MOODY ความรู้สึกข้างใน ยิ่งเข้าใจ ยิ่งเติบโต 🍿

เคยเป็นไหม ที่เรามักเผลอคาดหวังจากอีกฝ่ายมากเกินไปโดยไม่รู้ตัว? -------------------บางครั้งเราก็ไม่อาจทนห่างจากคนรักได้น...
05/09/2025

เคยเป็นไหม ที่เรามักเผลอคาดหวังจากอีกฝ่ายมากเกินไปโดยไม่รู้ตัว?
-------------------
บางครั้งเราก็ไม่อาจทนห่างจากคนรักได้นานเกินไป โดยไม่รู้สึกกังวล เศร้า หรือกลัวถูกปฏิเสธ ซึ่งความย้อนแย้งคือ คนที่กลัวการสูญเสียที่สุดมักเป็นคนที่เผลอพูดคำว่าจะ ‘เลิกรา’ แทน เพื่อปกป้องตัวเองจากความเสียหายทางใจ หากอีกฝ่ายเป็นฝั่งบอกเลิกก่อน
นักบำบัดคู่รักมักอธิบายปรากฏการณ์นี้ว่า ‘The Pursuer-Distancer Dance’ หรือ พลวัตแห่งความสัมพันธ์ระหว่าง ‘ผู้ไล่ตาม’ (pursuer) ที่พยายามเข้าใกล้ กับ ‘ผู้ถอยห่าง’ (distancer) ที่ต้องการพื้นที่ของตัวเอง เมื่อฝ่ายหนึ่งรู้สึกถูกทิ้ง อีกฝ่ายกลับรู้สึกถูกกักขัง ทั้งสองต่างติดอยู่ในความหวาดกลัวที่จะสูญเสียความใกล้ชิดที่แท้จริง และในความพยายามที่จะปกป้องสิ่งสำคัญที่สุด ขณะเดียวกันพวกเขากลับผลักมันออกไปโดยไม่รู้ตัว
สิ่งที่น่าสนใจคือ หลายครั้งที่ผู้ชายกลายเป็นฝ่ายไล่ตามอย่างสิ้นหวัง เนื่องจากพวกเขามีประวัติการสูญเสียแม่ตั้งแต่ยังเด็ก ไม่ว่าจะเพราะการเสียชีวิตหรือการถูกทอดทิ้ง บาดแผลนั้นหล่อหลอมให้เกิดทั้งความโหยหา และความรู้สึกว่าตนเอง ‘สมควร’ ได้รับการดูแลจากผู้หญิงที่ทำหน้าที่เหมือนแม่
ขณะเดียวกัน ผู้หญิงที่มาเป็นคู่รักก็มักมีอดีตที่ต้องเติบโตเร็วกว่าที่ควร ต้องดูแลครอบครัวตั้งแต่วัยเยาว์ เมื่อตกอยู่ในความสัมพันธ์เธอจึงเริ่มด้วยการเป็นผู้ดูแล แต่ไม่นานความเหนื่อยล้าและความต้องการอิสระก็ผลักให้เธอถอยห่าง และนั่นเองที่ไปกระตุ้นบาดแผลเดิมของฝ่ายชายเข้า
แต่ถึงจะรู้ว่าแรงขับนั้นมาจากไหน แต่ผู้ชายเหล่านี้ก็ยังคงไล่ตามอย่างไม่หยุดยั้ง จนยิ่งผลักคนรักออกไปไกลกว่าเดิม พวกเขาตกอยู่ในความขัดแย้งภายในใจ ส่วนหนึ่งต้องการใครสักคนมาชดเชยการสูญเสีย แต่ขณะเดียวกันกลับไม่สามารถรับมือกับการมี ‘ตัวแทนแม่’ ได้จริงๆ ความโกรธที่ยังไม่ถูกคลี่คลาย หรือความรู้สึกไร้ค่าลึกๆ ทำให้พวกเขาเชื่อว่าตนเองไม่คู่ควรจะเติมเต็มช่องว่างนี้ และสุดท้ายก็ทำลายสิ่งที่ตัวเองโหยหามากที่สุด
เรื่องราวเหล่านี้ชวนให้เราตั้งคำถามกับตัวเองว่า เวลาที่เราพยายามไขว่คว้าความรักอย่างเอาเป็นเอาตาย เรากำลังสร้างพื้นที่ให้ความสัมพันธ์เติบโตจริงๆ หรือเพียงแต่กำลังวิ่งหนีเงาของบาดแผลเก่า หากใช่อย่างหลัง บางทีคำตอบอาจไม่ได้อยู่ที่การเรียกร้องจากคนรัก แต่คือการเรียนรู้ที่จะโอบกอดตัวเอง ยอมรับว่าเรามีคุณค่าเพียงพอ และเปิดพื้นที่ให้ความใกล้ชิดค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม จากตัวอย่างส่วนใหญ่จะพบว่าผู้ชายมักเป็นฝ่ายไล่ตามมากกว่า ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงจะไม่ไล่ตามเลยเหมือนกันนะ MOODY อยากให้ทุกคนสำรวจตัวเองให้ดีว่าคู่ของเราเป็นแบบนี้หรือเปล่า? บางคู่อาจไม่เป็น แต่หากคู่ไหนเป็นก็ลองเปิดอกสำรวจใจเพื่อพูดคุยหาหนทางปรับปรุงความสัมพันธ์กันดูนะ
-------------------
เพราะในท้ายที่สุด ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนไม่ใช่การจับไว้แน่นที่สุด แต่คือการปล่อยให้อีกฝ่ายหายใจได้ และเรายังคงมั่นใจว่าความผูกพันจะไม่หายไปไหน

แม้การออกจากเซฟโซนจะทำให้เราได้ค้นพบอะไรใหม่ๆ แต่ความจริงอาจไม่ต้องออกไปไหนเลย แค่ขยายพื้นที่นั้นให้ใหญ่พอที่จะเรียนรู้ส...
04/09/2025

แม้การออกจากเซฟโซนจะทำให้เราได้ค้นพบอะไรใหม่ๆ แต่ความจริงอาจไม่ต้องออกไปไหนเลย แค่ขยายพื้นที่นั้นให้ใหญ่พอที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่เหล่านั้นก็พอ


ความเชื่อใจ ถือเป็นเส้นใยแห่งความสัมพันธ์ที่ทั้งแข็งแกร่ง แต่ก็ขาดง่าย -------------------เนื่องจากเป็นเรื่องของความรู้ส...
03/09/2025

ความเชื่อใจ ถือเป็นเส้นใยแห่งความสัมพันธ์ที่ทั้งแข็งแกร่ง แต่ก็ขาดง่าย
-------------------
เนื่องจากเป็นเรื่องของความรู้สึกมั่นคงที่คนในความสัมพันธ์ต่างมีให้กันและกัน เพื่อวางใจว่าคนนี้จะจริงใจและซื่อสัตย์กับเราเสมอ
แต่เมื่อไรก็ตามที่ฝ่ายหนึ่งทำลายมันลง ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่ โดยเฉพาะเรื่องนอกกาย นอกใจ ก็ยิ่งยากที่จะทำให้อีกฝ่ายกลับมาเชื่อใจได้ จากความรู้สึกมั่นคง กลายเป็นความรู้สึกวิตกกังวล และความระแวง
หลายคนที่เคยประสบกับความเจ็บช้ำนี้ อาจมีพฤติกรรมการเช็กโทรศัพท์ เช็กเสื้อผ้า กลิ่น หรือระแวงในความสัมพันธ์อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการให้โอกาสกับคนเดิม หรือมีความรักครั้งใหม่แล้วก็ตาม
แต่ทันทีที่คนรักทำบางอย่างให้เราไม่สบายใจ ความรู้สึกและพฤติกรรมนี้ก็อาจกลับมาได้
บทความนี้จึงเป็นการแนะนำเคล็ดลับ การทำความเข้าใจกับคนรักของคุณที่เคยถูกทำลายความเชื่อใจมาก่อน ว่าจะทำอย่างไรให้เขารู้สึกกลับมาวางใจได้อีกครั้งเมื่ออยู่กับคุณ
1 - ประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้น:
หากรู้สึกได้ว่าแฟนของคุณเกิดความไม่สบายใจ มีความระแวง ให้ลองสำรวจดูว่า สาเหตุอะไรที่ทำให้เธอหรือเขารู้สึกแบบนั้นแบบนี้
2 - ปรับความเข้าใจ:
บางคนอาจมีพฤติกรรมควบคุมหรือบังคับ ซึ่งอาจทำให้คุณอึดอัดได้ ดังนั้น ให้เข้าใจเขาหรือเธอก่อนว่า นั่นเป็นเพราะความกังวลจากสิ่งที่เคยเกิดขึ้น ดังนั้น หากคุณไม่ได้ทำอะไรผิด ลองจับเข่าคุย ทำความเข้าใจกันดู เพื่อยืนยันให้อีกฝ่ายรู้สึกวางใจมากขึ้น
3 - บอกเล่าตามความเป็นจริง:
ความสงสัย เป็นบ่อเกิดแห่งความหวาดระแวง ไม่สบายใจ ดังนั้น ให้นำความบริสุทธิ์ใจเข้าสู้ ถ้าอีกฝ่ายขอดูโทรศัพท์ก็ให้ดู ขณะเดียวกันก็ควรตกลงถึงขอบเขตส่วนตัวของกันและกันด้วย
4 - สื่อสารกันทุกครั้ง:
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไร ก็อย่าลืมว่าเราเองก็รู้สึกอะไรได้เช่นกัน เพราะแม้ว่าพวกเขาจะเคยเจอกับความเจ็บช้ำในอดีต แต่ก็ไม่ควรนำความโกรธหรือปมในใจมาลงกับรักครั้งใหม่ ดังนั้น การพูดคุยเพื่อหาตรงกลางในความสัมพันธ์จึงเป็นเรื่องสำคัญของคู่รัก
สื่อสาร เพื่อทำความเข้าใจ
สื่อสาร เพื่อปรับจูนกัน
สื่อสาร เพื่อหาหนทางแก้ไข และพัฒนาความสัมพันธ์
สื่อสาร เพื่อสร้างความไว้ใจ แล้วความเชื่อใจก็จะตามมา
ที่สำคัญการสื่อสารนั้น ต้องตรงไปตรงมาและจริงใจ หากคุณอยากไปต่อกับความสัมพันธ์นี้แบบเฮลตี้
-------------------
ทุกความเชื่อใจที่พังลงไป อาจยากที่จะสร้างขึ้นใหม่ได้ แต่การร้องขอความเชื่อใจจากอีกฝ่ายก็ไม่ใช่เรื่องไม่ควร (หากเราไม่ได้ทำผิดตั้งแต่แรก) ดังนั้น ค่อยๆ ปล่อยความเสียใจในอดีต แล้วกลับมาโฟกัสที่ปัจจุบัน ค่อยๆ ช่วยกันสร้างความเชื่อใจนั้นขึ้นมากันใหม่นะ


อยากรู้ไหมว่าคุณผูกพันกับสัตว์เลี้ยงขนาดไหน? MOODY ชวนมาเล่นควิซสนุกๆ ค้นหารูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างคุณและสัตว์เลี้ยงกัน...
02/09/2025

อยากรู้ไหมว่าคุณผูกพันกับสัตว์เลี้ยงขนาดไหน?
MOODY ชวนมาเล่นควิซสนุกๆ ค้นหารูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างคุณและสัตว์เลี้ยงกัน ใครได้แบบไหน ตรงไหม มาแชร์กันด้วยน้า 🐱🐶🐹🦖
จิ้มเลย!: https://pet-parents.moody.brandthink.me


BrandThink MOODY Pet Parents Quiz

MOODY: ต่อให้จะสนิทกันแค่ไหน แต่ทุกคนต่างมีกำแพงในใจกันทั้งนั้น-------------------เพราะไม่ใช่คนข้างกายทุกคนที่จะเป็นพื้น...
01/09/2025

MOODY: ต่อให้จะสนิทกันแค่ไหน แต่ทุกคนต่างมีกำแพงในใจกันทั้งนั้น
-------------------
เพราะไม่ใช่คนข้างกายทุกคนที่จะเป็นพื้นที่ให้เราเปิดเผยตัวเองได้อย่างสบายใจ แต่ความจริงอีกอย่างคือ คนเรามักคาดหวังโดยไม่รู้ตัวว่า “อยากให้คนอื่นเข้าใจเราจังเลย” ในขณะที่ตัวเองก็ตั้งกำแพงไว้สูงลิบ ถ้าไม่เหนื่อยจนท้อไปเสียก่อน ก็คงใช้เวลานานมากๆ กว่าใครคนนั้นจะปีนข้ามเข้ามาทำความเข้าใจเราได้
คงจะดีกว่าถ้าเรายอมอ่อนลงสักนิด แล้วเปิดใจให้อีกฝ่ายค่อยๆ เข้ามาทำความรู้จักเราอย่างค่อยเป็นค่อยไป MOODY จึงชวนทุกคนมาเปิดใจไปด้วยกัน กับแนวคิด Self-Disclosure หรือ การเปิดเผยตนเอง
โดยแนวคิด การเปิดเผยตนเอง เป็นวิธีทำความรู้จักขั้นพื้นฐานที่เราใช้ประจำเมื่อต้องทำความรู้จักคนใหม่ๆ นั่นคือ ‘การพูดแนะนำตัวเอง’ ทั้งในแง่ของการพูดจา เช่น ชื่อ เป็นคนที่ไหน บอกเล่าให้รู้ว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร งานอดิเรกที่ชอบทำ หนังสือที่ชอบอ่าน สนใจประเด็นนั้น ฯลฯ และในมิติการแสดงสีหน้า ท่าทาง และอารมณ์ ที่คนอื่นจะสามารถสังเกตเห็นได้
แต่เมื่อคนแปลกหน้า กลายเป็นคนคุ้นหน้าและเคยชินกันไปแล้ว ความคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะต้องรู้จักเราดีแล้วจึงก่อขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทำให้หลงลืมที่จะหาเวลาชิลๆ นั่งเปิดอกเปิดใจคุยกันนั่นเอง
ถามว่าเราจะได้อะไรจากการเปิดเผยตัวเองนอกจากความเข้าอกเข้าใจ?
สิ่งที่ต่อยอดเมื่อคนเราเข้าใจอีกฝ่ายคือ การได้เห็นตัวตนที่แท้จริง รู้สึกใกล้ชิด และมีความไว้เนื้อเชื่อใจที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เรามีปฏิสัมพันธ์อันดีต่อกันในวันข้างหน้า หากเป็นคนในครอบครัว คนรักก็จะคอยช่วยเหลือ เกื้อกูล ไม่ทิ้งกันไปไหน หากเป็นเพื่อนร่วมงานก็ไม่ลังเลที่จะให้การช่วยเหลือ การทำงานจึงราบรื่นขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการเปิดเผยตัวเองจะเป็นเรื่องที่ดี แต่การมีกำแพงเล็กๆ หรือขอบเขตไว้บ้างก็เป็นสิ่งจำเป็น เพราะไม่ใช่ทุกเรื่องที่เราควรเปิดเผยให้ใครรู้ก็ได้ เช่น ประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็ก หรือประเด็นที่อ่อนไหวทางความรู้สึก แม้กระทั่งปัญหาส่วนตัวบางอย่างที่ควรเป็นความลับ เป็นต้น เพราะบางคนก็ไม่รู้วิธีการรับมือที่เหมาะสม
ดังนั้น อย่าลืมว่าก่อนจะเปิดเผยตัวเองในประเด็นไหน กับใคร อย่างไร ต้องกำหนดขอบเขตที่เหมาะสม ไตร่ตรองให้ดีว่าใครคนนั้นพร้อมที่จะรับฟัง เข้าใจ และไว้ใจได้แค่ไหน
-------------------
การลดกำแพงลงแล้วเปิดใจตัวเองมากขึ้นจะมีประโยชน์มาก หากบุคคลเหล่านั้นคือ ครอบครัว เพื่อน หรือคนรัก แม้กระทั่งเพื่อนร่วมงานของคุณ และเมื่อตัวเรากับคนรอบข้างมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน นั่นแปลว่าสุขภาพจิตของเราก็แข็งแรงขึ้นไปด้วย เพราะฉะนั้นมาลองเปิดใจกันดูนะทุกคน

MOODY QUOTE: “ไม่จำเป็นต้องเอาพลังชีวิตไปแลกกับทุกเสียงวิจารณ์ ไม่ใช่ทุกคำพูดต้องได้รับคำตอบ ไม่ใช่ทุกคนจะคู่ควรกับที่นั...
31/08/2025

MOODY QUOTE: “ไม่จำเป็นต้องเอาพลังชีวิตไปแลกกับทุกเสียงวิจารณ์ ไม่ใช่ทุกคำพูดต้องได้รับคำตอบ ไม่ใช่ทุกคนจะคู่ควรกับที่นั่งในชีวิตคุณ จงเก็บแรงไว้สร้างสิ่งที่คุณอยากเป็น แล้วปล่อยให้เสียงรอบข้างค่อยๆ จางหายไป”
บางครั้งพลังของเราก็มีค่ามากกว่าที่จะสิ้นเปลืองไปกับเสียงวิจารณ์ที่ไม่เข้าใจเรา ซึ่งนักร้องตัวแม่อย่าง ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ (Taylor Swift) คือตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน เพราะตลอดเส้นทางที่ผ่านมาหลายปี เธอผ่านคำวิจารณ์มามากมาย ถูกจับตามอง ถูกตัดสินซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่แทนที่จะปล่อยให้เสียงเหล่านั้นกลืนกิน เธอกลับเลือกใช้พลังทั้งหมดสร้างสรรค์บทเพลง เรื่องเล่า และชีวิตที่ปรารถนา แล้วชีวิตก็พาเธอไปพบความสุขที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ประสบความสำเร็จในอาชีพ แต่ในที่สุดเธอก็พบเจอกับคนรักที่อยู่เคียงข้างและสนับสนุนเธออย่างแท้จริง


MOODY QUOTE: “ยังดีที่มีเธออยู่ข้างๆ ฉัน ยังดีที่มีเธอปลอบประโลมกัน ในวันที่โลกทั้งใบได้กดทับฉันลงไป เธอบอกไม่ใช่เรื่องใ...
30/08/2025

MOODY QUOTE: “ยังดีที่มีเธออยู่ข้างๆ ฉัน ยังดีที่มีเธอปลอบประโลมกัน ในวันที่โลกทั้งใบได้กดทับฉันลงไป เธอบอกไม่ใช่เรื่องใหญ่ หากวันนี้ฉันเสียใจ พรุ่งนี้ก็หายใจได้อย่างเดิม”
ต่อให้บางครั้งชีวิตจะมืดมน แทบไม่เห็นหนทาง ขอเพียงแค่ ‘ใครสักคน’ อยู่ข้างๆ เพื่อบอกว่า “ยังมีฉันอยู่ตรงนี้ ไม่เป็นไร เดินต่อไปเถอะ” แค่นี้ก็อาจเพียงพอให้เรากล้าเผชิญหน้ากับทุกอย่างแล้ว
เพลง ยังดี (You) ของ Stoondio จึงเป็นเสมือนคำปลอบโยนที่ทำให้เราจำได้ว่า ต่อให้วันนี้จะเต็มไปด้วยน้ำตา แต่พรุ่งนี้เรายังมีลมหายใจ ยังมีโอกาสจะลุกขึ้นใหม่อีกครั้ง และยิ่งกว่านั้น เรายังมี ‘ใครสักคน’ ที่ไม่ปล่อยให้เราเผชิญกับความเปล่าเปลี่ยวเพียงลำพัง
เพราะความหมายของคำว่า ‘ยังดี’ ไม่ได้อยู่แค่ในท่วงทำนองที่ฟังแล้วอบอุ่น แต่ยังอยู่ที่การตระหนักว่า การมีใครสักคนที่ไม่ทิ้งเราไปไหนในวันที่เราล้มลง คือสิ่งล้ำค่าที่สุด


‘ความวิตกกังวล’ อารมณ์ความรู้สึกที่ใครๆ ก็ไม่อยากต้อนรับ-------------------เพราะมันมักมาพร้อมกับความอึดอัด ความกลัว และเ...
29/08/2025

‘ความวิตกกังวล’ อารมณ์ความรู้สึกที่ใครๆ ก็ไม่อยากต้อนรับ
-------------------
เพราะมันมักมาพร้อมกับความอึดอัด ความกลัว และเสียงรบกวนในหัวมากมาย แต่ถ้าลองหยุดฟังอย่างใจเย็น เราอาจพบว่า ความวิตกกังวลไม่ใช่ศัตรูที่คอยถ่วงแข้งถ่วงขาเราอย่างที่คิด แต่กลับเป็นสัญญาณเล็กๆ ที่สมองพยายามจะบอกว่า มีบางสิ่งที่สำคัญกำลังรอเราอยู่
นักประสาทวิทยา เวนดี ซูซูกิ (Wendy Suzuki) เล่าไว้ในหนังสือ ‘Good Anxiety’ ที่เธอเขียนว่า ความวิตกกังวลเป็นกลไกที่ถูกส่งต่อมาจากบรรพบุรุษ เพื่อช่วยให้เรารอดพ้นจากอันตราย เมื่อได้ยินเสียงในความมืด หัวใจที่เต้นแรงหรือความตื่นตัวที่เกิดขึ้น คือระบบป้องกันที่ทำให้มนุษย์รุ่นก่อนตัดสินใจวิ่งหนีหรือสู้ได้ทันเวลา แม้วันนี้เราไม่ได้ต้องหนีผู้ล่าอีกแล้ว แต่สมองก็ยังใช้กลไกเดิมเพื่อให้เราพร้อมเผชิญกับความท้าทายต่างๆ
และเพราะความวิตกกังวลทำงานรวดเร็ว มันจึงมักทำให้สมองส่วนที่ใช้เหตุผลอย่างคอร์เทกซ์กลีบหน้าผาก (Prefrontal cortex) แทบจะดับวูบไปชั่วขณะ เราเลยรู้สึกเหมือนคิดอะไรไม่ออก แต่ข่าวดีก็คือ สมองมนุษย์ไม่เคยหยุดพัฒนา มันสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอผ่านการออกกำลังกาย การทำสมาธิ หรือการฝึกมองสิ่งต่างๆ ด้วยมุมใหม่ๆ ยิ่งเราฝึกบ่อย สมองก็ยิ่งรู้จักหายใจลึกๆ และกลับมายืนได้มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ
แต่สิ่งที่ทำให้เราวนเวียนอยู่กับความกังวลมากมาย ก็เพราะ ‘อคติด้านลบ’ ที่สมองมักเลือกโฟกัสเรื่องแย่ๆ มากกว่าเรื่องดีๆ เสียงที่คอยกระซิบว่า “เขาคงไม่ชอบฉัน” หรือ “ถ้าล้มเหลวจะทำยังไง” ไม่ได้เป็นความจริงทั้งหมด มันเป็นเพียงเงาสะท้อนจากสมองที่อยากปกป้องเราเท่านั้น หากเรามองเห็นกลไกนี้ เราก็จะไม่จมอยู่กับมัน แต่หันกลับมาหาทางแก้ไขได้แทน
ซูซูกิจึงชวนเรามองความวิตกกังวลให้เป็นเหมือน ‘พลังวิเศษ’ (Superpower) คือให้มองว่าความวิตกกังวลไม่ใช่ภาระ แต่คือแหล่งพลังที่สามารถผลักดันให้เราก้าวไปข้างหน้า ตัวอย่างเช่น ความวิตกกังวลสามารถกลายเป็นพลังแห่งการทำงาน (productivity) คำพูดในหัวอย่าง “ถ้า…?” ที่คอยกวนใจเราอาจกลายเป็นแผนที่ของสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต หากเรานำมันมาเปลี่ยนเป็นรายการสิ่งที่ต้องทำ เราก็สามารถแปลงความกังวลให้เป็นแรงขับเคลื่อนจริงได้
อีกทั้งความวิตกกังวลยังสามารถทำให้เราซาบซึ้งกับช่วงเวลาแห่งการไหลลื่น (flow) ได้มากขึ้น เมื่อเราผ่านความเครียดมาแล้วเข้าสู่ภาวะที่ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นและเต็มไปด้วยสมาธิ ความแตกต่างนี้จะทำให้เรารู้สึกถึงคุณค่าของความสงบและชัยชนะเล็กๆ ได้อย่างลึกซึ้ง
นอกจากนี้ ความวิตกกังวลยังเปิดประตูสู่การเข้าใจผู้อื่นและสร้างความเห็นอกเห็นใจ (empathy) เพราะเมื่อเรารู้จักความรู้สึกไม่มั่นคงภายใน เราก็สามารถมองเห็นและเข้าใจความลำบากของคนอื่นได้ชัดเจนขึ้น
หัวใจสำคัญของแนวทางนี้ คือการใช้ศักยภาพการเปลี่ยนแปลงของสมอง การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การออกกำลังกาย และการฝึกสติ ต่างช่วยเสริมความสามารถในการจัดการความวิตกกังวล ยิ่งสมองถูกฝึกบ่อยเท่าไร มันก็ยิ่งยืดหยุ่นและฟื้นตัวได้เร็วขึ้นเท่านั้น
ซูซูกิยังเล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวในการเผชิญความสูญเสียครั้งใหญ่ ทั้งการจากไปของพ่อและพี่ชายภายในเวลาไม่กี่เดือน ความเจ็บปวดครั้งนั้นทำให้เธอเข้าใจว่าเบื้องหลังความเศร้าโศกคือความรักอย่างลึกซึ้ง และสิ่งนี้ทำให้เธอมองความวิตกกังวลไม่ใช่เพียงอุปสรรค หากแต่เป็นอารมณ์ที่ซ่อนบทเรียนและของขวัญเอาไว้
บางทีความวิตกกังวลก็อาจไม่ใช่สิ่งที่ต้องกำจัด แต่เป็นเพื่อนที่อยากบอกให้เรารู้ว่า เรากำลังใส่ใจสิ่งใดมากเป็นพิเศษ เรากำลังรัก เรากำลังทุ่มเท และเรากำลังใช้ชีวิตอยู่จริงๆ
-------------------
หากเรายอมรับมันด้วยสายตาใหม่ๆ ความวิตกกังวล รวมถึงอารมณ์เชิงลบก็อาจกลายเป็นพลังที่ช่วยให้เราแข็งแรง อ่อนโยน และเข้าใจตัวเองได้ลึกซึ้งกว่าเดิม


ไม่จำเป็นต้องเก็บทุกอย่างมาไว้ในใจ อะไรที่ไม่ดี ไม่มีประโยชน์กับตัวก็ทิ้งไป แล้วแยกเก็บเพียงสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรามา...
28/08/2025

ไม่จำเป็นต้องเก็บทุกอย่างมาไว้ในใจ อะไรที่ไม่ดี ไม่มีประโยชน์กับตัวก็ทิ้งไป แล้วแยกเก็บเพียงสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรามาใช้ก็พอแล้ว 😇✨

เคยเป็นไหมที่บางครั้งการทำงานเป็นทีมก็เหมือนการพายเรือทวนน้ำ… ทำเท่าไหร่ก็ไม่ไปไหนสักที -------------------ไม่ใช่เพราะที...
27/08/2025

เคยเป็นไหมที่บางครั้งการทำงานเป็นทีมก็เหมือนการพายเรือทวนน้ำ… ทำเท่าไหร่ก็ไม่ไปไหนสักที
-------------------
ไม่ใช่เพราะทีมไม่มีศักยภาพ แต่เพราะมี ‘แรงเฉื่อย’ ที่เรียกว่า ‘Social Loafing’ ที่ถ่วงเอาไว้ โดยแรงเฉื่อยที่ว่านี้หมายถึงพฤติกรรมที่บางคนเลือกจะทุ่มเทน้อยกว่าคนอื่น ปล่อยให้เพื่อนร่วมทีมทำงานแทน พอเกิดขึ้นบ่อยเข้า ความไว้ใจในกันและกันก็ลดลง ขวัญกำลังใจก็หายไป จนทีมทั้งทีมเหมือนถูกตรึงไว้กับที่
ปรากฏการณ์นี้ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อประมาณปี 1913 โดยวิศวกรชาวฝรั่งเศส มักซีมิเลียง รินเชลมันน์ (Maximilien Ringelmann) ที่ทดลองให้คนดึงเชือกทั้งแบบเดี่ยวและเป็นกลุ่ม เขาพบว่าคนออกแรงมากกว่าเมื่อดึงเพียงลำพัง แม้จะผ่านมากว่าศตวรรษ แต่ Social Loafing ยังคงเกิดขึ้นในที่ทำงานยุคใหม่ เพียงแต่ซับซ้อนและแนบเนียนกว่าเดิม
สาเหตุมีได้หลายอย่าง ตั้งแต่ความไม่ชัดเจนในบทบาท ความเหลื่อมล้ำของภาระงาน การที่ทีมขาดการมองเห็นร่วมกันว่าใครกำลังทำอะไร ขาดการพูดคุยหลังโปรเจกต์จบลง การไม่มีทีมสปิริตหรือเป้าหมายที่ท้าทายพอ ไปจนถึงการแจกจ่ายรางวัลที่ไม่ยุติธรรม หรือการที่ไม่มีการประเมินผลงานรายบุคคล ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนบ่อนทำลายความเชื่อใจและแรงจูงใจ จนบางครั้งกลายเป็นความเหนื่อยล้า ความไม่พอใจ และทัศนคติลบต่อการทำงาน
แล้วเราจะทำอย่างไรให้ทีมของเราไม่ตกอยู่ในกับดักนี้? งานวิจัยหลายชิ้น รวมทั้งของ กาเบลิกา (Gabelica), เดอ แมเยอร์ (De Maeyer) และ ชิปเปอร์ส (Schippers) แนะนำว่า คำตอบไม่ได้อยู่ที่การจับผิด แต่คือการสร้างเงื่อนไขให้ทีม ‘เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน’ การเรียนรู้ร่วมกันช่วยลดการถอยหลังของสมาชิก และยังทำให้ทีมแข็งแรงขึ้น
ในเชิงปฏิบัติ เราสามารถเริ่มต้นได้จากหลายทาง เช่น
1 - การทำให้ทุกคนในทีมเข้าใจตรงกันว่าใครทำอะไร และทำเมื่อไร
2 - การมอบหมายงานให้เหมาะกับทักษะของแต่ละคนเพื่อเพิ่มแรงจูงใจจากภายใน
3 - การเปิดโอกาสให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็นอย่างเท่าเทียมโดยไม่ถูกสั่งการฝ่ายเดียว
4 - การมีเครื่องมือกลางที่ทุกคนสามารถติดตามงานได้แบบเรียลไทม์
5 - ลดการประชุมที่ไม่จำเป็นและช่วยให้ทีมมีเวลาสำหรับงานที่ลึกและสำคัญจริงๆ
6 - การจัดการเวลาผ่านการบล็อกเวลา (time blocking) เพื่อลดการสลับงานไปมา
7 - การลดงานเอกสารที่ไม่สร้างคุณค่าโดยใช้ระบบอัตโนมัติ
8 - การทำให้เทคโนโลยีสำหรับการทำงานร่วมกันเรียบง่ายและไม่ซับซ้อนเกินไป
งานวิจัยยังบอกเราด้วยว่าทีมเล็กๆ มักมีพลังมากกว่า เพราะสมาชิกแต่ละคนมองเห็นคุณค่าของตัวเองได้ชัดเจนกว่า จึงใส่ใจและมีแรงจูงใจมากกว่า การมีระบบติดตามงานที่ทุกคนมองเห็นได้ การตรวจสอบความก้าวหน้ารายบุคคลอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งการชื่นชมความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ของแต่ละคนต่างช่วยลด Social Loafing ได้ทั้งสิ้น
ที่สำคัญคือการสร้างวัฒนธรรมฟีดแบ็กและความสัมพันธ์ส่วนตัวที่จริงใจ เพราะเมื่อคนในทีมไว้ใจกันและรู้สึกว่า ‘เราไม่ได้อยู่คนเดียว’ พวกเขาจะพร้อมทุ่มเทโดยไม่ต้องมีใครบังคับ
ท้ายที่สุด วิธีป้องกัน Social Loafing ที่ดีที่สุดไม่ใช่การคอยหาวิธีแก้ทีหลัง แต่คือการสร้างความชัดเจนตั้งแต่ต้น ทำให้ทุกคนเห็นภาพเดียวกัน และสนับสนุนกันในทุกก้าว
-------------------
เพราะการทำงานเป็นทีมที่ดี ไม่ได้เกิดจากการมีคนเก่งที่สุดอยู่รวมกัน แต่เกิดจากการที่ทุกคนรู้ว่าเสียงของตัวเองมีค่า ความพยายามของตัวเองสำคัญ และเมื่อทุกคนเรียนรู้ไปด้วยกัน ทีมก็จะไปได้ไกลกว่าที่ใครคาดคิดเสมอ


จะดีแค่ไหนถ้าได้กลับเข้าบ้านมากับวันที่ยาวนาน แล้วได้รับอ้อมกอดจากใครสักคน?-------------------การกอดเป็นเหมือนภาษากายในร...
26/08/2025

จะดีแค่ไหนถ้าได้กลับเข้าบ้านมากับวันที่ยาวนาน แล้วได้รับอ้อมกอดจากใครสักคน?
-------------------
การกอดเป็นเหมือนภาษากายในระดับสากล ทำให้เราอุ่นใจเหมือนได้รับการปลอบโยนที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าทำให้สุขภาพดี และยังทำให้เรามีความสุขมากขึ้นด้วยนะ
มีหลายครั้งที่การกอดช่วยให้เราผ่านวันคืนที่เลวร้ายมาได้ ถ้าใครมีคนที่อยากมอบความรักให้อยู่แล้ว ก็อย่าลืมหันไปกอดเขาบ่อยๆ นะ และต่อไปนี้คือ 8 ข้อดีของการกอด ที่ MOODY นำมาฝากกัน
1 - กอดแล้วดี ช่วยลดความเครียด คลายกังวล
ถ้าคนใกล้ชิดเรากำลังเจอกับเรื่องราวในชีวิตมากมาย ให้กอดพวกเขาไว้สักพัก ในการทดลองชิ้นหนึ่ง ให้คู่รักสองคู่ร่วมการทดลอง จู่ๆ มีไฟฟ้ามาช็อตผู้ชายแบบไม่ทันตั้งตัว ทำให้เกิดความกังวลและตกใจ จากนั้นผู้หญิงก็รีบจับมือของคู่รักของตัวเองไว้
นักวิจัยพบว่าสมองส่วนต่างๆ ของผู้ชายหลังจากได้รับการสัมผัสแล้ว มีความเครียดที่ลดลง สมองส่วนการปกป้องหรือสัญชาตญาณความเป็นแม่ก็มีปฏิกิริยาต่อสิ่งนี้ด้วย
2 - กอดอาจปกป้องเราจากความเจ็บป่วย
ในการศึกษาบุคคลมากกว่า 400 คน นักวิจัยพบว่า การกอดอาจลดโอกาสที่คนเราจะป่วยได้ ผู้คนที่มี Support system ที่ดี มีโอกาสป่วยน้อยกว่าคนที่แทบไม่มี หรือไม่มีเลย
3 - กอดแล้วดีต่อการทำงานของหัวใจ
ในการศึกษาชิ้นหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์แบ่งกลุ่มผู้ใหญ่ประมาณ 200 คนออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้คู่รักจับมือกันประมาณ 10 นาที ตามด้วยการกอดกัน 20 วินาที
กลุ่มที่ 2 ให้คู่รักนั่งด้วยกัน ด้วยความเงียบเป็นเวลา 10 นาที 20 วินาที
ผลออกมาว่า คู่ที่กอดกันคือคู่ที่มีอัตราความดันและหัวใจปกติ แต่คู่ที่ไม่ได้กอดกันมีอัตราการเต้นของหัวใจและความดันสูงขึ้น
4 - กอดช่วยเพิ่มความสุข
บางครั้งนักวิทยาศาสตร์เรียกออกซิโทซินว่า ‘ฮอร์โมนกอด’ เนื่องจากระดับของมันจะเพิ่มขึ้นเมื่อเรากอดหรือได้ใกล้ชิดกับคนที่เรารู้สึกดีด้วย พวกเขาพบว่า ฮอร์โมนนี้มีผลอย่างมากในผู้หญิง เมื่อพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีและออกซิโทซินจะหลั่งมากตอนที่ผู้หญิงได้อุ้มเด็กทารกไว้อย่างใกล้ชิด
5 - กอดเพื่อลดความกลัวและความเจ็บปวด
การกอดนั้นช่วยลดความวิตกกังวลในคนที่มีความภาคภูมิใจในตนเองต่ำได้
แม้แต่การสัมผัสวัตถุที่ไม่มีชีวิตอย่างตุ๊กตา ก็ช่วยบรรเทาความรู้สึกกลัว และเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเราเองได้แล้ว
6 - กอดช่วยสื่อสารได้
คนเราแสดงอารมณ์ที่หลากหลายต่อคนอื่น ได้แก่ ความโกรธ ความกลัว ความรัก ความสุข ความเศร้า และความเห็นอกเห็นใจ การกอดเป็นการสัมผัสที่ปลอบประโลมจิตใจ สามารถสื่อได้ว่า ไม่ว่ายังไงก็ยังมีเราอยู่ตรงนี้เสมอ
แล้วต้องกอดมากเท่าไหร่ถึงจะดี?
นักบำบัดครอบครัว เวอร์จิเนีย ซาเทียร์ (Virginia Satir) เคยกล่าวไว้ว่า “เราต้องการอ้อมกอดวันละ 4 ครั้ง เพื่อความอยู่รอด เราต้องการอ้อมกอดวันละ 8 ครั้ง เพื่อการเยียวยารักษา เราต้องการอ้อมกอดวันละ 12 ครั้ง เพื่อการเติบโตและงอกงาม”
-------------------
ดังนั้น หากเราต้องการรู้สึกดีขึ้น ลดความเครียด ปรับปรุงการสื่อสาร และมีสุขภาพดีขึ้น การมอบอ้อมกอดและได้รับกอดอุ่นๆ มากขึ้นก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี อย่าลืมกอดคนข้างๆ กันบ่อยๆ น้า


เคยสังเกตไหม ว่าคนเรามีพฤติกรรมการตอบสนองต่างกันทุกครั้งเวลาที่มีการนัดหมายเกิดขึ้น -------------------มีทั้งคนที่กระตือ...
25/08/2025

เคยสังเกตไหม ว่าคนเรามีพฤติกรรมการตอบสนองต่างกันทุกครั้งเวลาที่มีการนัดหมายเกิดขึ้น
-------------------
มีทั้งคนที่กระตือรือร้น คนที่ชิลทำตัวสบายๆ บางคนเร่งรีบ แต่บางคนกลับเชื่องช้า จนไม่ทันเวลานัด สุดท้ายย่อมถูกตำหนิจากคนอื่นๆ อยู่เสมอ แล้วสิ่งที่ทุกคนตั้งคำถามคือ
ทำไมคนมาสายถึงไม่ให้ความสำคัญกับคุณค่าของเวลา?
ทำไมไม่มีความรับผิดชอบเลย?
แต่รู้ไหมว่าเบื้องหลังความแตกต่างที่เราตอบสนองต่อเวลานั้น ยังสะท้อนถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘Time Personality’ หรือบุคลิกภาพด้านเวลาของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกันอีกด้วย
นักสังคมสงเคราะห์คลินิก คริสติน แอนเดอร์สัน (Kristin Anderson) อธิบายว่า บุคลิกภาพด้านเวลาเป็นสไตล์ตามธรรมชาติของเราในการจัดการเวลา ซึ่งมีอิทธิพลต่อวิธีคิด วิธีรับมือ และรูปแบบการใช้เวลาที่เราสร้างขึ้นในชีวิตประจำวัน บุคลิกภาพนี้ไม่ได้มีเพียงแบบเดียว แต่สามารถจัดอยู่บนสเปกตรัม ตั้งแต่คนที่เข้มงวดมากกับเวลาไปจนถึงคนที่ยืดหยุ่นเป็นพิเศษ
นอกจากนี้ ดร.ไรอัน ซุลตาน (Ryan Sultan) จิตแพทย์และผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านจิตเวชคลินิก มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ยังเสริมอีกว่า บุคลิกภาพด้านเวลาสามารถส่งผลต่อความสามารถในการใช้ชีวิตของคนเรา และบางครั้งยังเกี่ยวข้องกับภาวะทางจิตใจ เช่น ADHD ซึ่งทำให้เห็นชัดว่าความสัมพันธ์กับเวลาไม่ได้เป็นเพียงเรื่องวินัยหรือการตรงต่อเวลา แต่ยังเชื่อมโยงกับโครงสร้างทางจิตใจและชีววิทยาอีกด้วย โดยบุคลิกภาพด้านเวลาที่พบบ่อยมีอยู่ 4 แบบ ดังนี้
1 - Time Optimis: สายชิลที่มักคิดว่าเวลามีเหลือเฟือ มักออกจากบ้านโดยไม่เผื่อเวลาในการเดินทาง และมักประเมินเวลาที่ใช้ในการทำสิ่งต่างๆ ต่ำเกินไปจนมาสายเป็นประจำ
2 - Time Anxious: สายเผื่อเวลาที่กังวลอยู่ตลอดเวลา มักคิดว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นหรือผิดพลาดอยู่เสมอ จึงมักไม่เคยสายเพราะไปถึงก่อนเวลานัดล่วงหน้าตลอด
3 - Time Bender: สายองค์ลงที่มักจะทำอะไรได้ดีก็ต่อเมื่อมีแรงกระตุ้น แรงบันดาลใจ หรือความรู้สึก แต่ในขณะเดียวกันก็มักลืมเวลาและมาสายอยู่เสมอ แล้วการมาสาย 10 นาทีสำหรับพวกเขาแทบจะถือเป็นการตรงเวลาเสียด้วยซ้ำ คนกลุ่มนี้มักมีความคิดสร้างสรรค์สูง และสามารถเข้าสู่ภาวะ ‘Flow State’ ได้ง่ายเมื่อมีแรงบันดาลใจ ดังนั้น คนกลุ่มนี้มักต้องเผื่อเวลามากเป็นพิเศษ
4 - Time Blind: สายมึนงงประมวลผลไม่ถูก ซึ่งมักพบในผู้ที่มีภาวะ ADHD หรือมีปัญหาด้านทักษะการจัดการตัวเองสูง (Executive Function) ที่ช่วยให้คนเราสามารถควบคุมความคิด อารมณ์ พฤติกรรม โดยคนกลุ่มนี้อาจเริ่มต้นทำงานหนึ่งชิ้นแล้วพบว่าเวลาผ่านไปนานกว่าที่คิดโดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่เพราะไม่สนใจหรือไม่ให้เกียรติผู้อื่น แต่เพราะสมองของพวกเขามีข้อจำกัดในการประมวลผลเรื่องเวลาโดยตรง
ความแตกต่างเหล่านี้เกิดจากทั้งบุคลิกภาพและปัจจัยทางชีววิทยา แอนเดอร์สัน อธิบายว่าคนที่มีบุคลิกแบบ ‘Type A’ มักเคร่งครัดกับเวลาและเข้มงวดกับตาราง ส่วนคนที่มีบุคลิกแบบ ‘Type B’ จะยืดหยุ่นกว่าและโน้มเอียงไปทางการเป็น ‘Time Bender’
ดร.ซุลตาน ยังอธิบายเสริมว่า ปัจจัยทางสมองมีบทบาทสำคัญ เมื่อสมองอยู่ในภาวะตื่นตัวจากความวิตกกังวล เวลาอาจถูกรับรู้ว่าผ่านไปช้าลง ในทางตรงข้าม ระดับโดพามีนที่สูงสามารถเร่งนาฬิกาภายในสมอง ทำให้รู้สึกว่าเวลาเดินเร็วขึ้น และเมื่ออายุมากขึ้น เรามีประสบการณ์ใหม่ๆ น้อยลงและการเผาผลาญโดพามีนช้าลง ทำให้เวลาถูกรับรู้ว่าเดินเร็วกว่าความเป็นจริง
แม้บุคลิกภาพด้านเวลาจะทำให้เรามีปัญหากับการจัดการชีวิต แต่ข่าวดีก็คือ เรายังสามารถเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับมันได้ ตัวอย่างเช่น แอดวา ชาวีฟ (Adva Shaviv) นักเขียนที่มีภาวะ ADHD ใช้แอปพลิเคชัน Routinery เพื่อเตือนตัวเองให้ขยับจากงานหนึ่งไปสู่อีกงานหนึ่ง และเธอมักเผื่อเวลาเตรียมตัวล่วงหน้า 30-60 นาที เพื่อเลี่ยงการมาสาย
ด้าน เกรซ โอเกรน (Grace Ogren) นักเขียนด้านสุขภาพจิตที่ระบุว่าตัวเองเป็น Time Anxious พบว่าการปรับตารางเวลาเล็กๆ เช่น เลื่อนกิจวัตรก่อนนอนออกไป 10 นาที แล้วเห็นว่ายังไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้น ช่วยให้เธอเรียนรู้ที่จะยืดหยุ่นมากขึ้น และการอธิบายให้คนใกล้ตัวฟังว่าทำไมเวลาจึงเป็นสิ่งสำคัญ ก็ทำให้เธอได้รับการสนับสนุนที่ดีขึ้น
ขณะที่ เอมิลี เมนเดซ (Emily Mendez) อดีตนักบำบัดผู้ก่อตั้ง Priceless Copy ซึ่งระบุว่าตัวเองเป็น Time Optimis และยังต้องเผชิญกับโรคอารมณ์สองขั้ว เลือกทำตารางจัดสรรเวลาในแต่ละวัน รวมถึงตั้งการแจ้งเตือนหลายครั้งเพื่อให้มีเวลาเพียงพอระหว่างภารกิจต่างๆ
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าความสัมพันธ์ของเรากับเวลาไม่ได้เป็นเพียงเรื่องนิสัยหรือวินัย แต่เป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพและชีววิทยาที่ซับซ้อน การเข้าใจว่าตนเองมีบุคลิกภาพด้านเวลาแบบไหน ไม่เพียงช่วยให้เราหาทางออกกับการมาสายหรือการจัดตารางชีวิตเท่านั้น แต่ยังทำให้เรารู้จักตัวเองในระดับที่ลึกขึ้น และสามารถใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมในการทำงานร่วมกับตัวตนเหล่านั้นได้
อีกสิ่งสำคัญของการรู้จัก Time Personality ของตัวเอง ไม่ใช่เพื่อร้องขอให้คนอื่นเข้าใจว่าเราเป็นแบบไหน แต่เพื่อให้เราตระหนักว่าบุคลิกภาพด้านเวลาของเราจำเป็นต้องปรับปรุงตรงไหนหรือเปล่า เพื่อให้ใช้ชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด รวมถึงไม่เดือดร้อนคนอื่นอีกด้วย
-------------------
แม้ทุกคนจะมีจังหวะเวลาเป็นของตัวเอง แต่บางครั้งก็จำเป็นต้องปรับจังหวะของเราให้เข้ากับคนอื่นด้วยเช่นกัน



ที่อยู่

6, 1 Ari5 Fang Nuea Alley, Phaya Thai
Bangkok

เบอร์โทรศัพท์

+66968964594

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ MOODYผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง MOODY:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram