ศูนย์ดูแลสุขภาพ ปวด หลัง บ่า ไหล่ by tick

ศูนย์ดูแลสุขภาพ ปวด หลัง บ่า ไหล่ by tick ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมช่วยดูแลสุขภาพ เป็นสินค้านวัตกรรม สารสกัดจากธรรมชาติ

20/02/2021

👫 ออฟฟิต ซินโดรม office syndrome
คืออะไร?
1.อาการทำงานหนักนั่งในสภาวะ เดิมๆในท่าเดิมๆเราจำเป็นต้องลุกเดินทุกๆ 1 ชม.
2. ปวดคอ ปวดข้อเข่า ปวดไหร่ ปวดเอว ปวดข้อต่อ
3.อ้วนลงพุง
4.นอนไม่หลับ
5.เกิดจากการนั่งท่าผิดๆทำให้กล้ามเนื้อ ตรึง เกร็ง เป็นพังพรืด
6.สาเหตุ ทำให้เกิดไมเกรน ทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี
7.ความเครียดถามหา
นอนไม่หลับ สมองทำงานได้ไม่เต็ม 100%
8.ความเครียดทำลายเซลล์สมอง ระยะยาว
มีผลกระทบต่อฮอร์โมน
9.นั่งหน้าจอคอมนานๆทำให้มีผลกระทบต่อจอประสาทตา
-------------------
สารสกัดจากธรรมชาติ ปลอดภัย
มี อย.รับรอง
1 กล่อง มี 30 เม็ด
สอบถาม
โทร: 061 383 1896
คุณติ๊กค่ะ

กร้ามเนื้อหนีบสะโพกประสาท ปวดคอ บ่า ไหล่ หลัง " ดีออฟฟิต " ช่วยดูแลท่านได้ค่ะ
11/12/2020

กร้ามเนื้อหนีบสะโพกประสาท ปวดคอ บ่า ไหล่ หลัง " ดีออฟฟิต " ช่วยดูแลท่านได้ค่ะ

 #โรคเก๊าท์ หนึ่งในโรคกระดูกและข้อที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ เกิดจากการกินโปรตีนบางชนิดมากเกินไป ซึ่งโปรตีนดังกล่าวจะย่อยสลาย...
24/11/2020

#โรคเก๊าท์ หนึ่งในโรคกระดูกและข้อที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ เกิดจากการกินโปรตีนบางชนิดมากเกินไป ซึ่งโปรตีนดังกล่าวจะย่อยสลายเป็นกรดยูริคไปตกตะกอนในข้อ ทำให้ข้อหรือเนื้อเยื่อรอบๆ ข้ออักเสบเฉียบพลันการเกิดโรคเก๊าท์ผู้ป่วยมักมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงเป็นระยะเวลานานพอสมควร โดยเฉลี่ยมากกว่า 20 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะถ้าระดับกรดยูริกยิ่งสูง อุบัติการณ์การเกิดโรคจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น เกิดอาการได้เร็วยิ่งขึ้น ในเพศชายพบโรคนี้ได้บ่อยกว่าเพศหญิงประมาณ 10 เท่า แต่วัยหลังหมดประจำเดือน เพศหญิงจะพบโรคสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเพศชาย
อาการ
การอักเสบ ของข้อครั้งแรกมักพบในเพศชายอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป โดยเฉลี่ย 40-60 ปี แต่ในเพศหญิงมักพบหลังวัยหมดประจำเดือนแล้ว
ข้ออักเสบในระยะแรกมักเป็นเพียง 1-2 ข้อ จะมีการอักเสบรุนแรงเป็นเฉียบพลัน จากระยะเริ่มปวดจนอักเสบเต็มที่ภายใน 24 ชั่วโมง ส่วนมากจะเกิดขึ้นทีละ 1 ข้อ ข้อที่พบบ่อย ได้แก่ โคนนิ้วโป้งเท้า ข้อเท้า ข้อกลางเท้า ข้อเข่า ข้อนิ้วมือ ข้อกลางมือ ข้อมือ ข้อศอก ถ้าไม่ได้รับการรักษาหรือรักษาไม่ถูกต้อง จำนวนข้อที่อักเสบจะเพิ่มขึ้น เริ่มพบที่ข้อมือ ข้อนิ้วมือ และข้อศอก การอักเสบรุนแรงขึ้น เป็นถี่ขึ้นและนานขึ้น จนกลายเป็นการอักเสบเรื้อรังไม่มีช่วงหายสนิท

อาหารที่ควรกิน
ผู้สูงอายุที่เป็นโรคเก๊าท์ สามารถกินอาหารที่มี สารพิวรีนต่ำได้ไม่จำกัด ได้แก่ นม ไข่ ธัญพืช ต่าง ๆ ผักสดต่าง ๆ ผลไม้
อาหารที่มีสารพิวรีนปานกลาง กินได้น้อย (หากกินรวมกันต้องไม่เกิน 100 กรัมต่อวัน ) ได้แก่ เนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อวัวที่ไม่ติดมัน
ปลากระพงแดง ปลาหมึก ปู ถั่วลิสง ข้าวโอ๊ต พืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วลันเตา สะตอ ดอกกะหล่ำ ผักโขม

อาหารที่ไม่ควรกิน
เนื้อสัตว์ปีก เช่น เป็ด ไก่เครื่องในสัตว์ต่างๆ หัวใจ ตับอ่อน ไต มันสมองปลา เช่น ปลาดุก ปลาอินทรีย์ ปลาไส้ตัน ปลาซาร์ดีน ไข่ปลา กุ้ง หอย กะปิ
ผัก เช่น เห็ด กระถิน ชะอม ขี้เหล็ก หน่อไม้
ถั่วต่างๆ เช่น ถั่วแดง ถั่วแระ ถัวเขียว ถั่วเหลือง
เบียร์ ขนมปังผสมยีสต์ น้ำต้มกระดูก

โรคที่พบร่วมกับโรคเก๊าท์
โรคอ้วน
โรคเบาหวาน
ไขมันในเลือดสูง โรคไขมันในเลือดสูงโดยเฉพาะระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ พบว่าสูงร้อยละ 80 ของคนไข้โรคเก๊าท์ทั้งหมด
ความดันโลหิตสูง
โรคหลอดเลือดแข็งผิดปกติ
ผู้ป่วยที่ได้รับพิษจากสารตะกั่ว
โรคไตวายเรื้อรัง คนไข้เป็นโรคไตที่สภาวะการทำงานของไตลดลงมาก ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ระดับกรด ยูริกสูงขึ้น
เนื่องจากความสามารถในการขับถ่ายกรดยูริกออกทางปัสสาวะลดลง ผู้ป่วยที่เป็นโรคเก๊าท์อยู่แล้ว และไตเสื่อมลงไปอีกยิ่งทำให้ระดับกรดยูริกสูงขึ้น
ผู้ป่วยโรคเก๊าท์จะเสียชีวิตจากภาวะไตวายประมาณร้อยละ 10
โรคเลือดชนิด Sickle Cell Anemia, MyeloproliferativeDisease
ผู้ป่วยโรคเลือดบางชนิด เช่นโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือได้รับเคมีบำบัดจะทำให้เซลล์ถูกทำลายอย่างรวดเร็ว จนทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงมากๆ
ก่อให้เกิดโรคเก๊าท์ ข้ออักเสบ นิ่วที่ไต หรือแม้แต่ตัวกรดยูริกเองไปอุดตันตามท่อเล็กๆ ในเนื้อไต ทำให้เกิดไตวายได้

ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดข้ออักเสบ หรือทำให้ข้ออักเสบหายช้า
การได้รับยาบางชนิด เช่น ยาลดกรดยูริก ยาขับปัสสาวะ หรือยาแอสไพริน เป็นต้น จึงไม่ควรเริ่มยา หรือปรับเปลี่ยนยาดังกล่าวขณะที่มีข้ออักเสบ
เพราะจะทำให้มีอาการมากขึ้น หรือหายช้า นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ร่วมได้แก่ การบาดเจ็บที่ข้อ การบีบนวดข้อ การดื่มแอลกอฮอล์ การผ่าตัด เสียเลือด เสียน้ำ และการติดเชื้อ
การรักษา
ให้ยาแก้อักเสบในระยะเฉียบพลัน
กรณีกรดยูริกสูงมาก เมื่อรักษาอาการอักเสบเฉียบพลันจนทุเลาลงแล้ว จึงให้ยาลดกรดยูริก
งดเว้นอาหารที่มีกรดยูริกสูง และให้รับประทานอาหารที่มีกรดยูริกต่ำ
วันนี้โชคดีเรามีสารสกัดจากธรรมชาติมาช่วยดูแลโรคเก๊าท์ ไม่มีผลข้างเคียงต่อร่างกายดูแลที่ระดับเซลล์ สอบถามโทร:061 383 1896 ติ๊กค่ะ

โรคกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท (Piriformis Syndrome)จากประสบการณ์ของคนไข้ที่มีอาการชา ร้าวลงขา พบว่าอาการชาที่เกิดขึ้น...
06/11/2020

โรคกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท
(Piriformis Syndrome)
จากประสบการณ์ของคนไข้
ที่มีอาการชา ร้าวลงขา
พบว่าอาการชาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจาก โรคหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท
แต่เกิดจากกล้ามเนื้อสะโพกหนีบ
เส้นประสาท เกือบร้อยละ 90
คนไข้ส่วนใหญ่ ไม่รู้จักโรคนี้กันเลยเพราะในมุมมองของคนส่วนใหญ่ เมื่อพอมีอาการชาร้าวลงขา หรือรู้สึกขาหนักๆ
ยกขาไม่ขึ้น จะเหมารวมไปหมดว่าเป็น หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทแน่ๆ
ความแตกต่างระหว่าง 2 โรค

โรคกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท
Piriformis Syndrome มีอาการ
ปวดลึกๆที่แก้มก้น จะคลำหาจุดกดเจ็บ
ได้ยาก รู้สึกแค่ว่าปวดที่ก้นลึกๆ เท่านั้น
หากเป็นมากจะปวดไล่ลงไป
อาการปวดก้น
อาการปวดร้าวลงต้นขาด้านหลัง
อาการปวดหน้าแข้ง
อาการปวดที่ข้อเท้า

ลักษณะของอาการปวด คือ
เมื่อนั่งนานๆ จะมีอาการปวดมาก
จะลดอาการปวดให้ทุเลาลง

(แต่พบว่าในรายที่ปวดเรื้อรัง อาจจะปวดตลอดเวลา ไม่ว่าจะนั่งหรือยืน)
บางรายมีอาการชาที่ขา ร่วมด้วย
และจะชามากขึ้นเมื่อนั่งเป็นเวลานาน จนทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นมายืนก็มี
พบจุดกดเจ็บที่ก้นได้ชัดเจนขึ้น
และเมื่อใช้นิ้วกดลงไปที่จุดกดเจ็บนั้น จะรู้สึกปวดชาร้าว ลงไปของขาข้างนั้นๆ
>> โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
มีอาการชาร้าวลงขา (อาการจะคล้ายกับ
Piriformis Syndrome ) คือ พบจุดกด
เจ็บกระดูกสันหลัง ของข้อที่หมอนรอง
กระดูกสันหลังเคลื่อน และในรายที่เป็นมาก
จะมีอาการปวดแปล๊บ ทั่วไปทั้งแผ่นหลัง
แม้เพียงแตะเล็กน้อย ก็จะเจ็บมากจนต้อง
ร้องโอดโอย (ในโรค Piriformis Syndrome
จะปวดลึกๆที่ก้นเท่านั้น ไม่มีอาการปวดหลัง) ลักษณะของอาการปวด คือ การไอ จาม กระตุ้นให้ปวดมากขึ้น
( Piriformis Syndrome ต่อให้ไอ
ทั้งวันก็ไม่ทำให้อาการปวดเพิ่มขึ้น)
เมื่อนั่งจะรู้สึกสบาย อาการปวดแปล๊บ
และชาลดลง แต่เมื่อลุกยืนเดินอาการปวด
แปล๊บและชาจะเพิ่มมากขึ้น อาจเดินเพียง
5 นาทีก็ต้องนั่งแล้ว เพราะทนอาการชา
ไม่ไหว ( Piriformis Syndrome อาการ
ปวดจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเมื่อนั่งนาน และรู้สึก ปวดลึกๆหน่วงๆ ไม่ใช่อาการปวดแปล๊บ เหมือนไฟช็อต)ุ
# กล้ามเนื้อหลังตึงเกร็ง จนสังเกตุเห็น
ได้ว่า

หากท่านมีอาการปวดคอ บ่าไหล่ หลัง ดูแลด้วยอาหารเสริมรักษาบำบัดเป็นสารสกัดจากธรรมชาติไม่มีผลข้างเคียง เหมาะกับคนที่นั่งทำง...
10/09/2020

หากท่านมีอาการ
ปวดคอ บ่าไหล่ หลัง ดูแลด้วยอาหารเสริมรักษาบำบัด
เป็นสารสกัดจากธรรมชาติไม่มีผลข้างเคียง เหมาะกับคนที่นั่งทำงานทั้งวันไม่มีเวลาออกกำลังกาย "ดีออฟฟิต" ช่วยได้ค่ะ สอบถามเพิ่มเติมโทร 061 383 1896 ติ๊กค่ะ

13/08/2020

ออฟฟิต ซินโดรม office syndrome
คืออะไร?
1.อาการทำงานหนักนั่งในสภาวะ เดิมๆในท่าเดิมๆเราจำเป็นต้องลุกเดินทุกๆ 1 ชม.
2. ปวดคอ ปวดข้อเข่า ปวดไหร่ ปวดเอว ปวดข้อต่อ
3.อ้วนลงพุง
4.นอนไม่หลับ
5.เกิดจากการนั่งท่าผิดๆทำให้กล้ามเนื้อ ตรึง เกร็ง เป็นพังพรืด
6.สาเหตุ ทำให้เกิดไมเกรน ทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี
7.ความเครียดถามหา
นอนไม่หลับ สมองทำงานได้ไม่เต็ม 100%
8.ความเครียดทำลายเซลล์สมอง ระยะยาว
มีผลกระทบต่อฮอร์โมน
9.นั่งหน้าจอคอมนานๆทำให้มีผลกระทบต่อจอประสาทตา
-------------------
สารสกัดจากธรรมชาติ ปลอดภัย มี อย.และฮาลาลรับรอง
ปรึกษา 061 383 1896 คุณติ๊กค่ะ

 #ออฟฟิตซินโดรม โรคยอดฮิตของคนทำงาน ปวดคอ บ่า ไหล่ หลัง อย่าปล่อยไว้นาน ภัยเงียบ อาจมาเยือนคลิกที่ลิงค์ดูข้อมูลเพิ่มเติม...
17/07/2020

#ออฟฟิตซินโดรม โรคยอดฮิตของคนทำงาน ปวดคอ บ่า ไหล่ หลัง อย่าปล่อยไว้นาน ภัยเงียบ อาจมาเยือน
คลิกที่ลิงค์ดูข้อมูลเพิ่มเติม
https://healthcarebackpainshouldershoulder.blogspot.com/2020/07/di-office.html

 #ปวดคอ ออฟฟิตซินโดรมคอ ประกอบไปด้วยกระดูกคอ 7 ชั้นเรียงต่อกัน หมอนรองกระดูก เอ็นยึดระหว่างกระดูก เส้นประสาท และกล้ามเนื...
16/07/2020

#ปวดคอ ออฟฟิตซินโดรม
คอ ประกอบไปด้วยกระดูกคอ 7 ชั้นเรียงต่อกัน หมอนรองกระดูก เอ็นยึดระหว่างกระดูก เส้นประสาท และกล้ามเนื้ออาการปวดคอเป็นอาการที่พบได้บ่อยในทุกเพศ ทุกวัย
โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานจากกิจวัตรประจำวัน และการทำงานทำให้มีการเคลื่อนไหวในส่วนของคอมาก อาจทำให้มีอาการปวดคอ โดยเฉพาะผู้ที่นั่งทำงานในสำนักงาน
หรือออฟฟิศนั่นเอง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มือพิมพ์แป้นพิมพ์ต่อเนื่องหลายชั่วโมง การนั่งอยู่ในท่าเดิมนานๆ ซึ่งถ้าดูแลรักษาและปฏิบัติตนไม่ถูกวิธี จะทำให้อาการปวดคอรุนแรงมากขึ้น
ลักษณะอาการปวดคอที่ทำให้ผู้ป่วยต้องมาพบแพทย์บ่อยมาก อาจปวดแบบเป็นๆ หายๆ หรือปวดเรื้อรัง ถ้าอาการปวดมาจากกล้ามเนื้อ จะไม่ค่อยก่อปัญหาอะไรมาก
แต่ถ้าปวดรุนแรงมากเพราะหมอนรองกระดูกสันหลังบริเวณกระดูกต้นคอเสื่อมแล้วเคลื่อนไปทับเส้นประสาท หรือไขสันหลัง อาการปวดชนิดนี้ ถือว่าเป็นอันตราย
4 สาเหตุหลักของการปวดคอ
กระดูกต้นคอเสื่อม เป็นผลจากอายุที่เพิ่มขึ้น และการใช้งานหนักในบางอาชีพ
การบาดเจ็บที่บริเวณคอ เช่น กระดูกคอหัก, หมอนรองกระดูกเคลื่อน, เอ็น และกล้ามเนื้อรอบข้อต่ออักเสบ
จากการการอักเสบในผู้ป่วยโรคข้อ เช่น รูมาตอยด์
อิริยาบถที่ผิดสุขลักษณะ เช่น นอนผิดท่า, ท่าทางการทำงานที่ต้องก้มเงยบ่อยๆ หรือใช้กล้ามเนื้อคอมาก, ขับรถนาน เป็นต้น

อาการที่พบ
มีอาการปวดตื้อที่ศีรษะ หรือท้ายทอย
ปวดคอ อาจเป็นร่วมกับการปวดร้าวลงบ่า หัวไหล่ แขน สะบัก
มีอาการชาที่แขน หรือที่นิ้วมือ และอาจพบอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อแขนร่วมด้วย
คอเคลื่อนไหวได้น้อยกว่าปกติ และมีอาการเจ็บร่วมด้วย
บางครั้งอาจพบจุดกดเจ็บที่กล้ามเนื้อต้นคอ และบ่า
ปวดคอ บ่า ไหล่ ดูแลได้ด้วยอาหารเสริมรักษาบำบัด
สอบถามเพิ่มเติมโทร : 061 383 1896

 #ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome)ในปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้ว่าคำว่า “ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome)” เป็นที่รู้จักกันอย่า...
28/06/2020

#ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome)

ในปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้ว่าคำว่า “ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome)” เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะในกลุ่มของคนที่ทำงานในออฟฟิศ
ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดออฟฟิศซินโดรมสูง “Office Syndrome” กลุ่มอาการที่พบบ่อย
เกิดขึ้นกับกลุ่มคนวัยทำงานที่มีลักษณะงานที่ต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ หรือทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยท่าทางซ้ำๆ ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานหลายชั่วโมงต่อวัน
หรืออยู่ในท่าทางการทำงานที่ไม่เหมาะสมต่อเนื่องนานๆทั้งในขณะนั่ง ยืน เดิน ทำงาน เช่น การนั่งหรือยืนหลังค่อม ไหล่ห่อ หรือยกไหล่ ก้มคอมากเกินไป
ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยหรือชาตามบริเวณต่างๆ และอาจส่งผลให้เกิดอาการของโรคทางระบบกระดูกและกล้ามเนื้อตามมาได้ เช่น

- กล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรัง (myofascial pain syndrome)
- เอ็นรัดข้อมืออักเสบกดทับเส้นประสาท (carpal tunnel syndrome)
- ความผิดปกติของความตึงตัวของเส้นประสาท (nerve tension)
- กล้ามเนื้อบริเวณแขนท่อนล่างด้านนอกอักเสบ (tennis elbow)
- นิ้วล็อก (trigger finger)
- เอ็นกล้ามเนื้ออักเสบ (tendinitis)
- ปวดหลังจากท่าทางผิดปกติ (postural back pain)
- หลังยึดติดในท่าแอ่น (back dysfunction)

สาเหตุของ “ออฟฟิศซินโดรม”
เกิดจากการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งซ้ำๆเป็นเวลานาน หรืออยู่ในท่าทางการทำงานที่ไม่เหมาะสมต่อเนื่องแล้วยังอาจเกิดจากปัจจัยอื่นได้ เช่น
สภาพแวดล้อมหรืออุปกรณ์ในการทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่นโต๊ะหรือเก้าอี้ที่ใช้ทำงานสูงหรือต่ำจนเกินไป ไม่เหมาะกับโครงสร้างของร่างกาย เป็นต้น
สภาพร่างกายอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่ออาการเจ็บป่วย เช่น ความเครียดจากการทำงาน การพักผ่อนที่ไม่เพียง การได้รับสารอาหารไม่ครบ หรือทานอาหารไม่ตรงเวลา เป็นต้น

แนวทางการรักษา “ออฟฟิศซินโดรม”

การรักษากลุ่มอาการ “ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome)” นั้นมีด้วยกันหลายวิธี ทั้ง การรักษาออฟฟิศซินโดรมด้วยยา
การปรับสภาพแวดล้อมในการทำงาน การทำกายภาพบำบัดเพื่อยืดกล้ามเนื้อ การออกกำลังกายเพื่อรักษาปวดหลังเพิ่มสมรรถภาพร่างกาย
และปรับอิริยาบถให้ถูกต้อง การรักษาด้วยศาสตร์ทางเลือกอื่น เช่น การฝังเข็ม การนวดแผนไทย เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม วิธีการรักษาที่ดีและเหมาะสมคือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ โดยวิธีการที่ดีที่สุดที่จะป้องกันอาการจาก “Office Syndrome”
ได้นั้นคือต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการทำงาน จัดสภาพแวดล้อมในการทำงานให้เหมาะสม ออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ เพียงเท่านี้ก็จะทำให้สุขภาพร่างกายดีขึ้น
ลดอาการบาดเจ็บจากการทำงานและเพิ่มคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างถาวร
การทำกายภาพบำบัด เป็นขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญในการรักษาออฟฟิศซินโดรมที่เกี่ยวข้องกับระบบกล้ามเนื้อและกระดูก
โดยการรักษานอกเหนือจากการทำกายภาพบำบัดแล้ว ยังรวมถึงการประเมินโครงสร้างร่างกายและการปรับร่างกายให้เกิดความสมดุล
การสร้างความรู้ความเข้าใจในการปรับเปลี่ยนท่าทางการทำงานตามความเหมาะสมในแต่ละบุคคล การให้ความรู้และส่งเสริมการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง
และถูกวิธีเพื่อให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรงและยืดหยุ่น ป้องกันภาวะบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ ข้อต่อ และเนื้อเยื่อที่อาจเกิดตามมาจากการออกกำลังแบบผิดวิธี
รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงของโรคอื่นๆที่อาจเกิดตามมาได้ในระยะยาว และเมื่อมีอาการเกิดขึ้นและไม่สามารถทุเลาได้ด้วยการดูแลตัวเอง เช่น การพักผ่อน
นอนหลับการนวด หรือการยืดกล้ามเนื้อเพื่อผ่อนคลาย ก็ควรมาพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษา และตรวจหาสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้น
ว่าเป็นจากโรคทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูก หรือมีภาวะซ่อนเร้นอื่นๆ เพื่อจะได้วิเคราะห์ต้นเหตุและให้การรักษาปวดหลังได้อย่างถูกต้องเหมาะสมต่อไป
ดูแลสุขภาพดีกว่ารักษาสนใจดูแลสุขภาพด้วยอาหารเสริมรักษาบำบัดปรึกษาโทร 061 383 1896

เนื่องจากรูปแบบการทำงานในปัจจุบันอยู่ในพื้นที่จำกัด การนั่งในรถ, นั่งบนโต๊ะทำงาน และ ผูกติดอยู่กับจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลาน...
20/06/2020

เนื่องจากรูปแบบการทำงานในปัจจุบันอยู่ในพื้นที่จำกัด การนั่งในรถ, นั่งบนโต๊ะทำงาน และ ผูกติดอยู่กับจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ
ทำให้เกิดกลุ่มอาการ "ออฟฟิศซินโดรม" ผู้ป่วยที่เข้าได้กับกลุ่มอาการนี้ในประเทศไทยพบเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 55 เป็น ร้อยละ 60 แต่ในประเทศพัฒนาพบมากถึงร้อยละ80
และมักพบในช่วงอายุวัยทำงานคือ 16 - 44 ปี

กลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม ที่พบบ่อยมี 3 ระบบ ได้แก่
1. อาการทางระบบการมองเห็น อาการในกลุ่มนี้เกิดจากการมองจอคอมพิวเตอร์นานๆ หรือนั่งทำงานอยู่ในตำแหน่งที่มีแสงไม่เหมาะสม
2. อาการทางระบบทางเดินหายใจ เกิดจากการนั่งทำงานในห้องปรับอากาศที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก หรือห้องที่มีมลภาวะจากหมึกเครื่องพิมพ์ หมึกเครื่องถ่ายเอกสาร เป็นต้น
3. อาการทางระบบกล้ามเนื้อ เป็นอาการที่พบได้บ่อยสุด ส่วนใหญ่มาด้วยอาการปวด หรือ อาการเมื่อยล้า

ในรายที่เริ่มเป็นใหม่ๆจะมีอาการเฉพาะช่วงพัก, ช่วงเว้นว่างที่ผู้ป่วยไม่ได้จดจ่ออยู่กับการทำงานหรือ ช่วงเวลาก่อนนอน
ส่วนผู้ป่วยรายที่มีอาการหนักขึ้นอาจมีกล้ามเนื้อหดเกร็งค้าง ล๊อคข้อไว้ ทำให้เกิดอาการเจ็บแปล๊บขึ้นมาขณะเคลื่อนไหวร่างกายส่วนนั้นๆ
บางรายมีความรู้สึกคล้ายอาการชา และรู้สึกยิบๆ บริเวณผิวหนังร่วมด้วย อาการทางระบบกล้ามเนื้อเหล่านี้เกิดจากการปล่อยให้ร่างกายเคลื่อนไหวน้อยกว่าปกติ
มักเกิดขึ้นที่บริเวณ คอ บ่า ไหล่ มากที่สุด รองลงมาคือ หลังส่วนล่าง ส่วนบริเวณข้อมือและ แขน จะพบมากเป็นอันดับสาม

การรักษามี 3 ส่วน ดังนี้
1. ปรับเลี่ยง-ปรับลด-ปรับงด-ปรับแก้ ได้แก่

ลดปริมาณงาน
แก้ไขท่านั่งทำงานและ ท่านั่งขับรถให้ถูกต้อง
เลี่ยงการนั่งในรถและ นั่งท่าเดิมๆบนโต๊ะทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน
งดความเครียดของตัวเองด้วยวิธีบำบัดต่างๆไม่ว่าจะเป็นการพูดคุย, การฟังดนตรี จนถึงการปรับสู่อิริยาบถนอน เป็นต้น
การรักษาแบบแรกนี้ผู้ป่วยจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้องหรือ ทดลองปรับเปลี่ยนได้ด้วยตนเองก็ได้

2. ปรับยืด-ปรับเหยียด-ปรับกด-ปรับประคบ ได้แก่
การออกแบบท่ากายบริหารเหยียดยืดกล้ามเนื้อบริเวณที่มีอาการ โดยผู้เชี่ยวชาญ
การนวด กดจุด หรือการใช้เครื่องมือประคบทางกายภาพบำบัด
3. ปรับท่า-ปรับเพิ่ม-ปรับรักษา ได้แก่
การออกแบบท่าทางเพื่อให้ร่างกายส่วนนั้นๆได้เปรียบเชิงกลขณะทำงาน
การสอดแทรกท่ากายบริหารเพื่อเพิ่มความคงทนของกล้ามเนื้อที่มีอาการเข้าไปในการออกกำลังกายประจำวันของผู้ป่วย ซึ่งจะต้องวิเคราะห์และออกแบบให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
การรักษาด้วยการดัดข้อ การกระตุ้นกล้ามเนื้อด้วยเข็ม ฝังเข็ม หรือฉีดยาลงบนกล้ามเนื้อบริเวณที่มีอาการ

 #โรคออฟฟิตซินโดรมพนักงานออฟฟิศ หรือหลาย ๆ งานที่นั่งทำงานทั้งวัน ดูเหมือนสบาย แต่จริง ๆ การนั่งนิ่งไม่ค่อยขยับร่างกาย เ...
13/06/2020

#โรคออฟฟิตซินโดรม
พนักงานออฟฟิศ หรือหลาย ๆ งานที่นั่งทำงานทั้งวัน ดูเหมือนสบาย แต่จริง ๆ การนั่งนิ่งไม่ค่อยขยับร่างกาย เป็นสาเหตุของโรคอันตรายหลายโรค

เป็นที่ทราบกันดีว่าการขาดการออกกำลังกายก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อหลายโรค แต่หลายคนอาจลืม หรือนึกไม่ถึงว่า
การนั่งทำงานตลอดทั้งวันโดยไม่ได้มีกิจกรรมเผาผลาญะพลังงานในร่างกายมากนัก ก็อันตรายต่อสุขภาพได้ไม่น้อยไปกว่าการขาดการออกกำลังกาย
และยังอาจเกิดขึ้นได้กับคนที่นั่งทำงานทั้งวันอย่าง พนักงานออฟฟิศ คนขับรถ แคชเชียร์ คนขายตั๋ว พนักงานให้บริการในสำนักงานต่าง ๆ เช่น คอลเซ็นเตอร์ ศูนย์ราชการต่าง ๆ เป็นต้น

13 อันตรายที่มาจากการ " นั่ง " นานเกินไป

1. เสี่ยงโรคหัวใจ

คนขับรถบัส ที่ต้องนั่งทำงานตลอดทั้งวัน กับคอนดักเตอร์ หรือพนักงานรักษาความปลอดภัย ที่ไม่ได้นั่งทำงาน เมื่อรับประทานอาหารใกล้เคียงกัน
ผลปรากฎว่าคนที่นั่งทำงานตลอดทั้งวันมีความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจมากกว่าคนปกติมากถึง 2 เท่า

2. ลดอายุขัยของตัวเอง
มีรายงานวิจัยพบว่า การนั่งนาน ๆ โดยขาดการเปลี่ยนอิริยาบถระหว่างวัน แม้ว่าคุณจะออกกำลังกายทุกวันหรือไม่ก็ตาม
คุณอาจเสี่ยงอายุชัยสั้นลงจากโรครุมเร้าต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่ควรจะเป็น

3. เสี่ยงสมองเสื่อม
การนั่งอยู่กับที่นาน ๆ อาจทำให้คุณเสี่ยงต่อการมีอาการเหมือนคนที่เป็นโรคสมองเสื่อมได้ นอกจากนี้การนั่งอยู่กับที่นาน ๆ ยังเพิ่มความเสี่ยงโรคอื่น ๆ
เช่น เบาหวาน หลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง และคอเลสเตอรอลในเลือดสูง การขยับร่างกายให้มากขึ้นระหว่างวันให้มากขึ้น
ให้ผลดีในการลดความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ เหล่านี้ได้มากกว่าการออกกำลังกายเพียงช่วงเวลาเดียวของวัน

4. ออกกำลังกายไปก็สูญเปล่า
อย่างที่กล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ การออกกำลังกายเพียงช่วงเวลาเดียวของวัน ให้ผลดีกับร่างกายได้น้อยกว่าการขยับเขยื้อนร่างกายระหว่างวัน
แม้ว่าคุณจะออกกำลังกายทุกวัน สัปดาห์ละ 7 ชั่วโมง แต่นั่นอาจสูญเปล่าหากในระหว่างวันคุณนั่งทำงานติดต่อกัน 7 ชั่วโมง

5. เสี่ยงโรคเบาหวาน
นอกจากอาหารหวาน ๆ แล้ว โรคเบาหวานยังมีสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์ ซึ่งการนั่งเฉย ๆ เป็นเวลานาน ๆ พบว่าสามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวานได้อีกด้วย
แม้ว่าจะไม่มีงานวิจัยระบุแน่ชัดว่าเป็นเพราะอะไร แต่แพทย์เชื่อว่ามาจากการนั่งอันยาวนานที่ทำให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินเปลี่ยนไป ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เผาผลาญพลังงานจากแป้ง และน้ำตาลนั่นเอง

6. เสี่ยงโรคหลอดเลือดดำลึกที่ขาอุดตัน
โรคหลอดเลือดดำลึกที่ขาอุดตัน หรือ Deep vein thrombosis (DVT) เป็นอาการของลิ่มเลือดเข้าไปอุดตันภายในหลอดเลือดดำที่ขา
มีสาเหตุสำคัญมาจากการนั่งนานเกินไป ซึ่งจะเพิ่มความอันตรายมากยิ่งขึ้นหากลิ่มเลือดหลุดไปอุดตันที่ปอด อาการของโรคอาจทำให้ขาของคุณเจ็บ หรือบวม
หรือในบางรายอาจไม่มีอาการใด ๆ แสดงให้เห็น ซึ่งอันตรายมากกว่าเดิมเมื่อมีอาการมากขึ้นเรื่อย ๆในภายหลัง

7. น้ำหนักขึ้น
เป็นเรื่องธรรมดาที่พลังงานที่เอาเข้าจากอาหารไม่สามารถเผาผลาญออกไปจากร่างกายหมด จะทำให้น้ำหนักมากขึ้น เสี่ยงต่อโรคอ้วน
นอกจากการนั่งทำงานทั้งวันแล้ว ยังรวมไปถึงการนั่งดูทีวี หรือนั่งเล่นอินเตอร์เน็ตในวันหยุดด้วย

8. เสี่ยงอาการวิตกกังวล
ไม่น่าเชื่อว่าการนั่งนาน ๆ นอกจากจะส่งผลต่อร่างกายแล้ว ยังส่งกระทบต่อจิตใจอีกด้วย การนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือหน้าจอมือถือนาน ๆ
เสี่ยงต่ออาการนอนไม่หลับ หรือรบกวนคุณภาพในการนอนของคุณโดยที่คุณอาจไม่รู้ตัว นอกจากนี้การใช้เวลาอยู่กับตัวเองนาน ๆ อาจทำให้คุณขาดปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
ทั้งเพื่อน คนรัก คนในครอบครัว ซึ่งนำไปสู่อาการของโรคกลัวการเข้าสังคมได้เช่นกัน

9. เสี่ยงปวดหลัง
ท่าที่คุณนั่งอยู่ทั้งวันอาจทำให้คุณเกิดอาการปวดหลังได้ รวมไปถึงคอ ไหล่ กระดูกสันหลัง และสุขภาพหลังของคุณจะยิ่งแย่หากคุณไม่ได้นั่งหลังตรง
แต่นั่งหลังโก่งงอ ไหล่งุ้ม หรือนั่งห่อไหล่ แต่ถึงแม้ว่าคุณจะนั่งหลังตรงบนเก้าอี้ราคาแพงที่ช่วยให้คุณนั่งสบายไปตลอดทั้งวัน กล้ามเนื้อหลังของคุณก็ยังคงต้องการการผ่อนคลาย
จึงยังคงจำเป็นที่ต้องลุกจากเก้าอี้ บิดตัวไปมาเบา ๆ เพื่อขยับเขยื้อนกล้ามเนื้อส่วนหลังระหว่างวันบ้างอยู่ดี

10. เสี่ยงเส้นเลือดขอด
อาจเคยได้ยินมาว่า การยืนทำงานนาน ๆ เสี่ยงเส้นเลือดขอดที่ขา อันที่จริงแล้วการนั่งท่าเดิมนาน ๆ ก็เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นเส้นเลือดขอดที่ขาได้ด้วยเช่นกัน
เป็นได้ทั้งแบบเส้นเลือดโป่ง และคด เส้นเลือดที่ผิวกระจายเป็นเส้นเล็ก ๆ จริง ๆ แล้วส่วนใหญ่ไม่ได้อันตรายมาก แต่ในบางรายอาจมีอาการเจ็บ หรือปวดได้
และในบางรายเส้นเลือดขอดอาจมีขนาดใหญ่ หรือเห็นชัดมากจนต้องเข้ารับการรักษาอย่างจริงจัง

11. กระดูกอ่อนแอ
ในระยะยาว หากเราไม่ได้ใช้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายนาน ๆ ส่วนนั้นอาจทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร นึกถึงช่วงหลังเรียนจบ หรือหลังเกษียณที่ความสามารถของสมองน้อยลง
นี่จึงรวมไปถึงการทำงานของกล้ามเนื้อต่าง ๆ ในร่างกายที่อาจไม่แข็งแรงเหมือนเดิม ดังนั้นในบั้นปลายชีวิตคุณจึงอาจเสี่ยงกระดูกอ่อนแอจนไม่สามารถ
ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ปกติ เช่น เดินไม่คล่องแคล่วว่องไว ปวดขาขวดข้อ ลุกก็ปวดนั่งก็ปวด เป็นต้น


12. เสี่ยงโรคมะเร็ง
ความเสี่ยงของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก และมะเร็งปอดอาจสูงขึ้น หากคุณนั่งท่าเดิมนานเกินไป ยิ่งนั่งนาน ยิ่งเสี่ยงมาก ในผู้หญิงอาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งเต้านมด้วย

13. วิธีลดความเสี่ยงโรคต่าง ๆ จากการนั่งนาน ๆ
ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทุก ๆ 1 ชั่วโมง ไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างมือ ดื่มน้ำ เป็นต้น และคอยเปลี่ยนอิริยาบถในการทำงาน คุณอาจยกคอมพิวเตอร์ไปยืนทำบนโต๊ะสูง เดินเปลี่ยนโต๊ะทำงาน ยืดเส้นยืดสายที่ขาบ้างระหว่างวัน
มาดูแลสุขภาพด้วยสารสกัดจากธรรมชาติไม่มีผลข้างเคียง
สอบถามโทร 061 383 1896

ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับกลุ่มคนวัยทำงานโดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศ เนื่องจากลักษณะงานเป็นงานที่...
04/06/2020

ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับกลุ่มคนวัยทำงานโดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศ เนื่องจากลักษณะงานเป็นงานที่ต้องนั่ง
หน้าคอมพิวเตอร์หรือทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยท่าทางซ้ำๆ ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน จนอาจส่งผลให้เกิดโรคและอาการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
ระบบการย่อยอาหาร ระบบนัยน์ตาและการมองเห็น รวมไปถึงระบบอื่นๆ ได้อีกด้วย แต่อาการออฟฟิศซินโดรมจะส่งผลต่อระบบกระดูกและกล้ามเนื้อมากที่สุด
ซึ่งอาการที่จะพบได้บ่อยคือ ปวดตึงที่คอและบ่า ถ้าเป็นมากๆ อาจมึนและปวดร้าวศีรษะ หรือมีอาการชาลงมาที่แขนได้ ซึ่งเกิดได้จากหลายปัจจัย
อาทิเช่น เวลาทำงานนั่งผิดวิธี ต้องก้มคอ นั่งนานๆ เกร็งกล้ามเนื้อนานๆ รวมไปถึงการนั่งเวลานานติดต่อกันโดยไม่ได้มีการยืดเส้นหรือลุกจากที่นั่งเพื่อผ่อนคลาย
ดูแลสุขภาพด้วยสารสกัดจากธรรมชาติดูแลจากภายในสู่ภายนอกปรึกษาโทร 061 383 1896

อาการปวดคอ บ่า ไหล่ คอ ประกอบไปด้วยกระดูกคอ 7 ชั้นเรียงต่อกัน หมอนรองกระดูก เอ็นยึดระหว่างกระดูก เส้นประสาท และกล้ามเนื้...
01/06/2020

อาการปวดคอ บ่า ไหล่
คอ ประกอบไปด้วยกระดูกคอ 7 ชั้นเรียงต่อกัน หมอนรองกระดูก เอ็นยึดระหว่างกระดูก เส้นประสาท และกล้ามเนื้ออาการปวดคอเป็นอาการที่พบได้บ่อยในทุกเพศ ทุกวัย
โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานจากกิจวัตรประจำวัน และการทำงานทำให้มีการเคลื่อนไหวในส่วนของคอมาก อาจทำให้มีอาการปวดคอ
โดยเฉพาะผู้ที่นั่งทำงานในสำนักงาน หรือออฟฟิศนั่นเอง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มือพิมพ์แป้นพิมพ์ต่อเนื่องหลายชั่วโมง
การนั่งอยู่ในท่าเดิมนานๆ ซึ่งถ้าดูแลรักษาและปฏิบัติตนไม่ถูกวิธี จะทำให้อาการปวดคอรุนแรงมากขึ้น
ลักษณะอาการปวดคอที่ทำให้ผู้ป่วยต้องมาพบแพทย์บ่อยมาก อาจปวดแบบเป็นๆ หายๆ หรือปวดเรื้อรัง ถ้าอาการปวดมาจากกล้ามเนื้อ จะไม่ค่อยก่อปัญหาอะไรมาก แต่ถ้าปวดรุนแรงมากเพราะหมอนรองกระดูกสันหลังบริเวณกระดูกต้นคอเสื่อมแล้วเคลื่อนไปทับเส้นประสาท หรือไขสันหลัง อาการปวดชนิดนี้ ถือว่าเป็นอันตราย
4 สาเหตุหลักของการปวดคอ

- กระดูกต้นคอเสื่อม เป็นผลจากอายุที่เพิ่มขึ้น และการใช้งานหนักในบางอาชีพ
- การบาดเจ็บที่บริเวณคอ เช่น กระดูกคอหัก, หมอนรองกระดูกเคลื่อน, เอ็น และกล้ามเนื้อรอบข้อต่ออักเสบ
- จากการการอักเสบในผู้ป่วยโรคข้อ เช่น รูมาตอยด์
- อิริยาบถที่ผิดสุขลักษณะ เช่น นอนผิดท่า, ท่าทางการทำงานที่ต้องก้มเงยบ่อยๆ หรือใช้กล้ามเนื้อคอมาก, ขับรถนาน เป็นต้น

อาการที่พบ

- มีอาการปวดตื้อที่ศีรษะ หรือท้ายทอย
- ปวดคอ อาจเป็นร่วมกับการปวดร้าวลงบ่า หัวไหล่ แขน สะบัก
- มีอาการชาที่แขน หรือที่นิ้วมือ และอาจพบอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อแขนร่วมด้วย
- คอเคลื่อนไหวได้น้อยกว่าปกติ และมีอาการเจ็บร่วมด้วย
- บางครั้งอาจพบจุดกดเจ็บที่กล้ามเนื้อต้นคอ และบ่า
หากปวดคอลักษณะนี้ ต้องรีบปรึกษาแพทย์ด่วน
หากอาการปวดคอ บ่า ไหล่ ปวดแบบเป็นๆ หายๆ หรือปวดเรื้อรัง ถ้าอาการปวดมาจากกล้ามเนื้อจะไม่ค่อยก่อปัญหาอะไรมากนัก แต่เมื่อใดก็ตามที่อาการปวดรุนแรงมากขึ้น
เหตุหมอนรองกระดูกสันหลังบริเวณกระดูกต้นคอเสื่อม แล้วเคลื่อนไปทับเส้นประสาท หรือไขสันหลัง อาการปวดชนิดนี้นับว่าเป็นอันตราย

สนใจดูแลสุขภาพด้วยสารสกัดจากธรรมชาติไม่มีผลข้างเคียง
ปรึกษาโทร 061 383 1896

 #โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ไม่ใช่โรคที่ไกลตัวอีกต่อไปแล้ว คนที่ทำงานหนักและใช้ร่างกายไม่ถูกวิธีก็สามารถเป็นได้ทั้งน...
27/05/2020

#โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท

ไม่ใช่โรคที่ไกลตัวอีกต่อไปแล้ว คนที่ทำงานหนักและใช้ร่างกายไม่ถูกวิธีก็สามารถเป็นได้ทั้งนั้น หากคุณสงสัยว่าตัวเองเข้าข่ายหรือเปล่า !! จะใช่หรือไม่ใช่ !! ลองมาเช็คอาการเบื้องต้นกันก่อนเลย !!

อาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท

- ปวดจี๊ดๆ เหมือนไฟฟ้าช็อต บริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลังส่วนล่าง

- อาการปวดเป็นๆ หายๆ มากกว่า 2 สัปดาห์

- ปวดหลังร้าวลงขา ร่วมกับอาการชาที่ขาและเท้า

- ไอ จาม แล้วเจ็บเสียวแปล๊บที่หลัง

- เจ็บปวดหลังมากเวลาที่ก้ม

- กล้ามเนื้อขาอ่อนแรง

หากเช็คดูแล้วมีอาการตามนี้ทั้งหมดหรือแค่บางส่วน ก็ควรรีบปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง และรับการรักษาก่อนที่จะสายเกินแก้นะคะ

มาดูแลสุขภาพกันนะคะโทร 0613831896

ออฟฟิศซินโดรม ปวดคอ บ่า ไหล่ลักษณะอาการปวดหลัง ปวดคอ บ่า ไหล่ ออฟฟิศซินโดรม    ปวดบริเวณกล้ามเนื้อหลัง คอ บ่า ไหล่    กล...
24/05/2020

ออฟฟิศซินโดรม ปวดคอ บ่า ไหล่

ลักษณะอาการปวดหลัง ปวดคอ บ่า ไหล่ ออฟฟิศซินโดรม
ปวดบริเวณกล้ามเนื้อหลัง คอ บ่า ไหล่
กล้ามเนื้อตึง แข็ง เกร็ง
การทำงานอยู่ท่าเดิมนานๆ หรือ ยกของหนักจะทำให้เป็นมากขึ้น

การรักษาอาการปวดหลัง ปวดคอ บ่า ไหล่ ออฟฟิศซินโดรม
การยืดกล้ามเนื้อด้วยตนเอง การออกกำลังกาย เล่นโยคะ
(ได้ผลดีหากทำเป็นประจำทุกวัน)
การนวด หรือ กดจุด บริเวณกล้ามเนื้อที่ปวด
(ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่เกร็งตัวได้ ลดอาการปวดเมื่อย ควรทำโดยแพทย์แผนไทย หรือแผนโบราณที่เชี่ยวชาญ ต้องระวังการกดบางตำแหน่งที่อันตราย
เช่น บริเวณคอที่มีหลอดเลือดแดงใหญ่ หรือการเปิดประตูลม โดยการกดทับหลอดเลือดเป็นเวลานานเกินไป)
การฝังเข็มรักษา
การฝังเข็มรักษาอาการปวดหลัง ปวดคอ บ่า ไหล่นั้น ได้ผลดี เนื่องจากอาการปวดที่เกิดขึ้นมาจากการอยู่ท่าเดิมเป็นเวลานาน ทำให้เลือดลมไหลเวียนไม่สะดวก
เลือดคั่ง การฝังเข็มนอกจากจะกระตุ้นบริเวณที่เป็นให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้นแล้ว ยังช่วยบำรุงให้ความชุ่มชื้นแก่เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ ทำให้ลดอาการตึง ปวด
สลายเลือดที่คั่ง หรือ ขับสารพิษสะสมในร่างกายจากมลภาวะต่างๆที่เจอในชีวิตประจำวัน ให้รู้สึกโล่งสบายขึ้นได้ นอกจากนี้ยังเป็นการรักษาที่ปลอดภัย
ไม่เสี่ยงผลข้างเคียงจากการใช้ยาแก้ปวดเป็นเวลานานอีกด้วย

ดูแลสุขภาพด้วยสารสกัดจากธรรมชาติไม่มีผลข้างเคียง
ปรึกษาโทร 061 383 1896

ปวดคอ       ลำคอเป็นอวัยวะที่ต้องแบกรับน้ำหนักของศีรษะไว้ทั้งวัน ตั้งแต่ตื่นเช้าจนถึงเวลาเข้านอน       ลำคอมีการเคลื่อนไ...
14/05/2020

ปวดคอ
ลำคอเป็นอวัยวะที่ต้องแบกรับน้ำหนักของศีรษะไว้ทั้งวัน ตั้งแต่ตื่นเช้าจนถึงเวลาเข้านอน
ลำคอมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอด จึงมักเป็นจุดอ่อนที่จะเกิดอันตรายกับกระดูกคอได้ง่าย

สาเหตุของอาการปวดคอ
สาเหตุของอาการปวดคอมักเกิดจากอริยาบถที่ผิดสุขลักษณะในชีวิตประจำวัน อาทิ

นอนคว่ำเป็นประจำ นอนหมอนสูงเกินไป การสลัดคอ สลัดผม หรือใช้คอกับไหล่หนีบโทรศัพท์ เล่นดนตรีที่ จะต้องวางบนบ่าและใช้คอยันไว้
งานที่ต้องเกร็งไหล่ทั้งสองข้าง หรือก้มๆ เงยๆ บ่อย เช่น เย็บผ้า พิมพ์ดีด ใช้คอมพิวเตอร์
นั่งทำงานกับโต๊ะ เก้าอี้ที่ไม่ได้สัดส่วน
การนั่งหลับ หรือนั่งสัปปะหงก
อุบัติเหตุที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของคอทันที เช่น รถชนท้าย ตกจักรยานยนต์ หกล้ม
การเจ็บป่วยอื่นๆ เช่น ภาวะข้อเสื่อม โรครูมาตอยด์ เป็นต้น

อาการปวดคอ
ปวดเมื่อยต้นคอ คอเคล็ด เอี้ยวคอไม่ถนัด อาจเจ็บเป็นๆ ทายๆ อาจมีอาการตั้งแต่น้อยถึงมากได้ ต่อมาจะมีอาการปวดร้าวลงบ่า ลงแขนและสบัก (สบักจม)
มีอาการปวดร้าวที่ปลายแขนศอก บางทีมีอาการคล้ายข้อมือซ้น มืออ่อนแรง หยิบของมักตกบ่อยๆ หรือจับปากกาไม่ค่อยอยู่ อาจเจ็บโคนนิ้วหัวแม่มือ ชาที่นิ้วมือ
ข้อมือและแขน ต่อมาจะเจ็บหัวไหล่เวลานอนตะแคง กล้ามเนื้อและหน้าอกข้างนั้นจะค่อยๆ ลีบลง ไหล่ติด ยกแขนหรือเกาหลังไม่ได้ หากทิ้งไว้จนเป็นมากขึ้นจะปวดศีรษะข้างเดียว
หรือปวดทั้งศีรษะ ลมออกหู หายใจไม่เต็มอิ่มอาจมีอาการ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน
มาดูแลสุขภาพกันนะคะ

ออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) คืออะไร?   ออฟฟิศซินโดรม หรือกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด (Myofascial pain synd...
07/05/2020

ออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) คืออะไร?

ออฟฟิศซินโดรม หรือกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด (Myofascial pain syndrome) คือ อาการปวดกล้ามเนื้ออันเนื่องมาจาก
รูปแบบการทำงานที่ใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำๆ เป็นระยะเวลานานต่อเนื่อง เช่น การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานเกินไป โดยไม่ขยับ ผ่อนคลายหรือปรับเปลี่ยนอิริยาบถ
ซึ่งอาจลุกลามจนกลายเป็นอาการปวดเรื้อรัง รวมไปถึงอาการชาที่บริเวณแขนหรือมือ จากการที่เส้นประสาทส่วนปลายถูกกดทับอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น การไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง และการดูแลสุขภาพของตนเองตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดออฟฟิศซินโดรมได้
อาการของออฟฟิศซินโดรม

1. ปวดกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เช่น คอ บ่า ไหล่ สะบัก มักมีอาการปวดเป็นบริเวณกว้าง ไม่สามารถระบุตำแหน่งได้ชัดเจน
อาจมีอาการปวดร้าวไปบริเวณใกล้เคียงร่วมด้วยมีลักษณะอาการปวดล้าๆ ความรุนแรงมีได้ตั้งแต่ปวดเล็กน้อยเพียงรำคาญจนถึงปวดรุนแรงทรมานอย่างมาก

2. อาการของระบบประสาทอัตโนมัติซึ่งพบร่วมได้ เช่น ซ่า วูบ เย็น เหน็บ ซีด ขนลุก เหงื่อออก ตามบริเวณที่ปวดร้าว ถ้าเป็นบริเวณคออาจมีอาการมึนงง หูอื้อ ตาพร่า

3. อาการทางระบบประสาทที่ถูกกดทับ เช่น อาการชาบริเวณแขนและมือ รวมถึงอาการอ่อนแรง หากมีการกดทับเส้นประสาทนานจนเกินไป

การป้องกันการเกิดออฟฟิศซินโดรม

1. ออกกำลังกายด้วยท่าที่เหมาะสมกับอาการ เช่น การยืดกล้ามเนื้อให้เกิดความยืดหยุ่น การออกกำลังเพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ โดยต้องอาศัยความใส่ใจและความสม่ำเสมอ

2. ปรับสภาพแวดล้อมในการทำงาน เช่น ปรับระดับความสูงของโต๊ะและเก้าอี้ ให้สามารถนั่งทำงานในท่าที่สบาย ปรับหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตา

3. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานกล้ามเนื้อให้เหมาะสม เช่น ในระหว่างทำงานควรมีการยืดเหยียดหรือเปลี่ยนอิริยาบถเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้ออย่างน้อยทุกๆ 1 ชั่วโมง

หากท่านมีอาการสนใจดูแลสุขภาพด้วยสารสกัดจากธรรมชาติไม่มีผลข้างเคียง
สอบถามโทร 061 383 1896

คอ ประกอบไปด้วยกระดูกคอ 7 ชั้นเรียงต่อกัน หมอนรองกระดูก เอ็นยึดระหว่างกระดูก เส้นประสาท และกล้ามเนื้ออาการปวดคอเป็นอาการ...
04/05/2020

คอ ประกอบไปด้วยกระดูกคอ 7 ชั้นเรียงต่อกัน หมอนรองกระดูก เอ็นยึดระหว่างกระดูก เส้นประสาท และกล้ามเนื้ออาการปวดคอเป็นอาการที่พบได้บ่อยในทุกเพศ ทุกวัย
โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานจากกิจวัตรประจำวัน และการทำงานทำให้มีการเคลื่อนไหวในส่วนของคอมาก อาจทำให้มีอาการปวดคอ
โดยเฉพาะผู้ที่นั่งทำงานในสำนักงาน หรือออฟฟิศนั่นเอง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มือพิมพ์แป้นพิมพ์ต่อเนื่องหลายชั่วโมง การนั่งอยู่ในท่าเดิมนานๆ
ซึ่งถ้าดูแลรักษาและปฏิบัติตนไม่ถูกวิธี จะทำให้อาการปวดคอรุนแรงมากขึ้น
ลักษณะอาการปวดคอที่ทำให้ผู้ป่วยต้องมาพบแพทย์บ่อยมาก อาจปวดแบบเป็นๆ หายๆ หรือปวดเรื้อรัง ถ้าอาการปวดมาจากกล้ามเนื้อ จะไม่ค่อยก่อปัญหาอะไรมาก
แต่ถ้าปวดรุนแรงมากเพราะหมอนรองกระดูกสันหลังบริเวณกระดูกต้นคอเสื่อมแล้วเคลื่อนไปทับเส้นประสาท หรือไขสันหลัง อาการปวดชนิดนี้ ถือว่าเป็นอันตราย
4 สาเหตุหลักของการปวดคอ
กระดูกต้นคอเสื่อม เป็นผลจากอายุที่เพิ่มขึ้น และการใช้งานหนักในบางอาชีพ
การบาดเจ็บที่บริเวณคอ เช่น กระดูกคอหัก, หมอนรองกระดูกเคลื่อน, เอ็น และกล้ามเนื้อรอบข้อต่ออักเสบ
จากการการอักเสบในผู้ป่วยโรคข้อ เช่น รูมาตอยด์
อิริยาบถที่ผิดสุขลักษณะ เช่น นอนผิดท่า, ท่าทางการทำงานที่ต้องก้มเงยบ่อยๆ หรือใช้กล้ามเนื้อคอมาก, ขับรถนาน เป็นต้น
อาการที่พบ
มีอาการปวดตื้อที่ศีรษะ หรือท้ายทอย
ปวดคอ อาจเป็นร่วมกับการปวดร้าวลงบ่า หัวไหล่ แขน สะบัก
มีอาการชาที่แขน หรือที่นิ้วมือ และอาจพบอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อแขนร่วมด้วย
คอเคลื่อนไหวได้น้อยกว่าปกติ และมีอาการเจ็บร่วมด้วย
บางครั้งอาจพบจุดกดเจ็บที่กล้ามเนื้อต้นคอ และบ่า
เมื่อมีอาการปวดคอต้องทำอย่างไร

การรักษาด้วยยาเพื่อลดการอักเสบ และบรรเทาอาการปวด
การรักษาทางกายภาพบำบัด ร่วมกับการรักษาด้วยยา
การประคบด้วยความร้อน หรือเย็นบริเวณกล้ามเนื้อต้นคอที่ปวด
การรักษาโดยใช้เครื่องมือที่ทำให้เกิดความร้อนลึก เช่น Ultrasound, Shortwave Diathermy
การดึงคอ เพื่อลดการกดทับของเส้นประสาทคอ และลดอาการเกร็งของต้นคอ
การบริหารคออย่างถูกวิธี และเหมาะกับสภาพของอาการที่เป็น เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อคอ

การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันการปวดคอ

ไม่นอนหมอนสูงเกินไป
ไม่สะบัดคอแรงๆ เพื่อแก้ความเมื่อย
ไม่เกร็งคอทำงานในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ
จัดอุปกรณ์ในการทำงาน เช่น โต๊ะ เก้าอี้ คอมพิวเตอร์ ให้เหมาะสมกับลักษณะรูปร่างของคนทำงาน ไม่สูง หรือต่ำเกินไป

หากปวดคอลักษณะนี้ ต้องรีบปรึกษาแพทย์ด่วน
หากอาการปวดคอ บ่า ไหล่ ปวดแบบเป็นๆ หายๆ หรือปวดเรื้อรัง ถ้าอาการปวดมาจากกล้ามเนื้อจะไม่ค่อยก่อปัญหาอะไรมากนัก แต่เมื่อใดก็ตามที่อาการปวดรุนแรงมากขึ้น
เหตุหมอนรองกระดูกสันหลังบริเวณกระดูกต้นคอเสื่อม แล้วเคลื่อนไปทับเส้นประสาท หรือไขสันหลัง อาการปวดชนิดนี้นับว่าเป็นอันตราย

หากท่านมีอาการปรึกษาโทร 061 383 1896

ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) เป็นกลุ่มของโรคที่เกิดจากลักษณะการทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น การนั่งโต๊ะทำงานต่อเนื่องหลายช...
01/05/2020

ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) เป็นกลุ่มของโรคที่เกิดจากลักษณะการทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น การนั่งโต๊ะทำงานต่อเนื่องหลายชั่วโมง ไม่ได้ขยับลุกไปไหน
บางคนต้องนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เกือบตลอดเวลา ซึ่งลักษณะเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวมของร่างกายหลายระบบ เช่น มีปัญหาปวดกล้ามเนื้อจากการนั่งทำงานนาน
อาการชาที่มือเนื่องจากการกดทับเส้นประสาทที่มือ ปวดเสียดท้องจากการทานอาหารไม่ตรงเวลา สมรรถภาพของร่างลดลงเนื่องจากไม่มีเวลาออกกำลังกาย ฯลฯ
ตัวอย่างโรคในกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่เป็นโรคทางกระดูกและกล้ามเนื้อ ได้แก่ กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและพังผืด (Myofascial pain syndrome)
ปวดหลังจากท่าทางไม่เหมาะสม (Postural back pain) เส้นประสาทที่ข้อมือถูกกดทับ (Carpal tunnel syndrome)
นิ้วล็อค (Trigger finger) นอกจากนี้ระบบอื่นของร่างกายอาจได้รับผลกระทบจากการนั่งทำงานอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
เช่น โรคแผลในกระเพาะอาหารและกรดไหลย้อน ปวดศีรษะจากความเครียด ภาวะอ้วน เป็นต้น
ในที่นี้จะขอกล่าวถึงโรคทางกระดูกกับกล้ามเนื้อ เพราะเป็นสิ่งที่พบได้บ่อย
สาเหตุของโรคปวดกล้ามเนื้อจากการทำงาน
หลายคนอาจจะสงสัยว่า งานในออฟฟิศโดยส่วนใหญ่เป็นงานที่ไม่ต้องใช้แรง ไม่ต้องไปยกของหนัก นั่งทำงานในห้องแอร์ ปัญหาเรื่องปวดกล้ามเนื้อน่าจะมีน้อย
แต่จริงๆแล้วอาการปวดกล้ามเนื้อของคนที่ทำงานในออฟฟิศเกิดจากการที่ไม่มีการเปลี่ยนอิริยาบถ ต้องอยู่ในท่าเดิมเกือบตลอดเวลา หรือการนั่งทำงานในท่าทางที่ไม่เหมาะสม
ส่งผลกระทบให้กล้ามเนื้อเกิดการหดเกร็งค้างท่าเดิม และบางส่วนถูกยืดค้าง เมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือนโดยไม่ได้รับการแก้ไข กล้ามเนื้อบางส่วนจะขมวดเป็นก้อนตึง
และทำให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อได้
ใครที่น่าสงสัยว่ามีอาการโรคปวดกล้ามเนื้อจากการทำงาน
ผู้ที่ต้องทำงานลักษณะเดิมต่อเนื่อง อย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน เช่น นั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์ต่อเนื่อง ไม่ได้ลุกไปไหน หรือนั่งทำบัญชีเร่งด่วนตอนปลายเดือน
ผู้ที่มีอาการปวดบริเวณไหล่ ต้นคอ สะบัก หลัง บางครั้งมีอาการปวดร้าวขึ้นศีรษะ หรือร้าวลงแขนขณะนั่งทำงานอยู่ ต้องขยับเปลี่ยนท่าทางจึงจะดีขึ้น
อาการปวดสัมพันธ์กับช่วงที่ต้องทำงาน แต่พอช่วงวันหยุดอาการปวดไม่เป็นมาก
ผู้ที่ไม่ได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่มีเวลาว่างออกกำลังกาย
การรักษาโรคปวดกล้ามเนื้อจากการทำงาน
หากเป็นแบบไม่รุนแรง อาการเป็นเฉพาะตอนทำงาน วิธีแก้ไขที่ง่ายที่สุดคือการออกกำลังกาย การปรับสภาพที่ทำงาน และการปรับพฤติกรรมการทำงาน
แต่หากอาการปวดรุนแรงมากขึ้น หรืออาการปวดเกิดขึ้นแม้แต่ตอนที่ไม่ได้ทำงาน นอกจากการรักษาโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อาจจำเป็นต้องรักษาโดยการใช้ยา

โรคยอดฮิตวัยทำงาน
เป็นโรคที่เกิดขึ้นโดยตรงกับพนักงานออฟฟิศ ด้วยพฤติกรรมส่วนใหญ่ที่ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์อยู่เป็นเวลานานโดยไม่ได้ขยับตัว จนทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการตึง
ก่อให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบได้ จากสถิติของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า “คนวัยทำงานร้อยละ 60 มีภาวะโรคออฟฟิศซินโดรม”
รู้จักอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง (Office Syndrome)
เกิดจากกล้ามเนื้อหดเกร็งตัวสะสมต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน จากการปวดอาจกลายเป็นการอักเสบเรื้อรัง หรือมีอาการรุนแรงมาก ทำให้หมอนรองกระดูกเคลื่อน
หรือเกิดกระดูกทับเส้นประสาทได้

ปวดตึงที่คอ บ่า ไหล่ ปวดจนยกแขนไม่ขึ้น
ปวดหลัง
ปวดขา และตึงที่ขา
ปวดศีรษะ ไมเกรน

โรคออฟฟิศซินโดรม...รักษาได้

นอกจากนี้แพทย์และนักกายภาพบำบัดจะให้การประเมิน และแนะนำเกี่ยวกับการออกกำลังกายบำบัด และการปรับพฤติกรรมให้เหมาะสมได้อย่างถูกต้อง
หากยังมีอาการปวดมากแพทย์อาจพิจารณาทำการรักษาจุดกระตุ้นปวดโดยใช้เข็ม หรือฉีดยาเข้าจุดกระตุ้นปวด เพื่อให้จุดกล้ามเนื้อที่ขมวดเกร็งคลายตัวออก
“โรคปวดกล้ามเนื้อจากการทำงาน สามารถป้องกันได้โโยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เมาะสม ปรับสภาพการทำงาน และการออกกำลังกายอย่างเสม่ำเสมอ”

สนใจดูแลสุขภาพก่อนที่จะต้องไปรักษากันดีกว่านะคะ
ปรึกษาโทร 061 383 1896

ที่อยู่

242สุวินทวงศ์แขวงแสนแสบเขตมีนบุรี
Bangkok
10510

เบอร์โทรศัพท์

+66613831896

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ศูนย์ดูแลสุขภาพ ปวด หลัง บ่า ไหล่ by tickผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง ศูนย์ดูแลสุขภาพ ปวด หลัง บ่า ไหล่ by tick:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์



คุณอาจจะชอบ