MOODY ความรู้สึกข้างใน ยิ่งเข้าใจ ยิ่งเติบโต 🍿

‘ให้อภัย’ ไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อเรา-------------------เชื่อว่าทุกคนล้วนมีบาดแผลที่ยังค้างคาอยู่ในใจ เนื่องจากเคยถูกทำร้า...
30/10/2025

‘ให้อภัย’ ไม่ใช่เพื่อใคร
แต่เพื่อเรา
-------------------
เชื่อว่าทุกคนล้วนมีบาดแผลที่ยังค้างคาอยู่ในใจ เนื่องจากเคยถูกทำร้ายจิตใจมาก่อน แล้วความรู้สึกไม่ดีนั้นก็คงอยู่ไปอีกนาน เฟร็ด ลัสกิน (Fred Luskin) ผู้ก่อตั้งโครงการให้อภัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และเป็นผู้เขียนหนังสือ ‘Forgive for Good: A Proven Prescription for Health and Happiness’ กล่าวว่า แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ ‘การให้อภัย’ คือวิธีพื้นฐานที่ช่วยคุณได้
การให้อภัย คือการละทิ้งความรู้สึกแย่ๆ หรือความคิดภายในที่อยากจะแก้แค้นหลังจากที่เราบาดเจ็บมา ไม่ว่าทางกายหรือทางใจ
เขาใช้เวลาหลายทศวรรษศึกษาถึงประโยชน์ของการให้อภัย และอธิบายว่าเหตุผลส่วนใหญ่ที่คนเราควรให้อภัยนั้น คือ ‘เพื่อตัวของเราเอง’ เพราะเมื่อเรานึกถึงความเจ็บปวดหรือบาดแผลที่ไม่ได้แก้ไขในใจ ความทรงจำนั้นจะกระตุ้นให้เกิดความเครียด เมื่อเราจำสิ่งนี้ได้บ่อยๆ ก็ทำให้ร่างกายเครียดเรื้อรังและสามารถนำไปสู่ความเจ็บป่วยได้อย่างง่ายดาย
“คุณกำลังละทิ้งความขมขื่นและความขุ่นเคืองภายในใจ และมีความเมตตาต่อตัวเองเพิ่มขึ้นจากประสบการณ์ในอดีต” ลัสกิน กล่าวว่า
ดังนั้น การให้อภัย คือหนทางแห่งการปลดปล่อยความรู้สึกด้านลบที่มีอยู่ออกไป แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะยอมให้การกระทำเหล่านั้นกลับมาทำร้ายตัวเองซ้ำๆ ได้อีก
แล้วเมื่อใดก็ตามที่เราสามารถให้อภัยใครสักคนที่เคยทำร้ายจิตใจเราได้ ย่อมนำไปสู่ประสิทธิภาพในการจัดการชีวิตของตนเพิ่มขึ้น แทนที่จะติดแหง็กอยู่กับเรื่องราวในอดีต
-------------------
โปรดอย่าลืมว่าการให้อภัยก็เป็นอีกหนึ่งวิธีของการรักตัวเองเช่นกัน เมื่อใดก็ตามที่เราปลดปล่อยพันธนาการแห่งความโกรธเกลียดไปได้ นั่นแปลว่าเรารักตัวเองมากขึ้นอีกหนึ่งสเต็ป
แต่หากยังทำไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องกดดันตัวเอง เพราะทุกอย่างมีช่วงเวลาของมัน

“ทำไมคุณถึงโสด”-------------------เหล่าคนโสดหลายคนคงกำลังทำหน้าเอียนๆ กับประโยคนี้ และมีคำตอบอยู่แล้วในใจ โดยหนึ่งในเหตุ...
29/10/2025

“ทำไมคุณถึงโสด”
-------------------
เหล่าคนโสดหลายคนคงกำลังทำหน้าเอียนๆ กับประโยคนี้ และมีคำตอบอยู่แล้วในใจ โดยหนึ่งในเหตุผลหลักที่หลายคนเป็นโสดก็เพราะสบายใจกับการอยู่คนเดียว แต่ก็มีอีกหลายคนที่โสดด้วยเหตุผลต่างๆ นานา
แล้วรู้ไหม มีการศึกษาที่ตีพิมพ์ลง The Journal of Personality แสดงให้เห็นว่า ‘รูปแบบความผูกพัน’ (Attachment Style) ของแต่ละคน มีความเกี่ยวข้องกับสาเหตุความโสดของเราด้วยนะ MOODY จะมาเล่าให้ฟัง!
ก่อนอื่น สำหรับนักอ่านที่ติดตามกันเป็นประจำ คงคุ้นเคยกับทฤษฎีรูปแบบความผูกพันเป็นอย่างดี เพราะถูกนำมาใช้อ้างอิงเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์เราค่อนข้างบ่อย เนื่องจากมันเป็นทฤษฎีที่เกิดจากผลของการถูกเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กของคนเรา
จนสรุปออกมาเป็นลักษณะของความผูกพันที่มักฝังอยู่ในจิตใจของแต่ละคน อันส่งผลถึงพฤติกรรมของเราในด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่น อาจเรียกว่าเป็นหนึ่งในเข็มทิศที่ไกด์ความเป็นไปได้ของเส้นทางการกระทำของคนเราก็ว่าได้
คนที่มีรูปแบบความผูกพันแบบวิตกกังวล (Attachment Anxiety) และความผูกพันแบบหลีกเลี่ยง (Attachment Avoidance) ซึ่งมีคุณสมบัติตรงกันคือ ‘ความไม่มั่นคงปลอดภัย’ ความรู้สึกนี้ทำให้หลายคนมักกลัวความสนิทสนมและความใกล้ชิด ส่วนคนที่มีความผูกพันแบบปลอดภัย (Attachment Secure) จะตรงกันข้าม คนเหล่านี้จะมีความสบายใจในการพึ่งพาและได้รับความใกล้ชิด
จึงมีงานวิจัยที่เปรียบเทียบระหว่างคนโสดกับคนมีคู่ ซึ่งผลลัพธ์ชี้ให้เห็นว่า คนโสดมีความไม่มั่นคงในความผูกพันมากกว่าคนที่มีคู่ จึงเป็นเหตุผลให้ใช้ชีวิตโสด แต่ก็ยังมีคนโสดอีกหลายคนที่มีความมั่นคง หรือมีความผูกพันแบบปลอดภัย ที่สบายใจกับการอยู่เป็นโสดอย่างมีความสุข
นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาอีก 2 รายการ ได้ทำการศึกษาคนโสดที่มีอายุน้อยจำนวน 482 คน และคนโสดที่มีอายุมากจำนวน 400 คน นักวิจัยพบว่า ผลลัพธ์โดยรวม 78 เปอร์เซ็นต์ ถูกจัดอยู่ในรูปแบบความผูกพันประเภทไม่มั่นคง และอีก 22 เปอร์เซ็นต์ เป็นกลุ่มรูปแบบความผูกพันที่มีความปลอดภัย โดยรายละเอียดแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มตามรูปแบบความผูกพัน คือ
1 - โสดแบบสบายใจ คือ คนที่มีความผูกพันแบบปลอดภัย สามารถอยู่คนเดียวหรือมีคู่ก็ได้ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวและเพื่อนฝูง กลับกันจะไม่ค่อยโรแมนติกแต่ก็สนใจในระดับปานกลาง
2 - โสดแบบต้องการคนรัก คือ คนที่มีความผูกพันแบบวิตกกังวล จะมีความไม่มั่นใจตัวเอง สงสัยว่าคนอื่นจะรักตัวเองไหม และกลัวถูกปฏิเสธ
3 - โสดแบบไม่อยากยุ่งกับใคร คือ คนที่มีความผูกพันแบบหลีกเลี่ยง ไม่สบายใจในการมีความสัมพันธ์ ขออยู่คนเดียวแบบเริ่ดๆ ซึ่งหมายรวมถึงมักตีตัวออกห่างจากครอบครัวและเพื่อนฝูงด้วยเช่นกัน พูดง่ายๆ คือ ไม่ค่อยสนิทกับใครเลยและมีแนวโน้มที่จะมีความสุขน้อยกว่าคนโสดแบบสบายใจ
4 - โสดแบบคนขี้กลัว คือ คนที่มีความผูกพันแบบหวาดระแวง ใจหนึ่งไม่อยากอยู่คนเดียวเพราะกลัวโดนทิ้ง ไม่อยากให้ใครเกลียด แต่อีกใจก็ไม่อยากคบหาใครเพราะรู้สึกลำบากใจกับความใกล้ชิด รวมถึงไม่ค่อยมีความสุขกับชีวิตนักเมื่อเทียบกับคนโสดกลุ่มอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ผลจากการศึกษาวิจัยที่นำมาเล่าให้ทุกคนฟังนี้ ไม่ได้บ่งบอกว่ากลุ่มคนทั้ง 4 กลุ่มเป็นแบบนี้เป๊ะ 100 เปอร์เซ็นต์ ทุกคน
แต่ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะมีคู่หรือโสด ก็ไม่มีสถานะไหนที่การันตีได้ว่าชีวิตแบบไหนจะมีความสุขในชีวิตมากกว่ากัน และคนที่มีรูปแบบความผูกพันที่ไม่มั่นคงปลอดภัยนั้นจะไม่สามารถมีความสัมพันธ์ที่มั่นคงได้
อย่างที่บอกว่ามันเป็นเพียงแนวทางหนึ่งที่ไกด์ว่าสิ่งนี้มีโอกาสเกิดขึ้นกับเรา แต่ที่สุดแล้วทุกอย่างย่อมเกิดขึ้นจากการตัดสินใจของเราเองทั้งสิ้น
-------------------
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนโสด มีคู่ หรือมีรูปแบบความผูกพันแบบใด แค่เลือกเส้นทางที่ทำให้เราได้สนุกและมีความสุขกับชีวิตในทุกวันก็พอแล้ว


เบื้องหน้างดงาม เบื้องหลังแทบตาย รู้จัก Floating Duck Syndrome คนที่ชีวิตดูดี แต่เก็บซ่อนความกดดันไว้มากมายเวลาเห็นเป็ดท...
28/10/2025

เบื้องหน้างดงาม เบื้องหลังแทบตาย
รู้จัก Floating Duck Syndrome
คนที่ชีวิตดูดี แต่เก็บซ่อนความกดดันไว้มากมาย
เวลาเห็นเป็ดที่ลอยตัวอยู่ในน้ำ มองแล้วมักรู้สึกว่ามันดูนิ่งสบายเสมือนไหลไปกับกระแสน้ำเรื่อยๆ แต่แท้จริงแล้วภายใต้ผืนน้ำนั้นขามันกำลังตีไปมาเพื่อถีบให้ตัวเองไปข้างหน้าเรื่อยๆ ต่างหาก ไม่ได้ลอยไปตามน้ำอย่างที่คิดแต่อย่างใด
-------------------
ด้วยความย้อนแย้งระหว่างภาพที่เห็นกับสิ่งที่เป็นนี้จึงทำให้เกิด Buzzwords ทางปรากฏการณ์จิตวิทยาว่า ‘Floating Duck Syndrome’ หรือ ‘Duck Syndrome’ ใช้อธิบายพฤติกรรมของคนที่ดูผิวเผินอาจเหมือนชีวิตสบายไร้กังวล แท้จริงกำลังเก็บซ่อนความกดดัน ความพยายามและความลำบากมากมายไว้เบื้องหลัง
คำนี้ถูกใช้โดยมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) เป็นที่แรก เพื่อใช้อธิบายในลักษณะเชิงเปรียบเปรยถึงภาพลักษณ์ของคนที่ประสบความสำเร็จ มีชีวิตสุขสบาย หรือภาษาบ้านเราอาจเรียกว่า ‘ชีวิตแบบลักชู’ ที่เรามักเห็นชีวิตอันสวยงาม กินดีอยู่ดี แต่งตัวดีใช้ของแพง ของเหล่าคนดังหรืออินฟลูเอนเซอร์ในโซเชียลมีเดีย แต่ใครจะรู้ว่าด้านที่เราไม่เห็นนั้นเขาต้องพยายามมากแค่ไหน
โดยคนที่เข้าข่ายเป็น Floating Duck Syndrome นั้น จะเก่งในการรักษาภาพให้คนอื่นมองตัวเองในมุมอันสวยงาม แล้วเก็บซ่อนความยากลำบากต่างๆ ไว้เบื้องหลัง ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งมาจากค่านิยมของสังคมที่ให้คุณค่ากับชีวิตที่แลดูน่ามอง ดูสมบูรณ์แบบ ไร้ที่ติ หรือไม่ก็เติบโตมาในครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าแห่งความสำเร็จสูง
ต้องมีทั้งความรับผิดชอบและความเป็นเลิศในหลายด้าน ทั้งการเรียน การทำงาน ครอบครัว การใช้จ่าย และเวลาว่าง รวมถึงความสามารถที่ต้องมีมากกว่าหนึ่ง แต่ก็ต้องรักษาสมดุลของชีวิตทั้งหมดไว้ให้ได้ ในจุดนี้ก็เปรียบเหมือนกับเป็ดที่ทำได้หลายอย่าง
ถามว่าเป็นข้อดีไหม? แน่นอนว่าหากเรามีความสามารถหลายด้านอย่างดีย่อมมีแต้มต่อในสังคมยุคนี้ที่ต้องการ Multitasking หรือ Hybrid เพียงแต่ก็มีเส้นบางๆ ระหว่างการมีความสามารถที่หลากหลายแล้วจัดการชีวิตได้ กับความพยายามที่จะมีความสามารถเหล่านั้นจนนำไปสู่ความกดดัน และความคาดหวังต่างๆ ถีบให้เราทำงานหนักขึ้นเพื่อดิ้นรนให้ตัวเองขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดนั้นให้ได้
มีการวิจัยทางจิตวิทยาเผยให้เห็นความขัดแย้งระหว่างสิ่งที่เราทำกับรางวัลที่ได้รับ ว่าอาจมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดี เพราะใช่ว่าคนเราจะเป็นเป็ดที่ดูสง่างามในน้ำได้ตลอดเวลา สุดท้ายมันต้องมีวันที่เหนื่อยล้าและเผลอหลุดภาพที่คิดว่าตัวเองไม่น่าดูออกไป
ดังนั้น คนที่เป็น Floating Duck Syndrome จึงมักจะเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นโดยที่รู้สึกว่าคนอื่นดีกว่า ฉันจึงต้องพยายามมากขึ้นให้ได้อย่างเขา ให้ดีกว่าเขา กลัวคำวิจารณ์ และรู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกคนอื่นจับผิดตลอดเวลา
กลายเป็นว่าต้องพยายามรักษาสิ่งที่อยากให้คนอื่นเห็นมากกว่าทำตามความต้องการจริงๆ ของตัวเอง จนในที่สุดความขัดแย้งต่างๆ ที่สะสมอยู่ก็กลายเป็นสภาวะสุขภาพจิตที่ซ่อนเร้น ทำให้หลายคนมีภาวะวิตกกังวล ซึมเศร้า หรืออาการสุขภาพจิตอื่นๆ
แม้ว่า ‘ความพยายาม’ นั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่สุดท้ายแล้วอะไรที่มากเกินไปไม่เคยนำผลลัพธ์ที่ดีมาสู่ตัวเราเลย MOODY อยากบอกทุกคนว่า เราไม่จำเป็นต้องดีเลิศกว่าใครเพื่อคนอื่น แต่ลองถามตัวเองดูว่าสิ่งสำคัญที่เราต้องการจริงๆ คืออะไร? แล้วนำความพยายามนั้นไปใช้ให้ถูกที่ในปริมาณที่พอดี
ไม่จำเป็นต้องฝืนรักษาภาพลักษณ์ให้ตัวเองดูดีตลอดเวลาก็ได้ บางทีการโชว์ด้านไม่สวยงามออกไป ก็เป็นอีกเสน่ห์หนึ่งของเรา และเป็นแรงบันดาลใจให้ใครอีกหลายคนที่อาจประสบภาวะเดียวกันรู้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
เพราะแม้ว่า ‘เป็ด’ ตัวหนึ่งจะทำได้หลายอย่าง แต่อย่าลืมว่าธรรมชาติพวกมันมักอยู่กันเป็นฝูง แล้วความเป็นฝูงนี่เองที่ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีให้กับพวกมัน
-------------------
มนุษย์อย่างเราก็เช่นกัน ทุกคนไม่จำเป็นต้องพยายามอยู่คนเดียว หรือขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดเหนือคนอื่น แต่การอยู่ด้วยกันแล้วแบ่งปันสิ่งต่างๆ กับคนรอบข้างนั้นย่อมทำให้เรามีความสุขและมีสมดุลชีวิตที่ดีกว่า

‘เสียเวลากับใครสักคน’ อาจเป็นหนึ่งเรื่องที่มีค่าในชีวิต เมื่อการพูดไปเรื่อย ไม่ใช่เรื่องเสียเปล่า แต่เป็นวิธีกระชับความส...
24/10/2025

‘เสียเวลากับใครสักคน’ อาจเป็นหนึ่งเรื่องที่มีค่าในชีวิต เมื่อการพูดไปเรื่อย ไม่ใช่เรื่องเสียเปล่า แต่เป็นวิธีกระชับความสัมพันธ์
-------------------
หลายคนอาจคิดว่าเราต้องใช้เวลากับคนที่รักให้คุ้มค่า ด้วยการพูดคุยเรื่องสำคัญๆ หรือทำกิจกรรมมากมายเพื่อสร้างความทรงจำดีๆ แต่รู้ไหมว่าบางที ‘การพูดคุยกันไปเรื่อยๆ โดยไม่มีจุดหมาย’ กลับเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้หัวใจใกล้กันกว่าที่คิด
ลองนึกภาพตอนที่คุณเพิ่งเริ่มคบกับใครสักคน ทุกอย่างมันดูใหม่ น่าตื่นเต้น คำถามเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เธอชอบเพลงอะไร” “วีรกรรมไหนที่แสบสุดตอนเด็ก” หรือแม้แต่การคุยเล่นกันเรื่องไร้สาระ เช่น “ถ้าหมูเลือกคู่ พ่อเบนซ์จะเรียกสินสอดเท่าไหร่” แต่พอเวลาผ่านไป ความสัมพันธ์ก็มักเต็มไปด้วยเรื่องจำเป็น ค่าใช้จ่าย ตารางชีวิต งานบ้านและลูก
รู้ตัวอีกทีเราก็ไม่มีเวลาเหลือให้การคุยเล่นกันซะแล้ว...
ซึ่ง อัสซาเอล โรมาเนลลี (Assael Romanelli) นักจิตวิทยาคู่รักเชื่อว่า ‘บทสนทนาที่ไร้จุดหมาย’ คือพื้นที่ปลอดภัยของความสัมพันธ์ เขาอธิบายว่ามันเป็นเหมือนบัญชีฝากความสุขที่เราสะสมช่วงเวลาดีๆ ไว้ เผื่อวันไหนมีปัญหาหรือเหนื่อยล้า ก็ยังมีสิ่งเล็กๆ น้อยๆ นี้ที่ช่วยกระทุ้งความทรงจำให้คู่รักกลับมาเป็น ‘เรา’ ได้เหมือนเดิม
สำหรับบางคนอาจดูไร้สาระ แต่อัสซาเอลว่านี่คือ ‘ภาษาลับ’ ของความสัมพันธ์ ที่ทำให้เราหัวเราะและรู้สึกเชื่อมโยงกันได้มากขึ้น ยิ่งเมื่อความสัมพันธ์เดินทางมาไกล บทสนทนาเหล่านี้อาจกลายเป็นรหัสลับที่ทำให้เรานึกถึงกันได้เสมอ
ถ้าคุณไม่เคยคุยเล่นกันแบบนี้ ไม่เป็นไร การสร้างบทสนทนาไร้จุดหมายไม่ใช่เรื่องยาก เริ่มจากการตั้งเวลาให้ตัวเองและคนรัก อาจจะเป็นแค่ 10 นาทีในวันหยุด ลองปิดสวิตช์เรื่องงาน บล็อกเรื่องเครียด
แล้วให้เวลากับบทสนทนาที่ไม่มีจุดหมายแบบตั้งใจ คุยเรื่องอะไรก็ได้ เปิดหัวข้อแบบสุ่มๆ เช่น ลองหาคำตอบเนื้อเพลง “เธอน่ะอยู่นี่เอ้า เธอน่ะอยู่ไหน เธอไปทำอะไรตรงนั้น มาอยู่ด้วยกันตรงนี้สิ ไม่ใช่หนา ไม่ใช่หนา” สรุปเธออยู่ตรงไหนกันแน่นะ? หรืออะไรก็ตามที่คุณสนใจ โดยคุยกันไปเรื่อยๆ อย่ายึดติดกับคำตอบ ขอแค่ไหลไปกับมัน สนุกกับมัน และปล่อยให้มันพาเราไป
-------------------
เพราะบางครั้ง การปล่อยให้บทสนทนาไร้สาระพาเราไป อาจกลายเป็นสะพานเชื่อมใจที่แข็งแรงกว่าการพูดเรื่องจริงจังเสียอีก คืนนี้ ลองหาเรื่องไร้สาระมาคุยกันดูสิ แล้วคุณอาจจะเจอ ‘ความหมายที่ซ่อนอยู่’ ในบทสนทนาไร้จุดหมายนี้ก็ได้
แล้วทุกคนล่ะ เคยมีโมเมนต์พูดไปเรื่อยที่ชุบชูใจแบบไหนกันบ้าง ลองมาแชร์กันดูนะ

เหลืออีก 3 วัน!สำหรับแฟนๆ นักอ่าน MOODY ที่มางาน   เพียงแวะเวียนเข้ามาจอยกันที่บูธ D4 ของเรา ทุกคนจะได้รับคาแรกเตอร์น้อง...
24/10/2025

เหลืออีก 3 วัน!
สำหรับแฟนๆ นักอ่าน MOODY ที่มางาน เพียงแวะเวียนเข้ามาจอยกันที่บูธ D4 ของเรา ทุกคนจะได้รับคาแรกเตอร์น้องมู้ดดี้ในแบบฉบับของคุณเองจากนักวาดที่มานั่งวาดกันสดๆ
รับรองว่าน่ารักมากๆ เลยล่ะ!
พบกันที่บูธ D4
Bangkok Illustration Fair 2025
วันที่: 23-26 ตุลาคม 2568
สถานที่: centralwOrld PULSE บริเวณชั้น 7 centralwOrld
เวลา: 11.00-20.00 น.



เมื่อจิตใจเติบโตไปพร้อมกับร่างกาย ว่าด้วย ‘ความหลงตัวเอง’ ที่ลดลงตามอายุ ความรับผิดชอบและประสบการณ์ชีวิตที่เพิ่มมากขึ้นใ...
23/10/2025

เมื่อจิตใจเติบโตไปพร้อมกับร่างกาย ว่าด้วย ‘ความหลงตัวเอง’ ที่ลดลงตามอายุ ความรับผิดชอบและประสบการณ์ชีวิตที่เพิ่มมากขึ้น
ในโลกที่การใช้สื่อโซเชียลมีเดียแทบจะกลายเป็นสิ่งจำเป็น ‘การหลงตัวเอง’ ของคนสมัยนี้ก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อันเป็นผลพวงมาจากการพยายามสร้างภาพลักษณ์และโปรโมตความสำเร็จ รวมถึงความเป็นตัวเองผ่านสื่อ จนหลายคนมีความหลงตัวเองมากเกินไป ทำให้เกิดปัญหาด้านความสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้
ทว่างานวิจัยล่าสุดกลับเปิดเผยข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ โดยพบว่าเมื่อคนเรามีอายุมากขึ้นและผ่านประสบการณ์ในชีวิตมามากมาย จะมีแนวโน้มหลงตัวเองลดลง ในขณะที่มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นเพิ่มขึ้น
โดยภาวะหลงตัวเอง (Narcissism) เป็นภาวะทางบุคลิกภาพที่บุคคลมักให้ความสำคัญกับตัวเองเป็นอันดับหนึ่ง อีกทั้งต้องการการเชิดชูจากผู้คนรอบข้างมากเป็นพิเศษ และขาดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เหมือนดังนาร์ซิสซัส เทพปกรณัมกรีกผู้เป็นรากของคำศัพท์ Narcissism ที่ได้สิ้นใจลงเพราะตกหลุมรักภาพสะท้อนของตัวเองในน้ำ
ภาวะหลงตัวเองนั้นไม่ได้มีเพียงแค่รูปแบบเดียวหรืออยู่ในสถานะที่คงที่ แต่สามารถมองเป็นลักษณะที่มีระดับความรุนแรงแตกต่างกันได้ในแต่ละบุคคล คล้ายกับสเปกตรัมที่ปลายด้านหนึ่งเป็นความหลงตัวเองที่มีประโยชน์ (มีความสมดุลระหว่างความมั่นใจในตัวเองและความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น) และที่สุดปลายอีกข้างหนึ่งที่เป็นโทษและอันตราย (ระดับความมั่นใจที่แปรปรวนและขาดความเห็นอกเห็นใจแก่ผู้อื่น)
อีกทั้งภาวะหลงตัวเองยังสามารถแบ่งออกเป็นทั้งหมด 3 มิติด้วยกัน
1 - Agentic Narcissism หรือความต้องการเป็นที่ยกย่องและได้รับการยอมรับ และอยู่เหนือกว่าทุกคนรอบข้าง
2 - Antagonistic Narcissism หรือการขาดความเห็นอกเห็นใจ ชอบเอาเปรียบ และมองคนอื่นเป็นคู่แข่งเสมอ
3 - Neurotic Narcissism หรือการขาดความมั่นใจ อ่อนไหวต่อคำวิจารณ์ และคิดว่าคนอื่นประสงค์ร้ายต่อตัวเอง
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Psychological Bulletin ของ American Psychiatric Association PsychInfo ได้ทำการศึกษาการเปลี่ยนแปลงในระดับของภาวะหลงตัวเองจากคนในแต่ละช่วงวัย โดยได้ทำการรวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยก่อนหน้าทั้งสิ้น 51 ชิ้น ซึ่งนับรวมเป็นกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 37,247 คนที่มีอายุตั้งแต่ 8-77 ปี คิดเป็นผู้หญิง 52 เปอร์เซ็นต์ และผู้ชาย 48 เปอร์เซ็นต์ และโดยส่วนมากเป็นชาวยุโรปตะวันตก อเมริกัน และแคนาดา
โดยผลจากการศึกษาพบว่าเมื่อเวลาผ่านไป ไม่ว่ากลุ่มตัวอย่างจะมีเพศหรืออายุต่างกัน ระดับภาวะหลงตัวเองของกลุ่มตัวอย่างมีการลดลงทั้งสามมิติ​ โดย Agentic Narcissism จะลดลงเพียงเล็กน้อย ในขณะที่ Antagonistic Narcissisms และ Neurotic Narcisissism ลดลงปานกลาง
อย่างไรก็ตามในกลุ่มคนที่มีภาวะหลงตัวเองมากกว่าคนทั่วไปในกลุ่มคนที่อายุเท่ากัน แม้เวลาจะผ่านไปและระดับจะลดลง แต่ก็ยังคงมีภาวะหลงตัวเองมากกว่าคนทั่วไปอยู่ดี
ทั้งนี้งานวิจัยได้วิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้ภาวะหลงตัวเองลดลงเมื่ออายุเพิ่มขึ้น โดยสรุปออกมาได้เป็น 2 สาเหตุหลักๆ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของบทบาททางสังคม และการปรับปรุงลักษณะนิสัยให้เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
เมื่อเวลาผ่านไป จากเด็กน้อยที่ไม่ได้มีภาระยิ่งใหญ่อะไรก็ต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีบทบาททางสังคมมากขึ้นพร้อมกับความรับผิดชอบเต็มบ่า ไม่ว่าจะต่อตัวเอง ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน หรือสังคม ทั้งหมดแล้วล้วนแต่เป็นภาระที่ต้องแบกรับไว้
เมื่อได้เลือกที่จะเดินบนเส้นทางที่ต้องใส่ใจผู้อื่นมากขึ้น และลดอีโก้ของตัวเองลง เพื่อให้สามารถจัดการกับความรับผิดชอบเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และด้วยประสบการณ์ชีวิตที่มากขึ้นยังได้สอนให้รู้ซึ้งถึงผลจากความหลงตัวเองและไม่เป็นมิตรต่อผู้อื่น จึงเกิดการปรับตัวทางบุคลิกภาพ แล้วลดเวลาที่เคยใช้ไปกับการสนใจแต่ตัวเองไปสนใจคนรอบข้างมากขึ้นจนภาวะหลงตัวเองที่เคยมีลดระดับลง
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยสนับสนุนว่าเมื่อเวลาผ่านไปมนุษย์เราจะพัฒนานิสัยใจคอให้มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความมั่นคงทางอารมณ์ที่เพิ่มขึ้น มีสติมุ่งมั่นกับการทำงานและความรับผิดชอบของตัวเอง อีกทั้งยังมีความเป็นมิตรต่อผู้คนมากขึ้นอีกด้วย และแน่นอนว่าความหลงตัวเองที่อาจเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกันของความเป็นผู้ใหญ่ก็จะลดลงตามไปด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ภาวะหลงตัวเองก็อาจเพิ่มขึ้นได้ในบางกรณีแม้จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม งานวิจัยเผยว่าเมื่อได้อยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจสูงขึ้นไม่ว่าจะในที่ทำงานหรือในความสัมพันธ์ทั่วไป อาจทำให้เกิดความเอารัดเอาเปรียบ และขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ซึ่งจะทำให้ภาวะหลงตัวเองโดยรวมเพิ่มขึ้นด้วย
ภาวะหลงตัวเองหากอยู่ในระดับที่พอประมาณจะทำให้มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น และไม่ได้ก่อให้เกิดความเดือดร้อนใดๆ แก่คนรอบข้าง แต่ในบางคนอาจมีระดับความรุนแรงขึ้นไปมากกว่าเพียงภาวะทางบุคลิกภาพ แต่เป็นโรคทางบุคลิกภาพที่เรียกว่า Narcissistic personality disorder (NPD) หรือ โรคหลงตัวเอง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับคนรอบตัวเป็นอย่างมาก และควรได้รับการรักษาและบำบัดอย่างใกล้ชิด
โดยสรุปแล้ว อาจเป็นเรื่องดีที่ภาวะหลงตัวเองจะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น แต่ทว่าระดับที่ลดลงนั้นอาจไม่ได้มากเท่าที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในเวลาอันสั้น
ดังนั้นแล้วหากคุณกำลังประสบปัญหาในความสัมพันธ์จากคนที่หลงตัวเองมากเกินไป การจะคาดหวังให้เวลาช่วยทำให้เขาเติบโตอาจไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้องและดีต่อตัวคุณเองเท่าไหร่นัก และหากรับมือไม่ไหวการขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญก็ถือเป็นตัวช่วยที่ดี

สำหรับใครที่อยากมีคาแรกเตอร์มู้ดดี้ในแบบของคุณเอง มาเจอกับนักวาดของเราได้น้า~ เพียงแค่เข้าร่วมกิจกรรม ‘MOODY Tracker’เสร...
23/10/2025

สำหรับใครที่อยากมีคาแรกเตอร์มู้ดดี้ในแบบของคุณเอง มาเจอกับนักวาดของเราได้น้า~ เพียงแค่เข้าร่วมกิจกรรม ‘MOODY Tracker’เสร็จแล้วต่อคิววาดรูปได้เลย 🧑‍🎨🎨🖌️
พบกันที่บูธ D4
Bangkok Illustration Fair 2025
วันที่: 23-26 ตุลาคม 2568
สถานที่: centralwOrld PULSE บริเวณชั้น 7 centralwOrld
เวลา: 11.00-20.00 น.



23/10/2025

มาเจอ MOODY ได้ที่ Bangkok Illustration Fair 2025 ตั้งแต่วันนี้-26 ตุลาคม 2568 🎨🖌️
📍สถานที่: centralwOrld PULSE บริเวณชั้น 7 centralwOrld
🕐 เวลา: 11.00-20.00 น. (วันแรกประตูเปิด 14.00 น.)



สายฝนกำลังโปรยปรายในหัวใจของทุกคนอยู่หรือเปล่านะ? หากคำตอบคือ ‘ใช่’ MOODY อยากชวนมาพบกับฤดูแห่งการเบ่งบานใน ‘MIND DAY 2 ...
22/10/2025

สายฝนกำลังโปรยปรายในหัวใจของทุกคนอยู่หรือเปล่านะ?
หากคำตอบคือ ‘ใช่’ MOODY อยากชวนมาพบกับฤดูแห่งการเบ่งบาน
ใน ‘MIND DAY 2 PRESENTED BY SHISEIDO’ อีเวนต์ฮีลใจจาก MOODY เร็วๆ นี้


‘Tall Poppy Syndrome’ เมื่อความสำเร็จของเรา ขัดหูขัดตาคนอื่น จนโดนด้อยค่า เหมือนดอกป๊อปปี้ต้นสูงกว่าใคร ที่มักโดนตัดทิ้ง...
22/10/2025

‘Tall Poppy Syndrome’ เมื่อความสำเร็จของเรา ขัดหูขัดตาคนอื่น จนโดนด้อยค่า เหมือนดอกป๊อปปี้ต้นสูงกว่าใคร ที่มักโดนตัดทิ้ง
-------------------
เคยเจอไหม… เวลาเราทำอะไรสำเร็จ ได้รับโอกาสดีๆ หรือแค่พยายามก้าวไปข้างหน้าตามความตั้งใจของตัวเอง จู่ๆ ก็มีเสียงกระซิบจากข้างหลัง
“ทำไมต้องพยายามขนาดนั้น?” หรือไม่ก็โดนพูดจาลดค่าความสำเร็จ “เธอก็เก่งนะ แต่ดูอวดเก่งไปหน่อย”
พฤติกรรมนี้อาจมองได้ว่าเป็นความอิจฉา แต่บางคนก็ใช้ความอิจฉาเป็นแรงบันดาลใจไปพัฒนาตัวเอง หากแต่กับบางคนความรู้สึกนี้อาจเรียกว่า ‘ความริษยา’ ที่เรียกว่า ‘Tall Poppy Syndrome’ (TPS) หรือ อาการแอนตี้ความสำเร็จ เป็นแนวคิดที่มาจากคำเปรียบเปรยว่า ‘ดอกป๊อปปี้ที่สูงที่สุดในทุ่ง มักถูกตัดทิ้ง’ คือพฤติกรรมของสังคมที่พยายามกดคนที่โดดเด่นหรือเก่งเกินไป เพื่อทำให้ทุกอย่างกลับมาอยู่ในระดับที่ ‘เท่าเทียม’ กัน
แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ถ้าย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ นักประวัติศาสตร์โรมันชื่อ ลิวี (Livy) เคยเล่าถึงเรื่องของ กษัตริย์ทาร์ควินแห่งโรม (King Tarquin the Proud) ที่ต้องการพิชิตเมืองหนึ่ง และเมื่อบุตรชายของเขาส่งสารมาขอคำแนะนำ กษัตริย์ไม่ได้พูดอะไร แต่เดินไปในสวน แล้วใช้ดาบตัดดอกป๊อปปี้ที่สูงที่สุดทิ้ง บุตรชายของเขาเข้าใจทันทีว่าสิ่งที่พ่อของเขาต้องการสื่อคือ ‘กำจัดทุกคนที่โดดเด่นที่สุดในเมืองนั้น’ เพื่อทำให้เมืองอ่อนแอและยึดครองได้ง่ายขึ้น
นี่เป็นเรื่องเดียวกับที่เรากำลังเผชิญในปัจจุบัน เวลาที่ใครสักคน ‘โดดเด่นกว่า’ พวกเขามักตกเป็นเป้าหมายของการถูกลดค่าหรือถูกดึงให้กลับลงมา
Tall Poppy Syndrome ปรากฏอยู่รอบตัวเรา โดยเฉพาะในที่ทำงาน ที่ซึ่งคนที่เก่งหรือทำผลงานดีอาจถูกกีดกันจากโอกาสสำคัญ หรือถูกทำให้รู้สึกว่าความสำเร็จของพวกเขา ‘มากเกินไป’ บางคนอาจบอกว่า “อย่าพยายามมากกว่านี้เลย เดี๋ยวก็ไม่มีใครชอบเธอหรอก” หรือแย่กว่านั้นคือพวกเขาอาจถูกกันออกจากกลุ่มไปเลย
จิตวิทยาอธิบายปรากฏการณ์นี้ผ่าน ทฤษฎีการเปรียบเทียบทางสังคม (Social Comparison Theory) ของ ลีออน เฟสติงเกอร์ (Leon Festinger) ซึ่งกล่าวว่า คนเรามักตัดสินคุณค่าของตัวเองผ่านการเปรียบเทียบกับผู้อื่น และเมื่อพวกเขารู้สึกว่ามีใครบางคนเก่งกว่าหรือก้าวไปไกลกว่า พวกเขาอาจรู้สึกด้อยค่า และแทนที่จะพัฒนาตัวเอง พวกเขาเลือกใช้วิธี ‘ลดระดับ’ คนอื่นลงเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นแทน เพราะเห็นว่าเป็นหนทางที่ง่ายสุด
ถ้าคุณกำลังเผชิญกับ Tall Poppy Syndrome ทางออกที่ดีที่สุดไม่ใช่การ ‘ลดมาตรฐานตัวเองลง’ เพื่อให้คนอื่นรู้สึกดีขึ้น อย่ารู้สึกผิดที่ทำอะไรได้ดีและโดดเด่นกว่าคนอื่น แต่ให้ทำความเข้าใจว่า นี่ไม่ใช่ปัญหาของเรา แต่มันคือปัญหาของพวกเขาต่างหาก
ความสำเร็จของคุณไม่ได้ทำให้ใครด้อยค่าลง และคุณไม่จำเป็นลดมาตรฐานตัวเองลงเพื่อให้ใครสบายใจ และบางครั้งการย้ายตัวเองออกจากสังคมที่ไม่เอื้อให้เราเติบโตอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะคุณค่าของเราไม่ควรถูกกำหนดโดยใคร แต่ถูกกำหนดโดยตัวเราเอง
-------------------
MOODY อยากให้ทุกคนภูมิใจและรักในสิ่งที่ตัวเองทำได้ดีเยอะๆ ลดการฟังเสียงที่ไม่เป็นประโยชน์ลง แล้วให้ความสำคัญกับสิ่งที่ช่วยสนับสนุนให้เราได้เติบโตไปสู่เป้าหมายของเรากันดีกว่านะ


สำหรับใครที่ยังไม่มีแพลนช่วงวันหยุดยาวนี้ มาเจอ MOODY เป็นครั้งแรกได้ที่งาน Bangkok Illustration Fair 2025 ทุกคนจะได้พบก...
22/10/2025

สำหรับใครที่ยังไม่มีแพลนช่วงวันหยุดยาวนี้ มาเจอ MOODY เป็นครั้งแรกได้ที่งาน Bangkok Illustration Fair 2025 ทุกคนจะได้พบกับบูธที่ตกแต่งในธีม…
🏡MOODY Home
เพราะเราเปรียบ ‘จิตใจ’ ข้างในของมนุษย์เหมือน ‘บ้าน’ หลังใหญ่ ที่ประกอบด้วยสมาชิกหลากหลาย ซึ่งคือเหล่า ‘อารมณ์’ ของเราที่มีทั้ง ‘อารมณ์ด้านลบ’ ที่มักเกาะกุมหัวใจไม่ยอมไปไหน กับ ‘อารมณ์ด้านบวก’ ที่เข้ามาทำให้ชุ่มชื้นหัวใจแล้วจากไป
ดังนั้น ‘จิตใจ’ จึงเป็นทั้งที่พักพิงของขั้วอารมณ์ทั้งสอง ที่มักจะสลับแวะเวียนกันเข้ามา แล้วทำให้เราเรียนรู้ว่า ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย ขอเพียงเรา ‘เข้าใจ’ และ ‘ยอมรับ’ ก็จะสามารถอยู่กันได้อย่างพอดี
เมื่อ ‘จิตใจ’ ที่เปรียบเสมือน ‘บ้าน’ ที่เป็นรากฐานของเราแข็งแรง ต่อให้เผชิญกับอุปสรรคและความยากลำบากใดๆ ก็ตาม เราจะก้าวผ่านมันไปได้
📝MOODY Tracker
จึงเป็นที่มาของกิจกรรม ‘MOODY Tracker’ อยากชวนทุกๆ คน มาใช้เวลาชั่วครู่ ทบทวนตัวเองผ่าน ‘MOODY HOME’ แพลตฟอร์มบันทึกความรู้สึกในวันนี้ พร้อมให้กำลังใจตัวเองเพื่อเริ่มต้นใหม่ในวันถัดไป หลังจากนั้นรับ Giveaway สุดน่ารักจากเราไปเลย!
🎨สินค้าฮีลใจ
นอกจากนี้ ยังมีเหล่าสินค้าฮีลใจคอลเลกชันแรกจาก MOODY ให้แฟนๆ ทุกคนได้ซื้อไปสะสมกันอีกด้วยนะ
1 - Sticker ติดคอมไว้เป็นกำลังใจ
2 - Postcard เอาไว้เตือนใจในวันที่เหนื่อยล้า
3 - Tag Door สำหรับช่วงที่อยากขอเวลา อยู่กับตัวเองเงียบๆ โดยไร้สิ่งรบกวน
4 - Doormat พรมเช็ดเท้าที่คอยบอกว่า คุณได้จบวันที่แย่ๆ และกลับสู่พื้นที่ปลอดภัยแล้ว
🧑‍🎨แอบกระซิบว่างานนี้ ‘นักวาด’ ของเราจะมาวาดน้องมู้ดดี้ในคาแรกเตอร์ของทุกคนด้วยนะ! แล้วมาเจอกันที่ บูธ D4
Bangkok Illustration Fair 2025
วันที่: 23-26 ตุลาคม 2568
สถานที่: centralwOrld PULSE บริเวณชั้น 7 centralwOrld
เวลา: 11.00-20.00 น. (วันแรกประตูเปิด 14.00 น.)



MOODY QUOTE: “การให้อภัยตัวเอง คือการปลดปล่อยจิตใจให้เป็นอิสระ เมื่อเรายอมรับและให้อภัยตัวเองได้ เราก็จะเข้าใจและให้อภัย...
19/10/2025

MOODY QUOTE: “การให้อภัยตัวเอง คือการปลดปล่อยจิตใจให้เป็นอิสระ เมื่อเรายอมรับและให้อภัยตัวเองได้ เราก็จะเข้าใจและให้อภัยผู้อื่นได้เช่นกัน”
บางครั้งสิ่งที่หนักที่สุด อาจไม่ใช่ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น แต่เป็นการที่เรายังไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองก้าวออกจากมัน
หนังสือ ‘ชีวิตพลิกผันเมื่อฉันหันมารักตัวเอง’ ชวนให้เราเรียนรู้ว่า การรักตัวเองไม่ใช่การเพิกเฉยต่อบาดแผล แต่คือการหันกลับมาโอบกอด และให้อภัยสิ่งที่เคยทำให้เจ็บปวด เพราะเมื่อหัวใจเราเบาลงจากการโทษตัวเอง เราจะมีพื้นที่ว่างพอที่จะมอบความเข้าใจให้คนอื่น และใช้ชีวิตอย่างอิสระอย่างแท้จริง
หนังสือ: ชีวิตพลิกผันเมื่อฉันหันมารักตัวเอง
เขียน: Kamal Ravikant
สำนักพิมพ์:


ที่อยู่

6, 1 Ari5 Fang Nuea Alley, Phaya Thai
Bangkok

เบอร์โทรศัพท์

+66968964594

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ MOODYผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง MOODY:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram