03/08/2025
>>สารพิษตกค้างในผัก..อันตรายกว่าที่คิด!!
>>เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) ร่วมกับองค์กรผู้บริโภคและภาคีต่างๆ เปิดเผยรายงานผลการตรวจวิเคราะห์สารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างในผักและผลไม้ประจำปี 2562 พบสารพิษตกค้างเกินมาตรฐาน 41 เปอร์เซ็นต์ โดยมีข้อสังเกตด้วยว่าผักในห้างค้าปลีกมีการปนเปื้อนมากกว่าผักในตลาดสด และยังพบสารเคมีที่ห้ามใช้ในประเทศไทยตกค้างถึง 12 ชนิด บางชนิดมีอันตรายต่อระบบสืบพันธุ์ของผู้บริโภคหรือพัฒนาการสมองของเด็ก
>>ผลตรวจดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงภัยสุขภาพที่ผู้บริโภคมีความเสี่ยงที่จะได้รับจากกระบวนการผลิตอาหารที่ไม่ปลอดภัย ปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงาน Thai-PAN อธิบายถึงขั้นตอนการตรวจวิเคราะห์ว่า ทุกๆ ปีเครือข่ายจะทำการเก็บตัวอย่างผักผลไม้จากจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยปีนี้สุ่มตรวจ 24 ชนิด ประกอบด้วย ผัก 15 ชนิด และผลไม้ 9 ชนิด จำนวนทั้งสิ้น 286 ตัวอย่าง จากสองแหล่งใหญ่คือห้างค้าปลีกสมัยใหม่ ได้แก่ Big C, Makro, Tops Supermarket, The Mall Group, Tesco Lotus และตลาดสดทั่วไปทั้งในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น ยโสธร สระแก้ว จันทบุรี ราชบุรี และสงขลา
>>หลังจากเก็บตัวอย่างแล้วได้นำไปตรวจวิเคราะห์ที่ห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO-17025 ในประเทศสหราชอาณาจักร จากนั้นจึงนำผลตรวจมาเทียบกับค่ามาตรฐานของประเทศไทยหรือค่า MRL (Maximum Residue Limit) ซึ่งเป็นการกำหนดมาตรฐานของปริมาณสารพิษตกค้างในอาหารตามประกาศของสำนักงานอาหารและยา (อย.)
>>ผลการตรวจพบว่า ผักผลไม้มีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐานสูงถึง 41 เปอร์เซ็นต์ โดยผักที่พบสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐานมากที่สุดคือ ผักกวางตุ้ง คะน้า กะเพรา พริก กะหล่ำดอก ผักชี โดยพบจำนวน 10, 9, 8, 7, 7, 7 จากทั้งหมด 12 ตัวอย่าง ตามลำดับ ส่วนผลไม้ที่พบการตกค้างมากที่สุด ได้แก่ ส้ม ชมพู่ ฝรั่ง องุ่น โดยพบสารพิษตกค้างเกินมาตรฐานเป็นจำนวน 12, 11, 7, 7 จากทั้งหมด 12 ตัวอย่าง ตามลำดับ”
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
ผลกระทบต่อสุขภาพจากพิษของสารเคมีที่ตกค้างสู่ร่างกาย สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
>>ผลกระทบที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน ในกรณีนี้ผู้ป่วยจะมีอาการทันที เช่น อาเจียน เวียนหัว มีแผล ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหัว มีแผลลุกลาม เนื่องจากการสัมผัสกับสารเคมีโดยตรงด้วยความไม่รู้หรืออุบัติเหตุก็ตาม
>>ผลกระทบที่สะสมเป็นพิษเรื้อรัง ซึ่งเป็นการสะสมของสารพิษในร่างกายผ่านการรับประทานเป็นหลัก สะสมจนเป็นผลให้เกิดโรคร้ายอื่น ๆ ตามมาได้ เช่น มะเร็ง เบาหวาน โรคผิวหนัง โรคเกี่ยวกับความเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ และสามารถส่งต่อจากมารดาสู่ทารกในครรภ์จนอาจทำให้ทารกพิการได้
>>หนึ่งในสารพิษที่ส่งผลกระทบซึ่งกำลังตกเป็นประเด็นถกเถียงกันอยู่ในตอนนี้คือ พาราควอต สารเคมีที่เกษตรกรนิยมใช้กำจัดวัชพืช เป็นสารเคมีที่มีคุณสมบัติต่อการทำงานของใบพืชโดยทำลายการสังเคราะห์แสงของใบไม้เมื่อฉีดพ่นจึงทำให้วัชพืชเหี่ยวตาย ทั้งยังคุ้มค่าต่อการลงทุนด้วยประสิทธิภาพที่สูงกับต้นทุนที่ต่ำซึ่งเป็นผลดีต่อการควบคุมต้นทุนการผลิตของเกษตรกร
>>อันตรายจากสารเคมีที่ใช้ทางการเกษตรจากทั้งเชิงการใช้งานที่เกษตรกรอาจมีความหละหลวมในการป้องกันตัวจากสารเคมีที่มีพิษเหล่านี้ โดยอาจทำให้เกิดการรั่วไหลและเข้าสู่ร่างกายของผู้ใช้ ส่วนในเชิงของผู้ได้รับผลกระทบอื่น ๆ คือการตกค้างของสารเคมีในสิ่งแวดล้อมอย่างแหล่งน้ำและการตกค้างในผลผลิต
>>จากการเก็บตัวอย่างของผลผลิตเพื่อไปวัดและวิเคราะห์ค่าสารพิษตกค้าง ที่เรียกว่าค่า MRL (Maximum Residue Limit) เป็นค่ากำหนดมาตรฐานของปริมาณสารพิษตกค้างในอาหารตามประกาศขององค์การอาหารและยา โดยผลตรวจในปีนี้พบว่าผักและผลไม้มีค่าสารพิษตกค้างมากถึง 41% และมีข้อมูลระบุว่าผลผลิตที่นำเข้ามาค่าสารพิษตกค้างมากกว่าผลผลิตในประเทศ รวมถึงผักผลไม้ในห้างร้านปนเปื้อนมากกว่าในตลาดสด
>>เป็นสิ่งที่ตัวผู้บริโภคเองล้วนต้องตระหนักถึงผลกระทบในระยะยาว เพราะจัดอยู่ในกลุ่มที่เสี่ยงต่อการสะสมสารพิษและส่งผลแบบเรื้อรังนำพาสู่โรคร้ายต่าง ๆ ดังที่กล่าวไปข้างต้น การพิถีพิถันในการเลือกผักและผลไม้รวมถึงขั้นตอนการล้างก่อนปรุงล้วนสำคัญไม่แพ้ขั้นตอนอื่น หรือการเลือกซื้อผักปลอดสารพิษที่เราได้รู้เห็นด้วยตัวเองว่ามาจากการเกษตรที่ไม่ใช้สารเคมีจริง ๆ ถึงแม้สภาพอาจดูไม่สดสวยแต่เพื่อสุขภาพที่เสี่ยงต่ออาการป่วยน้อยลงถึงอย่างไรก็คุ้มค่า.
#ขอบคุณข้อมูลดีๆ
กระทรวงสาธารณสุข/sanook.com