Remind Clinic รีมายด์ ให้บริการปรึกษา บำบัด ทางด้านจิตใจ และทำแบบทดสอบ การตรวจวินิจฉัยโดยนักจิตวิทยาคลินิก

เคยฝันถึงอะไรแปลกๆกันมั้ย แล้วอยากรู้มั้ยว่าแต่ล่ะความฝันของเรากำลังบ่งบอกถึงสภาพจิตของเราแบบไหนบ้าง? 5 แนวทางการตีความ ...
16/11/2025

เคยฝันถึงอะไรแปลกๆกันมั้ย แล้วอยากรู้มั้ยว่าแต่ล่ะความฝันของเรากำลังบ่งบอกถึงสภาพจิตของเราแบบไหนบ้าง?

5 แนวทางการตีความ “ความฝัน” ทางจิตวิทยา ที่นักจิตวิทยาใช้ศึกษาสภาวะทางจิตของคนเรา👇

🧠 1. การประมวลอารมณ์และความทรงจำ (Emotional processing / Memory consolidation)

ความฝันเป็นกระบวนการที่สมองจัดการอารมณ์และคัดกรองข้อมูลจากวันที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วง REM sleep สมองจะ “เรียบเรียง” ความทรงจำ และช่วยลดความตึงเครียดทางอารมณ์

👉 หมายความว่า ถ้าเราฝันถึงเหตุการณ์ซ้ำ ๆ จากชีวิตจริง อาจเป็นเพราะสมองกำลังพยายาม “ทำความเข้าใจ” หรือ “เยียวยา” อารมณ์นั้นอยู่

🌑 2. การแสดงออกของความปรารถนาในจิตไร้สำนึก (Freudian view)

ซิกมันด์ ฟรอยด์มองว่า ความฝันคือ “ทางออกของจิตใต้สำนึก” ที่เผยความปรารถนา ความกลัว หรือความขัดแย้งที่ถูกกดไว้

👉 ตัวอย่างเช่น ฝันว่าบินได้ อาจแทนความต้องการอิสระ หรือฝันว่าหนีบางสิ่ง อาจสะท้อนความกลัวในชีวิตจริง

🌕 3. การบูรณาการตัวตน (Jungian archetypes / Self-integration)

คาร์ล ยุง มองว่าภาพในฝันมักเป็น “อาร์เคไทป์” หรือสัญลักษณ์สากลที่ช่วยให้เราเข้าใจด้านที่ซ่อนอยู่ในจิตใจ เช่น เงา (shadow), จิตหญิง (anima), จิตชาย (animus)

👉 ความฝันจึงช่วยให้เรามี “ความสมดุลทางจิต” และเติบโตภายในมากขึ้น

🌫 4. การสะท้อนความเครียดหรือความวิตกกังวล (Anxiety / Stress dreams)

ฝันว่าถูกไล่ตาม ล้มไม่หยุด หรือหลงทาง มักเกิดขึ้นเมื่อเรามีความเครียด ความกลัว หรือแรงกดดันที่ยังไม่ได้คลี่คลาย

👉 สมองใช้ฝันเป็น “ทางระบาย” เพื่อจำลองสถานการณ์และเตรียมเรารับมือกับความรู้สึกเหล่านั้น

🌙 5. การฝึกซ้อม/แก้ปัญหาและสร้างสรรค์ (Problem-solving & Creativity)

งานวิจัยพบว่า ความฝันอาจช่วยให้สมอง “ทดลองสถานการณ์” หรือเชื่อมโยงความคิดต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เป็นเหตุผลว่าทำไมบางคนถึง “ได้ไอเดียดี ๆ” ตอนตื่น

👉 เช่น นักวิทยาศาสตร์และศิลปินหลายคนเคยบอกว่า “ความคิดสำคัญเกิดจากความฝัน”

⛅️ รีมายด์พร้อมรับฟัง ด้วยความเข้าใจ
📲 ทักไลน์เลย:
Tel : 086-441-5254

#ฝันว่าบินได้ #สุขภาพจิตดี #ความฝัน
#นักจิตวิทยา #ปรึกษาปัญหาชีวิต

16/11/2025

“No1 นักวิทยาศาสตร์สมอง สมองของคุณกำลังโกหกคุณอยู่หรือไม่ มาค้นหาความจริงกัน”
นี่คือชื่อหัวข้อคลิป บทสนทนาในรายการ The Diary of CEO ของ สตีเว่น บาร์ทเลต

กับ DR. JILL BOLTE TAYLOR นักประสาทกายวิภาค จาก Harvard
เจ้าของผลงานหนังสือ“Whole Brain Living”
ก็ชวนให้ผมกดเข้าไปฟังด้วยความสนใจ

และนี่คือสิ่งที่ผมจะสรุปมาเล่าให้คุณได้เข้าใจสมองของคุณมากขึ้นเกี่ยวกับ
4 บุคลิกภาพของสมองที่สั่งการและควบคุมคุณ

ดร. เทย์เลอร์ เปิดบทสนทนาเกี่ยวกับความสนใจของเธอ
เธอบอกว่า เธอมีพี่ชายที่ป่วยเป็นจิตเภท ทำให้เธอสนใจ
และตั้งคำถามว่าทำไมพี่ชายเธอถึงมีอาการแบบนี้
นั่นจึงทำให้เธอหลงใหล ด้านชีววิทยาและกายวิภาค

ดร. เทย์เลอร์ อธิบายว่าสมองของมนุษย์มี สี่ส่วนที่มีโครงสร้างทางกายวิภาคที่แตกต่างกัน
ซึ่งกำหนดรูปแบบความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมของมนุษย์โดยอัตโนมัติ
เมื่อเราเข้าใจหน้าที่ของเซลล์สมองเหล่านี้ เราจะสามารถเลือกที่จะเป็นใครและเป็นอย่างไรในทุกช่วงเวลาได้
แต่ละคนมีบุคลิกภาพที่คาดเดาได้สี่แบบ (Four predictable character profiles)
ตามลักษณะทางกายวิภาคของสมอง

1.บุคลิกภาพที่ 1 : เฮเลน หรือ สมองซีกซ้ายส่วนความคิด (Left Thinking)

◦ เป็นส่วนที่เน้นการใช้ ตรรกะ เหตุผล การวิเคราะห์ และรายละเอียด
◦ ชอบควบคุม ผู้คน สถานที่ สิ่งของ และเวลา
◦ เป็นศูนย์กลางของ อัตตา (Ego center) ที่กำหนดความเป็น "ฉัน"
◦ เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาษา การอ่าน การเขียน และคณิตศาสตร์
◦ สังคมให้คุณค่ากับสมองซีกซ้ายส่วนนี้มากเกินไป ทำให้เรามีแนวโน้มที่จะขาดความสมดุล
◦ ดร. เทย์เลอร์เรียกส่วนนี้ว่า "เฮเลน" (Helen) หรือ "hell on wheels" ซึ่งเป็นส่วนที่ทำงานได้ดีในการให้ข้อเท็จจริงและรายละเอียด

2. บุคลิกภาพที่ 2 : แอ็บบี้ สมองซีกซ้ายส่วนอารมณ์ (Left Emotion)

◦ เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับ การบาดเจ็บทางจิตใจ (trauma) ในอดีต
◦ มีแนวโน้มที่จะหาเหตุผลในการ ตอบสนองทางอารมณ์ อย่างรุนแรง
◦ ความอยาก (cravings) และการเสพติด (addiction) อยู่ในส่วนนี้ของระบบลิมบิก (Limbic System)
◦ สมองส่วนนี้มักจะไม่ค่อยมีความสุขเนื่องจากเก็บความเจ็บปวดในอดีตไว้
◦ ดร. เทย์เลอร์เรียกส่วนนี้ว่า "แอ็บบี้" (Abby)

3. บุคลิกภาพที่ 3 (Character 3): สมองซีกขวา ส่วนอารมณ์ (Right Emotion)

◦ เป็นส่วนที่เกี่ยวกับประสบการณ์ "ที่นี่และเดี๋ยวนี้" (right here right now) ทางอารมณ์
◦ มีความ สนุกสนาน ขี้เล่น เหมือนเด็ก เธอขยายว่า เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอารมณ์ความรู้สึก
◦ มักไม่คิดถึงผลที่ตามมาของพฤติกรรม และสมองส่วนนี้แหละที่ทำเราเข้าคุก เพราะทำอะไรแบบขาดการยั้งคิด
◦ เป็น "การหยุดพัก" หรือ "การเติมพลัง" ที่ช่วยลดความเครียด

4. บุคลิกภาพที่ 4 (Character 4): สมองซีกขวา ส่วนคิด (Right Thinking)

◦ เป็นส่วนแห่ง สติปัญญาและความรู้ (wisdom) ที่ได้มาจากการเรียนรู้และประสบการณ์
◦ ทั้งหมดที่ส่วนนี้สนใจคือความรู้สึกสงบสุขและความมหัศจรรย์ของการมีชีวิตอยู่
◦ เป็นส่วนที่เชื่อมโยงเราเข้ากับ สันติสุข (peace) และความรู้สึกของการเชื่อมต่อกับบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวตน (universe)

สมองส่วนฮิปโปแคมปัส คือส่วนที่ใช้สำหรับเรียนรู้
และสมองส่วนอะมิกดาล่า คือส่วนทำหน้าที่เป็นสัญญาณตรวจจับภัยคุกคาม และถามว่าคุณปลอดภัยไหม
ระบบสมองจะมี 2 ซีก คือสมองซีกซ้าย และ สมองซีกขวา
ยกตัวอย่างเหตุการณ์เมื่อเราเห็นงู
อะมิกดาล่าด้านขวา(ส่วนอารมณ์) จะบอกว่า “อันตราย” ฉันจะปลอดภัยไหม
แล้วจากนั้นอะมิกดาล่าด้านซ้าย(ส่วนตรรกะ) ก็จะบอกคุณว่า นั่นงู นั่นไม่ปลอดภัย ไล่มันไปหรือหนีไป
เมื่อ อะมิกดาล่าของคุณสงบลง
ฮิปโปแคมปัส ที่มีสองส่วนจะทำหน้าที่เรียนรู้เหตุการณ์นั้น
ถ้าคุณกำจัด อะมิกดาล่า คุณจะไม่รู้สึกกลัวเลย
ถ้าคุณกำจัด สมองส่วนภาษา คุณจะพูดไม่เป็นภาษา
ถ้าคุณกำจัด สมองส่วนทักษะเคลื่อนไหว คุณจะเป็นอัมพาต
ความสามารถที่เรามีขึ้นอยู่กับสมองส่วนความสามารถที่ทำหน้าที่นั้น

ความไม่สมดุลและการใช้ชีวิตแบบ "สมองทั้งหมด"

• สังคมเรามีความเอนเอียงไปยังสมองซีกซ้าย (Left brain) มากเกินไป ซึ่งมุ่งเน้นที่ "ฉัน" (me) และทำให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น วิกฤตสุขภาพจิต ความเห็นแก่ตัว และการแบ่งแยก
• สมองซีกขวา (Right brain) มีความสนใจใน การเชื่อมต่อ (connection) และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ("เรา”)
• เป้าหมายคือการใช้ชีวิตแบบ "สมองทั้งหมด" (whole brain living) โดยการสร้างสมดุลระหว่างทั้งสี่ส่วน
• การฝึกฝน (Practice): ขั้นตอนแรกในการควบคุมสมองคือการ
สังเกตตัวเอง ว่ากำลังใช้บุคลิกภาพใดอยู่ (เช่น กำลังเป็น Character 1 ที่จัดระเบียบ หรือ Character 2 ที่เก็บความแค้น)

“เราสร้างสมดุลย์ของสมอง ด้วยการรู้ตัวว่าเรายังมีชีวิตอยู่ และนั่นเป็นของขวัญล้ำค่าที่สุด”

ในฐานะนักประสาทกายวิภาคศาสตร์เชิงเซลล์ (cellular neuroanatomist), ดร. เทย์เลอร์เน้นย้ำถึงการดูแลเซลล์สมอง:
• การนอนหลับ (Sleep): เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะช่วยให้ไมโครเกลีย (microglia) ออกมากำจัดของเสียและทำความสะอาดสมอง
• อารมณ์อยู่ได้เพียง 90 วินาที: หากคุณรู้สึกโกรธหรือมีอารมณ์รุนแรง วงจรปฏิกิริยาทางอารมณ์ (emotional reflex) จะใช้เวลาเพียง น้อยกว่า 90 วินาที หากคุณไม่คิดซ้ำๆ เพื่อกระตุ้นความคิดนั้นใหม่
• โภชนาการ (Nutrition): ควรทานผลไม้สดและผักสด หลีกเลี่ยงน้ำตาลและสารกันบูด เพราะสารเหล่านี้สามารถ "รักษาสภาพ" เซลล์ของคุณได้ น้ำตาลไม่ใช่ทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ
• ความชุ่มชื้น (Hydration): ร่างกายของเราเป็นก้อนของเหลว (liquid ball) ขนาดใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยเซลล์ที่มีน้ำอยู่ และต้องการความสมดุลของน้ำ
• การเคลื่อนไหว (Movement): การเคลื่อนไหวร่างกาย (เช่น การเต้นรำ) ช่วยให้เราเข้าสู่ Character 3 (ความสนุกสนาน) ซึ่งเป็นเหมือนการหยุดพักจากความเครียด

ดร. เทย์เลอร์ ประสบภาวะเส้นเลือดในสมองแตกในซีกซ้าย (hemorrhagic stroke) ในปี 1996
ซึ่งทำให้ความสามารถในการใช้ภาษา ตัวตน (Jill Bolte Taylor) และตัวเลขหายไป
เธอใช้เวลา 8 ปีในการฟื้นตัว โดยต้องใช้สมองซีกขวาเพื่อสร้างวงจรประสาทของสมองซีกซ้ายขึ้นมาใหม่
เธอไม่ได้ตั้งใจที่จะกลับไปเป็นตัวตนเดิมก่อนที่จะเกิดอาการป่วย
เธอถือว่า โรคหลอดเลือดสมองเป็นของขวัญ
เพราะมันทำให้เธอเป็นอิสระจากการใช้ชีวิตตามความคาดหวังของผู้อื่น
และทำให้เธอได้เชื่อมต่อกับความรู้สึกปีติสุข (blissful euphoria)
และความรู้สึกมหัศจรรย์ของการมีชีวิต

ดร. เทย์เลอร์ย้ำว่า
ชีวิตของเรามีค่าเพียงพอที่จะหยุดพัก 30 วินาที
(Take a breath Take a pause and save your own life)
หายใจเข้าลึกๆ พักสักครู่ รักษาชีวิตเอาไว้

เมื่อเราเข้าใจกระบวนการทำงานบุคลิกของสมองทั้ง 4 ส่วน
จะทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมของผู้คนมากขึ้น

นอกจากนี้ในรายการยังมีช่วงการทดลองฝึกสมอง ด้วยการสวมแว่นตาปิดทึบ
ซึ่งน่าสนใจมากๆ ใครที่ชอบเรื่องราวเกี่ยวกับ สมอง และ การเรียนรู้
สามารถเข้าไปชมคลิปเต็ม ผมแปะลิ้งไว้ให้เพิ่มเติมในคอมเมนต์นะครับ



11.11 Happy Mind Day 💫เพราะใจเราก็ต้องการการดูแลเหมือนร่างกาย 🫶พบกับ โปรโมชั่นพิเศษเฉพาะวันที่ 11 พ.ย.นี้เท่านั้น!จองคิว...
11/11/2025

11.11 Happy Mind Day 💫
เพราะใจเราก็ต้องการการดูแลเหมือนร่างกาย 🫶
พบกับ โปรโมชั่นพิเศษเฉพาะวันที่ 11 พ.ย.นี้เท่านั้น!
จองคิวปรึกษานักจิตวิทยาในราคาสบายใจ 💬
ให้คุณได้พักใจ เติมพลัง และเริ่มต้นปีใหม่ด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง 🌈

เฉพาะวันที่11 - 17 กันยายนเท่านั้น 🗓️
✔️ Online 60 นาที เพียง 1,611.-
✔️ Online 30 นาที เพียง 811.-
ปรึกษาแบบคู่ 2411 .-

ให้โปร เป็นก้าวแรกเล็ก ๆ ที่พาใจคุณกลับมาเข้มแข็งและสดใสอีกครั้ง"
⛅️ รีมายด์พร้อมรับฟัง ด้วยความเข้าใจ
📲 ทักไลน์เลย:
Tel : 086-441-5254

#รักตัวเอง #สุขภาพจิตดี
#นักจิตวิทยา #ปรึกษาปัญหาชีวิต

05/11/2025

#โรควิตกกังวลกับความเจ็บป่วย ( Illness Anxiety Disorder)

~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•

วันนี้เรามารู้จักอีกโรคหนึ่งทางจิตเวชกันครับ ... นั่นคือโรคกังวลว่าจะเป็นโรค 🙂

ภาวะนี้ เดิมที(ในเกณฑ์การวินิจฉัยฉบับ DSM-IV) เรียกว่าโรค hypochondriasis

ส่วนในการวินิจฉัยทางจิตเวชในปัจจุบัน (DSM-5) ใช้คำว่า illness anxiety disorder ซึ่งในภาษาไทยผมแปลตรงตัวเลยว่า
“โรควิตกกังวลกับความเจ็บป่วย”

> อาการเด่น คือ
ผู้ป่วยจะกังวลหมกมุ่นว่าตัวเองเป็นโรคร้ายแรงอะไรบางอย่าง โดยความกังวลนี้เป็นอย่างรุนแรง ต่อเนื่อง และไม่หายไป แม้แพทย์จะตรวจยืนยันแล้วว่าไม่เป็นอะไรก็ตาม (หรืออาการนั้นอาจหายไปแล้วก็ตาม)

> พบได้บ่อยแค่ไหน?
พบได้ร้อยละ 1-2 ในประชากรทั่วไป
และพบมากถึงร้อยละ 3-8 ของผู้ป่วยในคลินิกหรือโรงพยาบาล

> อาการของโรควิตกกังวลกับความเจ็บป่วย
โรคนี้จะมีอาการเด่น 3 ข้อดังต่อไปนี้

1. ผู้ป่วยจะกังวลและหมกมุ่นว่าตัวเองป่วยหรือกำลังจะป่วยด้วยโรคทางกายที่ร้ายแรงบางอย่าง

2. ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ได้มีอาการทางกายที่รุนแรงหรือชัดเจน หรือถ้ามีก็เป็นเพียงอาการเล็กน้อย/ชั่วคราว ที่ไม่ได้บ่งชี้ว่าเป็นโรคที่รุนแรง

3. ความกังวลและหมกมุ่นนี้ไม่หายไป แม้จะไปตรวจ และแพทย์ไม่พบความผิดปกติที่ร้ายแรงก็ตาม ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีพฤติกรรมไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจซ้ำๆ


จุดสำคัญ ก็คือ
ผู้ที่ป่วยมักจะมีอาการทางกายเพียง *เล็กน้อย*ที่ *พบได้ทั่วไป* หรือคนส่วนใหญ่ก็เป็น
เช่น ปวดหัว แสบลิ้นปี่ ปวดหลัง หรือปวดกล้ามเนื้อ เป็นต้น

แต่ ผู้ป่วยจะมีความกังวล *อย่างมาก* ว่าจะเป็นโรคร้ายแรง
เช่น ปวดหัวก็กลัวว่าจะเป็นเนื้องอกในสมอง หรือแสบท้องก็กังวลว่าจะเป็นมะเร็ง

* แม้ว่าจะได้รับการตรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว *

ผู้ป่วยจึงมักไปตรวจกับแพทย์ แต่ถึงแม้ว่าแพทย์กี่คนๆจะตรวจ และบอกว่าไม่ได้เป็นโรคร้ายแรง หรือตรวจไม่พบความผิดปกติอะไร ผู้ป่วยก็ยังไม่หายกังวล หรือหายก็หายเพียงไม่นาน เมื่อมีอาการอีกก็กลับมากังวลใหม่

ทำให้ผู้ป่วยมักมีพฤติกรรมไปพบแพทย์ซ้ำๆ โดยอาจจะเป็นแพทย์คนเดิมหรือเปลี่ยนแพทย์คนใหม่ไปเรื่อยๆ เพื่อขอตรวจซ้ำๆ

ผู้ป่วยส่วนหนึ่งนอกจากไปพบแพทย์แล้วอาจหาข้อมูลด้วยตัวเอง เช่น ค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ซึ่งผู้ป่วยหลายคนยิ่งอ่าน ก็ยิ่งกังวลมากขึ้น หรือกลัวว่าจะเป็นโรคอื่นๆ (ที่พึ่งอ่านเจอ) มากขึ้น

> การดำเนินโรค

โรควิตกกังวลกับความเจ็บป่วยนี้ส่วนใหญ่จะพบในวัยผู้ใหญ่ ในขณะที่เด็กกับวัยรุ่นแทบจะไม่เป็นเลย
โดยตัวโรคมักเป็นแบบเรื้อรัง ผู้ป่วยจะอาการติดต่อกันหลายปี
โดยมีอาการรุนแรงเป็นพักๆ ในช่วงที่มีความเครียดในชีวิต หรือบังเอิญมีความเจ็บป่วยทางกายเกิดขึ้น

> การรักษา

ยาหลักคือ ยาต้านเศร้า(antidepressant) บวกกับยาตัวช่วย เช่น ยาคลายกังวล จะช่วยให้อาการดีขึ้น
นอกจากนี้การปรับพฤติกรรม และวิธีคิด รวมถึงการทำจิตบำบัดจะช่วยให้ดีขึ้นได้
แต่ดีที่สุดคือใช้ทั้งสองอย่างร่วมกัน

แต่...
ส่วนใหญ่ผู้ป่วยไม่ได้มาพบจิตแพทย์หรอกครับ แต่จะไปวนเวียนอยู่กับแพทย์สาขาอื่นๆ เพราะความกังวลนั้นเป็นความกลัวว่าจะเป็นโรคอะไรสักอย่าง ... ทำให้ผู้ป่วยมักปฏิเสธการพบจิตแพทย์

-------------------------------------------------

คำแนะนำสำหรับแพทย์สาขาอื่นๆ ก็คือ

1. ให้การตรวจรักษาที่เหมาะสม โดยเน้นที่การอธิบายและให้ความรู้ความเข้าใจถึงผลการตรวจ จะช่วยให้ผู้ป่วยกังวลน้อยลง

2. นัดผู้ป่วยมาพบแพทย์เป็นระยะอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าผู้ป่วยจะมีอาการหรือไม่ก็ตาม
การให้ความมั่นใจว่าแพทย์ติดตามดูอาการอยู่ตลอดจะช่วยให้ผู้ป่วยสบายใจมากขึ้น และไม่เปลี่ยนแพทย์ไปเรื่อยๆ

3. ในขณะเดียวกันการตรวจพิเศษต่างๆ (เช่น เจาะเลือด หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์) ควรทำเฉพาะเมื่อมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์จริงๆ เท่านั้น ไม่ควรตรวจตามที่ผู้ป่วยต้องการ เพราะมักไม่ช่วยอะไร และผู้ป่วยมักจะขอตรวจเพิ่มไปเรื่อยๆ

~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•

เครดิตบทความ : หมอคลองหลวง

เครดิตภาพ : https://images.app.goo.gl/XePQgUCt48JSbMHD7

บางวันใจเราก็เหมือนฟ้า ☁️💧มีเมฆ มีฝน ก็ไม่เป็นไรเลยนะ… เพราะแม้วันที่ฟ้าหม่น 🌫️ก็ยังมีความงดงามในแบบของมันเสมอ 💙ในวันที่...
28/10/2025

บางวันใจเราก็เหมือนฟ้า ☁️💧
มีเมฆ มีฝน ก็ไม่เป็นไรเลยนะ… เพราะแม้วันที่ฟ้าหม่น 🌫️
ก็ยังมีความงดงามในแบบของมันเสมอ 💙
ในวันที่ใจเหนื่อยหรือหนักเกินไป อย่าลืมหยุดพัก หายใจลึก ๆ 🌿
ความรู้สึกไม่ดี... ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ดีนะ 🌷
ขอเพียงแค่เรายังมองเห็นแสงเล็ก ๆ ของตัวเองอยู่ตรงนี้
ฟ้าจะใสอีกครั้ง — เหมือนหัวใจเราที่ค่อย ๆ กลับมาอบอุ่นอีกครั้ง 🌤️💛

⛅️ รีมายด์พร้อมรับฟัง ด้วยความเข้าใจ
📲 ทักไลน์เลย:
Tel : 086-441-5254

#รักตัวเอง #สุขภาพจิตดี
#นักจิตวิทยา #ปรึกษาปัญหาชีวิต

พระเสด็จสู่แดนสรวง ไทยทั้งปวงน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณตราบนิรันดร์ข้าพระพุทธเจ้าคณะผู้บริหารและพนักงาน บริษัท รีมายด์ ...
25/10/2025

พระเสด็จสู่แดนสรวง
ไทยทั้งปวงน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณตราบนิรันดร์
ข้าพระพุทธเจ้าคณะผู้บริหารและพนักงาน
บริษัท รีมายด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

GAD หรือ โรควิตกกังวลทั่วไป (Generalized Anxiety Disorder) เป็นภาวะทางจิตใจที่ผู้ป่วยมีอาการวิตกกังวลมากเกินไป และต่อเนื...
13/10/2025

GAD หรือ โรควิตกกังวลทั่วไป (Generalized Anxiety Disorder)
เป็นภาวะทางจิตใจที่ผู้ป่วยมีอาการวิตกกังวลมากเกินไป และต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
โดยความวิตกกังวลนั้นอาจเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
หรือเกิดจากเรื่องเล็กน้อยแต่รู้สึกกังวลเกินความเป็นจริง

ลักษณะอาการทั่วไปของ GAD ได้แก่:
กังวลมากจนควบคุมไม่ได้ แม้กับเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวัน
กระสับกระส่าย เหนื่อยง่าย
สมาธิลดลง หงุดหงิดง่าย
นอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิท
อาจมีอาการทางกายร่วม เช่น ปวดหัว ปวดท้อง ใจสั่น

สาเหตุ ยังไม่แน่ชัด แต่เชื่อว่ามีหลายปัจจัย เช่น พันธุกรรม การทำงานของสมอง
ความเครียดสะสม และประสบการณ์ในอดีต
การรักษา มักใช้วิธีผสมผสาน ได้แก่
การทำจิตบำบัด เช่น CBT (การบำบัดพฤติกรรมและความคิด)
ยาคลายกังวล หรือยากลุ่ม SSRI (ถ้าจำเป็น)
การปรับพฤติกรรม เช่น ออกกำลังกาย ฝึกผ่อนคลาย

⛅️ รีมายด์พร้อมรับฟัง ด้วยความเข้าใจ
📲 ทักไลน์เลย:
Tel : 086-441-5254

#รักตัวเอง #สุขภาพจิตดี
#นักจิตวิทยา #ปรึกษาปัญหาชีวิต

10/10/2025

💜 10.10 โปรพิเศษดูแลใจ 💜
เพราะสุขภาพจิตที่ดี...คือของขวัญที่คุณให้กับตัวเองได้ทุกวัน 🌈
อย่าปล่อยให้ความเครียด ความเหนื่อย หรือความเศร้าอยู่กับคุณนานเกินไป 🍃
มาพูดคุย ปรึกษา และฟื้นพลังใจไปด้วยกันกับนักจิตวิทยาคลินิกผู้เชี่ยวชาญ 🧠
โปรโมชั่นพิเศษเฉพาะเดือนนี้ 💬 ให้ “ใจคุณ” ได้รับการดูแลอย่างอบอุ่นที่สุด 🤍

ด้วยโปรโมชั่นสุดคุ้ม เฉพาะวันที่10 - 17 กันยายนเท่านั้น 🗓️
✔️ Online 60 นาที เพียง 1,510.-
✔️ Online 30 นาที เพียง 910.-

ให้โปร10.10 เป็นก้าวแรกเล็ก ๆ ที่พาใจคุณกลับมาเข้มแข็งและสดใสอีกครั้ง"
⛅️ รีมายด์พร้อมรับฟัง ด้วยความเข้าใจ
📲 ทักไลน์เลย:
Tel : 086-441-5254

#รักตัวเอง #สุขภาพจิตดี
#นักจิตวิทยา #ปรึกษาปัญหาชีวิต

โรคนอนไม่หลับสามารถแบ่งได้หลายประเภทตามลักษณช่วงเวลาของการนอนไม่หลับ1.Initial insomnia คือภาวะที่ผู้ป่วยมีปัญหานอนหลับยา...
06/10/2025

โรคนอนไม่หลับสามารถแบ่งได้หลายประเภทตามลักษณช่วงเวลาของการนอนไม่หลับ
1.Initial insomnia คือภาวะที่ผู้ป่วยมีปัญหานอนหลับยากใช้เวลานอนนานกว่าจะหลับภาวะดังกล่าวอาจสัมพันธ์กับภาวะวิตกกังวล
2.Maintinance insomnia คือภาวะที่ผู้ป่วยไม่สามารถนอนหลับได้ยาวมีการตื่นกลางดึกบ่อยภาวะดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องกับปัญหาทางกาย เช่นภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น
3.Terminal insomnia คือภาวะที่ผู้ป่วยตื่นเร็วกว่าเวลาที่ควรจะตื่นอาจพบได้ในผู้ป่วยที่มีภาวะซึมเศร้า

✨️ ปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุของภาวะนอนไม่หลับ
1.ปัญหาความเครียด
2.ภาวะความผิดปกติของการหลับเช่น ภาวะขาอยู่ไม่สุข ( Restless legs syndrome)
3.ภาวะเจ็บป่วยทางกาย เช่นภาวะปวด,เหนื่อย, กรดไหล่ย้อน, การที่ร่างกายไม่สามารถเคลื่นไหวได้ปกติ สาเหตุข้อนี้พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ นอกจากนี้แล้วภาวการตั้งครรภ์, หมดประจำเดือน ยังมีผลต่อการนอนไม่หลับ
4.ภาวะทางจิตใจ เช่นภาวะซึมเศร้า,ภาวะวิตกกังวล
5.ภาวะกังวลว่าจะนอนไม่หลับ (psychophysiological insomnia) ผู้ป่วยจะกังวลกับปัญหาการนอนไม่หลับที่เกิดขึ้นซึ่งความวิตกนี้เองทำให้เกิดการตื่นตัวของร่างกายและจิตใจผลจึงทำให้เกิดภาวะนอนไม่หลับ
6.การใช้ยาหรือสารบางอย่าง เช่นยาแก้หวัด, ยากลุ่ม psudoepheridrine,ยาลดน้ำหนัก,ยาแก้หอบหืด, ยาต้านซึมเศร้า, ยากลุ่ม methylphenidate นอกจากนี้เครื่องดึมที่มีคาเฟอีน,นิโคตินและแอลกอออล์ก็มีบทบาทสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะนอนไม่หลับ
7.ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่นเสียงหรือแสงที่มารบกวน, อุณหภูมิห้องที่ไม่เหมาะสม เป็นต้น
8.ปัญหาการทำงานเป็นกะ (shift work)

✨️Remind Clinicให้บริการดูแลสุขภาพใจโดยนักจิตวิทยาคลินิกที่มีใบประกอบโรคศิลปะ
Line Official:
Tel: 086-441-5254

01/10/2025

"ความรู้สึกไม่ดีพอ" (สักที) ^^"

#เกิดจากอะไร?

28/09/2025

#10ความแตกต่างระหว่าง_รักที่ดีกับรักเป็นพิษ

[][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][]

1.
#รักที่ดี : ให้ความสำคัญกับการพัฒนาตนเอง เป็นตัวของตัวเอง ต่างคนต่างมีพื้นที่ที่จะเติบโต มีสิ่งที่ตัวเองสนใจ งานอดิเรกที่ชอบ มีกลุ่มเพื่อนรวมถึงคนสำคัญอื่นๆในชีวิต

รักเป็นพิษ : ทั้งโลกเหมือนมีแต่เราสองคน แทบไม่คบใคร ห่างหายจากเพื่อนเก่า ชีวิตเรามีแต่แฟนเท่านั้น รู้สึกมั่นคงปลอดภัยเมื่อทำอะไรเหมือนๆกัน เข้าใจว่าการขาดกันไม่ได้คือเครื่องพิสูจน์ความรัก แต่จริงๆแล้วเป็นเพราะความรู้สึกเหงา กลัว ไม่มั่นคงในตัวเองต่างหาก

2.
#รักที่ดี : รับรู้และมั่นใจในคุณค่าของตัวเอง สามารถอยู่ตามลำพังอย่างมีความสุขได้

รักเป็นพิษ : กลัวว่าคนรักจะเปลี่ยนไป พฤติกรรมอะไรผิดแผกไปเล็กน้อยก็ทำให้กังวลได้ อยากจะตัวติดกันตลอดเวลา

3.
#รักที่ดี : มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ไม่ระแวงสงสัยเกินเหตุ

รักเป็นพิษ : หึงหวง , ต้องการเป็นเจ้าของคนรักแต่เพียงผู้เดียว

4.
#รักที่ดี : ประนีประนอม ผลัดกันนำหน้าในเรื่องต่างๆ หากมีปัญหาก็ช่วยกันคิดช่วยกันแก้ไข

รักเป็นพิษ : พยายามควบคุม ต้องการเอาชนะ , กล่าวโทษอีกฝ่าย , ดื้อเงียบ หรือ อาละวาดเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ

5.
#รักที่ดี : ยอมรับและให้เกียรติตัวตนของคนรัก

รักเป็นพิษ : พยายามเปลี่ยนคนรักให้เป็นแบบที่ตัวเองต้องการ

6.
#รักที่ดี : อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ไม่คาดหวังอะไรที่สวยหรูแบบนิยาย หรือเป็นไปได้ยาก (เช่น ให้เขาเปลี่ยนนิสัย)

รักเป็นพิษ : อยู่กับฝันกลางวัน ความหวังลมๆแล้งๆ หลอกตัวเอง หลีกเลี่ยงปัญหาหรือสิ่งใดที่ไม่น่าพอใจ

7.
#รักที่ดี : ดูแลตัวเองได้ทั้งคู่ โดยเฉพาะในแง่อารมณ์ จัดการความรู้สึกของตัวเองได้ รู้ว่าความผิดหวังเกิดจากความคาดหวังของเราตัวเอง แยกแยะได้ว่าอะไรเป็นปัญหาของเธอ ของฉัน หรือระหว่างเรา

รักเป็นพิษ : จะสุขจะเศร้าก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นสาเหตุ คาดหวังให้คนรักทำให้ตัวเองมีความสุข หรือคาดหวังว่าตัวเองควรทำให้คนรักมีความสุขเสมอ คิดว่าถ้าเขาทุกข์แสดงว่าเราผิด

8.
#รักที่ดี : เพศสัมพันธ์เป็นความสมัครใจ เกิดจากความรู้สึกที่ดีต่อกัน

รักเป็นพิษ : เพศสัมพันธ์เป็นเหมือนภารกิจอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจทำไปโดยความรู้สึกกลัว หรือทำไปอย่างงั้นตามหน้าที่

9.
#รักที่ดี : คุยกันแล้วเข้าใจกันมากขึ้น ช่วยเหลือกัน รับรู้ความรู้สึกดีที่มีให้กัน

รักเป็นพิษ : ส่วนใหญ่จะโทษกันไปโทษกันมา ปกป้องตัวเอง คำพูดจะไพเราะหรือจะไม่น่าฟังแต่จุดประสงค์ก็คือเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ

10.
#รักที่ดี : โมงยามแห่งความสุขสบายใจ

รักเป็นพิษ : วงจรของความเจ็บปวดและสิ้นหวัง

ลองอ่านดูดีๆก็จะพบว่าความจริงแล้ว หลักการสำคัญมีอยู่ไม่กี่ข้อ

และข้อที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ

#ต่างฝ่ายต้องรักตัวเองเป็นและอยู่เองได้เสียก่อน

[][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][]

เครดิตบทความ : หมอมีฟ้า( Repost )

แปลและปรับปรุงจาก http://theunboundedspirit.com/true-love-vs-toxic-love-14-core-differences/

เครดิตภาพ : https://share.google/images/jgyGcEOIAKUbq7oCh

ที่อยู่

Remind Clinic
Bangkok
10310

เวลาทำการ

จันทร์ 10:00 - 21:00
อังคาร 10:00 - 21:00
พุธ 10:00 - 21:00
พฤหัสบดี 10:00 - 20:00
ศุกร์ 10:00 - 20:00
เสาร์ 10:00 - 21:00
อาทิตย์ 10:00 - 20:00

เบอร์โทรศัพท์

+66864415254

เว็บไซต์

https://goo.gl/maps/5cB9qhZXxEJzk8en9

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Remind Clinicผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Remind Clinic:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram