Sattochi ทางออกใหม่ของผู้เป็นเบาหวาน -081.579.7918

Sattochi ทางออกใหม่ของผู้เป็นเบาหวาน -081.579.7918 ผมและหมอพรทิพย์มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี ในการรักษาโรคเบาหวานเรื้อรัง

ขอบคุณที่ไว้วางใจและใช้เม็ดฟู่ Sattochi ของทางเรา นี่คือหนึ่งในผู้ป่วยที่ได้ใช้และสามารถลดน้ำตาลในเลือดได้อยู่ในระดับที่...
28/07/2023

ขอบคุณที่ไว้วางใจและใช้เม็ดฟู่ Sattochi ของทางเรา นี่คือหนึ่งในผู้ป่วยที่ได้ใช้และสามารถลดน้ำตาลในเลือดได้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยที่บ้านแล้วครับ

28/07/2023

ยินดีด้วยคุณ ณัฐพงษ์ ธนโชติเจริญ อาการดีขึ้นมากหลังจาก เดื่อนกว่าๆ
ลองไปหลายวิธีไม่ดีขึ้น
เพียงทาน SATTOCHI วันละ 2 แก้ว ตอนนี้สบายแล้ว

28/07/2023

ยินดีด้วยคุณ ศักดา มุสตาฟา อาการดีขึ้นมากหลังจาก เดื่อนกว่าๆ
ลองไปหลายวิธีไม่ดีขึ้น
เพียงทาน SATTOCHI วันละ 2 แก้ว ตอนนี้สบายแล้ว

โทษของน้ำตาล1. การรับประทานน้ำตาลทรายมากเกินไปจะทำให้เกิดโทษได้ เช่น ทำให้อ้วน เป็นโรคเบาหวาน ทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบ ระบ...
28/07/2023

โทษของน้ำตาล
1. การรับประทานน้ำตาลทรายมากเกินไปจะทำให้เกิดโทษได้ เช่น ทำให้อ้วน เป็นโรคเบาหวาน ทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบ ระบบการย่อยอาหารไม่ดี มีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป ทำให้ฟันผุ ฯลฯ[1]
2. น้ำตาลมีผลเพิ่มปริมาณของไขมันร้าย หรือ ไขมันเลว (LDL) และไปลดปริมาณของไขมันดี (HDL)
3. การรับประทานน้ำตาลทรายมากจนเกินไปจะทำให้ต้องใช้อินซูลินมากเกินไป ถ้ารับประทานเป็นระยะเวลานานก็สามารถทำให้เกิดโรคเบาหวานได้ และในคนที่บริโภคน้ำตาลมากจนเกินไปในช่วง 40 ปีแรกของชีวิต จะมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานมากกว่าคนอื่น ๆ เพราะน้ำตาลจะไปทำให้ตับอ่อนที่ทำหน้าที่ผลิตอินซูลินเสื่อมสมรรถภาพ เมื่อรับประทานเข้าไปมาก ๆ จึงทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น[1]
4. นอกจากน้ำตาลจะเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานแล้วน้ำตาลยังเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจ และความดันโลหิตสูงอีกด้วย[3]
5. การรับประทานน้ำตาลมาก ๆ จะทำให้การขับออกของโครเมียมทางไตมีมากขึ้น ซึ่งโครเมียมนั้นเป็นแร่ธาตุที่สำคัญในการเพิ่มการทำงานของอินซูลินในการลดระดับน้ำตาลในเลือด ดังนั้น การรับประทานน้ำตาลในปริมาณมาก จะทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลินได้
6. สำหรับผู้ที่รับประทานอาหารหวานบ่อย ๆ สมดุลของแร่ธาตุในร่างกายจะไม่ค่อยสมดุล ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำให้ติดเชื้อได้ง่าย โดยมีรายงานว่าการรับประทานหวานมากจะทำให้เลือดมีแคลเซียมมากขึ้น ฟอสฟอรัสลดลง ซึ่งอาจไปตกตะกอนทำให้เกิดนิ่วในไตได้ นอกจากนี้การเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายบ่อย ๆ ยังเป็นตัวเร่งที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ เมื่อบริโภคเป็นระยะเวลานานจะก่อให้ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงขึ้น[3]
7. น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน เมื่อมีมากจนเกินไป ตับจะส่งไปยังกระแสเลือดแล้วเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น หน้าท้อง ขาอ่อน เป็นต้น และการรับประทานน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่น ๆ เช่น หัวใจ ตับ และไต ซึ่งอวัยวะเหล่านี้จะค่อย ๆ ถูกห่อหุ้มไปด้วยไขมันและน้ำเมือก ร่างกายก็เริ่มมีความผิดปกติ ความดันเลือดก็จะสูงขึ้น สรุปก็คือถ้าเราไม่ได้ใช้พลังงานมากเพียงพอ น้ำตาลที่ได้ก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมไว้ในร่างกาย[3]
8. เมื่อเรารับประทานน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลทราบ น้ำผึ้ง น้ำตาลในนม น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลเหล่านี้จะเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาพเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดความไม่สมดุล ทำให้มีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่าง ๆ มาแก้ไขความไม่สมดุล[3]
9. อาการปวดศีรษะเรื้อรัง ไมเกรน เป็นสิว ผื่น ตกกระ เป็นตะคริวช่วงมีรอบเดือน แผลพุพอง แผลริดสีดวงทวาร มะเร็งตับ เบาหวาน โรคหัวใจ วัณโรค เหล่านี้ล้วนมีความสัมพันธ์ต่อการรับประทานน้ำตาลที่มากเกินไป[3]
10. ผลการวิจัยพบว่า โรคฟันผุมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับประทานน้ำตาล เมื่อรับประทานน้ำตาลจะทำให้สภาพของกรดในปากเพิ่มขึ้น สำหรับผู้ที่มีอายุมากจะรู้สึกว่ามีรสเปรี้ยว Bacillus acidi lactici คือแบคทีเรียที่ชอบอาศัยและเจริญเติบโตอยู่ตามร่องฟัน ซอกฟัน หรือแอ่งฟันที่มีสภาพเป็นกรด ทำให้แคลเซียมในฟันหลุดและเกิดโรคฟันผุ (แมงกินฟัน)[1]
11. การรับประทานน้ำตาลซูโครสมากจะทำให้กรดอะมิโน "ทริปโตเฟน" ถูกเร่งให้ผ่านเข้าสู่สมองมากเกินไป ทำให้สมดุลของฮอร์โมนในสมองเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้เกิดอาการเหนื่อย เซื่องซึม ไม่กระฉับกระเฉง[3]
12. การรับประทานน้ำตาลทรายก็ทำให้เกิดอาการเบื่ออาหารได้เช่นกัน เพราะถ้ารับประทานน้ำตาลทรายในปริมาณมากจะทำให้วิตามินบีในร่างกายถูกใช้ไปมาก เมื่อวิตามินบีในร่างกายน้อยลง จะส่งผลทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง น้ำย่อยและน้ำลายก็ลดน้อยลง ทำให้เบื่ออาหารมากขึ้น[1]
13. การรับประทานน้ำตาลในปริมาณมากเกินไป จะมีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกง่วงนอน[3]
14. น้ำตาลทรายเมื่ออยู่ในกระเพาะอาหารมากจนเกินไป จะทำให้สภาพกรดในกระเพาะอาหารและลำไส้เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดการหมัก (Fermentation) ในลำไส้ ทำให้รู้สึกไม่สบายท้อง[1]
15. มีผู้เชื่อว่าการรับประทานมากเกินไป จะส่งผลต่อการเผาผลาญแคลเซียม ถ้าปริมาณน้ำตาลสูง 16-18% ของอาหารที่กิน จะทำให้การเผาผลาญของแคลเซียมในร่างกายเกิดความสับสนได้[1]
16. สำหรับคนที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานเท่านั้น แต่ยังหมายถึงทุกคนที่ชอบรับประทานขนมหวาน น้ำอัดลม น้ำผลไม้ ฯลฯ เพราะจะทำให้อวัยวะภายในร่างกายเสื่อมเร็วกว่าปกติ ทำให้แก่เร็ว เป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ไขมันสูง อ้วน กระดูกพรุน เนื้องอก และมะเร็ง ที่สำคัญน้ำตาลยังทำให้อาการของโรคที่เป็นอยู่จะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะป่วยเป็นโรคอะไรก็ตาม เช่น หากดื่มนมจนเป็นภูมิแพ้ อาการของโรคภูมิแพ้จะมีความรุนแรงเป็น 2 เท่า หรือทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยู่มีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากเชื้อโรคทุกชนิดจะใช้น้ำตาลเป็นอาหาร และน้ำตาลยังเป็นแหล่งอาหารของเซลล์มะเร็ง เป็นอาหารของยีสต์ในลำไส้ ทำให้ยีสต์เพิ่มจำนวนมากขึ้นและทำให้เกิดภาวะไส้รั่ว[3]
17. น้ำตาลนอกจากจะส่งผลร้ายต่อผู้ใหญ่แล้ว ยังมีผลต่อเด็กอีกด้วย เพราะถ้าเด็กรับประทานน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้ฟันผุ เป็นโรคกระดูกเปราะ อาจทำให้เด็กเป็นคนโกรธง่ายและไม่มีสมาธิได้[3]
18. น้ำตาลจะไปจับตัวกับคอลลาเจน (ไกลเคชั่น) ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น ลดความยืดหยุ่น และยังไปลดปริมาณของฮอร์โมนแห่งความอ่อนเยาว์ (Growth Hormone) ซึ่งจะทำให้ผิวหนังแห้ง เหี่ยวย่น และอ้วนได้
19. จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก แนะนำให้คนรับประทานน้ำตาลเพียงวันละ 6 ช้อนชาเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงโรคเบาหวาน (โรคเบาหวานถูกยกระดับให้เป็นโรคอันตรายเทียบเท่ากับโรคเอดส์) แต่จากการสำรวจของ สสส. กลับพบว่าคนไทยบริโภคน้ำตาลมากเกินกว่าปริมาณที่แนะนำ 3 เท่าตัว หรือประมาณ 20 ช้อนชา โดยเฉพาะเด็กที่ชอบดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ จนทำให้สถิติอ้วนลงพุงของเด็กไทยพุ่งสูงขึ้นที่สุดในโลก และในรอบห้าปีที่ผ่านมา พบว่าเด็กไทยที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี ป่วยเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า และยังพบว่าคนไทยจำนวนมากถึง 17 ล้านคน ที่ดื่มน้ำอัดลมทุกวัน โดยน้ำอัดลมน้ำดำ น้ำอัดลมสี และน้ำอัดลมน้ำใส (เพียงกระป๋องเดียว) จะมีน้ำตาลเป็นส่วนผสมอยู่มากถึง 34-46 กรัม หรือคิดเป็น 8.5-11.5 ช้อนชาเลยทีเดียว (แค่เฉพาะเครื่องดื่มในแต่ละวัน ร่างกายของเราก็ได้รับน้ำตาลเกินความจำเป็นแล้ว)

อาหารคนป่วยเบาหวาน และสิ่ง 3 ที่ห้ามกินโรคเบาหวานไม่น่ากลัวอย่างที่คิด ถ้าเรารู้จักทาน รู้จักเลือกสักหน่อย จะสามารถควบคุ...
28/07/2023

อาหารคนป่วยเบาหวาน และสิ่ง 3 ที่ห้ามกิน
โรคเบาหวานไม่น่ากลัวอย่างที่คิด ถ้าเรารู้จักทาน รู้จักเลือกสักหน่อย จะสามารถควบคุมเบาหวานได้อย่างแน่นอน ไลฟ์สไตล์ไทยรัฐ ได้รับข้อมูลจาก กรมการแพทย์ สถาบันโรคทรวงอก ถึงวิธีการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน จะใช้ชีวิตง่ายขึ้น หากเลือกทานอาหาร และใช้ชีวิตดังนี้
ผู้ป่วยเบาหวานต้องรู้
1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในปริมาณที่เหมาะสม
2. รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
4. ใช้ยาตามแพทย์สั่งเพื่อลดความรุนแรงของโรค และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
อาหารของผู้ป่วยเบาหวาน ที่สามารถทานได้
1. ผลไม้หวานน้อย เช่น แอปเปิ้ล สาลี่ ชมพู่ ให้เลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวานจัดและผลไม้แปรรูป ยิ่งไม่ควรทาน
2. ผักใบเขียวดีกว่าผักประเภทหัว เช่น เผือก มัน เนื่องจากมีแป้งอยู่ปริมาณมาก
3. เนื้อสัตว์ที่มีไขมันน้อย ไม่ติดมัน และหนัง เช่นเนื้อปลา ไข่ขาว เต้าหู้
ทั้งนี้สามารถเพิ่มรสชาติด้วย สมุนไพรต่างๆ ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด มะนาว
สิ่งที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องห้าม
1. ขนมหวานทุกชนิด
2. ขนมราดด้วยกะทิ
3. น้ำอัดลม น้ำผลไม้ ชา กาแฟ นมเปรี้ยวรสต่างๆ นมปรุงแต่ง
ทั้งหมดนี้คืออาหารที่ควรเลือกทานและอาหารต้องห้ามของผู้ป่วยโรคเบาหวานนะจ๊ะ เอาเป็นว่า เป็นได้ ควบคุมได้ รักษาได้จ้า ...

ความรุนแรงของโรคเบาหวานไม่ได้อยู่ที่ระดับน้ำตาลในเลือดที่พุ่งสูงเพียงอย่างเดียวครับ หากแต่อันตรายที่แท้จริงของโรคนี้อยู่...
28/07/2023

ความรุนแรงของโรคเบาหวานไม่ได้อยู่ที่ระดับน้ำตาลในเลือดที่พุ่งสูงเพียงอย่างเดียวครับ หากแต่อันตรายที่แท้จริงของโรคนี้อยู่ที่ภาวะแทรกซ้อนของเบาหวานที่คุณไม่คาดคิดว่าถ้าปล่อยให้ตนเองเป็นเบาหวานนาน ๆโดยไม่ทำการควบคุมจะมีผลเสียที่คาดไม่ถึงเช่นนี้ ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงของเบาหวานมีอะไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบครับ
1. ชาที่บริเวณปลายมือปลายเท้า
อาการชาของโรคเบาหวานจะมีลักษณะชาเหมือนกับกำลังสวมถุงมือถุงเท้าอยู่ตลอดเวลาคือชาตั้งแต่บริเวณข้อมือข้อเท้าลงไป สาเหตุของอาการชานี้เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงอยู่ตลอดเวลาจะไปทำลายเส้นเลือดฝอยที่บริเวณปลายมือปลายเท้า ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงเส้นประสาทที่บริเวณนั้นได้จึงทำให้การรับความรู้สึกที่บริเวณดังกล่าวค่อย ๆลดลงครับ อาการชาตามปลายมือปลายเท้านี้อาจดูไม่รุนแรงและไม่น่าเป็นพิษเป็นภัยอะไร แต่เพราะความรู้สึกที่ลดลงนี้เองที่ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานมีโอกาสเกิดแผลที่เท้าจนนำไปสู่การตัดขาได้ในที่สุด
2. แผลหายช้า ผิวหนังแห้งและมีอาการคันบ่อย
อีกหนึ่งภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญของเบาหวานก็คือเมื่อเกิดแผลขึ้น แผลนั้นจะหายช้ามาก เพราะระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของเชื้อแบคทีเรียรอบ ๆผิวหนังที่จะไปขัดขวางการสมานแผลของร่างกาย และหากแผลนี้เกิดขึ้นที่บริเวณเท้าก็อาจลุกลามกลายเป็นเนื้อตายจนนำไปสู่การสูญเสียอวัยวะได้ นอกจากนี้ผู้ป่วยมักมีอาการผิวหนังแห้งและคันบริเวณผิวหนังซึ่งสร้างความรำคาญให้แก่ผู้ที่เป็นเบาหวานเป็นอย่างมากครับ
3. ความผิดปกติทางสายตา
หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “เบาหวานขึ้นตา” ซึ่งภาวะนี้เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงมากจนไปทำลายเส้นเลือดฝอยที่เลี้ยงจอประสาทตาและเส้นประสาทบริเวณนั้น และเส้นประสาทบริเวณนั้น รวมถึงน้ำตาลอาจไปทำลายเลนส์ตาอันเป็นสาเหตุของโรคต้อหิน ต้อกระจกและเส้นประสาทตาเสื่อมได้ หากยังไม่ควบคุมระดับน้ำตาลให้เป็นปกติก็มีโอกาสสูงมากที่ผู้ป่วยเบาหวานจะสูญเสียการมองเห็นไปในที่สุด ภาวะแทรกซ้อนทางการมองเห็นไม่มีวิธีรักษา เราทำได้แต่เพียงชะลอความเสื่อมเอาไว้จากการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเท่านั้น
4. ไตเสื่อมและไตวาย
เช่นเดียวกับภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นที่ตำแหน่งอื่น ผู้ที่เป็นเบาหวานมีโอกาสเกิดภาวะไตเสื่อมจนลุกลามไปสู่อาการไตวายได้จากผลของน้ำตาลที่ไปทำลายหลอดเลือดฝอยที่บริเวณไตครับ เมื่อเส้นเลือดฝอยที่ไตถูกทำลายจะทำให้ไตมีการทำงานที่ผิดปกติไป และเมื่อเรายังปล่อยให้ไตถูกทำลายไปเรื่อย ๆโดยไม่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ท้ายที่สุดผู้ป่วยก็มีโอกาสเกิดภาวะไตวายเฉียบพลันจนนำไปสู่การเสียชีวิตได้ในที่สุด
5. หลอดเลือดตีบตัน
นอกจากที่น้ำตาลจะไปทำลายเส้นเลือดฝอยก็ยังส่งผลให้หลอดเลือดขนาดใหญ่เกิดการหนาตัวทีละน้อยจนนำไปสู่อาการตีบตันของหลอดเลือดได้ ซึ่งหากบริเวณที่ตีบตันเกิดขึ้นที่อวัยวะสำคัญไม่ว่าจะเป็นสมอง ปอด หรือหัวใจและอาการเกิดขึ้นอย่างฉับพลันก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเสียชีวิตหรือพิการของผู้ป่วยเบาหวานได้เช่นกัน
ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณไม่ควรมองข้ามครับ เพราะบางภาวะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอย่างเฉียบพลันของผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิตไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้นการดูแลตนเองจึงเป็นสิ่งที่คุณต้องทำและใส่ใจเพื่อให้คุณมีสุขภาพที่แข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุขในระยะยาวครับ

โรคเบาหวานคืออะไรโรคเบาหวาน (Diabetes) คือโรคที่เกิดจากความผิดปกติของการทำงานของฮอร์โมนที่ชื่อว่า อินสุลิน (Insulin) ซึ่...
28/07/2023

โรคเบาหวานคืออะไร
โรคเบาหวาน (Diabetes) คือโรคที่เกิดจากความผิดปกติของการทำงานของฮอร์โมนที่ชื่อว่า อินสุลิน (Insulin) ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายของคนเราจำเป็นต้องมีอินสุลิน เพื่อนำน้ำตาลในกระแสเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะสมองและกล้ามเนื้อ ในภาวะที่อินสุลินมีความผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นการลดลงของปริมาณอินสุลินในร่างกาย หรือการที่อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายตอบสนองต่ออินสุลินลดลง (หรือที่เรียกว่า ภาวะดื้ออินสุลิน) จะทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดไปใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้มีปริมาณน้ำตาลคงเหลือในกระแสเลือดมากกว่าปกติ
สาเหตุของโรคเบาหวานเกิดจากการที่ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงมากขึ้นถึงระดับหนึ่ง จนทำให้ไตดูดกลับน้ำตาลได้ไม่หมด ซึ่งปกติไตจะมีหน้าที่ดูดกลับน้ำตาลจากสารที่ถูกกรองจากหน่วยไตไปใช้ ส่งผลให้มีน้ำตาลรั่วออกมากับปัสสาวะ จึงเป็นที่มาของคำว่า “โรคเบาหวาน” หากเราปล่อยให้เกิดภาวะเช่นนี้ไปนาน ๆ โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี จะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงตามมาในที่สุด
ชนิดของโรคเบาหวาน
เบาหวานชนิดที่ 1 – เกิดจากภูมิคุ้มกันร่างกายทำลายเซลล์สร้างอินสุลินในตับอ่อน ทำให้เกิดภาวะขาดอินสุลิน
เบาหวานชนิดที่ 2 – เกิดจากภาวะการลดลงของการสร้างอินสุลิน ร่วมกับภาวะดื้ออินสุลิน และมักเป็นกรรมพันธุ์
เบาหวานชนิดพิเศษ – สาเหตุของโรคเบาหวานชนิดนี้อาจเกิดจากความความผิดปกติของตับอ่อน หรือเป็นโรคที่เกี่ยวกับการทำงานที่ผิดปกติของอินสุลินโดยกำเนิด
เบาหวานขณะตั้งครรภ์ – เบาหวานชนิดนี้เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์และหายไปได้หลังคลอดบุตร แต่มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต
อาการของโรคเบาหวาน
เบาหวานที่พบได้บ่อยที่สุด คือเบาหวานชนิดที่ 2 สาเหตุของโรคเบาหวานชนิดนี้เกิดจากกรรมพันธุ์และการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การรับประทานอาหารประเภทแป้ง ของหวานมากเกินไป ภาวะน้ำหนักเกิน อ้วนลงพุง การขยับร่างกายที่น้อยลง ไม่ออกกำลังกาย เป็นต้น
เบาหวานชนิดนี้ มักเกิดในกลุ่มคนที่มีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตาม โรคเบาหวานชนิดที่ 2 พบว่าเกิดในกลุ่มคนที่มีอายุน้อยลงเรื่อยๆ เช่น อายุ 20 – 30 ปี ซึ่งสัมพัทธ์กับการรับประทานอาหารที่เป็นแป้ง ของหวาน หรือการออกกำลังกายที่ลดลง และ โรคอ้วน ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่อายุยังน้อย มีโอกาสจะควบคุมอาการโรคได้ยากกว่า เกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่ายกว่า และมักจะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงในช่วงอายุที่น้อยกว่า
ดังนั้น การควบคุมเบาหวานให้อยู่ในระดับที่ปกติ จึงมีความสำคัญอย่างมากรวมถึงการค้นหาโรคเบาหวานในกลุ่มเสี่ยง เพื่อป้องกันและการรักษาโรคเบาหวานได้อย่างทันท่วงที จะส่งผลให้ลดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานระยะยาวได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน
เมื่อมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติเป็นระยะเวลานาน น้ำตาลที่สูงจะส่งผลโดยตรงต่อหลอดเลือดทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ โดยทำให้เกิดภาวะอักเสบ และภาวะหลอดเลือดอุดตันได้ง่ายกว่าคนปกติ นอกจากนี้ยังส่งผลต่อภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยในภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง ทำให้น้ำตาลส่วนเกินไปเกาะกับเม็ดเลือดขาวที่ใช้ต่อสู้กับเชื้อโรค ทำให้เม็ดเลือดขาวมีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆได้ลดลง ส่งผลให้เกิดภาวะติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่าย

15 ปีทำงาน แต่  นี้เป็นผลตภัณฑ์ดีที่สุดอย่างที่เคยเห็น
28/07/2023

15 ปีทำงาน แต่ นี้เป็นผลตภัณฑ์ดีที่สุดอย่างที่เคยเห็น

ใช้แล้วไม่ผิดหวังครับ
28/07/2023

ใช้แล้วไม่ผิดหวังครับ

6 ผักต้องกินสุก
28/07/2023

6 ผักต้องกินสุก

ในปัจจุบัน ประเทศไทยยึดหลักเกณฑ์ตามสมาคมเบาหวานแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาในการจำแนกผู้ป่วยโรคเบาหวานด้วยการตรวจปริมาณน้ำตาลใ...
28/07/2023

ในปัจจุบัน ประเทศไทยยึดหลักเกณฑ์ตามสมาคมเบาหวานแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาในการจำแนกผู้ป่วยโรคเบาหวานด้วยการตรวจปริมาณน้ำตาลในเลือด หากผลการตรวจหลังงดอาหารและเครื่องดื่มมีน้ำตาลอยู่กระแสเลือดไม่เกิน 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แสดงว่าระดับน้ำตาลในเลือดปกติ ทั้งนี้ระดับน้ำตาลในเลือดยังบ่งบอกถึงภาวะเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานได้ด้วย (Prediabetes) ซึ่งผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะเป็นเบาหวานสามารถพัฒนาการเกิด โรคเบาหวานประเภทที่ 2 (เบาหวานที่เกิดจากการที่ตับอ่อนผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ไม่เพียงพอต่อการใช้) โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดในสมองในอนาคตได้ง่ายขึ้น

อาหารมื้อเช้าสำคัญ ดูแลสมองความจำ แบ่งปันอาหารคลีน สำหรับคนทานยาก และเหมาะกับคนชอบแซ่บ ชอบทานน้ำพริก เพื่อสุขภาพหุ่นดีกั...
28/07/2023

อาหารมื้อเช้าสำคัญ ดูแลสมองความจำ แบ่งปันอาหารคลีน สำหรับคนทานยาก และเหมาะกับคนชอบแซ่บ ชอบทานน้ำพริก เพื่อสุขภาพหุ่นดีกันจ้าา
👉ลดหวาน ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล
👉 ลดโซเดียม
👉 เลือกน้ำพริกสำหรับคีโต กับคลีน
👉 เลือกต้ม ลวก มากกว่าทอด
👉 ออกกำลังกาย อาทิตย์ละ 3 วัน อย่างน้อย 25 นาที
👉ดื่มน้ำวันละ 2-3 ลิตร จิบได้ทั่งวันไม่ดื่มครั้งเดียว
👉 พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
หวังว่าคงเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆ นะคะ
ทำทานเองที่บ้านง่าย ๆ จ้า

28/07/2023
28/07/2023

ที่อยู่

Bangkok

เบอร์โทรศัพท์

+66815797918

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Sattochi ทางออกใหม่ของผู้เป็นเบาหวาน -081.579.7918ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์