30/10/2025
อย่าลืมวางแผนการเงินเพื่อ Longevity ด้วย
เพจนี้ดีงามมาก
The Longevity Paradox: เมื่อคนอยู่ได้นานกว่าเงินที่ตัวเองวางแผนไว้
วันนั้นฉันนั่งประชุมกับลูกค้าคู่สามีภรรยาวัย 75 ปี
เขาหันมาพูดกับฉันว่า
“Annabel ตอนเราวางแผนเกษียณ เราคิดว่าจะอยู่ถึง 85 ก็เยอะแล้ว”
ฉันยิ้มแล้วถามกลับว่า “แล้วตอนนี้คิดว่ายังไงคะ?”
เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบว่า
“หมอบอกเราน่าจะอยู่ถึงร้อย…”
แล้วเขาก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดช้า ๆ ว่า
“แต่เงินเราไม่ได้ถูกออกแบบให้ใช้ถึงตอนนั้น”
คุณคะ นี่คือ ความจริงที่ไม่มีใครอยากพูด
ในศตวรรษนี้ “เวลา” กลายเป็นหนี้รูปแบบใหม่
เราอยู่ได้นานขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะอยู่ “ดี” ขึ้นเสมอไป
อายุยืนไม่ใช่รางวัล ถ้าไม่มีแผนรองรับ
ในยุคพ่อแม่เรา การเกษียณหมายถึงชีวิตหลังงานอีก 15–20 ปี
แต่ในยุคนี้ อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ขยับเข้าใกล้ 100 ปี
และถ้าคุณอายุ 30 ตอนนี้ โอกาสที่คุณจะอยู่ถึง 110 ปีคือ 50%
ฟังดูเหมือนข่าวดี
แต่ในโลกการเงิน มันคือ “ระเบิดเวลา”
เพราะระบบเกษียณของทั้งโลกถูกออกแบบไว้สำหรับชีวิตหลังทำงาน 20 ปี
ไม่ใช่ 40 ปี
คนรวยเริ่มกลัว “อยู่นานเกินไป”
คุณทราบไหมว่า
“Longevity Risk” ถูกจัดให้เป็นความเสี่ยงลำดับต้นของตระกูลมั่งคั่งทั่วโลก
กว่า 56% ของครอบครัวระดับ Ultra High Net Worth
เริ่มวางโครงสร้างใหม่ที่เรียกว่า Longevity Planning
การออกแบบชีวิตให้ยาวและมีคุณภาพกว่าที่ระบบการเงินเคยคาดคิดไว้
ที่ UBS เองก็ยืนยันในรายงาน The Century Club
ว่ากว่าครึ่งของเศรษฐีทั่วโลกเชื่อว่าพวกเขาจะอายุถึง 100 ปี
และพวกเขาไม่ได้วางแผน “เกษียณ”
แต่กำลังวางแผน “อยู่ให้รอดหลังเกษียณ”
จาก Saving for Retirement ไปสู่
Designing for Longevity
ในโลกของ Private Banking เราไม่ได้พูดถึง “เงินพอใช้” มานานแล้วค่ะคุณ
เพราะสำหรับเศรษฐีจริง ๆ เงินไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
สิ่งที่พวกเขาคิดคือ
“ฉันจะอยู่อย่างไรให้สมศักดิ์ศรีในอีก 30 ปีข้างหน้า”
หลายครอบครัวเริ่มสร้างสิ่งที่เรียกว่า Healthspan Fund มันคือ
กองทุนที่ไม่ได้ลงทุนแค่ใน biotech
แต่ลงทุนในชีวิตหลังวัย 70
ตั้งแต่ wellness retreat, senior living ที่หรูและอบอุ่น,
ไปจนถึงระบบดูแลสุขภาพแบบ personalized ที่อิงจาก DNA
เพราะในโลกของคนรวย “เวลามีค่าเกินกว่าจะใช้แบบเดิม”
พวกเขาไม่ได้อยากอยู่ร้อยปี
แต่ถ้าจะอยู่ ก็อยากอยู่ดีด้วยไง
เศรษฐีไม่ซื้อเวลา…แต่ซื้อคุณภาพของมัน
รายงานจาก Global Private Banker ปี 2024 บอกว่า
เศรษฐีทั่วโลกกำลัง “ลดค่าใช้จ่ายด้านสถานะ”
และหันมาทุ่มงบใน wellness, longevity และ mental health แทน
พวกเขารู้ดีว่าเงินซื้อนาฬิกาเรือนละล้านได้
แต่ซื้อเวลาเพิ่มไม่ได้
สิ่งเดียวที่ซื้อได้คือ สุขภาพที่ทำให้ใช้เวลานั้นได้อย่างเต็มที่
ที่สวิตเซอร์แลนด์ มีคลินิกชื่อ Clinique La Prairie ค่ะ
ที่ไม่ได้ขายแค่การรักษา แต่ขาย “การยืดอายุ”
ลูกค้าคือเศรษฐีจากทั่วโลก
จ่ายหลักล้านฟรังก์เพื่อเข้าคอร์สตรวจ DNA
ฟื้นฟูเซลล์ในระดับ mitochondria และออกแบบชีวิตใหม่ตั้งแต่ระบบอาหารถึงสมอง
พวกเขาไม่ได้ทำเพราะกลัวตาย
แต่เพราะอยากใช้ชีวิตให้คุ้มค่ากับเวลาที่เหลือ
เอาจริง ๆ ในแต่ละปี ฉันมีลูกค้าหลายครอบครัวบินไปทำ Wellness Retreat ที่สวิตเซอร์แลนด์กันเป็นว่าเล่น โดยเฉพาะที่ Clinique La Prairie นี่แหละ
โปรแกรมหนึ่งสัปดาห์ ราคาประมาณ “ล้านบาทต่อคน” 😅
ส่วนฉัน…มีปัญญาแค่ “ไปส่ง” ท่าน ๆ ที่Montreux แล้วขอ กลับมาทำ Retreat ของตัวเองที่ไทยแทน
ฉันเทียบมาแล้วและเห็นว่าโปรแกรม Wellness ที่ไทยตอนนี้ แทบไม่ต่างจากที่ยุโรปเลย
แค่ราคาดีกว่าหลายเท่าค่ะคุณ
หมอที่ฉันไว้วางใจให้ดูแลทั้งครอบครัวก็คือ
คุณหมอนรินทร สุรสินธร คนนี้แหละที่เข้าใจ Wellness อย่างลึกซึ้ง
แนะนำให้ลองไปปรึกษาได้เลยค่ะ
จริงๆฉันไม่อยากบอกใครแล้วเก็บหมอไว้คนเดียว กลัวหมอดังมากกว่านี้แล้วไม่มีเวลาเหมือนเดิม 😝
เล่าต่อ,
มุมมองของ Billionaires: “เราจะอยู่ให้ได้นานแค่ไหน และใช้ชีวิตแบบไหนในเวลานั้น”
บิลเลียนเนียร์อย่าง Jeff Bezos, Sam Altman, Peter Thiel, Sergey Brin
ต่างเทเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์เข้าสู่อุตสาหกรรม longevity biotech
พวกเขาไม่ได้มอง “ความตาย” เป็นจุดจบ
แต่มองมันเป็น “ปัญหาทางเทคโนโลยี” ที่มนุษย์สามารถแก้ได้
Sam Altman (OpenAI) ลงทุนกว่า US $180 ล้านในบริษัท Retro Biosciences
ที่มีเป้าหมาย “เพิ่มอายุสุขภาพให้มนุษย์อีก 10 ปี”
Jeff Bezos ร่วมลงทุนใน Altos Labs บริษัทที่วิจัยเรื่องการฟื้นฟูเซลล์
Peter Thiel ลงทุนใน Unity Biotechnology เพื่อหยุดการเสื่อมของเซลล์
และ Sergey Brin (Google) ตั้งหน่วยงาน Calico เพื่อศึกษาชีววิทยาแห่งความแก่โดยตรง
พวกเขาเชื่อว่า “เวลา” คือสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดในโลก
และสุขภาพคือระบบที่ต้องลงทุนอย่างต่อเนื่องเหมือนบริหารพอร์ตการเงิน
บางคนอย่าง Bryan Johnson ถึงกับใช้เงินปีละกว่า 2 ล้านเหรียญ
เพื่อรักษาร่างกายให้ย้อนวัยลงด้วยการตรวจเลือดวันละหลายรอบ
ควบคุมอาหารทุกมื้อด้วย AI
และใช้เทคโนโลยีแพทย์ระดับสูงที่ติดตามทุกการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย
คุณอาจมองว่านี่คือความฟุ้งเฟ้อ
แต่ในมุมของพวกเขา — สุขภาพไม่ใช่ค่าใช้จ่าย มันคือ “สินทรัพย์”
เพราะถ้าร่างกายคือยานพาหนะของชีวิต
จะมีประโยชน์อะไรถ้าเราขับรถคันนี้ได้แค่ครึ่งทาง
Longevity Economy: ตลาดใหม่แห่งศตวรรษ
Morgan Stanley เรียก Longevity Economy ว่า The Next Trillion-Dollar Opportunity
เพราะเมื่อมนุษย์อยู่นานขึ้น ทุกอย่างต้องออกแบบใหม่
ตั้งแต่ระบบสุขภาพ บ้าน การท่องเที่ยว ไปจนถึงการเงิน
Family Office จำนวนมากในยุโรปและสหรัฐ
กำลังจัดพอร์ตลงทุนด้าน longevity และ healthcare innovation
ไม่ใช่เพราะแฟชั่น แต่เพราะพวกเขาเข้าใจแล้วว่า
สุขภาพที่ดี = พอร์ตการลงทุนที่ยั่งยืนที่สุดของชีวิต
มุมจิตวิทยาของความยืนยาว
ลูกค้าหลายคนของฉันไม่ได้กลัวตาย
แต่กลัว “อยู่โดยไร้ตัวตน”
บางคนพูดว่า
“Annabel, ฉันอยากใช้เงินตอนยังมีแรงใช้
ไม่ใช่ตอนต้องให้คนอื่นรูดบัตรแทน”
คำพูดนี้สะท้อนสิ่งสำคัญมาก
ว่า “ความมั่งคั่ง” ในศตวรรษนี้
ไม่ได้วัดจากจำนวนเงินในพอร์ต
แต่วัดจาก “พลังใช้ชีวิต”
บทเรียนจากเศรษฐี
ลูกค้าผู้หญิงวัย 82 ปีของฉัน
อดีตนักธุรกิจจากฝรั่งเศส
ทุกเช้าเธอยังเปิด iPad ดูพอร์ตตัวเอง
แต่ไม่ได้ซื้อนาฬิกาหรูอีกแล้ว
เธอซื้อหุ้นบริษัท Healthcare และ Wellness Center แทน
เธอบอกฉันว่า
“ตอนนี้ฉันอยากให้เงินฉันดูแลร่างกายฉัน เหมือนที่มันเคยดูแลใจฉัน”
และนั่นคือความฉลาดทางชีวิตที่แท้จริง
แล้วคนธรรมดาล่ะ…ควรเริ่มยังไง?
อย่าคิดว่า Longevity เป็นเรื่องของคนรวยเท่านั้น
เพราะทุกคนกำลังเข้าสู่ยุคเดียวกัน ยุคที่ “อายุยืนขึ้น แต่เงินไม่ยืดตาม”
1. วางแผนทางการเงินให้ยืดเท่าชีวิตจริง
อย่าคิดแค่ “เกษียณแล้วพอ”
คิดให้ถึง “หลังเกษียณอีก 30–40 ปี”
ถ้าคุณอายุ 35 วันนี้ คุณยังมีเวลาอีกครึ่งศตวรรษที่จะวางแผนอย่างชาญฉลาด
2. ลงทุนในสุขภาพเหมือนลงทุนในพอร์ตการเงิน
ตรวจสุขภาพประจำปี
ออกกำลังอย่างมีวินัย
และอย่าประหยัดกับสิ่งที่ต่ออายุคุณได้
3. สร้างระบบรายได้ระยะยาวที่ไม่ขึ้นกับแรงกาย
เริ่มต้นจากการลงทุนหรือธุรกิจที่สร้าง passive income
เพราะอายุยืนคือดาบสองคม คือ ถ้าไม่มีรายได้ คุณจะเหนื่อยยาวกว่าเดิม
4. มองสุขภาพและความรู้เป็นสินทรัพย์ระยะยาว
เงินสามารถทบต้นได้
สุขภาพและความรู้ก็เช่นกัน
Longevity คือกลยุทธ์ ไม่ใช่โชคชะตา
Family Office หลายแห่งในยุโรปแต่งตั้งตำแหน่งใหม่ชื่อ
Chief Longevity Officer
คนที่ดูแลทั้งพอร์ตการเงินและพอร์ตสุขภาพของครอบครัว
เพราะพวกเขาเข้าใจแล้วว่า
เงินที่ดีไม่ใช่เงินที่อยู่ได้นาน
แต่คือเงินที่อยู่ “พอดี” กับชีวิตที่อยากมี
และสุขภาพที่ดี
ไม่ใช่การอยู่ไปเรื่อย ๆ
แต่คือการอยู่โดยไม่ต้องพึ่งใคร
Health is wealth, but longevity is freedom.
Health gives you strength today; longevity gives you time to enjoy it tomorrow.
ความหรูหราที่แท้จริงในอนาคต
ไม่ใช่ของแพง
แต่คือ “เวลา”
และ “ปัญญาในการใช้มันอย่างมีความหมาย”
ฝากถึงคุณในวันนี้
คุณอาจอยู่ถึงร้อยปี
แต่เงินคุณจะอยู่ถึงไหม?
ถ้ายังไม่แน่ใจ นั่นแปลว่าคุณต้องเริ่มวางแผนตอนนี้
อย่าให้ชีวิตต้องยืนยาวโดยไม่มีคุณภาพ
เพราะสุดท้ายแล้ว…
เงินอาจหมดได้ แต่เวลาไม่มีใครเติมให้คุณได้อีกเลย
Annabel
The Wealth Architect