Si DBP: พัฒนาการและพฤติกรรมเด็กศิริราช

Si DBP: พัฒนาการและพฤติกรรมเด็กศิริราช สร้างเสริมพัฒนาการ เพื่อเพิ่มศักยภาพลูกน้อย

01/11/2025

พ่อแม่ต้องปรับการเลี้ยงดูอย่างไร? มาฟังจากผู้เชี่ยวชาญกันได้ที่
งานประชุมวิชาการภาควิชากุมารเวชศาสตร์✨
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
📅วันที่ 5-7 พฤศจิกายน 2568
📍ณ หอประชุมราชปนัดดาสิรินธร อาคารศรีสวิรินทิรา ชั้น 1 โรงพยาบาลศิริราช
#80ปีกุมารศิริราช

29/10/2025

🖤 พูดคุยกับลูกอย่างไร…ในช่วงไว้อาลัยแห่งชาติ

เพื่อถวายความเคารพต่อ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

👧 วัยอนุบาล (3–6 ปี)

เด็กวัยนี้ยังไม่เข้าใจความหมายของ “ความตาย” หรือ “การสูญเสีย” แต่จะ รับรู้จากบรรยากาศและอารมณ์ของผู้ใหญ่

💬 พูดคุยอย่างอ่อนโยน

“ตอนนี้คนไทยทุกคนใส่เสื้อสีดำ เพื่อแสดงความเคารพและคิดถึงสมเด็จพระราชชนนีพันปีหลวงนะลูก” “เรายังทำสิ่งดี ๆ เพื่อระลึกถึงท่านได้ เช่น วาดรูป ดอกไม้ หรือพูดคำดี ๆ กันในบ้าน”

🌷 ดูแลใจลูกวัยนี้
• ให้เล่นและยิ้มได้ การเล่นช่วยฟื้นฟูอารมณ์
• รักษาความปกติในชีวิตประจำวัน
• สอนผ่านแบบอย่าง เช่น “พูดดี ทำดี และช่วยกัน”

🧒 วัยประถมต้น (7–9 ปี)

เด็กวัยนี้เริ่มเข้าใจเรื่อง “การจากลา” ในระดับพื้นฐาน
เริ่มตั้งคำถาม เช่น “ท่านจากไปแล้วเหรอ” หรือ “ทำไมต้องใส่ดำ” และต้องการคำตอบที่จริง แต่ไม่ซับซ้อน

💬 พูดคุยอย่างเข้าใจ

“ตอนนี้คนไทยทุกคนแสดงความเคารพและระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระราชชนนีพันปีหลวง
เพราะท่านทรงทำสิ่งดีให้ประเทศมากมาย” “เราสามารถรำลึกถึงท่านได้ด้วยการตั้งใจเรียน ทำความดี และช่วยเหลือผู้อื่น”

🌿 ดูแลใจลูกวัยนี้
• เปิดโอกาสให้ถาม แล้วตอบด้วยความจริงใจแต่ไม่ละเอียดจนเกินวัย
• ชวนคิด “เราจะทำอะไรดี ๆ เพื่อระลึกถึงท่านได้บ้าง”
• ให้เด็กรู้ว่า “เศร้าได้ คิดถึงได้” แต่ชีวิตยังเดินต่อด้วยหัวใจสงบ
• ยกตัวอย่างกิจกรรม: วาดภาพ เขียนข้อความ “สิ่งดีที่อยากทำเพื่อท่าน”

🕊️ สิ่งที่เด็กทุกวัยจะเรียนรู้จากช่วงเวลาไว้อาลัย
• การเคารพและอยู่สงบ
• การเห็นคุณค่าของคนที่ทำเพื่อผู้อื่น
• การเรียนรู้ “ความเศร้า” อย่างเข้าใจและมีที่พึ่งทางใจ

แม้บรรยากาศจะเงียบลง แต่ในใจพ่อแม่ยังสามารถ “ปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความอ่อนโยนและเคารพ”
ให้เติบโตในใจลูกได้เสมอ

#พ่อแม่พอเพียง

#ไว้อาลัยด้วยใจสงบ

28/10/2025
ไขข้อข้องใจ เด็กอนุบาลหวงของ=ไม่มีน้ำใจ จริงหรือ?
28/10/2025

ไขข้อข้องใจ เด็กอนุบาลหวงของ=ไม่มีน้ำใจ จริงหรือ?

เด็กอนุบาล “หวงของ” — คือ ไม่มีน้ำใจ จริงหรือ?

ไม่ใช่เลยค่ะ 💬

“การหวงของ” เป็น พฤติกรรมตามพัฒนาการ ของเด็กวัยอนุบาล ช่วงอายุ 2–6 ปี เด็กเพิ่งเริ่มแยก “ของของฉัน” กับ “ของของคนอื่น” ออกจากกันได้

เขากำลังเรียนรู้เรื่อง ความเป็นเจ้าของ และ ความปลอดภัยทางใจ

ของรักของเขา…มักเป็นสิ่งที่ให้ความรู้สึกมั่นคง เช่น ตุ๊กตา ผ้าห่ม หรือของเล่นชิ้นโปรด

เพราะฉะนั้น

เด็กที่ “หวงของ” ยังไม่ได้แปลว่า “ไม่มีน้ำใจ”
แต่แปลว่าเขา ยังต้องการเวลาเรียนรู้การแบ่งปัน ต่างหาก

ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ช่วย “สอนความมีน้ำใจ” ได้อย่างไร?

1. เริ่มจากการยอมรับความรู้สึกของลูกก่อน
“หนูหวงตุ๊กตานี้ใช่ไหม แม่เข้าใจนะ เพราะหนูรักมันมาก” → เมื่อเด็กได้รับความเข้าใจ เขาจะพร้อมเปิดใจเรียนรู้มากขึ้น

2. ใช้ของร่วมกันในกิจกรรมเล็ก ๆ เช่น ระบายสีด้วยกัน เล่นบล็อกคนละสี เด็กจะค่อย ๆ เห็นว่าการแบ่งปัน “ทำให้สนุกกว่าเดิม”

3. สาธิตให้ดูผ่านการกระทำของพ่อแม่ เช่น พ่อแม่แบ่งของ ใช้คำพูดอบอุ่น เช่น “แม่ให้พ่อก่อนนะ เดี๋ยวแม่ต่อ” → เด็กเรียนรู้จากการเห็นซ้ำ ๆ

4. ชมเชยเมื่อเห็นน้ำใจเล็ก ๆ “แม่เห็นหนูแบ่งขนมให้น้องเมื่อกี้ แม่ดีใจมากเลย” การสะท้อนพฤติกรรมดี ทำให้เด็กอยากทำอีก

5. ค่อย ๆ ขยายจาก “แบ่งของ” ไปสู่ “แบ่งใจ”
เช่น ช่วยเพื่อนเวลาล้ม รอคิวก่อนเล่นของเล่น สอนให้รู้ว่า “น้ำใจ” คือการทำให้คนอื่นรู้สึกดี ไม่ใช่แค่แบ่งของ

เด็กที่ “รู้ว่าของตัวเองมีค่า” จะเติบโตไปเป็นเด็กที่ “เห็นคุณค่าของคนอื่น” ได้เช่นกัน

#พ่อแม่พอเพียง
#พัฒนาการเด็กอนุบาล
#สอนลูกมีน้ำใจ

#แบ่งปันด้วยใจ

ขอน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงข้าพระพุทธเจ้าคณะผู้บริห...
25/10/2025

ขอน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของ
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ข้าพระพุทธเจ้า
คณะผู้บริหาร คณาจารย์ บุคลากร และนักศึกษา
ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

#ธสถิตในใจไทยนิรันดร์ #กุมารศิริราช

10/10/2025

🕰️ Time Management

ทักษะสำคัญของสมอง EF ที่ไม่ได้เกิดขึ้นเอง

รู้ไหมว่า… “การบริหารเวลา” (Time Management)

เป็นหนึ่งในทักษะสมองส่วนหน้า (Executive Function) ที่ซับซ้อนที่สุด! เด็กต้องอาศัยทั้ง “การวางแผน (Planning)” “การจดจำลำดับงาน (Working Memory)” และ “การยับยั้งชั่งใจ (Inhibition)” ทำงานร่วมกัน

ดังนั้น

เด็กจะยังไม่สามารถบริหารเวลาได้ด้วยเองจนถึงวัยรุ่นตอนปลาย

👶 แล้วเราจะเริ่มฝึกได้เมื่อไหร่?

วัย 3–5 ปี: เด็กเริ่มเข้าใจ “ก่อน–หลัง”
👉 พ่อแม่ช่วยตั้งกิจวัตรที่คงที่ เช่น “หลังแปรงฟัน = เข้านอน”

วัย 6–8 ปี: เด็กเริ่มประมาณเวลาได้
👉 พ่อแม่ใช้ นาฬิกาทรายหรือตัวจับเวลา ให้เด็กเห็นเวลาชัดเจน

วัย 9–12 ปี: เด็กเริ่มจัดลำดับงานได้บ้าง
👉 พ่อแม่ช่วยทำ ตารางเวลา ร่วมกัน และคอยสะท้อนสิ่งที่ทำได้ดี

วัย วัยรุ่นต้น–กลาง: เริ่มวางแผนและตั้งเป้าหมายได้เองมากขึ้น
👉 แต่ก็ยังต้องมี “ผู้ใหญ่คอยโค้ช” อยู่เบื้องหลัง

EF ด้าน Time Management จะไม่เกิดขึ้น… ถ้าเด็กถูกปล่อยให้จัดการเองตั้งแต่ต้น เพราะสมองยังต้อง “เรียนรู้จากโครงสร้างภายนอก” ก่อน จนกว่าจะสร้าง “โครงสร้างภายใน” ของตัวเองได้

❤️ บทบาทของพ่อแม่

- สร้างกิจวัตรที่คงที่ (Routine = โครงสร้างสมอง)
- ชวนกันวางแผนล่วงหน้า จะทำอะไร ก่อน-หลัง
- ใช้เวลาเป็นสัญญาณ เช่น เพลงหมด = เก็บของ
- สะท้อนให้คิดทุกครั้ง “ทำไมทัน / ทำไมไม่ทัน” เพราะอะไร แก้ไขยังไง เพื่อฝึกการคิดวิเคราะห์
- ฝึก “ประเมินเวลา” เช่น “คิดว่าใช้เวลาเท่าไหร่?” แล้วจับเวลาเทียบจริง
- ชื่นชมเมื่อเด็กเริ่มจำเวลาเองได้

💬 เด็กที่ฝึกบริหารเวลาได้ดี จะโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ “รู้คุณค่าของเวลา” และ “ไม่หลงทางในความเร่งรีบ”

#พ่อแม่พอเพียง #พัฒนาEFผ่านชีวิตประจำวัน

ไม่เร่งเรียน แต่ต้องสอนทักษะพื้นฐานการอ่านในวัยอนุบาลไหม มาหาคำตอบกับค่ะ 👇🏻👇🏻
05/10/2025

ไม่เร่งเรียน แต่ต้องสอนทักษะพื้นฐานการอ่านในวัยอนุบาลไหม

มาหาคำตอบกับค่ะ 👇🏻👇🏻

สืบเนื่องมาจากโพสก่อนหน้า ที่อาจจะทำให้หลายคนสับสนว่า เอ๊ะ จะเรียน หรือ จะเล่นดี ในวัยอนุบาล และก็กลัวว่าจะทำให้หลายๆคนเข้าใจว่าไม่ต้องสอนอ่าน แล้วละเลยการปูพื้นฐานการอ่านที่สำคัญ เลยอยากขอตอบคำถาม ว่าควร ทั้งเรียน และ เล่น โดยต้องเรียนรู้ผ่านการได้เล่น ได้ลงมือทำ ไม่ใช่แค่เร่งให้อ่านเขียนได้แบบไม่เข้าใจพัฒนาการของเด็ก และ การเรียนต้องเหมาะสมกับสิ่งที่สมองเปิดประตูพร้อมรับ เด็กถึงจะได้ประโยชน์จริงๆ

วันนี้มาเรียนรู้กันว่า

เมื่อไหร่กันนะ…ที่เด็กจะ “อ่านคำที่มีตัวสะกด” ได้จริง?

คำว่า “บ้าน – ดิน – นอน” ฟังดูง่ายสำหรับผู้ใหญ่
แต่สำหรับเด็กเล็ก มันคือก้าวสำคัญจาก “การจำคำ” ไปสู่ “การอ่านอย่างเข้าใจ”

พื้นฐานก่อนจะอ่าน “คำที่มีตัวสะกด” ได้

ก่อนที่เด็กจะอ่านคำเหล่านี้ได้ เขาต้องค่อย ๆ พัฒนาทักษะสำคัญ 3 อย่างนี้ก่อนค่ะ

1️⃣ การตระหนักรู้เสียง (Phonological Awareness)
เด็กต้องฟังแยกเสียงต้น กลาง ท้ายของคำได้ เช่น
รู้ว่า “มา” กับ “ม้า” ต่างกันที่เสียงสั้น–ยาว และรู้ว่า “ดิน” มีเสียง “น” ปิดท้าย

2️⃣ การจับคู่เสียงกับตัวอักษร (Phonics) เมื่อเด็กเข้าใจเสียงแล้ว เขาต้องรู้ว่าตัวอักษรใดแทนเสียงนั้น เช่น ตัว “น” ออกเสียง /n/ และสามารถผสมเสียงได้ว่า “ด – ิ – น → ดิน”

3️⃣ การผสมเสียง (Blending Skills) คือขั้นที่เด็กผสมเสียงพยัญชนะ–สระ–ตัวสะกดได้ต่อเนื่อง โดยไม่ต้องหยุดทีละพยางค์

ดังนั้นมารู้จัก พัฒนาการด้านการอ่านตามวัยกันค่ะ

เด็กวัย 4–5 ปี มักเริ่มจากการรู้จักพยัญชนะและสระ
และอ่านคำง่าย ๆ ที่ไม่มีตัวสะกดได้ เช่น “กา – มา – นา”

เมื่อถึง 5–6 ปี เด็กเริ่มสังเกตเสียงท้ายของคำได้ ฟังออกว่า “บ้าน ดิน นอน” มีเสียงปิด แต่ยังต้องอาศัยการชี้และอ่านซ้ำจากผู้ใหญ่

พอเข้าสู่ 6–7 ปี เด็กส่วนใหญ่เริ่มอ่านคำที่มีตัวสะกดง่าย ๆ ได้ ถ้าได้รับการฝึก phonics อย่างต่อเนื่อง

และเมื่อถึง 7–8 ปี การอ่านจะคล่องขึ้น สามารถอ่านคำที่ซับซ้อน เช่น “เครื่องบิน – สวนสัตว์ – ว่ายน้ำ” ได้อย่างมั่นใจ

โดยทั่วไป เด็กจึงเริ่ม “อ่านคำที่มีตัวสะกดได้จริง” ช่วงอายุประมาณ 6–7 ปี แต่ถ้าได้ฝึกฟังเสียงและเชื่อมโยงเสียงกับตัวอักษรตั้งแต่ปลายอนุบาล เขาจะพร้อมอ่านคำสะกดได้เร็วกว่าค่าเฉลี่ยค่ะ

สิ่งที่งานวิจัยบอกเรา ว่า เริ่มสอนพื้นฐานการอ่านตั้งแต่วัยอนุบาล ดีอย่างไร คือ

❤️ เด็กก่อนวัยเรียนที่เรียนรู้การฟังแยกเสียงพยัญชนะ
และจำตัวอักษรได้ จะมีพัฒนาการด้าน “พื้นฐานการอ่าน” ดีขึ้นอย่างชัดเจน

❤️ เด็กที่ได้ฝึกฟังและผสมเสียงมาก่อน เมื่อเข้าสู่ประถม จะจัดการกับโครงสร้างคำและตัวสะกดได้ดีขึ้น
แปลว่า เด็กวัยก่อนประถมสามารถ “เตรียมพร้อมในการอ่านคำสะกด” ได้จริง ถ้ามีการฝึกที่เป็นระบบ เหมาะสม และไม่เร่งเกินไป

❤️ เมื่อเข้า ป.1 แล้ว ปัจจัยที่มีผลต่อการอ่านจะเปลี่ยนไปเป็น “ความรู้ตัวอักษร” และ “ความเร็วในการเชื่อมโยงเสียงกับคำ” ดังนั้นเด็กที่ฝึกฟังและรู้จักเสียงตัวอักษรจนคล่องจะอ่านคำที่มีตัวสะกดได้เร็วและมั่นใจกว่า

สรุปสำหรับพ่อแม่และครู

เด็กจะเริ่มอ่านคำที่มีตัวสะกดได้จริงเมื่อ…
• ฟังแยกเสียงต้น–ท้ายของคำได้
• เข้าใจเสียงของตัวอักษรแต่ละตัว
• ได้ฝึกผสมเสียงอย่างเป็นระบบ

สิ่งสำคัญไม่ใช่การเร่งให้เด็กอ่านเร็วที่สุด แต่คือการให้เวลาในการสร้าง “พื้นฐานเสียงที่มั่นคง” เพราะการอ่านที่แท้จริงไม่ใช่การจำคำ แต่คือการเข้าใจว่า “เสียงกับอักษร” ทำงานร่วมกันอย่างไร

“อย่าเร่งให้ลูกอ่านคำสะกดก่อนเวลา แต่จงให้เขาได้ฟัง จับเสียง และเชื่อมโยงเสียงกับตัวอักษร เพราะเมื่อรากฐานเสียงแข็งแรง — การอ่านจะงอกงามเองตามวัย”

#พัฒนาการการอ่าน


#พ่อแม่พอเพียง

เพราะอะไร เด็กอนุบาลถึงโกหกไม่เป็น คุณพ่อคุณแม่ที่รู้สึกว่าลูกเราพูดไม่ตรงกับความจริง มาหาคำตอบกันค่ะ ว่าเพราะอะไร จะแก้...
04/10/2025

เพราะอะไร เด็กอนุบาลถึงโกหกไม่เป็น

คุณพ่อคุณแม่ที่รู้สึกว่าลูกเราพูดไม่ตรงกับความจริง มาหาคำตอบกันค่ะ ว่าเพราะอะไร จะแก้ไขส่งเสริมได้ยังไง

👇🏻👇🏻👇🏻

มารู้จัก ABC technique กันค่ะ
03/10/2025

มารู้จัก ABC technique กันค่ะ

“ABC Technique” ตัวช่วยกำกับพฤติกรรมลูก

เคยสงสัยไหมว่า…
ทำไมลูกบางครั้งดื้อ ร้องไห้ หรือไม่ยอมทำตามที่บอก?
จริง ๆ แล้ว พฤติกรรมของเด็ก มีเหตุและมีผลเสมอ
และเราสามารถเข้าใจได้ด้วย ABC Technique

✨ A – Antecedent (สิ่งที่มาก่อน)
สิ่งกระตุ้นที่เกิดขึ้น เช่น แม่บอกให้เก็บของเล่น

✨ B – Behavior (พฤติกรรม)
สิ่งที่ลูกทำออกมา เช่น ร้องไห้ โยนของ

✨ C – Consequence (ผลลัพธ์)
สิ่งที่ตามมาหลังพฤติกรรม เช่น แม่เก็บให้แทน

👉 ลูกเลยเรียนรู้ว่า “ถ้าร้องไห้แรง ๆ = ไม่ต้องเก็บเอง”

✅ แล้วพ่อแม่จะทำอย่างไรดี?

ถ้าจะปรับพฤติกรรม → ต้องเปลี่ยน C เช่น ให้เด็กหยุดร้องก่อน แล้วจึงสอนเก็บของเอง หรือช่วยกันทำบางส่วน ไม่ทำแทนทั้งหมด
• ชมทันที เมื่อทำพฤติกรรมถูกต้อง
• สม่ำเสมอ เด็กจะค่อย ๆ เรียนรู้ว่าพฤติกรรมดี → ได้ผลลัพธ์ดี

ถ้าจะปรับ A รอบหน้า (Antecedent ใหม่)
• A: แม่บอกล่วงหน้า “อีก 5 นาทีเราจะเก็บของเล่นนะลูก” พร้อมตั้งนาฬิกา หรือร้องเพลงสั้น ๆ เตือน
• B: เด็กรู้ตัวล่วงหน้า → ลดการต่อต้าน ยอมเก็บบางส่วน
• C: แม่ชมทันทีที่ลูกช่วยเก็บ → ลูกมีกำลังใจ

👉 คราวนี้เด็กเรียนรู้ว่า “ถ้าเก็บของ → ได้คำชม”

สรุป:
• เปลี่ยน C = เปลี่ยนผลลัพธ์หลังพฤติกรรม
• เปลี่ยน A = ลดแรงต้านตั้งแต่ต้นทาง

ลอง “จับตาดู ก่อน–ระหว่าง–หลัง” พฤติกรรมลูก แล้วเราจะหาคำตอบได้เสมอ


#กำกับพฤติกรรมลูก

#เลี้ยงลูกเชิงบวก
#พ่อแม่พอเพียง

พยายามแล้วแต่ลูกก็ยังไม่ชอบ  ลูกเพื่อนพร้อมแล้ว …แต่ลูกเราไม่พร้อมหนักใจแค่ไหน ต้องทำอย่างไร มาลองหาคำตอบกันค่ะ
28/09/2025

พยายามแล้วแต่ลูกก็ยังไม่ชอบ

ลูกเพื่อนพร้อมแล้ว …แต่ลูกเราไม่พร้อม

หนักใจแค่ไหน ต้องทำอย่างไร มาลองหาคำตอบกันค่ะ

ที่อยู่

รพ. ศิริราช
Bangkok Noi
10700

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Si DBP: พัฒนาการและพฤติกรรมเด็กศิริราชผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ประเภท