4. สารสำคัญที่เชื่อว่าเป็นสารออกฤทธิ์

สารออกฤทธิ์คือ anthraquinone glycoside จากใบได้แก่ isochrysophanol, physcion-l-glycoside, chrysophanol, chrysophanic acid, emodine, rhein, aloe-emodin, 4,5-dihydroxy-2-hydroxy methylanthrone, และ 4,5-dihydroxy-1-hydroxy methylanthrone (1-7, 8) ในใบชุมเห็ดเทศควรมีสาร hydroxyanthracene derivatives ไม่น้อยกว่าร้อยละ 1.0 โดยน้ำหนัก (โดยคำนวณเป็น rhein-8-glucoside) (9)



5. ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา

5.1 ฤทธิ์รักษาอาการท้องผูก

จากการศึกษาในผู้ป่วยจำนวน 80 ราย พบว่าผู้ป่วยกลุ่มที่ได้รับชาชงจากใบชุมเห็ดเทศ (เตรียมโดยการชงใบชุมเห็ดเทศ 3-6 กรัม ด้วยน้ำเดือด 120 มิลลิลิตร ทิ้งไว้นาน 10 นาที และปรับให้มีสารอนุพันธ์ของ hydroxyl-anthracene ประมาณ 0.04 กรัม) ก่อนนอน ให้ผลในการรักษาอาการท้องผูก โดยผู้ป่วยสามารถถ่ายภายใน 24 ชั่วโมงได้ดีกว่ากลุ่มที่ได้รับยาหลอก ซึ่งให้ผลการรักษาไม่แตกต่างจากกลุ่มที่ได้ยาระบายมิสท์แอลบา (ประกอบด้วย magnesium sulfate 8 กรัม และ magnesium carbonate 1.2 กรัม) (8)

เมื่อให้สารสกัดจากใบชุมเห็ดเทศแห้งด้วยน้ำร้อนกับหนูแรททางปากในขนาด 500 และ 800 มิลลิกรัม/กิโลกรัม พบว่ามีฤทธิ์ช่วยระบาย (10, 11) และเมื่อให้สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำกับหนูเม้าส์ทางปากในขนาดเทียบเท่าผงใบชุมเห็ดเทศแห้ง 5, 10 และ 20 กรัม/กิโลกรัม จะทำให้หนูเม้าส์ถ่ายเหลว โดยการให้ในขนาดต่ำ (5 กรัม/กิโลกรัม) จะออกฤทธิ์ช้ากว่าในขนาดสูง (10 และ 20 กรัม/กิโลกรัม) (12) สาร anthraquinone glycoside จากใบได้แก่ isocrysophanol, physcion-l-glycoside, chrysophanol, emodine, rhein, และ aloe-emodin (1-7) มีฤทธิ์เป็นยาถ่าย (13)

5.2 ฤทธิ์กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้

สารสกัดจากใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำขนาดเทียบเท่าผงใบชุมเห็ดเทศแห้ง 5 กรัม/กิโลกรัม ทำให้ลำไส้เล็กส่วนปลายของหนูตะเภาหดตัวได้ร้อยละ 25 ของฤทธิ์จากฮีสตามีน 1 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำขนาดเทียบเท่าผงใบชุมเห็ดเทศแห้ง 10 และ 20 กรัม/กิโลกรัม มีผลเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้ของหนูเม้าส์ได้มากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ (12) สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำในขนาด 15 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ทำให้ลำไส้เล็กส่วนปลายของหนูตะเภาหดตัวได้ในหลอดทดลอง (14) ในขณะที่สารกลัยโคไซด์จากใบชุมเห็ดเทศมีฤทธิ์กระตุ้นกล้ามเนื้อเรียบในลำไส้ (1)

5.3 ฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพ

สารสกัดจากใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์และครีมชุมเห็ดเทศเข้มข้นร้อยละ 20 สามารถรักษาผู้ป่วยโรคกลาก 30 ราย และโรคเกลื้อน 10 ราย ได้ดีเทียบเท่ากับยาขี้ผึ้ง whitfield แต่ไม่มีผลรักษาราที่เล็บและหนังศีรษะ (15) ยาเตรียมชุมเห็ดเทศในรูปแบบทิงเจอร์และครีม (ซึ่งมีสารสำคัญ rhein 600 ไมโครกรัม/กรัม) ให้ผลในการรักษาผู้ป่วยโรคกลากเกลื้อนที่ผิวหนังได้เช่นเดียวกับยาครีมโคลไตรมาโซลร้อยละ 1 (16) สารสกัดใบชุมเห็ดเทศสดด้วยน้ำ (ใบสด 100 กรัมต่อน้ำ 50 มิลลิลิตร) ความเข้มข้นร้อยละ 100 ทาบริเวณแขน และขา หรือความเข้มข้นร้อยละ 90 ทาบริเวณคอ และมือ และความเข้มข้นร้อยละ 80 ทาบริเวณหน้า วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน 2 ชั่วโมง มีผลรักษาโรคกลากเกลื้อนชนิด Pityraisis versicolor ที่มีสาเหตุจากเชื้อรา Malassezia furfur ในผู้ป่วยจำนวน 200 คนได้ (17)

สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำ (18, 19) สารสกัดด้วยเอทานอล (20-23) สารสกัดด้วยเมทานอล (24-26) และสาร aloe-emodin, rhein (19-22) emodol, 4,5-dihydroxy-1-hydroxymethylanthrone, 4,5-dihydroxymethylanthraquinone (19) และ chrysophanol (3, 6, 7, 20, 22) จากใบชุมเห็ดเทศ มีฤทธิ์ต้านเชื้อราที่ผิวหนังได้แก่ Epidermophyton floccosum (20-22), Microsporium gypseum, Trichophyton rubrum (20-23, 25, 26), T. mentagrophytes (18-20, 22, 24) และ M. canis (20, 23) เมื่อเทียบกับยา tolnaftate (21) โดยสาร rhein ให้ผลยับยั้งเชื้อรา E. floccosum, T. mentagrophytes, และ T. rubrum ได้ดีที่สุด (20) สารสกัดด้วยเอทานอล สารแอนทราควิโนน (27) และสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยเอทานอล ความเข้มข้น 0.104 มิลลิกรัม/มิลลิลตร (28) มีฤทธิ์ต้านเชื้อรา T. rubrum (27) และ M. gypseum (28) ในจานเพาะเชื้อ ได้พอๆกับยา ketoconazole (27, 28) และ itraconazole (28) นอกจากนี้สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยคลอโรฟอร์ม, อีเทอร์, แอลกอฮอล์ และน้ำ (15, 29-30) และสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ร้อยละ 50 จากทุกส่วนของชุมเห็ดเทศ (31) มีฤทธิ์ต้านเชื้อราที่เป็นสาเหตุโรคกลากได้

สารสกัดด้วยน้ำและเอทานอลจากเปลือกต้นชุมเห็ดเทศสามารถยับยั้งเชื้อยีสต์ Candida albicans ได้ โดยที่ความเข้มข้น 30 ไมโครกรัม/ไมโครลิตร จะให้ผลดีเมื่อเปรียบเทียบกับยา ticonazole 30 ไมโครกรัม/ไมโครลิตร (32) แต่สารสกัดจากใบด้วยน้ำและเอทานอลไม่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อยีสต์ (20, 23)

น้ำมันหอมระเหยจากใบชุมเห็ดเทศ (33) สารสกัดจากเปลือกต้นด้วยเมทานอล (34) มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย Bacillus subtilis ในจานเพาะเชื้อได้ปานกลาง (33, 34) สารสกัดด้วยน้ำจากใบชุมเห็ดเทศสามารถยับยั้งเชื้อ Escherichia coli ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อได้ที่ความเข้มข้นมากกว่า 21.8 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร (35)



6. อาการข้างเคียง

อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาหารไม่ย่อย ท้องเสีย (8) และปวดท้องเนื่องจากการบีบตัวของสำไส้ (8, 9)



7. ความเป็นพิษทั่วไปและต่อระบบสืบพันธุ์

7.1 การทดสอบความเป็นพิษ

การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลัน พบว่าสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ร้อยละ 50 ไม่มีพิษเมื่อให้หนูเม้าส์ทางปากและฉีดเข้าใต้ผิวหนัง แต่มีความเป็นพิษเล็กน้อยเมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์ (36, 37) เมื่อฉีดสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ร้อยละ 85 เข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์ในขนาด 2 กรัม/กิโลกรัม ไม่พบความเป็นพิษ (30, 38, 39) สารสกัดจากใบด้วยน้ำ (14) และสารสกัดจากส่วนเหนือดินของชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ร้อยละ 50 (31) มีความเป็นพิษปานกลางเมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์ (14, 31)

การทดสอบพิษกึ่งเรื้อรัง พบว่าเมื่อผสมผงใบชุมเห็ดเทศในอาหารในขนาดร้อยละ 2 และ 10 ของอาหาร แล้วให้หนูแรทกินนาน 4 สัปดาห์ จะพบแผลในลำไส้ ตับ และไต และมีระดับฮีโมโกลบิน และ packed cell volume (PCV) สูงขึ้น แต่จำนวนเม็ดเลือดแดงลดลงใน 2 สัปดาห์แรก เมื่อใส่สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยเอทานอลขนาด 100 มิลลิกรัมในน้ำดื่มให้หนูแรทกินนาน 14 วัน พบว่าเกิดแผลในตับ เซลล์ตับตายกระจัดกระจาย และมีการคั่งของเลือดในเส้นเลือดดำ การฉีดสาร emodin และ kaemferol ขนาด 10 มิลลิกรัม เข้าช่องท้องหนูแรทติดต่อกัน 14 วัน หรือฉีดสาร aloe-emodin ขนาด 100 มิลลิกรัม สาร rhein ขนาด 70 มิลลิกรัม เข้าช่องท้องนาน 4 วัน พบว่าเกิดแผลในตับของหนูทุกกลุ่ม กลุ่มที่ได้รับ aloe-emodin จะพบเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลาย หนูทุกกลุ่มมีระดับฮีโมโกลบิน และ PCV ลดลงภายใน 14 วัน (40) เมื่อป้อนสารสกัดจากใบด้วยน้ำขนาด 10, 50, 100 และ 250 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ให้หนูแรทนาน 14 วัน จะพบระดับฮีโมโกลบิน และ เม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันหนูมีอาการเบื่ออาหาร ผอมแห้ง และน้ำหนักลด (41) การทดสอบพิษเรื้อรัง เมื่อป้อนสารสกัดจากใบด้วยเอทานอลร้อยละ 50 ให้หนูแรทในขนาด 0.75 กรัม/กิโลกรัม/วัน ซึ่งเท่ากับ 25 เท่าของขนาดใช้ในคน (1.5 กรัม/คน/วัน) นาน 6 เดือน ไม่พบความเป็นพิษ (37)

7.2 พิษต่อระบบสืบพันธุ์

เมื่อฉีดสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ร้อยละ 50 เข้าช่องท้องหนูแรทในขนาด 125 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ไม่มีผลทำให้แท้งและไม่พบพิษต่อตัวอ่อน แต่ผลต่อการเปลี่ยนแปลงของรอบเดือนไม่ชัดเจน ส่วนสารสกัดจากใบด้วยน้ำขนาด 300 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร มีฤทธิ์ทำให้มดลูกหนูแรทหดตัวในหลอดทดลอง และมีฤทธิ์เสริม oxytocin (42)

7.3 พิษต่อเซลล์

การทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์โดยใช้ brine shrimp พบว่าสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำในขนาด 7.74 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ทำให้ brine shrimp ตายไปครึ่งหนึ่ง (43) และสารสกัดนี้มีความเป็นพิษต่อเซลล์ Vero โดยความเข้มข้น 1,414 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ทำให้เซลล์ Vero ตายไปครึ่งหนึ่ง (44)

7.4 ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์

สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยเอทานอล มีผลก่อกลายพันธุ์ใน Salmonella typhimurium strain TA98 (45) และพบว่าสารสกัดชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ S. typhimurium strain TA98 และ TA100 โดยในการออกฤทธิ์ต้องการเอนไซม์จากตับหนูกระตุ้นการออกฤทธิ์ (46)



8. วิธีการใช้

8.1 ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขมูลฐาน)

1 การใช้ชุมเห็ดเทศรักษาอาการท้องผูก

- ใช้ใบ 8-12 ใบ ตากแดดให้แห้ง ป่นเป็นผงชงกับน้ำเดือด รินเฉพาะน้ำมาดื่ม (47)

- ใช้ใบสดหรือแห้งประมาณ 12 ใบ ต้มกับน้ำดื่มครั้งละแก้ว หรือใช้ดอกสดประมาณ 3 ช่อ ลวกแล้วรับประทาน (47)

- ใช้ดอก 1 ช่อ กินสดๆ เป็นยาระบาย (48)

- ใช้ใบและก้านขนาดใหญ่ ประมาณ 3-5 ช่อ นำมาต้มกับน้ำประมาณ 2 ขัน (1500 ซี.ซี.) ต้มให้เดือดเหลือน้ำประมาณ 1/2 ขัน ใส่เกลือพอมีรสเค็มเล็กน้อย ดื่มวันละ 1 แก้ว (250 ซี.ซี.)ครั้งต่อไป รับประทานดอกครั้งละประมาณ 1 ช่อ (49)

2 การใช้ชุมเห็ดเทศรักษากลาก เกลื้อน

- นำใบสดมาตำให้ละเอียดใช้ทาบริเวณที่เป็นกลากหรือผื่นคัน (50)

- นำใบชุมเห็ดเทศ 3-4 ใบ มาตำให้ละเอียดเติมน้ำมะนาวนิดหน่อย ทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้ง (51)

- ใช้ใบสดขยี้ถูนานๆ และบ่อยๆตรงบริเวณที่เป็น (52)

8.2 ยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ

รับประทานครั้งละ 1 – 2 ซอง (ใบชุมเห็ดเทศแห้งซองละ 3 กรัม) (3 – 6 กรัม) ชงในน้ำเดือด 120 มิลลิลิตร นาน 10 นาที วันละ 1 ครั้งก่อนนอน บรรเทอาการท้องผูก (8)ณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้ง (51)

- ใช้ใบสดขยี้ถูนานๆ และบ่อยๆตรงบริเวณที่เป็น (52)

8.2 ยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ

รับประทานครั้งละ 1 – 2 ซอง (ใบชุมเห็ดเทศแห้งซองละ 3 กรัม) (3 – 6 กรัม) ชงในน้ำเดือด 120 มิลลิลิตร นาน 10 นาที วันละ 1 ครั้งก่อนนอน บรรเทอาการท้องผูก (8)

ที่มา http://www.medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/cassiaal.html

09/10/2018

นอกเรื่องกัน เทศกาลกินเจ


เมื่อถึงวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 (ตามปฏิทินจีน) ของทุกปี เราจะเห็นธงสีเหลือง ๆ มีตัวอักษรจีนประดับอยู่ตามร้านอาหาร และที่ต่าง ๆ เป็นสัญลักษณ์ว่า เริ่มเข้าสู่เทศกาลกินเจแล้ว โดยในปี 2561 ปฏิทินจีนพบว่า เทศกาลกินเจ ตรงกับวันที่ 9-17 ตุลาคม 2561

แต่บางคนอาจกินเจล่วงหน้า 1 วัน หรือที่เรียกว่า "ล้างท้อง" นั่นเอง และวันนี้เราก็มีความรู้เกี่ยวกับเทศกาลกินเจมาฝากค่ะ ...

ความหมายของเจ

คำว่า "เจ" ในภาษาจีนทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมีความหมายว่า "อุโบสถ" เดิมหมายความว่า "การรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน" ตามแบบอย่างของชาวพุทธที่รักษาอุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 ที่จะไม่รับประทานอาหารหลังเที่ยงวันไปแล้ว แต่สำหรับพุทธนิกายมหายานนั้น การรักษาอุโบสถศีลจะรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ด้วย เราจึงนิยมเรียกการไม่ทานเนื้อสัตว์รวมไปกับการกินเจ ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่า "กินเจ" ดังนั้นความหมายของคนกินเจ ไม่เพียงแต่ไม่ทานเนื้อสัตว์ แต่ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์ สะอาด ทั้งกาย วาจา ใจ

"การกินเจ" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง การถือศีลอย่างญวนและจีนที่ไม่กินของสดคาว แต่บริโภคอาหารประเภทผักที่ไม่มีของสดของคาวผสม ซึ่งมาจากรากศัพท์คำภาษาจีนที่ว่า "เจี๊ยะฉ่าย" หมายถึง การกินอาหารผัก อาหารที่มาจากพืชผักธรรมชาติ ไม่มีเนื้อสัตว์ปะปน และไม่ปรุงด้วยผักฉุน 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ และงดเว้นน้ำนมสด นมข้นด้วย เพราะถือว่าเป็นของสดของคาว

ช่วงเวลากินเจ

ประเพณีกินเจที่ชาวจีนเรียกกันว่า "เก้าอ๊วงเจ" หรือ "กิ้วอ๊วงเจ" แปลว่า "เจเดือน 9" เริ่มต้นในวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน รวม 9 วัน 9 คืน ตรงกับเดือน 11 หรือเดือนตุลาคมของไทย (ตามปฏิทินสากล) โดยคำว่า "เก้าอ๊วง" หรือ "กิ้วอ๊วง" แปลว่า "พระราชา 9 องค์" หรือนพราชา หมายถึงผู้เป็นใหญ่ทั้ง 9 ซึ่งเป็นที่มาของประเพณีกินผักกินเจ

เทศกาลกินเจ 2561 เริ่มวันไหน

สำหรับเทศกาลกินเจ 2561 จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม ไปสิ้นสุดในวันที่ 17 ตุลาคม 2561

ความหมายของ "ธงเจ"

ในช่วงเทศกาลกินเจ เราจะสังเกตเห็นธงประจำเทศกาล โดยมีพื้นธงเป็นสีเหลืองซึ่งเป็นสีที่อนุญาตให้ใช้กับคนสองกลุ่มเท่านั้น คือกลุ่มกษัตริย์ ราชวงศ์ และกลุ่มอาจารย์ปราบผี ดังจะเห็นจากยันต์สีเหลืองตามภาพยนตร์จีน ดังนั้นสีเหลืองจึงเป็นสีของพุทธศาสนา หรือผู้ทรงศีล บนธงจะเขียนตัวอักษรสีแดง อ่านว่า "ไจ" หรือ "เจ" มีความหมายว่า "ของไม่มีคาว" เหตุที่ใช้สีแดง เพราะชาวจีนเชื่อว่า เป็นสีมงคล สร้างความเจริญให้แก่ชีวิต

ธงเจนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเจแล้ว ยังเป็นการเตือนให้พุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติตนถือศีลกินเจได้ตระหนักถึงการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ และการตั้งอยู่ในศีลตลอดช่วงกินเจ

ทำไมต้องกินเจ เรากินเจเพื่ออะไร

จุดประสงค์หลักของการกินเจ แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ

1. กินเพื่อสุขภาพ เพราะอาหารเจเป็นอาหารชีวจิต เมื่อกินติดต่อกัน จะทำให้ร่างกายสมดุล สามารถขับพิษของเสียต่าง ๆ ออกจากร่างกายได้ และปรับระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้มีเสถียรภาพ

2. กินด้วยจิตเมตตา เนื่องจากทุก ๆ วัน อาหารที่เรากินประกอบด้วยเลือดเนื้อของสรรพสัตว์ ผู้ที่มีจิตใจดีงามจึงไม่สามารถกินเนื้อของสัตว์เหล่านั้นได้

3. กินเพื่อเว้นกรรม เพราะการฆ่าเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นของเราเป็นการสร้างกรรม แม้จะไม่ได้ลงมือฆ่าเองก็ตาม เพราะการซื้อผู้อื่นเท่ากับการจ้างฆ่า ถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่ามาขาย ผู้ที่เข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรมจึงหยุดกิน หันมารับประทานอาหารเจแทน โดยไม่เห็นแก่ความอร่อยในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงแค่ให้อาหารผ่านลิ้นเท่านั้น

Saturday night palsy โรคชาปลายแขน โรคที่นักดื่มควรรู้จักใครที่ชอบนอนฟุบโต๊ะแล้วตื่นขึ้นมามีอาการชาปลายมือ ข้อมือตก กระดก...
25/07/2018

Saturday night palsy
โรคชาปลายแขน โรคที่นักดื่มควรรู้จัก

ใครที่ชอบนอนฟุบโต๊ะแล้วตื่นขึ้นมามีอาการชาปลายมือ ข้อมือตก กระดกมือไม่ขึ้นอยู่เป็นระยะกันบ้าง ถ้ามีอาการ 1 ใน 3 ที่กล่าวมาละก็ บทความนี้จะช่วยชีวิตคุณได้ครับ

เมื่อพูดถึงอาการชาปลายมือ และแขนอ่อนแรงบรรดาหมอหรือนักกายภาพจะเพ่งเล็งไปว่า น่าจะเกิดจากกระดูกคอเสื่อมจนทรุดตัวแล้วไปทับกับเส้นประสาท ซึ่งโดยส่วนมากมักพบในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป แต่ยังมีอีกโรคที่มีอาการคล้ายๆกันจนสร้างความสับสนให้กับตัวผู้ป่วยและหมอในบางครั้งได้เช่นกัน นั่นคือ โรค Saturday night palsy

โรค Saturday night palsy เกิดจากเส้นประสาท radial nerve ที่อยู่ตรงปลายแขน (ตรงจุดที่เราชอบใช้ท่อนแขนหนุนหัวตอนเราฟุบหลับคาโต๊ะนั่นแหละ) ถูกกดทับเป็นเวลานาน จนทำให้เส้นประสาทชํ้า และเสียหายบางส่วน จนเกิดอาการชาที่ปลายแขนในที่สุด ซึ่งโรคนี้พบได้บ่อยในนักดื่มตามผับ บาร์ที่ดื่มหนักจนเมาแอ๋แล้วฟุบหลับคาโต๊ะ แล้วหลับลึกด้วยฤทธ์ของแอลกอฮอล์ทำให้อาการชาที่ค่อยเป็นไม่สามารถกระตุ้นให้นักดื่มตื่นได้ และเมื่อตื่นมาก็รู้สึกว่ากระดกข้อมือไม่ขึ้นร่วมกับมีอาการชาเรียบร้อยแล้ว

สาเหตุของโรค Saturday night palsy



ที่ได้ชื่อโรค Saturday night palsy เนื่องจากว่า คืนวันเสาร์ฝรั่งชอบไปเที่ยวสังสรรค์ดื่มเหล้าเที่ยวผับหลังจากที่ทำงานเหนื่อยมาทั้งอาทิตย์ คืนนี้จึงขอจัดหนักซะหน่อยดื่มมันให้เต็มที่ มีเหล้ากี่ขวดจัดมาให้หมดไม่เมาไม่เลิก จนฟุบหลับคาวงเหล้าไป แต่โต๊ะมันแข็งไปรองหัวตัวเองไม่ถนัดหมอนก็ไม่มีเลยใช้แขนตัวเองเนี่ยแหละหนุนศีรษะ จากนั้นก็หลับยาวโดยหารู้ไม่ว่าการนอนทับท่อนแขนตัวเองอย่างงั้นทำให้เส้นประสาท radial nerve ถูกกดทับจนอักเสบขึ้น และเมื่อตื่นมาพบว่ามีอาการชาแขนข้างที่ตนเองใช้หนุนศีรษะกันเป็นจำนวนมาก จึงเป็นที่มาของชื่อโรค Saturday night palsy นั่นเอง

นอกจากนี้ไม่ได้มีเฉพาะในนักดื่มนะ นักเรียนนักศึกษาก็มีโอกาสเ)็นโรคนี้ได้เช่นกันจากที่นั่งฟังอาจารย์สอนจนฟุบหลับคาโต๊ะเรียน แต่อาการโดยรวมไม่รุนแรงเท่ากับนักดื่ม เพราะในนักดื่มเมื่อเมาหนักจะหลับลึกกว่าจนทำให้ไม่รับรู้ถึงอาการชาที่เกิดขึ้น



ภาพแสดงตำแหน่งเส้นประสาท radial ที่แขน

radial nerve คืออะไร?

เส้นประสาท radial nerve คือเส้นประสาท 1 ใน 3 ของเส้นประสาทแขนงใหญ่ของแขนโดยวิ่งออกมาจากรากประสาทคอ เข้าสู่ไหปลาร้า ออกจากรักแร้ รอดใต้วงแขน มาสู่ท่อนแขนด้านบน (จุดที่เราใช้แขนหนุนศีรษะขณะนอนฟุบโต๊ะ) และไปสิ้นสุดที่ปลายนิ้วโป้งและนิ้วชี้ ซึ่งหน้าที่หลักของเส้นประสาทนี้คือ ควบคุมกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่กระดกข้อมือขึ้น ถ้าใครที่โรค Saturday night palsy ก็จะมีอาการชา กระดกข้อมือไม่ขึ้น เหยียดนิ้วชี้และนิ้วโป้งไม่ได้ แต่ยังคงกำมือ งอศอกเหยียดศอกได้ตามปกติครับ



ภาพแสดงอาการข้อมือตกเมื่อเทียบกับข้างปกติ

อาการของโรค Saturday night palsy

แบ่งความรุนแรงได้ 3 ระดับ

1) ระดับเบา :

เส้นประสาทถูกกดทับที่ส่วนปลายมากๆ หรือถูกกดทับไม่นาน อาจมีอาการแค่ชาปลายนิ้วโป้งนิ้วชี้ แต่ยังคงใช้งานได้ตามปกติ ไม่นานอาการชาก็หายไปเองได้ ไม่ต้องเข้ารับการักษาใดๆ

2) ระดับปานกลาง :

ตื่นขึ้นมากระดกนิ้วชี้นิ้วโป้งไม่ได้ แต่ยังคงกระดกข้อมือขึ้นได้บ้าง กำมือ เหยียดแขน ยกแขนได้ตามปกติ มักไม่มีอาการชา แต่จะมีอาการปวดบริเวณข้อศอกด้านนอกร้าวมายังนิ้วชี้นิ้วโป้ง ซึ่งใช้เวลา 2-3 ช.ม.อาการก็หายเป็นปกติ

3) ระดับรุนแรง :

ตื่นขึ้นมากระดกนิ้วชี้และนิ้วโป้งไม่ได้ กระดกข้อมือไม่ได้ พนมมือไม่ได้ มีอาการข้อมือตก ยกมือไหว้ไม่ได้ เขียนหนังสือไม่ถนัด มีอาการชาที่หลังมือ นิ้วโป้งและนิ้วชี้ร้าวมาที่ต้นแขนด้านนอก แต่ยังคงกำมือ เหยียดแขน ยกแขนได้ตามปกติ (เพราะเส้นประสาทคนละเส้นกันจึงยังคงกำมือได้อยู่) ถ้ามีอาการเหล่านี้จะใช้เวลานานกว่าจะหายเป็นปกติอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ แต่ถ้ารุนแรงมากอาจใช้เวลา 3-4 เดือน บางรายอาจใช้เวลานานกว่านั้น คือ 8-12เดือน และต้องพิจารณาการผ่าตัดด้วย สิ่งที่เราจะพบเห็นได้อีกอย่างหนึ่งสำหรับคนเป็นระยะนี้คือ กล้ามเนื้อแขนบริเวณจุดที่ชานั้นจะมีการฝ่อลีบเมื่อเทียบกับข้างปกติ

การรักษา สำหรับผู้ที่เป็น Saturday night palsy

ถ้าเป็นในระดับ 1 และ 2 ไม่ต้องเข้ารับการรักษาครับ สามารถหายได้เอง แต่ในระดับ 3 แพทย์จะกระตุ้นไฟฟ้าที่กล้ามเนื้อแขนเพื่อตรวจดูความเสียหายของเส้นประสาท และอาจมีการผ่าตัดเล็กๆเพื่อตัดผังพืดที่เส้นประสาทออก ใครที่เป็นถึงระดับนี้อาจจะต้องบอกให้ทำใจสักเล็กน้อยว่ายังไม่มีวิธีการรักษาใดที่ทำให้กลับมาหายเป็นปกติได้ในเร็ววัน ต้องรอให้เส้นประสาทมันงอกทดแทนเส้นประสาทเดิมที่เสียหายไปวันละ 1 มิลลิเมตร อ่านไม่ผิดหรอกครับ 1 มิลลิเมตรต่อวัน ถ้าอยากรู้ว่าจะหายเมื่อไหร่ก็ลองเอาไม้บรรทัดทาบตรงจุดที่เริ่มต้นชาจนถึงปลายนิ้วชี้ได้กี่มิลลิเมตรก็คือจำนวนวันที่คุณจะหายดีแหละครับ

บางท่านอาจจะเห็นนักกายภาพใช้ไฟฟ้ากระตุ้นกล้ามเนื้อตรงจุดที่ชาหรือตรงจุดที่กล้ามเนื้อมันฝ่อ แล้วคิดว่าการกระตุ้นไฟฟ้ามันช่วยให้เส้นประสาทมันงอกเร็วขึ้น จริงๆแล้วไม่ใช่ครับ การกระตุ้นไฟฟ้าเพื่อชะลอการฝ่อลีบของกล้ามเนื้อเท่านั้นเอง เพราะการที่เส้นประสาทไม่ส่งสัญญาณประสาทมาเลี้ยงที่กล้ามเนื้อจะทำให้กล้ามเนื้อฝ่อได้ และเพื่อให้กล้ามเนื้อมันฝ่อช้าที่สุดจึงต้องกระตุ้นไฟฟ้าเข้าไปที่กล้ามเนื้อมัดนั้นรอเวลาที่เส้นประสาทงอกมาใหม่นั่นเองครับ

ทีนี้ถ้าใครจะไปดื่มไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูง ดื่มแต่พอประมาณนะครับ ถ้าเป็นโรคนี้ขึ้นมาจริงๆการดำเนินชีวิตจะลำบากน่าดู หรือคิดว่าคืนนี้ฉันเมาแน่ๆคงต้องหลับคาโต๊ะชัวๆ แบกหมอนไปสักใบก็ดีเหมือนกันนะ^^

ที่มา http://www.doobody.com/%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1-24943-%E0%B9%83%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9F%E0%B8%B8%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B9%8A%E0%B8%B0-%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89.html

Saturday night palsy, โรคสำหรับนักดื่ม, นอนทับแขน, นอนฟุบโต๊ะ, ปวดแขน, ชาปลายแขน, นอนทับแขนแล้วชาแขน, เส้นประสาทเสียหาย

ที่อยู่

829/3 ถ. อรุณอัมรินทร์
Bangkok
10700

เบอร์โทรศัพท์

0850185790

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ปูริดาคลินิกการแพทย์แผนไทยผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

ประเภท

ตำแหน่งใกล้เคียง คลินิก


โรงพยาบาล อื่นๆใน Bangkok

แสดงผลทั้งหมด