กรีนแอล ดีไทด์ Green-L D-Tide ช่วยดูแล ตับ ไต ให้คุณ By โชค

กรีนแอล ดีไทด์ Green-L D-Tide ช่วยดูแล ตับ ไต ให้คุณ By โชค ไตวาย ตับแข็ง ท้องมาน ตัวเหลือง ไตอักเสบ ไขมันพอกตับ ดูแลด้วย กรีนแอล ดีไทด์

ผิวแห้งและคัน เบื่ออาหาร น้ำหนักลด กล้ามเนื้อเป็นตะคริวบ่อย มีอาการบวมน้ำตามขาและเท้า ใต้ตาคล้ำ ปวดปัสสาวะบ่อย ไม่สบายตัวตลอดเวลา #ไตวาย #ไตอักเสบ #การทำงานของไตลดลง ชุดนี้ช่วยแก้อาการเหล่านี้ได้..
🔴ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ดี-ไทด์ ( D-Tide) ช่วยดูแลไตคุณ

**ส่วนประกอบสำคัญ**
-สารสกัดจากเห็ดหลินจือ
-สารสกัดจากงาดำ
-สารสกัดจากหญ้าหางม้า
-สารสกัดจากแดนดิไลออน
-สารสกัดจากโหงวบี่จี
-สารสกัดจากกระเทียม
-สาร

สกัดจากโกจิเบอร์รี่
-ผงน้ำมันปลา
-สารสกัดจากสาหร่ายสีน้ำตาล

เลขที่อย.ดีไทด์ 10-1-15456-5-0023
1 กล่อง บรรจุ 30 เม็ด ราคา 1,765 บาท
#เก็บเงินปลายทางจัดส่งฟรีทั่วประเทศ
สอบถาม/สั่งซื้อ โทร. 082-030-4608 ( โชค )

ตัวเหลืองตาเหลือง เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย น้ำหนักลด เจ็บชายโครงข้างขวา ท้องบวม ขาบวม #โรคตับ #ค่าตับสูง #ตับแข็ง #ไขมันพอกตับ #ตับอักเสบ ชุดนี้ช่วยแก้อาการเหล่านี้ได้...

**ส่วนประกอบสำคัญ**
-สารสกัดจากโรสฮิป
-อาร์ติโชค
-สารสกัดจากชาเขียว
-สารสกัดจากอัลฟาฟ่า
-แอลซีสเตอิน

เลขที่อย.กรีนแอล 10-1-15456-1-0018
1 กล่อง บรรจุ 30 เม็ด ราคา 1,765 บาท

13/06/2023

ทำไมต้องรับประทานอาหารเสริม🤔⁉️

✅เหตุผลที่ 1 :ค่าทางอาหารจากอาหารทั่วไปมีไม่เพียงพอ

เพื่อสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง เราจำต้องได้รับสารอาหารที่จำเป็นให้เพียงพอ ซึ่งเราไม่สามารถได้รับจากอาหารทั่วไปเพียงเท่านั้น ในอดีตก่อนที่เราจะมีอุตสาหกรรมอาหาร อาหารส่วนใหญ่ได้จากธรรมชาติ คุณค่าทางอาหารมีเพียงต่อต่อความต้องการของร่างกาย แต่ในปัจจุบัน การเพาะปลูกที่เปลี่ยนไปในเชิงอุตสาหกรรมมากขึ้น ที่เน้นเพียงแต่การใส่ปุ๋ยไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม โดยละเลยความสำคัญของแร่ธาตุและสารอาหารอื่นๆที่จำเป็นสำหรับพืชมากมาย ทำให้คุณค่าทางอาหารในพืชผักลดลงอย่างมาก สารอาหารในดินก็มีปริมาณลดลง อีกทั้งการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น แน่นอนว่าสารอาหารในพืชย่อมมีอย่างจำกัดไปด้วย เมื่อเรารับประทานพืชผักที่มีปริมาณสารอาหารต่ำแล้ว เราจะได้รับสารอาหารที่เพียงพอได้อย่างไร อีกทั้งการปรุงแต่งอาหาร การเก็บถนอมอาหารล้วนทำให้คุณค่าทางอาหารลดลง อีกปัญหาก็คือวิถีชีวิตสมัยใหม่ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเรารับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารน้อยลง แต่กลับรับประทานอาหารจานด่วนมากขึ้น บริโภคผักผลไม้ลดลง บริโภคอาหารที่มีไขมันสูงมากขึ้น ปัญหาไขมันเกินหรือภาวะอ้วนกลายเป็นปัญหาหนักขึ้นทุกวัน แต่ปัญหาการขาดสารอาหารที่จำเป็น เช่น เกลือแร่และวิตามินก็เป็นปัญหาเช่นกัน

✅เหตุผลที่ 2 : ปัญหาของการปรุงอาหารในปัจจุบัน

เราทุกคนคงคุ้นชินกับวลีฮิต “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” หรือคำเตือนจากผูเชี่ยวชาญด้านสุขภาพว่าไม่ควรรับประทานอาหารดิบ จริงอยู่เหตุผลก็เพื่อให้อาหารมีความสะอาด ปลอดภัยจากเชื้อโรค แต่ด้วยแนวทางเช่นนี้ อาหารที่เรารับประทานจึงมักเป็นอาหารที่ปรุงสุก โดยการผ่านความร้อน ไม่ว่าจะเป็นการอบ ย่าง ทอด นึ่ง หรือการใช้ไมโครเวฟ ซึ่งเรารู้หรือไม่ว่าการทำเช่นนี้จะลดปริมาณอาหารลงไปอย่างมาก อย่างเช่น ธาตุเหล็ก วิตามินบี วิตามินซี เกลือแร่ต่างๆ เป็นต้น

✅เหตุผลที่ 3 : สารพิษในอาหาร

ถ้าเราสามารถรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เพียงพอได้ แน่นอนการรับประทานสารเสริมอาหารคงไม่จำเป็น ดังนั้นบางท่านอาจคิดว่าจะลองพยายามรับประทานให้ครบถ้วนดูสักหน่อย แต่ปัจจุบันทุกท่านลองคิดภาพตามนะครับ ถ้าเราอยากได้โปรตีนจากอาหารให้เพียงพอ เราต้องรับประทานเนื้อสัตว์อย่างน้อยครึ่งกิโลต่อวัน ถ้าเรามีน้ำหนักร่างกาย 50 กิโลกรัม แน่นอนอาจจะไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับบางท่าน แต่สิ่งที่เราได้รับ ไม่ใช่แค่โปรตีนเท่านั้น เรายังได้รับไขมันที่เกินพอ ส่งผลให้เกิดปัญหาน้ำหนักเกินได้ และโอกาสจะได้รับสารเคมีหรือฮอร์โนที่เจือปนอยู่ในอาหารได้อีก อีกตัวอย่าง ถ้าเราได้รับเกลือแร่ วิตามินที่เพียงพอจากอาหาร เราจำเป็นต้องรับประทานพืชผักหลากหลายชนิดถึง 5 หน่วยบริโภคต่อวัน นั่นคือประมาณ 5 ถ้วย เช่นกัน อาจจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับบางท่าน แต่ส่วนตัวผมคิดว่าเป็นปัญหาสำหรับคนส่วนใหญ่ เนื่องจากอาหารที่เรารับประทานกัน มีปริมาณผักและผลไม้น้อยมาก อย่างไรก็ตามถ้าเราสามารถรับประทานได้เพียงพอ อะไรที่จะเป็นปัญหา ความสะอาดของพืชผักและผลไม้ที่เรารับประทาน ในอุตสาหกรรมเคมี ยาฆ่าแมลงแลศัตรูพืชมีมูลค่าทางการค้ามหาศาล มีการใช้สารเคมีเหล่านี้อย่างแพร่หลาย ในเกษตรกรรมและแม้ว่าจะมีการควบคุมเป็นอย่างดี กระนั้นก็ตามสารพิษที่ตกค้างอยู่ในผลผลิตทางการเกษตรก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คำถามคือ ยิ่งเรารับประทานผักผลไม้เยอะๆ จะมีประโยชน์หรือก็ให้เกิดโทษต่อร่างกายกันแน่

✅เหตุผลที่ 4 : ระบบการย่อยอาหารที่เปลี่ยนไป

ถ้าระบบการย่อยอาหารของเราทำงานได้อย่างสมบูรณ์ เราอาจไม่จำเป็นที่จะต้องรับประทานสารอาหารปริมาณมาก แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น หรือมีปัญหาการย่อยอาหาร อย่างเช่น ท้องผูก ท้องอืด หรือกรดเกินในกระเพาะเป็นต้น ภาวะเหล่านี้ล้วนรบกวนการดูดซึมของสารอาหาร นำมาซึ่งภาวะพร่องสารอาหาร ปัญหาเหล่านี้มักเกิดจากความไม่สมดุลของอาหารที่เรารับประทาน

การรับประทานอาหารเสริมจึงสามารถช่วยเพิ่มเติมสารอาหารที่พร่องไป อีกทั้งสารเสริมอาหารบางชนิดยังสามารถช่วยซ่อมแซมระบบการย่อยอาหารได้อีกด้วย

✅เหตุผลที่ 5 : การป้องกันคือการรักษาที่ดีที่สุด

หลายท่านคงเคยได้ยินกับประโยคนี้ “ดูแลสุขภาพ ดีกว่ารอให้ป่วยแล้วค่อยมารักษา” คงปฏิเสธไม่ได้ว่าคำพูดนี้เป็นความจริง ปัจจุบันอายุเฉลี่ยของประชากรเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน มองอย่างผิวเผิน เราอาจคิดว่าเรามีสุขภาพที่ดีขึ้น เนื่องจากการแพทย์ที่ก้าวหน้า แต่ความจริงที่โหดร้ายก็คือ แม้ว่าเราจะมีอายุยืนยาวขึ้น แต่เรากลับเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังต่างๆเร็วขึ้นด้วย

เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคมะเร็ง กลายเป็นโรคที่พบได้มากขึ้นทุกวัน นั่นก็เพราะวิถีชีวิตประจำวันของเราที่เปลี่ยนไป วิถีชีวิตที่เร่งรีบ อาหารเช้ากลายเป็นกาแฟ 1 แก้ว หรือเพียงขนมปัง 1 แผ่น อาหารโปรดปรานของพวกเราก็คือบุฟเฟต์ อาหารที่มีไขมันสูงง อาหารทอด ปิ้ง ย่างกลายเป็นอาหารโปรดของทุกคน ผักผลไม้ แม้ว่าจะหาซื้อได้ง่ายขึ้น แต่คุณภาพก็ลดลงและมีราคาแพง อีกทั้งความเครียดในชีวิตประจำวันที่สูงขึ้นจากความเร่งรีบ การงาน ขาดการออกกำลังกาย การนอนหลับที่ไม่เพียงพอ สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ความเจ็บป่วยมาเยือนเร็วกว่าที่คาดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ บางครั้งสุขภาพที่ดีกับอายุที่ยืนยาวขึ้นอาจไม่ไปด้วยกันเสมอ

✅เหตุผลที่ 6 : ใช้อาหารเป็นยา

ถ้าเราสามารถรับประทานอาหารหลากหลาย อุดมด้วยคุณค่าทางสารอาหาร อย่างเช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น น้ำตาล น้ำอัดลม อาหารไขมันสูง และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เราอาจสามารถที่จะรับประกันสุขภาพที่ดีได้ อย่างไรก็ตาม พวกเราส่วนใหญ่ก็ยังไม่สามารถปฏิบัติได้ การเสริมอาหารจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ เพื่อช่วยทดแทนสารอาหารที่ได้รับไม่ครบถ้วน หรือแม้กระทั่งสารเสริมอาหารบางชนิดสามารถช่วยกำจัดสิ่งที่ได้รับเกินมา อย่างเช่น ไขมัน หรือสารพิษตกค้างในร่างกาย

อาหารเสริมจึงมีบทบาทอย่างมากในปัจจุบัน ในแง่การป้องกันและบำบัดโรค หรือโรคเรื้อรังต่างๆ การใช้อาหารเสริมในการป้องกันและบำบัดมีความปลอดภัยสูง เนื่องจากเป็นสารอาหารที่มีตามธรรมชาติ และมีความจำเป็นสำหรับร่างกาย ต่างจากการใช้ยาซึ่งเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ และอาจได้รับผลไม่พึงประสงค์จากยาได้อีก

ที่มา: นพ.ชวภณ กิจหิรัญกุล

#อาหารเสริม #การตลาดออนไลน์ #การตลาดดิจิทัล #ธุรกิจออนไลน์

13/08/2022

9 พฤติกรรมเสี่ยง "สมองพัง" แบบไม่รู้ตัว

รู้หรือไม่ว่าพฤติกรรมที่คุณทำจนคุ้นชิน และกลายเป็นนิสัยติดตัวนั้น บางครั้งกลายเป็นพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงต่อการทำลายสุขภาพสมองในระยะยาว มาดูกันว่าพฤติกรรมสุ่มเสี่ยง ที่ควรหลีกเลี่ยงมีอะไรบ้าง

1. ชอบเก็บตัวในห้องมืดๆ
คนที่ชอบอยู่ในห้องมืดๆ ปิดไฟปิดม่านทึบสนิทแทบทั้งวัน อาจส่งผลต่อการทำงานของสมองในการหลั่ง “เมลาโทนิน” ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมวงจรการหลับหรือตื่นของเราให้ปกติ หากเราไม่ได้รับแสงแดดในช่วงกลางวัน ก็อาจทำให้ช่วงเวลาการหลั่งเมลาโทนินของสมองผิดเพี้ยน และส่งผลให้นอนไม่หลับได้ในที่สุด

2. เสพข่าวเชิงลบเกินพอดี
การเลือกเสพข่าวเชิงลบอย่างต่อเนื่อง นอกจากจะส่งผลต่ออารมณ์ ความคิด และพฤติกรรมของเรา ก็ยังกระตุ้นให้สมองของเราเข้าสู่ “ภาวะสู้หรือหนี” (Fight-or-Flight Response) เพื่อรับมือกับภาวะความเครียดที่เกิดขึ้น ซึ่งจากการศึกษาพบว่ามันอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของสมองและความทรงจำในระยะยาวได้

3. ชอบเปิดเพลงเสียงดังๆ
การเปิดเพลงเบาๆ ฟังนั้นส่งผลดีต่อสมอง ช่วยให้เรารู้สึกสงบและผ่อนคลายมากขึ้นได้ แต่ในทางกลับกัน หากเสียงนั้นดังหรือมีระดับที่สูงจนเกินไป ก็อาจส่งผลต่อสมองและการรับรู้ของเรา จากการศึกษาพบว่าการฟังเสียงที่ดังเกินไปอย่างต่อเนื่อง อาจเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมเพิ่มขึ้นได้ 30-40%

4. ชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว
คนที่มีพฤติกรรมแยกตัวออกจากสังคม ไม่ชอบพบปะผู้คน นอกจากจะส่งผลเสียทางด้านสุขภาพจิต ก็ยังอาจส่งผลต่อสมองด้วยเช่นกัน โดยจากการศึกษาพบว่าคนที่มีภาวะโดดเดี่ยวทางสังคม (Social Isolation) มักเสี่ยงต่อความเครียดเรื้อรังสะสม จนนำไปสู่โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ได้ง่ายขึ้น

5. ชีวิตติดจอมากเกินไป
หากเราใช้เวลาไปกับอินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดีย หรืออยู่กับหน้าจอมากจนเกินพอดี จากการศึกษาพบว่ามันอาจสร้างความเสียหายต่อสมองในส่วน Gray และ White Matter ในบริเวณสมองกลีบหน้า (Frontal lobe) ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความคิด ความจำ สติปัญญา และนำไปสู่โรคสมองเสื่อมได้

6. ติดหวาน ขาดน้ำตาลไม่ได้
หลายคนเสพติดความหวานเพราะมันช่วยคลายเครียดได้ดี แต่การทานน้ำตาลที่มากเกินไป นอกจากจะเป็นสาเหตุของการเกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูงแล้ว ยังขัดขวางการดูดซึมโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาของสมอง และในระยะยาวอาจเพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมได้

7. ปล่อยให้ตัวเองอ้วนลงพุง
จากการศึกษาพบว่าภาวะอ้วนลงพุง จะก่อให้เกิดการดื้อต่ออินซูลินในสมอง และการสูญเสียการทำงานของไมโตคอนเดรียในสมอง ทำให้เกิดการสูญเสียการเรียนรู้และความจำในที่สุด หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ยิ่งอ้วนก็ยิ่งทำให้การเรียนรู้และความทรงจำแย่ลง และเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมได้

8. นั่งติดที่ ไม่ค่อยออกกำลัง
หากเราชอบนั่งอยู่กับที่นานๆ ไม่ค่อยได้ขยับเขยื้อนร่างกาย ก็จะเพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจและโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆ มากมาย เราจึงควรหันมาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน ก็จะทำให้สมองแจ่มใสเนื่องจากได้รับออกซิเจนที่เพียงพอ และช่วยชะลอสมองเสื่อมได้

9. นอนน้อยหรือมากเกินไป
คนที่อดนอนอยู่บ่อยๆ หรือมีปัญหาในการนอนไม่หลับ จะทำให้สมองไม่ได้รับการพักผ่อนเท่าที่ควร และอาจทำให้เซลล์สมองตาย ความสามารถในการจดจำลดลง และเสี่ยงต่อโรคโรคอัลไซเมอร์ แต่ก็ไม่ควรนอนหลับมากจนเกินไปเช่นกัน เพราะจะทำให้สมองเฉื่อยชา คิดอะไรเชื่องช้า และเสื่อมประสิทธิภาพได้
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เรามาปรับพฤติกรรม เพื่อให้สมองยังคงใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในระยะยาวตั้งแต่วันนี้กันค่ะ

25/07/2022
20/07/2022

“น้ำตาล” อันตรายกว่าที่คุณคิด!
อย่าฝากชีวิตไว้กับหมอเน้นย้ำกันมาตลอดว่า ‘น้ำตาล คือ ยาพิษ’ เป็นสารเสพติดที่ควรหลีกเลี่ยง วันนี้เราขอยกเรื่องนี้มาพูดกันอีกสักรอบ เจาะลึกถึงผลร้ายอันดับต้นๆ ที่มันทำกับร่างกายของเรามาให้คุณอ่านกันค่ะ
1. ทำลายตับ น้ำตาลส่วนเกินนอกเหนือจากที่ร่างกายต้องการใช้จะถูกส่งไปที่ตับและสะสมในรูปแบบของไขมัน นานวันเข้าจะเกิดเป็นภาวะไขมันพอกตับ นอกจากเครื่องดื่มแอลกอฮอร์แล้วก็มีน้ำตาลนี่แหละค่ะ ที่ทานแล้วทำให้เกิดโรคไขมันพอกตับได้เช่นกัน นอกจากนี้ไขมันที่พอกตับจะไปเสริมอาการอักเสบในตับ ก่อมะเร็งในตับ เนื่องจากตับเป็นทั้งที่ผลิดน้ำดี ที่กรองสารพิษออกจากร่างกาย และเป็นหน่วยแปรรูปพลังงานให้ร่างกายเอาไปใช้งานได้ ถือได้ว่าเป็นส่วนที่สำคัญมากส่วนหนึ่งของร่างกาย หากตับเกิดความเสียหาย อวัยวะส่วนอื่นๆ ก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย
2. ฮอร์โมนแปรปรวน ที่เราย้ำนักย้ำหนาว่าน้ำตาลคือสารเสพติด เพราะมันส่งผลกับฮอร์โมนในร่างกายของเราทำให้เราอยากกินอะไรหวานๆ ไม่เคยพอ เมื่อเราทานน้ำตาลประเภทฟรุคโตสเข้าไป มันจะไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งหน้าที่ของมันคือนำพาเอาน้ำตาลจากกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์ และหยุดหลั่งเมื่อเซลล์อิ่ม เมื่อเป็นเช่นนี้ เซลล์จึงจะไม่อิ่มและน้ำตาลจะคงอยู่ในกระแสเลือดต่อไป เลปตินที่ทำให้เรารู้สึกอิ่มก็จะไม่หลั่ง ร่างกายจึงรู้สึกว่าทานน้ำตาลเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ นิสัยกินจุกจิกเกิดจากสิ่งนี้นี่เองค่ะ
ในขณะเดียวกัน เมื่อทานน้ำตาลประเภทอื่นๆ ติดต่อกันมากๆ เข้าอินซูลินก็จะหลั่งมากขึ้น ในขณะที่เซลล์ต้องการน้ำตาลเท่าเดิม แต่ใช้ปริมาณอินซูลินมากขึ้น ผลก็คือร่างกายจะตอบสนองต่ออินซูลินได้น้อยลง เนื่องจากมันเคยชินนับอินซูลินปริมาณมากๆ เกิดเป็นภาวะดื้ออินซูลิน สาเหตุของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 นั่นเองค่ะ
นอกจากนี้อินซูลินยังมีผลกับสมอง เพราะอินซูลินจะไปกระตุ้นการสร้างโดพามีน หรือฮอร์โมนแห่งความพึงพอใจ เมื่อเกิดภาวะดื้ออินซูลิน การสร้างโดพามีนซึ่งพึ่งพาอินซูลินก็จะตอบสนองน้อยลงด้วย คุณจึงต้องการอินซูลินมากขึ้นเพื่อให้ได้โดพามีนเท่าเดิม ผลคือความอยากอาหารก็จะมากขึ้นด้วย คราวนี้ทั้งอินซูลิน เลปติน โดพามีน รวมทั้งฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการกินตัวอื่นๆ แผรปรวนทำงานอย่างไม่สมดุลไปด้วยค่ะ
3. การเผาผลาญผิดปกติ ภาวะดื้ออินซูลินและพลังงานส่วนเกินที่เพิ่มขึ้นจากกินน้ำตาล ส่งผลให้เกิดการสะสมของไตรกลีเซอไรด์ ลดไขมันดี เพิ่มไขมันเลว ทำให้พุงย้อย จนสุดท้ายส่งผลให้การเผาผลาญผิดปกติไป ภาวะเผาผลาญผิดปกติ เป็นเหตุให้เกิดโรคร้ายแรงอื่นๆ ตามมา เช่น เกิดภาวะความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ มะเร็ง เป็นต้น
จะเห็นว่าน้ำตาลไม่เพียงแต่จะมีผลเรื่องแคลอรี่ที่มากเกินไป น้ำหนัก และรูปร่างอย่างที่หลายๆ คนเข้าใจผิดกัน แม้แต่คนผอมก็มีปัญหาสุขภาพที่เกิดจากน้ำตาลได้เช่นกันหากตามใจปากทานน้ำตาลไม่ถูกวิธี แนวทางการหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้คือ การควบคุมปริมาณน้ำตาล โดยไม่ควรเกิน 25 กรัม/วัน ลดความถี่ในการกิน เลิกนิสัยกินจุกจิก ลดแป้งในมื้อ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอค่ะ :)

18/07/2022

“...อย่าให้หมอฆ่าคุณ......."ผมเป็นหมอมา 40 ปีแล้ว พูดได้เต็มปากว่า ยิ่งใครไปหาหมอบ่อยๆ ชีวิตก็ยิ่งจะสั้นลงได้ง่ายๆ จากยาและกระบวนการรักษา สิ่งสำคัญ อาจไม่ใช่ศรัทธา หรือ ความเชื่อในการรักษาทางการแพทย์ แต่อยากให้ คุณไตร่ตรองอย่างเป็นเหตุเป็นผล มากกว่าครับ"

-- นายแพทย์ คนโด มะโกะโตะ บุคคลเกียรติคุณแห่งญี่ปุ่น ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีรักษา ผู้บุกเบิกการรักษามะเร็งเต้านมโดยไม่ตัดทิ้ง --
....หนังสือเล่มนี้ เขียนโดย แพทย์ประจำภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคโอ ผู้ได้รับรางวัลเกียรติคุณแห่งญี่ปุ่น ในฐานะผู้บุกเบิก การรักษามะเร็งเต้านม โดยไม่ตัดทิ้ง
....แต่คุณหมอคนโด ไม่ได้เขียนหนังสือ เกี่ยวกับ วิธีรับมือกับโรคมะเร็งเท่านั้น แต่ยังให้ความรู้ สุขภาพแบบองค์รวม ในมุมมองที่คุณคาดไม่ถึงมาก่อน เป้าหมายของคุณหมอ ก็คือให้ คุณห่างไกลยา และ การรักษาที่ไม่จำเป็น

=...น่าสนใจจากในเล่ม...=
....*..90 % ของผู้ป่วยโรคมะเร็งในญี่ปุ่น หากปล่อยเนื้อร้ายทิ้งไว้ จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างแข็งแรง มากกว่า การเข้ารับการรักษา
....*..ยาต้านมะเร็ง หรือ เคมีบำบัด (คีโม) เป็นพิษที่ร้ายแรง มีฤทธิ์แค่ “...ทำก้อนเนื้อร้ายเล็กลง ชั่วคราว...” ไม่ได้ช่วย รักษา หรือ มีประโยชน์ ในการยื้อชีวิตออกไป แต่อย่างใด
....*..มีการปรับมาตรฐาน ค่าความดันโลหิตสูงสุดจาก 160 มิลลิเมตรปรอท ลงมาเป็น 140 ในปี 2000 และ 130 ในปี 2008 ทำให้อยู่ดีๆ คนจำนวนมาก ก็กลายเป็น “...ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง...” ทั้งหมดนี้เอื้ออำนวย ต่อ ธุรกิจขายยาลดความดัน ล้วนๆ
....*..มะเร็ง ที่ไม่สร้างความเจ็บปวด แม้จะปล่อยไว้ก็มีไม่น้อย เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งทางเดินอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งปากมดลูก เป็นต้น
....*..ก้อนมะเร็ง มีทั้งของจริงและของปลอม แต่ไม่ว่าจะจริง หรือ ปลอม วิธีรักษาด้วย การผ่าตัด หรือ ทำคีโม จะเปล่าประโยชน์เสีย 90 %
....*..ก้อนมะเร็ง ไม่ได้ทำให้เราต้องทุกข์ทรมาน จนกระทั่งเสียชีวิตหรอก แต่สาเหตุคือ “...กระบวนการรักษามะเร็ง...” ต่างหาก
....*..ยาลดคอเลสเตอรอล ที่ขายกันทั่วโลก (ยาประเภท Statins) มีโอกาส ป้องกันโรค ได้น้อยยิ่งกว่า การถูกล้อตเตอรี่ ในอเมริกา คณะกรรมการที่รณรงค์ ให้ลดค่ามาตรฐาน ของไขมันไม่ดี (LDL Cholesterol) เพื่อให้คนจำนวนมากขึ้น ถูกวินิจฉัยว่า ป่วย รับเงินจากธุรกิจยาถึง 8 ใน 9 คน จนเกิดการประท้วง
....*..คนร่างกายแข็งแรง ควรหลีกเลี่ยงการฉายรังสี (เอ๊กซเรย์) และการทำซีทีสแกน แม้ครั้งเดียว ก็เสี่ยงที่จะทำให้เป็นมะเร็ง
....*..หากไม่รักษามะเร็ง เราก็สามารถควบคุม ความเจ็บปวดได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด สติอยู่ครบถ้วน ไม่มีการเลอะเลือน จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ซึ่งจะจากไปอย่างสงบ และเมื่อเทียบกันแล้ว หัวสมองปลอดโปร่งกว่ามาก และไม่ต้องสูญเสียกิจกรรม อย่าง “...การเดินเล่น...” ด้วย
....*..การบำรุงร่างกาย และ สมอง จำเป็นต้องได้รับไขมัน และ โปรตีน อย่างเพียงพอ แต่ไม่ต้องไปกินอาหารเสริมใดๆ เพียงกินไข่ และดื่มนม ทุกวันก็เพียงพอแล้ว
....*..ทุกคนควรเขียน “...พินัยกรรมชีวิต...” ไว้ หมายถึง เอกสารแสดงเจตจำนงว่า อยากให้รักษาอย่างไรช่วงก่อนจะเสียชีวิต ควรเขียนออกมาอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด เช่น “...ไม่จำเป็นต้องฝืนให้อาหารเช่นสอดท่อให้อาหารผ่านทางจมูก...” “...ถ้าใส่เครื่องช่วยหายใจครบ 1 สัปดาห์แล้วยังไม่ได้สติ ให้ถอดเครื่องออกเลย...”
....หนังสือชื่อ “...อย่าให้ัหมอฆ่าคุณ...” เขียนโดย Kondo Makot

ขอขอบพระคุณเจ้าของเรื่องและภาพ

05/07/2022

ผักและผลไม้ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถ้าหากรับประทานแบบผิดๆ โดยเฉพาะการรับประทานแบบดิบๆ ในปริมาณมากอาจจะได้รับโทษแทนที่จะได้รับประโยชน์จากผักเหล่านี้
#ชีวจิต

02/07/2022

สายกินมาดูเลย อ้วน ลงพุง จะเกิดโรคอะไรบ้าง ?

#ชี้ช่องรวย #อ้วนลงพุง

02/07/2022

เลิกเข้าใจผิดได้แล้ว!'แพทย์' ย้ำเนื้อไก่ไม่ใช่สาเหตุของโรคเกาต์

ผศ.นพ.ต่อพล วัฒนา อาจารย์ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิคส์เเละกายภาพบำบัด คณะเเพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ยังมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการรับประทานเนื้อไก่ทำให้เป็นโรคเกาต์ ในความเป็นจริงโรคนี้ไม่ได้เกิดจากการรับประทานเนื้อไก่เลย เพียงแค่อาจจะมีผลกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเกาต์อยู่แล้ว อย่างไรก็ดี เนื้อไก่ เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูง มีประโยชน์ต่อร่างกายและสุขภาพมากมาย เข้าถึงได้ง่าย สามารถรับประทานได้ทุกวัย

โรคเกาต์ เป็นกลุ่มโรคข้ออักเสบที่มีสาเหตุจากร่างกายไม่สามารถควบคุมระดับยูริกในร่างกายให้สมดุล ทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงผิดปกติเป็นระยะเวลานาน จนเกิดการตกผลึกบริเวณข้อ ก่อให้เกิดอาการปวดกำเริบได้ ค่ากรดยูริกในเลือดปกติสำหรับเพศชายไม่ควรเกิน 7 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และเพศหญิงไม่เกิน 6 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือไม่เกิน 6.8 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร เมื่ออิงตามคุณสมบัติทางเคมีซึ่งมีการตกผลึกของเกลือยูเรตในเนื้อเยื่อเมื่อมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงกว่า 6.8 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ที่ 37 องศาเซลเซียส อย่างไรก็ดี คนที่มีภาวะกรดยูริกในเลือดสูงไม่จำเป็นต้องเป็นโรคเกาต์เสมอไป

กรดยูริกในเลือดส่วนใหญ่ ประมาณร้อยละ 80 ร่างกายสร้างขึ้นเอง ส่วนอีกร้อยละ 20 ได้จากอาหารที่รับประทาน ถือว่ามีผลค่อนข้างน้อยต่อระดับกรดยูริกในร่างกาย นอกจากนี้ อาหารมีส่วนเพิ่มระดับกรดยูริกได้เพียง 1-2 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ดังนั้น การงดอาหารประเภทโปรตีนและอาหารที่มีกรดยูริกสูงจึงไม่มีความจำเป็น และอาหารส่วนใหญ่ที่เรารับประทานกันทั่วไปมักมีสารพิวรีนเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย

อาหารที่มีพิวรีนสูง กลุ่มแรกที่พบมากในพืชประเภทถั่วต่างๆ เช่น ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเขียว รวมทั้งปลาดุก เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ปีกต่างๆ กลุ่มที่สองที่มีระดับพิววรีนรองลงมา จะเป็นเนื้อสัตว์ใหญ่ ปลากะพง ปลาหมึก ถั่วลิสง ใบขี้เหล็ก สะตอ ข้าวโอ๊ต ผักโขม เมล็ดถั่วลันเตา ส่วนกลุ่มสุดท้ายคือ มีปริมาณพิววรีนน้อยจะเป็นประเภทนมต่างๆ ไข่ไก่ ไข่เป็ด ธัญพืช ผลไม้เปลือกแข็ง

แม้ว่าอาหารเหล่านี้จะไม่ใช่สาเหตุโดยตรงของโรคเกาต์โดยตรง แต่ในบางรายสามารถกระตุ้นให้เกิดการอักเสบได้ จึงควรลดปริมาณลง โดยเฉพาะรายที่มีประวัติว่าโรคเกาต์มักกำเริบเมื่อบริโภคอาหารดังกล่าว นอกจากนี้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังมีผลทั้งเป็นอาหารที่มีกรดยูริกสูงและกระตุ้นการสร้างกรดยูริก รวมถึงลดการขับยูริกออกทางไตได้ ดังนั้น ผู้ป่วยโรคเกาต์ทุกรายควรได้รับคำแนะนำให้งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สุราและเบียร์

สุดท้าย สุขภาพที่ดีต้องเริ่มจากตนเอง เริ่มจากการเลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ มีความหลากหลาย เหมาะสม ที่สำคัญ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ เป็นพื้นฐานสำคัญของการมีสุขภาพที่ดี

#หมอศิริราช #โรคเกาต์

27/06/2022

6 เห็ด เพื่อสุขภาพ หาทานง่าย สร้างภูมิคุ้มกัน
สำหรับสายสุขภาพ “เห็ด” คงเป็นอีกหนึ่งเป็นวัตถุดิบที่ตอบโจทย์เอามากๆ เลยล่ะค่ะ เนื่องจากมีคุณค่าทางโภชนาการที่สูง แต่กลับมีปริมาณไขมัน แคลอรี่ น้ำตาล และโซเดียมที่ต่ำ จึงเป็นอีกหนึ่งเมนูหลักของชาวมังสวิรัติและกลุ่มผู้รักสุขภาพทั่วไป แถมยังนำมาทำเมนูอร่อยและดีต่อสุขภาพได้มากมายค่ะ
จากการศึกษาที่เผยแพร่ใน Medical News Today พบว่า การทานเห็ดที่หลากหลายเป็นประจำนั้น จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคอ้วนได้ อีกทั้งยังช่วยในด้านของการดูแลผิวพรรณและเส้นผมให้เงางามขึ้นอีกด้วย โดยวันนี้ bluzone จะมาแนะนำเห็ดเพื่อสุขภาพ 10 ชนิดที่คุณควรหามาทานเป็นประจำกันค่ะ
1⃣เห็ดหอม (เห็ดชิตาเกะ)
ถูกขนานนามให้เป็นยาอายุวัฒนะชั้นยอดตามตำราของแพทย์แผนจีน เพราะมีความเชื่อมานานนับพันปีว่าหากทานทุกวัน จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและอายุยืนยาว จากการศึกษาพบว่าเห็ดหอมมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ต้านทานเชื้อโรคและไวรัส บรรเทาอาการหวัด และช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ และมีวิตามินดีสูง ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ส่วนก้านของเห็ดหอมนั้นอุดม “เบต้ากลูแคน” ช่วยลดไขมันในเลือด ป้องกันโรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจขาดเลือดได้
2⃣เห็ดหูหนู
ถือเป็นเห็ดที่หาทานได้ง่ายมากในท้องตลาด และมีราคาไม่แพง แต่กลับอุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร ธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 ที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกัน บรรเทาอาการไอ แก้ท้องผูก มีสารไฮยารูโรนิคแอซิด (Hyaluronic acid) ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื่น ดูอ่อนวัย และมีสารอะดีโนซีน ซึ่งช่วยป้องกันเลือดข้นหนืด ลดการอุดตันภายในหลอดเลือด จึงช่วยป้องกันโรคหัวใจและความดันโลหิตสูงได้
3⃣เห็ดแชมปิญอง (เห็ดกระดุม)
เห็ดสีขาวอวบกลมน่ากินนี้ มีต้นกำเนิดมาจากทางตะวันตก ซึ่งนอกจากมีรสชาติที่อร่อยแล้ว ก็ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ลดระดับคอเลสเตอรอลและไขมันในเลือด และช่วยป้องกันมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งเต้านม โดยมีงานวิจัยระบุว่า การทานเห็ดแชมปิญองวันละครึ่งถ้วย จะช่วยหยุดยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็งเต้านมได้ค่ะ
4⃣เห็ดเข็มทอง
จากงานศึกษาพบว่า เห็ดเข็มทองนั้นอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารชนิดละลายน้้ำมากถึง 2.7-2.8 กรัม ต่อ 100 กรัม ซึ่งมีคุณสมบัติในการดักจับไขมัน จึงช่วยลดคอเลสเตอรอลที่สะสมตามผนังหลอดเลือด ลดระดับน้ำตาลในเลือด และป้องกันโรคอ้วนได้ อีกทั้งเส้นใยอาหารยังส่งผลดีต่อระบบขับถ่าย ช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบและฟื้นฟูเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย และยังมีสารเฟรมมูลิน (Flammulin) ที่สามารถยับยั้งการก่อตัวของเซลล์มะเร็งได้
5⃣เห็ดนางรม
หรือเห็ดนางฟ้า เห็ดนางฟ้าภูฎาน เห็ดเป๋าฮื้อ เห็ดเออรินจิ ล้วนเป็นเห็ดที่มีรสชาติอร่อย รสสัมผัสแน่นหนึบ จึงได้รับความนิยมมาก อีกทั้งยังมีโปรตีนและวิตามินบีสูง และไม่มีคอเลสเตอรอล จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้มีคอเลสเตอรอลในเลือดสูง หรือต้องการคุมปริมาณไขมันในเลือด ป้องกันโรคโลหิตจางและเหน็บชา ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและเชื้อโรคต่างๆ และอุดมกรดโฟลิกที่จำเป็นสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
6⃣เห็ดฟาง
เป็นเห็ดหน้าตาบ้านๆ ที่คนไทยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี มีวิตามินบีและวิตามินซีที่สูง ช่วยป้องกันหวัด ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน บำรุงสายตา ช่วยลดไขมันในเลือด ป้องกันโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ อีกทั้งยังมีเส้นใยอาหารสูง ช่วยในเรื่องการขับถ่ายและควบคุมน้ำหนัก ลดการติดเชื้อ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและยับยั้งเซลล์มะเร็งในร่างกาย

26/06/2022

เช็กอาการ!ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า

#โรคซึมเศร้า

23/06/2022

ถ้าเอ่ยถึงผู้สูงวัย หรือผู้ที่เลยวัยเกษียณ ก็มักจะนึกถึงผู้อายุเกิน 60 ปี ซึ่งกลุ่มผู้สูงวัยเหล่านี้เป็นกลุ่มที่มีความสำคัญต่อธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวเลขสถิติต่างๆ ล้วนยืนยันถึงความสำคัญของคนกลุ่มนี้
เมื่อต้นปีนี้ มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย ได้ออกมาระบุว่าในปี 2565 ประเทศไทยได้ก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ โดยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ และในปี 2574 จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด โดยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 28% ของประชากรทั้งประเทศ
อย่างไรก็ดี เริ่มมีอีกมุมมองหนึ่งว่าการเหมารวมผู้ที่เกิน 60 ปี เป็นผู้สูงวัยนั้นอาจจะไม่เหมาะสม เนื่องจากพัฒนาการแพทย์ที่ดีขึ้น และการรู้จักที่จะดูแลสุขภาพของคนไทย ทำให้ทั้งอายุเฉลี่ยของคนไทยเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งถึงแม้จะเข้าสู่กลุ่มสูงวัยแล้ว บุคคลกลุ่มนี้จำนวนมากก็ยังใช้ชีวิตอย่างคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง และมีคุณภาพ
สำหรับคนไทยที่ดูแลสุขภาพตนเองอย่างดีนั้นการใช้ชีวิตหลังวัยเกษียณอย่างคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง อย่างน้อยอีก 20-25 ปีได้กลายเป็นเรื่องปกติ และจำนวนไม่น้อยที่ได้ใช้ช่วงเวลาหลังเกษียณในการเรียนรู้และทำสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่ได้มีโอกาสทำในช่วงของวัยทำงาน
ขณะเดียวกัน ทางภาคธุรกิจก็เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของคนกลุ่มนี้มากขึ้น บางบริษัทในต่างประเทศก็เริ่มจัดให้มีโครงการ Returnship (เป็นโครงการที่คล้ายกับ Internship แต่สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำงานมาก่อน)
เช่น โปรแกรม Re-Ignite ที่ Johnson & Johnson หรือ Reentry Program ที่ J.P. Morgan ซึ่งเป็นโครงการสำหรับผู้ที่เลยวัยเกษียณแต่ยังอยากจะเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ และสามารถสร้างคุณค่าให้กับผู้อื่นได้
ล่าสุด มีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ Stage (Not Age) เขียนโดย Susan Wilner Golden ได้นำเสนอแนวคิดว่าเพื่อทำความเข้าใจต่อกลุ่มผู้ที่อายุเกิน 60 ปีนั้น แทนที่จะใช้ช่วงอายุมาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา ควรจะใช้สิ่งที่เรียกว่า Stage มาพิจารณาแทน (ขอใช้คำว่า “จังหวะชีวิต” เป็นคำแปลแทน)
คุณ Susan ได้แบ่ง Stage ในชีวิตคนเราออกเป็น 18 จังหวะชีวิตด้วยกัน ประกอบด้วย 1. Starting 2. Growing 3. First launch 4. Experimenting 5. Continuous learning 6. Developing financial security 7. Parenting/family 8. Caregiving 9. Optimizing health 10. Repurposing 11. Relaunching 12. Resetting life priorities 13. Transition 14. Portfolio 15. Renaissance 16. Sidepreneur 17. Legacy 18. End of life
ในแต่ละช่วงอายุของคนก็จะสามารถมีได้มากกว่าหนึ่งจังหวะชีวิต และจังหวะชีวิตหนึ่งอาจจะปรากฏในหลายช่วงอายุก็ได้ สำหรับผู้ที่อายุเกิน 60 ปีนั้น ถ้าเหมารวมว่าเป็นผู้สูงวัยก็อาจจะทำให้ไม่เห็นภาพที่ถูกต้องและชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมุมมองของการตลาด
ดังนั้น ในหนังสือเล่มนี้ก็ระบุไว้ว่าสำหรับผู้ที่อายุเกิน 60 ปีนั้นอาจจะมีจังหวะชีวิตที่หลากหลายและแตกต่าง เช่น อาจจะอยู่ในจังหวะของการ Repurposing ที่จะเลือกมุ่งเน้นทำในสิ่งที่ตอบสนองต่อค่านิยมและทัศนคติหลักของตนเอง โดยการทำงานเพื่อตอบแทนสังคมมากขึ้น แทนที่จะทำงานเพื่อผลตอบแทนเหมือนในอดีต
หรืออาจจะอยู่ในช่วงจังหวะ Sidepreneur ที่เมื่อเลยวัยเกษียณแล้วก็ต้องการจะเป็นผู้ประกอบการและเริ่มต้นธุรกิจของตนเองขึ้นมา หรือจังหวะของการเป็น Caregiving ที่ต้องดูแลพ่อแม่ที่สูงอายุ หรือหลานเล็กๆ หรือจังหวะของการ Continuous learning ที่เริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในวัยเกษียณ เช่น ดนตรี ศิลปะ ดำน้ำ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
ดังนั้น แทนที่ธุรกิจจะเซกเมนต์กลุ่มวัย 60 ปีขึ้นไปเป็นผู้สูงอายุอย่างเดียว แต่ใช้จังหวะชีวิตเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง Segmentation ของคนวัยนี้ ก็จะสามารถพัฒนาสินค้าและบริการ ที่ตอบสนองกลุ่มเป้าหมายในแต่ละเซกเมนต์ได้ดีขึ้น
เช่น แทนที่จะนึกถึงแต่เรื่องการดูแลสุขภาพของคนในวัยนี้ อาจจะมีบริการที่เน้นการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หรือบริการที่เพิ่มช่องทางในการให้คนกลุ่มนี้ได้ช่วยเหลือสังคมเพิ่มขึ้น หรือการให้บริการปรึกษาสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจสำหรับผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป เป็นต้น
บทความโดย รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ | มองมุมใหม่
#ผู้สูงวัย #วัยเกษียณ #ผู้อายุเกิน60ปี #ก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
-------------------------------
ติดตาม "กรุงเทพธุรกิจ" ผ่านช่องทางต่างๆ ได้ที่
Line: https://line.me/R/ti/p/%40rvb8351i
Twitter: https://twitter.com/ktnewsonline
Website: http://www.bangkokbiznews.com
Youtube: https://www.youtube.com/user/KrungthepTurakij
Blockdit: https://www.blockdit.com/bangkokbiznews
Instagram: https://www.instagram.com/bangkokbiznews
Tiktok: https://www.tiktok.com/
Soundcloud: https://soundcloud.com/bangkokbiznews
Spotify: https://qrgo.page.link/CHpWR

ที่อยู่

166/272 นิรันดร์คอนโดเทล 2/1 ถนนช่างอากาศอุทิศ ดอนเมือง
Bangkok
10210

เบอร์โทรศัพท์

+66820304608

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ กรีนแอล ดีไทด์ Green-L D-Tide ช่วยดูแล ตับ ไต ให้คุณ By โชคผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์