บ้านใจอารีย์ คลินิกกายภาพบำบัด สาขาเยาวราช JR Physio Clinic

บ้านใจอารีย์ คลินิกกายภาพบำบัด สาขาเยาวราช JR Physio Clinic มี 2 สาขา เยาวราชและเพชรเกษม81 ให้บริการตรวจรักษาอาการบาดเจ็บจากกระดูกกล้ามเนื้อ

มี 2 สาขา 1. เพชรเกษม 81 (094-6542460) 2. เยาวราช (080-4259900)

บ้านใจอารีย์ คลินิกกายภาพบำบัด สาขาเยาวราช JR PHYSIO CLINIC·

ให้บริการรักษา บำบัด ฟื้นฟู อาการปวด โรคทางระบบกระดูก กล้ามเนื้อข้อต่อ แขน-ขาชา อ่อนแรง ด้วยเทคนิควิธีการทางกายภาพบำบัด และเครื่องมือที่ทันสมัย
ปวดหลัง ปวดเอว ปวดร้าวลงขา กระดูกทับเส้น
ปวดคอ บ่า ไหล่ ปวดร้าวลงแขน ออฟฟิตซินโดรม ไหล่ติด
นิ้วล๊อค มือชา พังผืดฝ่ามือทับเส้นประสาท ปวดข้อ
ปวดเข่า เข่าเสื่อม เอ็นข้อเข่าอักเสบ
การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
ปวดส้นเท้า พังผืดฝ่าเท้าอักเสบ รองช้ำ ข้อเท้าพลิก เป็นต้น
ตัวอย่างเทคนิคการรักษาระดับสากลที่ทางคลินิกเราเลือกใช้
Neurokinetic therapy (NKT)
Dynamic Neuromuscular stabilization (DNS)
Facial Release by Anatomy trains concept
Mobilization with movement
Mobilization and manipulation
Muscle Energy technique
Mojo Lymphatic drainage
Physical modalities
นอกจากนี้ในการรักษาคนไข้แต่ละคน เราทำการตรวจประเมินคนไข้อย่างละเอียดตามแนวทางของคลินิก และให้การรักษาด้วยเทคนิคที่แตกต่างกัน เเละคัดเลือกเทคนิคการรักษาที่เหมาะกับคนไข้แต่ละราย แน่นอนว่าไม่มีเทคนิคไหน จะเป็นเทคนิคที่ดีที่สุด มีแต่เทคนิคไหนเหมาะกับใครเท่านั้นเอง
นอกจากนี้ทางคลินิกยังมุ่งเน้นคุณภาพในการรักษา จึงมีการพัฒนาความรู้ใหม่ๆ รวมทั้งส่งบุคลากรอบรมเนื้อหาที่มีประโยชน์อยู่เสมอ เพื่อให้การรักษาคนไข้ตัมีประสิทธิภาพสูงสุด

เอ็นเสื่อม เอ็นอักเสบ จริง ๆ แล้ว "ห้ามออกกำลังกายหนัก" เหรอ!?😄 สวัสดีครับ วันนี้ผม กภ. โบ๊ท จะมาเล่าให้ฟังหลายคนพอได้ยิ...
21/08/2025

เอ็นเสื่อม เอ็นอักเสบ จริง ๆ แล้ว "ห้ามออกกำลังกายหนัก" เหรอ!?

😄 สวัสดีครับ วันนี้ผม กภ. โบ๊ท จะมาเล่าให้ฟังหลายคนพอได้ยินคำนี้แล้วก็ใจหาย 😰 บางคนถึงขั้นเลิกออกกำลังกายไปเลย เพราะกลัวว่าจะเจ็บซ้ำ เจ็บเรื้อรัง ไม่หายสักที ทั้งที่ซ้อมก็ดี พักก็ดี แล้วยืดเหยียดก็ทำตลอด แต่พอใส่สุดเต็มที่ทีไร...อ้าว เจ็บเหมือนเดิมทุกที

แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเส้นเอ็นของเรากันแน่? มาลองคุยกันแบบง่าย ๆ ครับ

📌 เส้นเอ็นกับการฟื้นฟูตัวเอง

จริง ๆ แล้วเอ็นก็เหมือนร่างกายส่วนอื่น ๆ ที่พอเจ็บก็มี “โหมดซ่อมแซม” ของมันเอง เริ่มจาก เซบาดเจ็บ → เกิดการอักเสบ → เริ่มซ่อมแซมตัวเอง → หายดี
แต่ปัญหาคือ... หลายครั้งเราไป “เร่งใช้” หรือ “ใช้งานหนักเกิน” ในช่วงที่มันยัง"เริ่มซ่อมแซมตัวเอง" เลยกลายเป็นวนลูปบาดเจ็บซ้ำๆ ซ่อมแซมไม่เสร็จสักที

ทำให้เกิดการอักเสบยืดเยื้อ → เอ็นหนาตัวขึ้นเรื่อยๆ → ความแข็งแรง และความยืดหยุ่นลดลง

🤔 แล้วอย่างนี้ต้องพักยาว ๆ ถึงจะดีใช่ไหม?

ไม่ครับ!! สิ่งสำคัญจริง ๆ ไม่ใช่การ “หยุดใช้” แต่คือการ “ควบคุมแรง (load)” ที่ลงบนเส้นเอ็นให้เหมาะสม

หากเราหยุดพักอย่างเดียวแล้วกลับมาเล่นกีฬาเลย จะเหมือนกับที่เราไม่ได้เล่นเกมส์นึงมานาน แล้วกลับมาเล่นแต่จำสูตรไม่ได้

ซึ่งงานวิจัย (Cook & Puradam 2009) ชี้ให้เห็นว่า 👉 การควบคุมแรง (load)ที่พอดีต่อเส้นเอ็น ช่วยให้เอ็นแข็งแรงขึ้น ฟื้นตัวได้ดีกว่าการพักอย่างเดียว
ซึ่งเราจะมาพูดถึงการออกกำลังการที่ช่วยฟื้นฟูเส้นเอ็นกันนะครับ

✅ วิธีออกกำลังกายที่ช่วยฟื้นฟูเส้นเอ็น

1. การออกกำลังแบบเกร็งค้างไว้นิ่งๆให้อยู่กับที่ ไม่เกิดการเคลื่อนไหว (Isometric) เช่น การบีบลูกบอล หรือการเขย่งค้างไว้

เหมาะกับช่วงที่ยังปวดเยอะ ๆ โดยออกแรงให้ไม่เจ็บมากขึ้น ไม่เกร็งจนเป็นตะคริว สามารถลดอาการปวดได้ดี และคงความสามารถของกล้ามเนื้อไว้ได้

2. การออกกำลังกายที่ทำให้กล้ามเนื้อและเอ็นค่อยๆ ผ่อนตามแรงโน้มถ่วงหรือแรงต้าน (Eccentric) เช่น การงอเข่าลงช้าๆในที่สคอวต → วิธีนี้ช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมเอ็นโดยตรง และทำให้การออกแรงในขณะที่กล้ามเนื้อถูกยืดออก ทำได้ดีขึ้น

3. การออกกำลังกายแบบต้านแรงช้าๆ เคลื่อนไหวช้าๆ ทั้งขาขึ้น และขาลง (Slow Heavy Resistance) จะเป็นการออกกำลังที่ช่วยเสริมกำลังกล้ามเนื้อ และความแข็งแรงของเส้นเอ็น ไปพร้อมกัน

🤔จากนั้นเมื่อเอ็นเริ่มกลับมาแข็งแรงแล้ว เราจะทำอะไรต่อล่ะ?

หลังจากนี้เราสามารถค่อย ๆ ขยับไปสู่การฝึกขั้นสูง เช่น
👉Plyometrics
คือการระเบิดพลังของกล้ามเนื้อจาการหดตัวอย่างรวดเร็ว หรือที่เรามักจะเห็นเขาไปกระโดดกันนั่นแหละครับ 💨💨
👉 Drills
หรือก็คือท่าฝึกทักษะของแต่ละกีฬานั้นๆ ซึ่งแตกต่างไปขึ้นอยู่กับ skill ของแต่ละคน เพื่อให้พร้อมกลับไปเล่นกีฬาเต็มที่ เช่น การเลี้ยงบอลผ่านกรวย การฝึกเรย์อัพซ้ำๆ การเดาะบอล

🎯 สรุปง่าย ๆ

เอ็นเสื่อมไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดครับ ✨ ถ้าเรารู้จักปรับ “load” และเลือกออกกำลังกายให้เหมาะสม เส้นเอ็นก็จะกลับมาแข็งแรงได้ และคุณก็ยังสามารถกลับไปเล่นกีฬาที่รักได้อย่างมั่นใจ

📌 วันที่ 25 สิงหา 68นี้ คลินิกจะ ปิดทำการ 1 วัน และจะกลับมาเปิดให้บริการตามปกติในวันที่ 26 สิงหาคม 68✨เนื่องจากทีมบ้านใจ...
21/08/2025

📌 วันที่ 25 สิงหา 68นี้ คลินิกจะ ปิดทำการ 1 วัน และจะกลับมาเปิดให้บริการตามปกติในวันที่ 26 สิงหาคม 68

✨เนื่องจากทีมบ้านใจอารีย์คลินิกกายภาพบำบัด ได้จัดอบรม และแบ่งปันความรู้กับเพื่อนนักกายภาพ แพทย์ และเทรนเนอร์ท่านอื่นๆ 🧑‍⚕️👩‍⚕️

เพราะเราเชื่อว่า.... การรักษาที่นี่ไม่ได้หยุดอยู่แค่ประสบการณ์เดิม แต่เรายังคงพัฒนาเพื่อคนไข้ทุกคนเสมอ

🔥“เจ็บไหล่นาน10 ปี…เพราะกล้ามเนื้อทำงานผิดตัว!”รักษามาเป็น10ปี แต่มาจบที่เราใน 2สัปดาห์ เกิดขึ้นได้ยังไง?วันนี้ กภ.คิตตี...
13/08/2025

🔥“เจ็บไหล่นาน10 ปี…เพราะกล้ามเนื้อทำงานผิดตัว!”
รักษามาเป็น10ปี แต่มาจบที่เราใน 2สัปดาห์ เกิดขึ้นได้ยังไง?

วันนี้ กภ.คิตตี้ จะมาเล่าหนึ่งในเคสที่แสดงให้เห็นว่า
การหาจุดเริ่มต้นของปัญหาได้ จะสามารถกำจัดปัญหาที่เรื้อรังได้อย่างรวดเร็ว🤯
👮‍♂️เคสนี้คือ ตำรวจอเมริกา ที่ทำงานลุยกับคนร้ายมาตลอดอายุงาน ทั้งชีวิตใช้ร่างกายเต็มที่แบบไม่รู้จักคำว่า ถนอม
→ หลังเกษียณ เขาย้ายมาอยู่ที่ไทย แต่สิ่งที่ย้ายตามมาด้วยคือ “อาการเจ็บไหล่” ที่อยู่ด้วยกันมา 10 กว่าปี

🤧อาการที่ทำเรามาเจอกัน คือ
🔹ยกแขนไปด้านหน้า 90° → เจ็บหัวไหล่ด้านข้าง ตลอด
🔹กางแขนสูงเกิน 100° → เจ็บหัวไหล่ด้านหลัง ตลอด
🔹ยิ่งถ้าถือของหนัก → ทั้ง2ข้างจะเจ็บมากขึ้นชัดเจน
เอาจริงๆความเจ็บมันแค่ 4/10 ซึ่งน้อยนะคะ แต่ลองคิดภาพดู… ถ้าทุกครั้งที่ยกแขนจะต้องเจ็บไหล่แบบนี้ตลอด 10 ปี 😱 ยังไงก็ไม่ Happy ค่ะ

💬ประวัติการรักษาเดิม
เคสนี้เคยผ่านการทำกายภาพ, ไคโรแพคติก, ฝังเข็ม, ครอบแก้ว ที่บ้านเกิดมาหมดแล้ว
ทุกครั้งหลังทำ อาการจะดีขึ้นชั่วคราว… แต่ไม่นานอาการ ก็กลับมาเหมือนเดิม
แปลว่า… ต้นเหตุของปัญหายังไม่เคยถูกแก้ไขจริง ๆ

🔬การประเมินร่างกาย
→ จากประวัติการรักษาเดิม ถามว่า “ตรวจ, รักษาแบบเดิมแล้วไม่หาย เราจะทำแบบเดิมอีกมั้ย❓”
→ คำตอบคือ “ไม่ค่ะ!!” เราจะตรวจกันใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ต้น
→ เราจะมาค่อยๆตรวจไปทีละจุด แยกความเป็นไปได้ทีละข้อ พร้อมจะที่ชี้จุดที่มี “ความเอ๊ะ🤔” ซ่อนอยู่

ค่อยๆ ตามกันมาช้าๆนะคะ การประเมินอาจจะสับสนจุดกล้ามเนื้อกันหน่อย

👉3 อาการที่มีความเป็นไปได้ในเคสนี้

1️⃣Biceps tendinopathy
→ อาการนี้มักเกิดจาก ยกแขนในมุมเดิมซ้ำๆ หรือโดนกระแทกจุดเดิมๆมา
(เชื่อมไปกับอาชีพตำรวจของเคสนี้ จึงมีความเป็นไปได้)
🔹ตรวจยืนยันอาการ โดยกระตุ้นกล้ามเนื้อ “ต้นแขน” ให้หดตัว ซึ่งควรจะเจ็บที่ “ไหล่ด้านหน้า” ที่เป็นจุดเกาะปลายของเส้นเอ็น
🔹ผล : พบว่าคนไข้เจ็บค่ะ แต่!!! เจ็บที่ “ไหล่ด้านข้าง” แทน ซึ่งไม่ใช่ที่ที่ควรจะเจ็บ
🧐นี้คือ “เอ๊ะแรก” ที่เกิดขึ้นแล้ว แต่เราจะลิสต์ส่วนนี้เอาไว้ก่อนนะคะ
→ ดังนั้นจากการตรวจ นี้ไม่ใช่อาการของ Bicep tendinopathy ❌

2️⃣Subacromial impingement syndrome (SIS)
→ ลักษณะเด่นอาการนี้คือ จะเจ็บแค่ตอนกางแขนช่วง 60-120° เท่านั้น!!
แต่… เคสนี้เจ็บตอนกางแขน ตั้งแต่ 100° ขึ้นไปจนสุด → ความเป็นไปได้ว่านี้คือสาเหตุก็น้อยลงไป
🔹ตรวจยืนยันอาการ โดยจัดท่าให้ช่องว่างระหว่างข้อไหล่แคบลงแล้วขยับเอ็นรอบๆข้อไหล่
🔹ผล : ไม่พบสัญญาณของการกดทับใดๆ
→ จากการตรวจยืนยัน นี้ไม่ใช่อาการของ SIS ❌

เมื่อ… ให้ต้านแรงขณะกางแขน จุดที่ควรจะรู้สึกเจ็บคือ “ด้านล่างของสะบัก”
แต่!! พบว่ามีอาการปวดบริเวณของ “ไหล่ด้านหลัง” แทน
( 🧐และนี้เป็นอีก “เอ๊ะ” ที่เราจะลิสต์เอาไว้)

3️⃣Shoulder muscle imbalance
→ ภาวะที่ลำดับการทำงานและหน้าที่ของกล้ามเนื้อรอบหัวไหล่สับสนและผิดเพี้ยนไปจากเดิม
🔹เมื่อทดสอบ ด้วยเทคนิคเฉพาะNeuromuscular Integration
🔹ผล : พบว่า กล้ามเนื้อทำงาน ผิดหน้าที่จนบาดเจ็บ
⚠️ ดังนั้น!! นี้คือสาเหตุที่แท้จริงของเคสนี้ ที่ตำรวจคนนี้ ที่กำลังเผชิญอยู่ ✅

ตอนนี้ทุกคนยังตาม กภ.คิตตี้ ทันกันอยู่นะคะ
อีกนิดหนึ่งคะ เราจะมาขยาย Shoulder muscle imbalance กัน

🔍วิเคราะห์จากจุดที่เราลิสต์ไว้เมื่อกี้ เราพบว่า…

🟡ลิสต์ที่ 1
➡️โดยปกติ “ไหล่ด้านข้าง”→ จะทำหน้าที่ :กางแขน
➡️และปกติ “ต้นแขน”→ ทำหน้าที่ :ยกแขนไปด้านหน้า
➡️ การที่ร่างกาย ยกแขนไปข้างหน้า แต่ใช้กล้ามเนื้อ"ไหล่ด้านข้าง" แทนจึงเป็นจุดที่ทำให้บาดเจ็บ

⚠️ ถ้าใช้กล้ามเนื้อผิดแบบนี้ซ้ำๆ เป็นเวลานาน
มันจะทำให้เกิด “ความเคยชินที่ผิด”
ยิ่งถ้าใช้งานร่างกายหนักด้วยความเคยชินที่ผิด เป็นเวลานาน → “ไหล่ด้านข้าง” ถูกใช้งานเกินหน้าที่ → จะล้า → เกิดการบาดเจ็บสะสม

💢 นี่จึงเป็นเหตุผลที่อาการในเคสนี้ ไม่หายสนิทสักที
เพราะนี้ไม่ใช่ “การบาดเจ็บเรื้องรัง”แบบเดิมๆ
แต่เป็น “การบาดเจ็บใหม่ซ้ำๆ ที่จุดเดิม” วนไปเรื่อยๆ
- “บาดเจ็บเก่ายังไม่ทันหาย บาดเจ็บใหม่ก็เกิดขึ้นอีกแล้ว”

🪫ในส่วนของ “ต้นแขน” ที่ถูกลดการใช้งาน ก็จะอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนกลายเป็น “จุดอ่อน” ที่ร่างกายไม่เลือกมาใช้งานอีกต่อไป

🔍สถานการณ์นี้ยังเกิดในทิศทางเดียวกันกับ

🟡ลิสต์ที่2 คือ
➡️โดยปกติ "ไหล่ด้านหลัง" →จะทำหน้าที่ :ยื่นแขนไปด้านหลัง
➡️และ"สะบักด้านล่าง" → จะทำหน้าที่ ส่งสะบักออกเพื่อ “กางแขน”
➡️แต่ร่างกายใช้ “ไหล่ด้านหลัง” แทนเมื่อกางแขน ซึ่งผิด

สรุปค่ะ สรุป! ก่อนที่จะงงกันไปมากกว่านี้
🤝กล้ามเนื้อมักทำงานกันเป็นกลุ่มค่ะ 🤝
การยกแขน1ครั้ง มีหลายกล้ามเนื้อมากๆช่วยกันทำ
แต่ละตัวก็มี “ความสามารถเฉพาะ” ที่แตกต่างกันไป

🚑การรักษาจึงต้องเข้าใจธรรมชาติของกล้ามเนื้อว่า “ตัวไหนทำงานเมื่อไร และในองศาไหน”
จึงจะหา “ต้นเหตุ” ที่แท้จริงได้
เพราะร่างกายเราไม่ใช่เครื่องจักรค่ะ ที่เสียที่ไหนซ่อมที่นั้น หรือซ่อมตามที่เขียนในตำราแป๊ะๆ

🤔ปัญหาเคสนี้ แก้ไม่ยากเลยค่ะ แค่เราต้องเข้าใจและปรับที่ “ต้นเหตุ”
ซึ่งถ้าเราไม่เข้าใจ แล้วไปเน้นแก้แต่อาการเจ็บปลายทาง😔 ปัญหานี้ก็จะไม่มีวันหาย

🧠แผนการรักษาแบบ Advance
เราจะ “รีเซ็ตระบบ” การทำงานของกล้ามเนื้อใหม่ทั้งหมด → ให้สร้างความเคยชินในการเลือกหยิบกล้ามเนื้อที่ถูกต้องออกมา

1️⃣หยุดกล้ามเนื้อที่ทำงานผิดพลาด
→ ใช้ shockwave คลายตัวของ scar tissue
→ ใช้เทคนิคการคลาย Fascia ผ่าน Blade

2️⃣เสริมกำลังกล้ามเนื้อที่ถูกลดการทำงาน
→ ฝึกด้วยท่าเฉพาะ เพื่อกระตุ้นให้กล้ามเนื้อกลับมาทำหน้าที่หลักของมัน

3️⃣ฝึกการทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อทั้งกลุ่ม
→ ป้องกันการ “ใช้งานผิด” ในอนาคตอีก
→ ให้กล้ามเนื้อทำงานร่วมกันได้ราบรื่นในทุกองศาการเคลื่อนไหว

👮‍♂️ตลอด10ปีที่มีอาการ ตำรวจคนนี้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ....รับรู้ได้จากบาดแผลและมัดกล้ามเนื้อที่เห็น ก็รู้ว่าคนร้ายคงจะไม่เหลือสภาพดีๆเข้าคุก😆 — ภาพในหัวคือ “The Rock วิ่งไล่จับคนร้าย” แน่นอน
➡️ แต่เมื่อร่างกาย “เคยชินกับการใช้งานแบบผิดๆ” มาตลอด อาการจึงยืดเยื้อมาถึง 10 ปี
➡️ถ้าไม่รีบสร้าง “ความเคยชินใหม่” ในการเรียกใช้งานกล้ามเนื้อที่ถูกต้องขึ้นมา อาการปวดก็จะวนกลับมาเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด😱

✅ ผลลัพธ์การกายภาพบำบัด
ภายใน 2 สัปดาห์ → อาการเจ็บไหล่ที่อยู่มานานกว่า 10 ปี ลดลงจนแทบไม่เหลือ
💬 คนไข้ถึงกับแซวว่าเหมือนโดนเปลี่ยน “ไหล่ใหม่”
💪 กลับมาเคลื่อนไหวแขนได้อย่างมั่นใจ และไม่กลัวการใช้งานหนักอีกต่อไป

📍บทเรียนจากเคสนี้

→ การรักษาที่ได้ผล เราจะไม่ได้มองแค่ ‘จุดที่เจ็บ หรือ ปลายเหตุ‘ แต่เรามองทั้งระบบการทำงานของร่างกาย เข้าใจธรรมชาติการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อทุกตัว และตรวจพิสูจน์ จนเจอต้นเหตุของปัญหาจริงๆ …จึงปิดเคสที่เรื้อรัง 10ปีได้ในเพียง2สัปดาห์🙏
→ อาการเรื้อรังหลายปี ไม่ได้แปลว่ารักษาไม่ได้
→ บางครั้งต้นเหตุไม่ได้อยู่ที่จุดที่เจ็บ แต่เป็นที่ “ระบบการทำงานของร่างกายที่บิดเบี้ยวไปจากเดิม”
→ ถ้าไม่แก้ที่ระบบ อาการก็จะกลับมาซ้ำ ๆ ไม่ว่าคุณจะรักษากี่ครั้ง

07/08/2025
🏋️‍♂️ Train to Failure: ดีจริง หรือ มากเกินไป?หลายคนยกเวทจนสั่น ยกจนหน้าเบี้ยว ยกจนหมดแรง เพราะคำว่า“Train to Failure = ...
03/08/2025

🏋️‍♂️ Train to Failure: ดีจริง หรือ มากเกินไป?

หลายคนยกเวทจนสั่น ยกจนหน้าเบี้ยว ยกจนหมดแรง เพราะคำว่า

“Train to Failure = กล้ามโตไว!”

แต่...มันจริงแค่ไหน? แล้วเราควรยกให้สุดทุกเซ็ตจริงหรือเปล่า?

มาทำความเข้าใจกันครับ 💡

⚡️ “Train to Failure” คืออะไร?

คือการฝึก จนไม่สามารถทำซ้ำได้อีกแม้แต่ครั้งเดียว
พูดง่ายๆ คือ “ยกจนแทบไม่เหลือแรง” ไม่ว่าจะฝืนแค่ไหนก็ยกไม่ขึ้น

หลายคนใช้วิธีนี้เพราะเชื่อว่า
“ยิ่งหมดแรง = ยิ่งกระตุ้นกล้ามเนื้อ”

แต่ความจริงแล้ว...มันมีจุดที่ ไม่ควรข้าม

🧠 ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จัก “Neural Fatigue”

เป็นอาการที่ระบบประสาทเริ่มล้า
เกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อถูกใช้งานอย่างหนักจนใกล้เต็มที่

อาการที่สังเกตได้:

❗️กล้ามเนื้อเริ่ม สั่น

❗️เริ่ม โฟกัสกล้ามเนื้อไม่ได้

❗️ร่างกาย เริ่มไม่ไปตามที่สั่ง

และถ้ายังฝืนต่อ…
จะเข้าสู่กับดักที่เรียกว่า👇

⚠️ “Compensation” = จุดที่ไม่ควรไปต่อ

Compensation คือร่างกายหาวิธี "โกง" ท่า
โดยใช้กล้ามเนื้ออื่นช่วยงานแทน

เช่น:

❗️ยักไหล่ตอนทำ biceps curl หรือ

❗️เหวี่ยงตัวเพื่อสร้างแรงช่วยยก

ผลลัพธ์คือ:
❌ โฟกัสกล้ามเนื้อไม่ได้
❌ ฟอร์มเสีย
❌ เสี่ยงบาดเจ็บระยะยาว

✅ แล้วเราควรทำยังไง?

Train to Failure ได้!
แต่ควรหยุด ก่อนจะควบคุมกล้ามเนื้อไม่ได้

📌 ให้ถึงจุดที่ “กล้ามเริ่มล้า แต่ยังควบคุมฟอร์มได้”
📌 โฟกัสให้กล้ามเนื้อนั้นๆทำงานจริง
📌 หยุดทันทีเมื่อเริ่มใช้แรงช่วยจากส่วนอื่น

🔑 ดังนั้น:

Train to Failure ช่วยพัฒนาได้จริง
ถ้าเรารู้ว่า “เมื่อไหร่ควรพอ”

อย่าฝืนเพียงเพื่อไปถึงคำว่า "Failure"
เพราะเป้าหมายคือ กล้ามโต ไม่ใช่ เจ็บตัว

🏃‍♂️💨 นักวิ่งต้องอ่าน! เจ็บแล้วฟื้นยังไงให้กลับมาวิ่งได้แรงกว่าเดิมนักวิ่งต้องรู้! เข้าใจ 3 ระยะซ่อมเนื้อเยื่อ + 4 Phase...
26/07/2025

🏃‍♂️💨 นักวิ่งต้องอ่าน! เจ็บแล้วฟื้นยังไงให้กลับมาวิ่งได้แรงกว่าเดิม

นักวิ่งต้องรู้! เข้าใจ 3 ระยะซ่อมเนื้อเยื่อ + 4 Phase ฟื้นฟู จะได้ไม่เจ็บซ้ำ!

เคยมั้ย? เจ็บกล้ามเนื้อ พัก 2 อาทิตย์ กลับมาวิ่ง 5 โล… เจ็บอีก!
ทำไมถึงเป็นแบบนี้? เพราะบางคน พักถูก แต่ฟื้นฟูไม่ครบ!

จริงๆ แล้ว ร่างกายเรามี ระบบซ่อมแซมอัจฉริยะ
แต่ต้องเดินคู่กับ โปรแกรมฟื้นฟู (Rehab) ให้ถูกช่วง ไม่งั้นพังซ้ำ!

⚙️ ซ่อม 3 ระยะ ทำงานคู่กับ ฟื้นฟู 4 เฟส

มาดูกันว่า ระหว่างร่างกายซ่อมไป นักกายภาพฯ จะให้โปรแกรมฟื้นฟูยังไง

1️⃣ Inflammatory Phase 🩹

ร่างกาย: บาดเจ็บปุ๊บ เม็ดเลือดขาวจัดเต็ม! เกิดอาการ ปวด บวม แดง ร้อน เพราะร่างกายกำลังเคลียร์ของเสีย ซ่อมจุดเจ็บ

ฟื้นฟูคู่กัน: Phase 1 — Protection
🏥 เน้น พัก + ลดอักเสบ เช่น ประคบเย็น พันเทปล็อกข้อ ช่วยให้แผลซ่อมได้เร็วขึ้น ไม่บวมเพิ่ม
👉 วิ่งฝืนตอนนี้ = ยิ่งพัง!

2️⃣ Proliferative Phase 🧵

ร่างกาย: เริ่มสร้างใยคอลลาเจนแบบนิ่มๆ (Collagen Type III) เป็น สะพานเชื่อมเนื้อเยื่อใหม่ ยืดหยุ่นดี แต่ถ้าไม่ขยับเลย จะยึดแข็งเป็นพังผืด!

ฟื้นฟูคู่กัน: Phase 2 — Subacute (Active)
🤸‍♀️ เริ่ม ขยับเบาๆ ฝึกช่วงการเคลื่อนไหว ยืดเส้นเบาๆ ให้เนื้อเยื่อใหม่จัดตัวดี ไม่ยึด ไม่ติดข้อ
👉 ขยับน้อยไป = ข้อติด
👉 ขยับเยอะไป = เจ็บซ้ำ ต้องพอดี!

3️⃣ Remodeling Phase 🦾

ร่างกาย: Collagen Type III จะเปลี่ยนเป็น Collagen Type I แข็งแรง ทนแรงดึง แรงกดได้มากขึ้น

ฟื้นฟูคู่กัน:
• Phase 3 — Chronic (Resistive) 💪 เริ่มฝึกแรงต้าน ฝึก balance ยกของเบาๆ เพื่อให้เนื้อเยื่อใหม่รับแรงจริงได้
• Phase 4 — Advance (Return to Sport) 🏃‍♂️✨ ฟื้นตัวจนใกล้ 100% แล้ว ต้อง ฝึกท่าเฉพาะ เช่น Plyometric, Agility Drill, ฝึกสปีด ฝึกระเบิดพลัง เพื่อให้กลับไปวิ่งได้เต็มสปีด ปลอดภัย ไม่เจ็บซ้ำ

🎯 สรุปให้จำง่าย

✅ ระยะซ่อม 1 → ฟื้นฟูเฟส 1 = ปกป้อง ลดอักเสบ
✅ ระยะซ่อม 2 → ฟื้นฟูเฟส 2 = ขยับเบาๆ ไม่ให้ยึด
✅ ระยะซ่อม 3 → ฟื้นฟูเฟส 3-4 = ฝึกแรง ฝึกสมดุล ฝึกท่าเฉพาะ และจบที่ไปวิ่ง!!

📌 “เจ็บเมื่อไหร่ พักให้ถูก ฟื้นให้ครบ แล้วเจอกันที่เส้นชัยนะครับ!”

สำหรับท่านใดที่“อยากฟื้นฟูอาการบาดเจ็บจากกีฬา”
ปรึกษาพวกเราบ้านใจอารีย์ได้เลย 🙌
บ้านใจอารีย์คลินิกกายภาพบำบัด (JR Physio) สาขาเยาวราช
⏰ เปิดทุกวัน (ปิดวันอังคาร)
📞 080-425-9900
💬 Line: .cn

🔥 “ขาชา ปวดร้าว = หมอนรองกระดูกปลิ้น?” ใจเย็นๆ อย่าพึ่งรีบสรุป เพราะถ้ารักษาผิดที่ นอกจากไม่หายแล้ว ยังจะไปรบกวนกระดูกสั...
24/07/2025

🔥 “ขาชา ปวดร้าว = หมอนรองกระดูกปลิ้น?”
ใจเย็นๆ อย่าพึ่งรีบสรุป เพราะถ้ารักษาผิดที่ นอกจากไม่หายแล้ว ยังจะไปรบกวนกระดูกสันหลังโดยไม่จำเป็นอีก

วันนี้ กภ.คิตตี้ กลับมาพร้อมกับ 1 ในอาการที่โดนเป็น “ผู้ร้าย” ทุกครั้งที่มีอาการชาร้าวลงขา
ซึ่งทำให้เกิดการเข้าใจผิดบ่อยครั้งมาก

👩‍🦳 ย้อนไป 2 ปีก่อน คุณแม่วัย 64 ปี เคยมารักษาปัญหาหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้น กับ กภ.คิตตี้ รักษากันจนหายดีแล้ว 👍
แต่วันนี้ลูกชายพาแม่กลับมารักษาอีกครั้งเนื่องจาก

😱 คุณแม่ชาที่น่องข้างซ้ายตลอดเวลา
😣 พร้อมปวดร้าวก้นลงไปที่ขามากขึ้นเมื่อต้องเดิน ทำให้คุณแม่เลือกที่จะนั่ง ไม่ยอมเดิน
🛌 และเวลาพลิกตัวไปตะแคงด้านซ้ายจะรู้สึกเหมือนมีก้อนๆ อะไรดันกระดูก

ลูกชายจึงรีบนัดคิวให้คุณแม่เพราะกลัวว่าอาการจะเป็นหนักเหมือนครั้งก่อนอีก
💭 หลายคนพอได้ยินว่า “ขาชา ปวดร้าว”
จะนึกทันทีว่า “หมอนรองกระดูกกลับมาเป็นอีกแน่ๆ!”

แต่… “ใจเย็นๆ อย่าพึ่งด่วนสรุปแบบนั้น”

🩺 และอย่างที่กภ.คาด หลังตรวจอย่างละเอียด กลับพบว่า “ไม่ใช่อาการของหลังเลย!”


🔍 จุดที่ทำให้กภ.รู้สึก ‘เอ๊ะ’ ว่ามันไม่ใช่หมอนรองกระดูกปลิ้น
มีอยู่ 3 เอ๊ะหลักๆ

🤔 เอ๊ะที่ 1 คือลักษณะการชา
โดยปกติการชาจากหมอนรองกระดูกมักจะทำให้เกิดการชาตาม dermatome
พูดให้เห็นภาพง่ายๆ คือ ชาต่อเนื่องยาวตามแนวเส้นประสาท
👉👉👉 แต่อาการของคุณแม่คือกระโดดมาชาแค่น่องซ้ายอย่างเดียว โดยไม่มีอาการชาที่หลังหรือต้นขาเลย

🤔 เอ๊ะที่ 2 ที่ได้จากการตรวจร่างกายด้วยวิธี SLR test
โดยการให้คุณแม่นอนหงาย และยกขาขึ้นมาตรงๆ
👉👉👉 ผลลัพธ์: คุณแม่ยกขาตรงได้ถึง 90° โดยไม่มีอาการปวดหลัง
(ถ้ามีหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทจริงๆ แค่ 30° ก็จะเริ่มปวดร้าวจากหลังลงมาขาแล้ว)

🤔 เอ๊ะที่ 3 ลองกระดกเท้าร่วมกับยกขาขึ้นสูง
👉👉👉 พบว่าคุณแม่ปวดร้าวเฉพาะก้น → ต้นขา และชาน่องมากขึ้น
ซึ่งแสดงถึงการตึงตัวมากของเส้นประสาทที่เลี้ยงขา


🧠 ทุกคนทราบไหมคะว่าเส้นประสาทก็สามารถตึงได้เหมือนกับกล้ามเนื้อ ถ้ามีการใช้งานเรื่อยๆ
📡 เส้นประสาทนั้นทำงานเหมือนเป็นสายสัญญาณที่จะส่งคำสั่งไปที่กล้ามเนื้อให้เราขยับและรับรู้ความรู้สึก
🚫 เมื่อมีบางอย่างไปกดหรือเส้นประสาทเองที่ตึงเกิน จะทำให้การส่งสัญญาณประสาทได้ยาก จนเกิดอาการอ่อนแรงและชาได้

✅ หลังจากตรวจคัดกรองอาการหมอนรองกระดูกจนมั่นใจว่าไม่ได้มีอาการจากส่วนนั้นแล้ว
คราวนี้เราต้องมาหาจุดที่ทำให้เกิดการกดทับของเส้นประสาทกัน


🔎 เริ่มจากให้คนไข้ยืนก้มตัวไปด้านหน้าเท่าที่ไหว
พบว่าก้มได้แค่มือแตะเข่า ก็มีอาการปวดก้นร้าวลงต้นขา และชาขึ้น
….บ่งบอกถึงความเป็นไปได้จากการตึงของกล้ามเนื้อ 3 ตัว
1️⃣ กล้ามเนื้อก้น (piriformis)
2️⃣ กล้ามเนื้อต้นขาหลัง (hamstring)
3️⃣ กล้ามเนื้อหลังเข่า (popliteal)

💥 หลังจากตรวจการตึงตัวแต่ละกล้ามเนื้อในท่าเฉพาะ พบว่า
กล้ามเนื้อที่ตึงแล้วมีอาการชามากขึ้นคือ กล้ามเนื้อข้อที่ 1 และ 2
ซึ่ง 2 ตัวนี้แหละคือ “ตัวร้ายที่แท้จริง” ของอาการทั้งหมด


💡 การรักษาคราวนี้เราจะโฟกัส 2 อย่าง
1️⃣ โฟกัสการจัดการกล้ามเนื้อ
• ด้วยการใช้ Ultrasound
• นวดเพื่อคลายกล้ามเนื้อเฉพาะจุดที่ยังตึงเยอะอยู่
• และในขณะที่กล้ามเนื้อเริ่มคลายแล้ว เราจะใช้เทคนิคการยืดแบบลึก เพื่อให้คลายมากที่สุด

2️⃣ โฟกัสการทำให้เส้นประสาทกลับมาส่งสัญญาณได้ดี
• โดยการออกกำลังเส้นประสาทท่าเฉพาะ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นแก่เส้นประสาทมากขึ้น
• ร่วมกับใช้กระแสไฟฟ้าเพื่อกระตุ้นเส้นประสาทเพื่อฟื้นฟูการทำงานของระบบประสาท

⚠️ (ซึ่งวิธีการรักษาจะต่างจากการรักษาหมอนรองกระดูกอย่างสิ้นเชิง)


✅ หลังการรักษาเสร็จทันที พบว่า….
🔹 อาการชาลดลงกว่า 50%
🔹 เดินสบายขึ้น ไม่ปวดรั้ง
🔹 พลิกตัวได้โดยไม่เจอก้อนดัน
🔹 ก้มตัวได้ดีขึ้นชัดเจน! โดยมือสามารถยื่นไปถึงหน้าแข้ง โดยมีอาการตึงที่ขาเล็กน้อย

📆 และเมื่อทำต่อเนื่อง 5 สัปดาห์ พร้อมทำท่าบริหารที่บ้าน
📉 อาการชาลดลงเกือบหมด สามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้เลย


📌 บทเรียนจากเคสนี้…
“อาการชาขา” ไม่ได้แปลว่าต้องเป็นหมอนรองกระดูกเสมอไป
❗ ถ้ารีบวินิจฉัยผิด อาจทำให้รักษาผิดทาง
🎯 ตรวจให้แน่ รักษาให้ตรง คือสิ่งที่ทำให้ผลลัพธ์เร็วขึ้น!


🤔 ถ้าใครมีอาการแบบนี้
หรือสงสัยว่าตนเองชามาจากสาเหตุอะไร
สามารถทักเข้ามาปรึกษาได้เลยนะคะ ❤️

✨  หนึ่งในเหตุผลที่เราสามารถพัฒนาทีมนักกายภาพของเราได้อย่างต่อเนื่อง 💪เพราะที่นี่ไม่ได้เพียงดูแลคนไข้ แต่ยังเป็นส่วนหนึ่...
16/07/2025

✨ หนึ่งในเหตุผลที่เราสามารถพัฒนาทีมนักกายภาพของเราได้อย่างต่อเนื่อง 💪
เพราะที่นี่ไม่ได้เพียงดูแลคนไข้ แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยถ่ายทอดแลกเปลี่ยนแนวทางการรักษากับเพื่อนนักกายภาพบำบัดท่านอื่นอยู่เสมอ 🤝

นั่นจึงทำให้มาตรฐานการดูแลของเรา 🩺 อ้างอิงข้อมูลและแนวทางล่าสุด 📚 ที่พร้อมจะปรับให้เหมาะกับแต่ละคนไข้
เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเมื่อเข้ามารักษากับเราค่ะ 💙

13/07/2025
สวัสดีครับทุกท่าน 🙏หลายๆ คนคงเคยเจอ “อาการปวดคอ บ่า ไหล่” แวะมาทักทายกันบ่อยๆใช่ไหมครับ 😅 บางทีก็ปวดจนอยากจะถอดหัวออกไปก...
12/07/2025

สวัสดีครับทุกท่าน 🙏หลายๆ คนคงเคยเจอ “อาการปวดคอ บ่า ไหล่” แวะมาทักทายกันบ่อยๆใช่ไหมครับ 😅 บางทีก็ปวดจนอยากจะถอดหัวออกไปกันเลยทีเดียว

วันนี้ผมจะพามาทำความรู้จักกันให้ชัดเจน ว่า… ปวดคอแบบไหนกันแน่ที่กำลังรบกวนเราอยู่
จริงๆ แล้วอาการปวดคอแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ตาม Guideline Neck Pain Revision 2017
จาก Journal of Orthopaedic and Sports Physical Therapy

มาเริ่มสังเกตกันเลยครับ 🧐

---

😢 Neck pain with mobility deficits

(หันได้ไม่สุด และช่วงท้ายจะมีอาการปวด)

อาการที่มักจะเจอ:
✅ ปวดตรงกลางแนวกระดูกคอ หรือข้างลำคอ
✅ หัน ซ้าย-ขวา หรือก้ม-เงย แล้วเจ็บจี๊ดขึ้นมา
✅ บางคนปวดร้าวลงไปบ่าด้วย (เรียกว่า referred pain)

พูดง่ายๆ:
หันคอแล้วไปไม่สุด และช่วงท้ายจะมีอาการปวด 😖

---

😵 Neck pain with movement coordination impairment (WAD)

(ปวดคอจากการสะบัดแรงๆ หรืออุบัติเหตุ เช่น รถชน)

อาการที่มักจะเจอ:
✅ มักเกิดหลังอุบัติเหตุ หรือคอถูกสะบัดแรง (whiplash)
✅ ปวดร้าวลงบ่า หรือไปตามแขน
✅ เวียนหัว คลื่นไส้ ปวดหัว
✅ จ้องอะไรนานๆ แล้วปวดหัว ความจำแอบรวน
✅ ไวต่อแสง เสียง กลิ่น อุณหภูมิ (กระตุ้นอาการได้ง่าย)

พูดง่ายๆ:
เหมือนโดน “เหวี่ยง กระชาก” ทั้งคอทั้งหัวไปจนเจ็บตลอดเวลา 🤯

---

🫨 Neck pain with headache (Cervicogenic)

(ปวดคอร้าวไปปวดหัว)

อาการที่มักจะเจอ:
✅ ปวดคอร้าวถึงหัวข้างเดียว เป็นๆ หายๆ
✅ ขยับคอทีไร หรืออยู่ท่าเดิมนานๆ อาการกำเริบ

พูดง่ายๆ:
คือปวดตื้อๆ ขึ้นหัว เหมือนเวลาดูดน้ำปั่นทีเดียวรวด แล้วปวดขึ้นหัว หรือกระบอกกันเลยทีเดียว🧊😵‍💫

---

🫥 Neck pain with radiating pain (Radicular)

(ปวดคอแล้วมีอาการชาลามไปแขน)

อาการที่มักจะเจอ:
✅ ปวดคอ บวกกับชา ปวดร้าวลงไปแขน หรือปลายนิ้ว
✅ รู้สึกเหมือนไฟฟ้าช็อต หรือแปล๊บๆ ตามแนวเส้นประสาท (Dermatome)
✅ บางคนแขนอ่อนแรง (Myotome)

พูดง่ายๆ:
คอไม่ใช่แค่ปวด แต่ส่ง “คลื่นความชาช็อต” ลงมาแขนด้วย ⚡

---

📌 สรุป

การแบ่งประเภทนี้ จะช่วยให้เรา
🎯 วินิจฉัยได้ตรงจุด
🎯 รักษาถูกวิธี
🎯 ปฏิบัติตัวได้เหมาะกับอาการของเรา

ถ้าใครอ่านแล้วสงสัยว่า “ฉันเป็นประเภทไหนนะ?”
ไม่ต้องกังวลครับ ลองจดอาการไว้แล้วปรึกษาพวกเราบ้านใจอารีย์ได้เลย 🙌
บ้านใจอารีย์คลินิกกายภาพบำบัด (JR Physio) สาขาเยาวราช
⏰ เปิดทุกวัน (ปิดวันอังคาร)
📞 080-425-9900
💬 Line: .cn

อย่าปล่อยให้คอปวดจนกลายเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่อยากคบกันนะครับ 😉

⚠️ ปวดคอ ปวดสะบัก ปวดหลัง จากการ “แบกเป้ขึ้นรถไฟฟ้า” 🚝🙏🏻 สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมาเล่า 1 ในเคสคนไข้ชาวอังกฤษที่ กภ.คิตตี้ ...
10/07/2025

⚠️ ปวดคอ ปวดสะบัก ปวดหลัง จากการ “แบกเป้ขึ้นรถไฟฟ้า” 🚝
🙏🏻 สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมาเล่า 1 ในเคสคนไข้ชาวอังกฤษที่ กภ.คิตตี้ ดูแลจนจบ
จากกิจวัตรประจำวันที่ใคร ๆ ก็คิดว่าไม่น่ามีปัญหา… แต่เป็นปัญหาที่พบบ่อยมาก! และเป็นปัญหาใหญ่ของคนเมือง
โดยเฉพาะสายออฟฟิศที่ต้องพึ่งรถไฟฟ้าทุกวัน 🚉

🧑‍💼 คนไข้ : ชาย อังกฤษ อายุ 31 ปี
ทำงานออฟฟิศ นั่งหน้าคอมนานหลายชั่วโมงต่อวัน

🚝 ชีวิตประจำวันคือ
👉 เดินทางไป-กลับออฟฟิศ 28 สถานี ทุกวัน
👉 แบกเป้ 3-4 กิโล ทั้งเช้าและเย็น
👉 เดิน เปลี่ยนชานชาลา ต่อบันไดเลื่อน …เป็นกิจวัตร
ทีแรกใคร ๆ ก็คิดว่า “ก็แบกเป้เอง ไม่น่าเป็นปัญหาอะไร”
แต่พอเป็น ทุกวัน + นั่งนาน + เดินไกล + น้ำหนักกดลงหลัง-คอเรื่อย ๆ
มันก็ค่อย ๆ สะสม → จนเกิดอาการเรื้อรังไม่รู้ตัวเลย

📍 ตามธรรมชาติ ร่างกายเราจะกระจายน้ำหนักด้านหน้า-หลัง ค่อนข้างสมดุลกันอยู่แล้ว
แต่พอมี น้ำหนักจากกระเป๋าเป้เพิ่มด้านหลัง
→ ร่างกายจะต้อง ก้ม โค้งมาด้านหน้า เพื่อสร้างสมดุลใหม่
😱 ซึ่งนี่แหละ… ที่ทำให้เกิดปัญหาตามมา!

🔥 จุดที่มักเกิดปัญหา
✅ คอยื่นไปข้างหน้า (FHP) → ปวดตึงบริเวณหลังคอ
✅ ไหล่โค้งงุ้ม (Round shoulder) → กล้ามเนื้อระหว่างสะบักโดนดึงยืด เจ็บเรื้อรัง
✅ หลัง & เอวรับน้ำหนักมากเกินไป → เกร็งตึง เสี่ยงบาดเจ็บกระดูกสันหลัง
✅ เข่าแบกรับน้ำหนักเพิ่มขึ้น → เสื่อมไวขึ้น

🔎 จากการประเมินพบว่า… คนไข้เคสนี้
🔴 มีภาวะ FHP
→ ทำให้กระดูกคอเรียงตัวยื่นยาวออก จนไม่สามารถเงยคอได้สุด และกระดูกคออัดเข้าหากันจนปวด

🔴 มีภาวะ Round shoulder อย่างชัดเจน
→ ทำให้สะบักโดนดึงให้แยกออกจากกัน และกล้ามเนื้อระหว่างสะบัก ต้องเกร็งเยอะขึ้นเพื่อคงตำแหน่งของสะบักไว้ พร้อมโดนกระชากไปด้วยในเวลาเดียวกัน

🔴 มีอาการปวดหลังส่วนล่าง บางวันร้าวลงก้น
→ มีช่วงที่ต้องนั่งพักเพราะปวด / ชา หลังจากยืนบนรถไฟฟ้านาน

🩺 แนวทางรักษา & การปรับตัว
สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดในเคสนี้คือ…
อยากให้คนไข้นั่ง 🪑 เพื่อพักหลังบ้าง ระหว่างทาง
แต่คนไข้ตอบกลับแบบมั่นใจสุด ๆ ว่า
“ไม่ยอม! ผมจะไม่นั่งรถไฟฟ้าเด็ดขาด!”
พร้อมเหตุผลแมนๆ ว่า. ถึงจะปวดหลังแค่ไหน แต่จะให้นั่งแล้วปล่อยให้ผู้หญิงคนอื่นยืนอยู่…มันไม่ได้!

🧠 พอได้โจทย์นี้มา เราก็ยิ้มในใจ บอกเลยว่า
“โอเคค่ะ ถ้าคนไข้จะ gentleman ขนาดนี้ เราก็จะซัพพอร์ตให้เต็มที่!”
เลยต้องปรับแผนการรักษาใหม่
เพื่อให้ร่างกายพร้อมแบกภารกิจความเป็นสุภาพบุรุษ
ได้อย่างมั่นใจ และไม่ต้องทนปวดหลังไปด้วยค่ะ 😊

โดยเราเน้น 3 เรื่องสำคัญเลยคือ
1️⃣ จัดการกล้ามเนื้อและข้อต่อที่มีการเปลี่ยนแปลง
🔸️ ใช้อุปกรณ์ IASTM
→ คลายที่กล้ามเนื้อที่พยายามจะทำงานมากเกินไป… ทำให้อาการปวดลดน้อยลง และเงยคอได้มากขึ้น

🔸️ ใช้ joint mobilization
→ จัดเรียงกระดูกคอ และสะบักให้อยู่ในจุดที่ควรจะอยู่ ทำให้กล้ามเนื้อโดนกระชากน้อยลง

2️⃣ ตามหากล้ามเนื้อที่จำเป็นต้องทำงานหนักขึ้น (แต่มันเองยังไม่พร้อม)
กภ.เข้าใจค่ะว่า เราคงเลี่ยงการเดินทางไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้กล้ามเนื้อ “พร้อมแบกภาระ” เอง โดยจะกระตุ้นกล้ามเนื้อ
🔸️ Deep neck flexor กล้ามเนื้อคอมัดลึก
: มาช่วยทำให้ดึงคอกลับมาไม่ให้ยื่นไปด้านหน้า

🔸️ Mid trapezius กล้ามเนื้อตัวใหญ่ที่คลุมสะบัก
: ช่วยดึงสะบักให้กลับมา และทำให้กล้ามเนื้อเล็ก ๆ ระหว่างสะบักไม่ต้องโดนกระชาก

🔸️ Core muscle
: ช่วยซับแรงที่ลงมากระทำต่อกระดูกสันหลัง ทำให้เส้นประสาทภายในไม่ถูกกดทับ

3️⃣ ปรับพฤติกรรมเพื่อลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ
🔸️ ย้ายจุดวางเป้ เช่น วางไว้ระหว่างขาตอนยืนบนรถไฟฟ้านาน ๆ หรือสลับมาสะพายข้างหน้าแทน
🔸️ หรือบางวันเปลี่ยนเป็นลากกระเป๋าล้อ ลดภาระที่หลัง (ถ้าเป็นไปได้)
🔸️ หรือเปลี่ยน position ท่ายืนนิด ๆ ก็ช่วยลดภาระหลังได้เยอะค่ะ เช่น ยืนสลับขาที่พักเท้า, หาที่พิง

✅ ผลลัพธ์หลัง 3 เดือน
🪑 เงยคอได้สุดช่วง และไม่มีอาการปวดระหว่างวัน
💪 สะพายเป้หนัก ๆ เดินทางได้โดยไม่ปวดสะบัก
🚶‍♂️ แบกเป้ยืนบนรถไฟฟ้าได้นานโดยไม่มีอาการปวด
(และยังอยู่ในฐานความตั้งใจเดิมของคนไข้ที่ว่า ผมจะไม่นั่งเก้าอี้รถไฟฟ้าเด็ดขาด)

💡 สำหรับคนทำงานออฟฟิศทุกคน
เข้าใจเลยค่ะ ว่าคนทำงาน นั่งรถไฟฟ้ากลับบ้าน 28 สถานี
บางวันก็เหนื่อยจนไม่อยากแม้แต่จะหยิบรีโมท ไม่ต้องพูดถึงออกกำลังเลย 😅
แต่ไม่เป็นไรค่ะ! จริง ๆ แล้ว ออกกำลังกายทำบ้าง ไม่ทำบ้างก็ได้ ขอแค่ ไม่ปล่อยให้ปวดแล้วฝืนใช้งานเรื่อย ๆ

💪 กลับมาเช็ก หรือมาคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเป็นระยะ
💪 จะได้เหมือนกับ “เอารถเข้าอู่เช็คสภาพ” ให้กล้ามเนื้อเราได้พักบ้าง

เผื่อครั้งหน้าขึ้นรถไฟฟ้าจะได้ยืนเท่ ๆ สวย ๆ
โดยไม่ต้องคอยลูบหลังตัวเองแล้วบ่นว่า “ปวดอีกแล้วนะเรา!” 😄

📞 ถ้าใครมีอาการแบบนี้
หรือสงสัยว่าท่าทาง/การสะพายเป้อาจเป็นสาเหตุ
ปรึกษาได้เลยนะคะ ❤️
บ้านใจอารีย์คลินิกกายภาพบำบัด (JR Physio) สาขาเยาวราช
⏰ เปิดทุกวัน (ปิดวันอังคาร)
📞 080-425-9900
💬 Line: .cn

07/07/2025

😊 Dr. W EP. 174: "ขาสั้นยาวไม่เท่ากัน... เรื่องใหญ่แค่ไหน? 🦵 ต้องแก้อะไรบ้าง? มาดูกัน!"

สวัสดีครับ! Dr. W กลับมาอีกครั้งครับ! เคยมีใครทักหรือรู้สึกด้วยตัวเองไหมครับว่าขาสองข้างของเราอาจจะยาวไม่เท่ากัน? ภาวะนี้เรียกว่า Leg Length Discrepancy (LLD) เป็นข้อกังวลที่พบบ่อยมากในผู้ที่มีอาการปวดหลัง, สะโพก, หรือเข่าเรื้อรัง และมักจะถูกเชื่อมโยงว่าเป็น "ผู้ร้าย" ที่ทำให้เกิดปัญหาเหล่านั้น วันนี้เราจะมาเจาะลึกกันว่าจริงๆ แล้วมันเป็นอย่างนั้นหรือไม่ครับ

🚨 อาการที่มักจะถูกเชื่อมโยงกับภาวะขาไม่เท่ากัน (Common Symptoms):

➡️ ปวดหลังส่วนล่าง (Lower back pain): เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดที่คนมักจะเชื่อมโยงกับ LLD เพราะร่างกายอาจพยายามปรับตัวโดยการเอียงกระดูกเชิงกรานหรือทำให้กระดูกสันหลังโค้ง ซึ่งอาจทำให้กล้ามเนื้อตึงตัวหรือข้อต่อรับแรงกดที่ผิดปกติ

➡️ รู้สึกว่าร่างกายไม่สมดุล (Feeling unbalanced): จุดศูนย์ถ่วงของร่างกายอาจจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทำให้เกิดความรู้สึกว่ายืนไม่เต็มเท้า หรือรู้สึกเอนเอียง

➡️ ปวดเข่า (Knee pain): ขาข้างที่ยาวกว่าอาจจะต้องรับแรงกระแทกมากกว่า ในขณะที่ขาข้างที่สั้นกว่าก็อาจจะมีชีวกลศาสตร์การเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งทั้งสองอย่างนี้สามารถนำไปสู่ปัญหาที่เข่าได้

➡️ ปวดขาหนีบ (Groin pain): มักจะเกี่ยวข้องกับแรงเค้นที่ข้อสะโพกหรือการตึงตัวของกล้ามเนื้อจากการปรับท่าทางชดเชย

➡️ ชอบยืนลงน้ำหนักที่ขาข้างใดข้างหนึ่ง (Preferring to stand on one leg): นี่เป็นได้ทั้งสาเหตุ (จากพฤติกรรม) และผลลัพธ์ (จากการที่ร่างกายพยายามหาท่าที่สบายที่สุดโดยไม่รู้ตัว)

➡️ เดินกะเผลก หรือปวดร้าวลงขา (Limping/Sciatica-like pain): หากมีความยาวต่างกันมากๆ อาจทำให้สังเกตเห็นการเดินกะเผลกได้ชัดเจน และการปรับตัวของเชิงกรานและหลังส่วนล่างก็อาจจะส่งผลกระทบต่อเส้นประสาทและทำให้เกิดอาการคล้าย Sciatica ได้

ก่อนที่เราจะไปไกลกว่านี้ เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าภาวะขาไม่เท่ากันนั้นมี 2 ประเภทหลักๆ ซึ่งมีสาเหตุและการจัดการที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงครับ:

➡️ 1. Functional LLD (ขาไม่เท่ากันที่เกิดจากการใช้งาน):

นี่คือประเภทที่ "พบบ่อยที่สุด" ครับ!

คืออะไร?: คือภาวะที่กระดูกขาทั้งสองข้างจริงๆ แล้ว "ยาวเท่ากัน" เมื่อวัดจากกระดูกโดยตรง แต่มีปัจจัยอื่นที่ทำให้ขาข้างหนึ่ง "ดูเหมือน (Apparent)" สั้นกว่าอีกข้างหนึ่งเมื่อเรายืนหรือนอน

สาเหตุโดยละเอียด:

ความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อ (Muscle Imbalance): นี่คือสาเหตุหลักเลยครับ เช่น กล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง (Quadratus Lumborum - QL) หรือกล้ามเนื้อสีข้างด้านหนึ่งตึงตัวมากเกินไป ก็จะ "ดึง" ให้กระดูกเชิงกรานข้างนั้นยกสูงขึ้น (Hip hike) ทำให้ขาข้างนั้นดูสั้นลง หรือในทางกลับกัน การที่กล้ามเนื้อก้น (Gluteus Medius) ข้างหนึ่งอ่อนแรง ก็อาจทำให้เชิงกรานฝั่งตรงข้ามตกต่ำลงเวลาเดิน ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เกิด Functional LLD ได้

การติดยึดของข้อต่อ (Joint Restriction): การที่ข้อต่อสะโพกหรือข้อต่อ SI (Sacroiliac joint) ข้างใดข้างหนึ่งติดขัด เคลื่อนไหวได้ไม่ดี ก็สามารถส่งผลให้การวางตัวของกระดูกเชิงกรานผิดปกติได้

พฤติกรรมการใช้งาน (Habits): การยืนลงน้ำหนักข้างเดียวบ่อยๆ, การนั่งไขว่ห้างเป็นประจำ, หรือการสะพายกระเป๋าหนักๆ ข้างเดียวเป็นเวลานาน

กลไกของเท้า (Foot Mechanics): การที่เท้าข้างหนึ่งมีภาวะเท้าแบน (Overpronation) มากกว่าอีกข้าง ก็สามารถทำให้ขาข้างนั้นยุบตัวลงและ "สั้น" กว่าอีกข้างในขณะที่รับน้ำหนักได้

การแก้ไข: ภาวะนี้ สามารถปรับแก้ได้ ด้วยกายภาพบำบัด โดยนักกายภาพบำบัดจะทำการประเมินเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของความไม่สมดุลนั้นๆ แล้วทำการรักษา เช่น การคลายกล้ามเนื้อที่ตึงตัว, การขยับข้อต่อที่ติดขัด, และที่สำคัญคือ การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อที่อ่อนแรง (เช่น Glutes, Core muscles) เพื่อให้โครงสร้างเชิงกรานกลับมาอยู่ในแนวที่สมดุลและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

➡️ 2. Structural LLD (ขาไม่เท่ากันจากโครงสร้างกระดูก):

นี่คือประเภทที่ "พบน้อยกว่ามาก" ครับ!

คืออะไร?: คือภาวะที่กระดูกต้นขา (Femur) และ/หรือกระดูกหน้าแข้ง (Tibia) ของขาข้างหนึ่ง "ยาวกว่า" อีกข้างหนึ่งจริงๆ เมื่อทำการวัดด้วยวิธีที่แม่นยำ

สาเหตุโดยละเอียด:

พัฒนาการ (Developmental): เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด คือเป็นแค่ความแตกต่างเล็กน้อยที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในระหว่างการเจริญเติบโต

หลังอุบัติเหตุ (Post-traumatic): การมีประวัติกระดูกหักในอดีต โดยเฉพาะในวัยเด็ก ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อแผ่นการเจริญเติบโตของกระดูก (Growth plate) หรือกระดูกที่หักติดกันในแนวที่สั้นลง

หลังการผ่าตัด (Post-surgical): เช่น หลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม (Total Hip Arthroplasty) อาจจะมีความยาวขาเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

จากโรคหรือภาวะอื่นๆ (Congenital/Pathological): โรคทางกระดูกบางชนิดที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโต

การปรับตัวของร่างกาย (Compensations): ร่างกายจะพยายามปรับตัวต่อความยาวขาที่ไม่เท่ากันนี้ เช่น การเอียงเชิงกราน, การทำให้กระดูกสันหลังโค้ง (Functional scoliosis), หรือการปรับกลไกที่ข้อเท้า เช่น เขย่งเท้าข้างที่สั้น หรือทำให้เท้าข้างที่ยาวแบนลง

การจัดการ: ภาวะนี้ไม่สามารถ "แก้ไข" ให้กระดูกกลับมายาวเท่ากันได้ด้วยการออกกำลังกาย แต่สามารถ "จัดการ (Managed)" ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเป้าหมายคือการ "ปรับฐานให้เท่ากัน" เพื่อให้โครงสร้างที่อยู่เหนือขึ้นไป (เชิงกราน, กระดูกสันหลัง) อยู่ในแนวที่ดีขึ้น ซึ่งมักจะใช้ การเสริมแผ่นรองที่ส้นเท้าหรือแผ่นรองเต็มฝ่าเท้า (Heel lift / Full-length shoe insert) ในรองเท้าของข้างที่สั้นกว่า เพื่อชดเชยความยาวที่แตกต่างกัน (โดยจะทำในกรณีที่ความแตกต่างนั้นมีนัยสำคัญทางคลินิกเท่านั้น)

🤔 คำถามสำคัญ: แล้วมันสำคัญแค่ไหน? ต้องกังวลไหม? (Does Leg Length Discrepancy Matter?)

➡️ คนส่วนใหญ่ขาไม่เท่ากัน!: จริงๆ แล้ว คนส่วนใหญ่บนโลกนี้มีขาสองข้างที่ยาวไม่เท่ากันเป๊ะๆ ครับ! ความแตกต่างเล็กน้อย (ประมาณไม่เกิน 1 เซนติเมตร) ถือเป็นเรื่องปกติมาก เหมือนกับที่เรามีตาสองข้างไม่เท่ากัน หรือแขนข้างถนัดแข็งแรงกว่าอีกข้าง

➡️ เกณฑ์ความสำคัญทางคลินิก - หลักฐานว่าอย่างไร?:

มีงานวิจัย Systematic review ที่สำคัญโดย Knutson (2005) ที่รวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยจำนวนมากและสรุปไว้ว่า ความแตกต่างของความยาวขาที่ "น้อยกว่า 2 เซนติเมตร" โดยทั่วไปแล้ว "ไม่ถือว่ามีความสำคัญทางคลินิก (Not clinically significant)" หมายความว่ามันมักจะไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการปวดหรือปัญหาต่างๆ ร่างกายของเรามีความสามารถที่น่าทึ่งในการปรับตัวต่อความไม่สมมาตรเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ได้โดยไม่เกิดอาการ

สำหรับนักวิ่ง มีงานวิจัยโดย Hespanhol Junior และคณะ (2016) พบว่าความแตกต่างของความยาวขา "ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับการเกิดการบาดเจ็บจากการวิ่ง"

➡️ แล้วความเชื่อเรื่อง "ความสมมาตร (Symmetry)" ล่ะ?:

เป็นเวลานานที่ผู้รักษาบางกลุ่มพยายามที่จะ "แก้ไข" ร่างกายให้สมมาตรกันเป๊ะๆ เพราะเชื่อว่านั่นคือ "ความปกติ"

แต่ถ้าเราลองคิดกลับกัน... "ถ้าคนส่วนใหญ่ (อาจจะถึง 90%) มีขาไม่เท่ากัน แล้วการมีขาสองข้างที่สมมาตรกันเป๊ะๆ มันคือ 'ความปกติ' หรือ 'ความผิดปกติ' กันแน่? 🤔" การไล่ตามหาความสมมาตรที่สมบูรณ์แบบอาจจะเป็นการ "ไล่ตามจับผี" และอาจสร้างความวิตกกังวล (Nocebo effect) ให้กับผู้ป่วยโดยไม่จำเป็น

💡 Dr. W's Take: ข้อคิดจาก Dr. W

➡️ หยุดไล่ตามหาความสมมาตรที่สมบูรณ์แบบ! (Stop Chasing Perfect Symmetry!) หลักฐานในปัจจุบันชี้ให้เห็นว่าร่างกายมนุษย์นั้นโดยธรรมชาติแล้วไม่ได้สมมาตรกันเป๊ะๆ และความแตกต่างเล็กน้อยก็ไม่ได้เป็นปัญหา

➡️ โฟกัสที่ "Function" ไม่ใช่แค่ "Structure": เป้าหมายของการทำกายภาพบำบัด ไม่ใช่การทำให้ร่างกายของคุณสมมาตรเหมือนในตำรา แต่คือการทำให้ร่างกายของคุณ แข็งแรง, ทนทาน, และสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ภายในโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ของคุณเอง

➡️ เราจะเข้าไปจัดการกับ LLD เมื่อไหร่?:

เมื่อความแตกต่างนั้นเป็นแบบ Structural LLD ที่มีขนาดใหญ่และมีความสำคัญทางคลินิกจริงๆ (เช่น มากกว่า 2 เซนติเมตร) และส่งผลต่อกลไกการเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน ซึ่งการแก้ไขก็ทำได้ง่ายๆ ด้วยการเสริมแผ่นรอง

หรือเมื่อมี Functional LLD ที่ชัดเจน ซึ่งเป็น "ผลลัพธ์" ของความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อ และเรามีหลักฐานที่เชื่อมโยงได้ว่าความไม่สมดุลนั้นเป็น "สาเหตุโดยตรง" ของอาการปวดของผู้ป่วย (ในกรณีนี้ เรารักษาที่ "ความไม่สมดุล" ไม่ใช่ที่ "ความยาวขา")

➡️ ถ้าคุณถูกบอกว่ามีขาต่างกัน 0.5 ซม. และมีอาการปวดหลัง เป็นไปได้สูงมากว่าอาการปวดหลังนั้นมาจากสาเหตุอื่น (เช่น กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว/สะโพกอ่อนแรง, การควบคุมการเคลื่อนไหวไม่ดี, หรือพฤติกรรมการใช้งาน) ไม่ใช่เพราะความยาวขาที่ต่างกันเล็กน้อยนั้นครับ!

✨ เคสตัวอย่างจากคลินิก: เมื่ออาการปวดหลัง... ไม่ได้มาจากขาสั้นยาวไม่เท่ากัน ✨

คุณนนท์ อายุ 42 ปี พนักงานออฟฟิศ มีอาการปวดหลังส่วนล่างข้างขวาเรื้อรัง เคยไปรักษาที่อื่นและได้รับการแจ้งว่า "ขาข้างขวาของคุณสั้นกว่า" และได้รับการ "จัดกระดูก" เพื่อปรับเชิงกราน แต่กลับรู้สึกดีขึ้นเพียงชั่วคราว ทำให้คุณนนท์กังวลใจมากเกี่ยวกับภาวะขาไม่เท่ากันของตัวเอง

การประเมิน (Assessment):

➡️ Subjective:

ปวดหลังส่วนล่างข้างขวา, รู้สึกว่าตัวเอง "ยืนไม่สมดุล"

มีความวิตกกังวลสูงเกี่ยวกับความยาวขาของตัวเอง คอยเช็คในกระจกตลอดเวลา และเริ่มเกิดความกลัวในการเคลื่อนไหว

➡️ Objective (Clinical Exam):

เมื่อทำการวัดความยาวของกระดูกขาโดยตรง (True leg length measurement) พบว่า กระดูกขาทั้งสองข้างยาวเท่ากัน -> ตัด Structural LLD ออกไปได้

แต่เมื่อยืนตรง สังเกตเห็นว่าแนวกระดูกเชิงกรานด้านขวาสูงกว่าด้านซ้ายเล็กน้อย (Right hip hike) ทำให้ขาขวา "ดูเหมือน" สั้นกว่า นี่คือ Functional LLD ที่มีขนาดเล็กมาก (เช่น 0.5 ซม.)

➡️ NKT/NMI Assessment (Neuromuscular Integration/Neurokinetic Therapy):

พบต้นตอที่แท้จริง! ไม่ได้อยู่ที่ความยาวขา แต่เป็น ความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อ

พบว่ากล้ามเนื้อ Gluteus Medius ข้างขวา (ที่ช่วยพยุงเชิงกราน) และ กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core stabilizers) ทำงานได้ไม่ดี (Inhibited)

ในขณะที่กล้ามเนื้อสีข้าง Quadratus Lumborum (QL) ข้างขวา และกล้ามเนื้อหลัง Erector Spinae ทำงานหนักและตึงตัวมากเกินไป (Facilitated/Compensating) ซึ่งการทำงานที่มากเกินไปของ QL นี่เองที่ "ดึง" ให้เชิงกรานข้างขวายกสูงขึ้น และเป็นสาเหตุของอาการปวด

แผนการรักษา (Treatment Plan - เน้นแก้ที่ต้นตอ):

🧠 1. Pain Science Education (PSE) - สำคัญที่สุด!

สร้างความมั่นใจให้คุณนนท์กลับคืนมา! โดยการให้ข้อมูลตามหลักฐานเชิงประจักษ์ (จาก EP นี้) ว่าความยาวขาที่ต่างกันเล็กน้อยนั้นเป็นเรื่องปกติ และ ไม่ใช่สาเหตุของอาการปวดหลังของเขา (Knutson, 2005)

อธิบายให้เห็นภาพว่าการที่ขา "ดูเหมือน" ไม่เท่ากันนั้นเป็น "ผลลัพธ์" ของกล้ามเนื้อที่ทำงานไม่สมดุล (QL ดึงเชิงกรานขึ้น) ไม่ใช่ "สาเหตุ" ของอาการปวด

เปลี่ยนโฟกัสของคุณนนท์จากการกังวลเรื่อง "โครงสร้างที่แก้ไขไม่ได้" ไปสู่การ "ฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อที่แก้ไขได้"

📈 2. Load Management:

แนะนำการปรับท่าทางการนั่งทำงาน และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่กระตุ้นให้กล้ามเนื้อ QL ทำงานหนักขึ้น เช่น การนั่งไขว่ห้าง หรือการยืนลงน้ำหนักข้างเดียว

⚙️ 3. NKT/NMI Corrective Strategy:

Release (คลาย): คลายกล้ามเนื้อ QL และ Erector Spinae ข้างขวาที่ทำงานหนักเกินไป

Activate (กระตุ้น): กระตุ้นการทำงานของ Gluteus Medius และ Core stabilizers ข้างขวาที่ "หลับ" อยู่

💪 4. Strengthening Program:

ออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกายที่เน้นการสร้างความแข็งแรงและทนทานให้กับระบบ lumbopelvic-hip complex (หลัง-เชิงกราน-สะโพก) โดย ไม่จำเป็นต้องไปกังวลเรื่องความยาวขาที่ต่างกันเล็กน้อยนั้นเลย เป้าหมายคือการฟื้นฟู "Function" ไม่ใช่การสร้าง "Symmetry"

ผลลัพธ์ (Outcome):

เมื่อความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อได้รับการแก้ไข (QL คลายตัว, Glutes/Core กลับมาทำงาน) ภาวะ Functional LLD ก็หายไปเอง และที่สำคัญคือ อาการปวดหลังของคุณนนท์ก็หายไปด้วย

คุณนนท์เลิกกังวลเกี่ยวกับความยาวขาของตัวเอง และกลับมามีความมั่นใจในการเคลื่อนไหวร่างกายอีกครั้ง

เขาได้เรียนรู้บทเรียนที่สำคัญว่า "การทำงาน (Function) และความแข็งแรง (Strength) สำคัญกว่าความสมมาตรที่สมบูรณ์แบบ (Perfect Symmetry)"

📖 References :

➡️ Knutson, G. A. (2005). Anatomic and functional leg-length inequality: a review and recommendation for clinical decision-making. Part I, anatomic leg-length inequality: prevalence, magnitude, effects and clinical significance. Chiropractic & Osteopathy, 13, 11.

➡️ Hespanhol Junior, L. C., de Carvalho, A. C. A., Costa, L. O. P., & Lopes, A. D. (2016). Lower limb alignment characteristics are not associated with running-related injuries in runners: A systematic review with meta-analysis. British Journal of Sports Medicine, 50(20), 1259-1265.

➡️ Gurney, B. (2002). Leg length discrepancy. Gait & Posture, 15(2), 195-206.

➡️ Raczkowski, J. W., Daniszewska, B., & Zolynski, K. (2010). Functional scoliosis caused by leg length discrepancy. Archives of Medical Science, 6(3), 393-398.

➡️ Vink, P. (2014). The Torsional Tensegrity of the Human Body's Myofascial System. KVM-Der-Verlag.

📞 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายเข้ารับบริการกายภาพบำบัดได้ที่:

❤️ บ้านใจอารีย์คลินิกกายภาพบำบัด (JR Physio)

เว็บไซต์: www.jrphysio.com

📍 สาขาเยาวราช:

⏰ เปิดทุกวัน (ปิดวันอังคาร)

📞 080-425-9900

💬 Line: .cn (หรือสแกน QR Code ที่หน้าเพจ/เว็บไซต์)

💻 Facebook: https://www.facebook.com/jrphysiochinatown

🗺️ แผนที่: (ค้นหา "บ้านใจอารีย์คลินิกกายภาพบำบัด สาขาเยาวราช" บน Google Maps) หรือ https://maps.app.goo.gl/mAwdMtETvgrW2yYT9

📍 สาขาเพชรเกษม 81:

⏰ เปิดทุกวัน (ปิดวันพุธ)

📞 094-654-2460

💬 Line: (หรือสแกน QR Code ที่หน้าเพจ/เว็บไซต์)

💻 Facebook: https://www.facebook.com/jrphysioth

🗺️ แผนที่: (ค้นหา "บ้านใจอารีย์คลินิกกายภาพบำบัด สาขาเพชรเกษม 81" บน Google Maps) หรือ https://maps.app.goo.gl/7XdgGKqzXQ3qfsDeA

😊 เรายินดีให้คำปรึกษาและดูแลสุขภาพของคุณครับ!

ที่อยู่

บ้านใจอารีย์ คลินิกกายภาพบำบัด สาขาเยาวราช
Bangkok
10100

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 20:00
พุธ 09:00 - 20:00
พฤหัสบดี 09:00 - 20:00
ศุกร์ 09:00 - 20:00
เสาร์ 09:00 - 20:00
อาทิตย์ 09:00 - 20:00

เบอร์โทรศัพท์

+66804259900

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ บ้านใจอารีย์ คลินิกกายภาพบำบัด สาขาเยาวราช JR Physio Clinicผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง บ้านใจอารีย์ คลินิกกายภาพบำบัด สาขาเยาวราช JR Physio Clinic:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram