Sompop Jamchan - สมภพ แจ่มจันทร์

Sompop Jamchan - สมภพ แจ่มจันทร์ พ่อลูกสอง | ชายผู้มีภรรยาเป็นพรของชีวิต | นักเดินทางในสังสารวัฏ

17/03/2025

การหลอกลวงที่น่ากลัวที่สุดคือ การหลอกตัวเอง เพราะเป็นการหลอกที่แนบสนิทที่สุดและรู้ตัวได้ยากที่สุด

เธออาจหลอกตัวเองให้เชื่อว่าตัวเองเป็นเหยื่อที่ถูกคนอื่นลวงหลอก เพราะไม่ยอมรับความผิดที่ตัวเองทำ เท่านั้นไม่พอ เธอยังพยายามหลอกคนอื่นให้เชื่อว่าตัวเองถูกหลอกอีกด้วย

หรือเธออาจหลอกตัวเองให้เชื่อว่าตัวเองเป็นคนดีที่กำลังทำเพื่อคนอื่น และหลอกคนอื่นให้เชื่อว่าเธอเป็นคนที่แสนดี ทั้ง ๆ ที่ทั้งหมดที่เธอทำนั้นเป็นไปเพื่อตัวเอง

การหยุดหลอกตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะความจริงบางอย่างเกี่ยวกับตัวเธอเองนั้นน่าละอายและน่ารังเกียจ

เธอจึงต้องหลอกตัวเองต่อไป…

เมื่อใดก็ตามที่เธอเริ่มยอมรับความอัปลักษณ์ของตัวเองได้ เมื่อนั้นเธอก็เข้าใกล้ความจริงเกี่ยวกับตัวเองมากขึ้น

สมภพ แจ่มจันทร์
17 มี.ค. 68

10/03/2025

เธอไม่มีวันทำเพื่อผู้อื่นได้อย่างแท้จริง หากเธอไม่ตระหนักว่าเธอกำลังทำเพื่อเป้าหมายของตัวเธอเองโดยอาศัยผู้อื่นบังหน้า เธออาจหลงคิดว่าตัวเองเป็นนักบุญที่เสียสละตัวเองเพื่อช่วยเหลือผู้ทนทุกข์ เธออาจยึดมั่นในภารกิจอันยิ่งใหญ่เพื่อมวลมนุษย์ แท้ที่จริงตัวเธอเองนั่นแหละคือผู้ที่กำลังดิ้นรนแสวงหาหนทางหลุดพ้นจากความทุกข์ของตัวเอง น่าเศร้าตรงที่เธอจะไม่มีวันค้นพบหนทางนั้น ตราบที่เธอยังไม่กล้ายอมรับความจริง

สมภพ แจ่มจันทร์
10 มี.ค. 68

ตธ. และ มสม. ลูกรักบนโลกใบนี้มีสิ่งที่เราไม่รู้มากกว่าสิ่งที่เรารู้ ต่อให้เราใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่ได้ช่วยให้สิ่งที่เรารู...
03/02/2025

ตธ. และ มสม. ลูกรัก

บนโลกใบนี้มีสิ่งที่เราไม่รู้มากกว่าสิ่งที่เรารู้ ต่อให้เราใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่ได้ช่วยให้สิ่งที่เรารู้มากขึ้นเท่าไหร่เมื่อเทียบกับสิ่งที่เราไม่รู้ซึ่งมากมายมหาศาล ถึงอย่างนั้น พ่อก็เชื่อว่าการแสวงหาความรู้ยังคงเป็นสิ่งสำคัญ แต่เราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ เพื่อจะมีชีวิตที่ดี การรู้สิ่งสำคัญบางอย่างอาจเพียงพอแล้วที่จะช่วยให้ลูกใช้ชีวิตได้เป็นปกติสุข

แล้วอะไรกันล่ะที่ลูกควรรู้?

เมื่อเร็ว ๆ นี้พ่อได้เรียนรู้เรื่องหนึ่งจากการดูคลิปวิดีโอใน YouTube ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่พ่อบอกลูกไว้ข้างต้น ในคลิปวิดีโอเล่าถึง “กฎแห่งเซเรนเกติ” (The Serengeti Rules) ซึ่งเป็นชุดแนวคิดที่แสดงให้เห็นว่า ธรรมชาติมีวิธีการอย่างไรในการรักษาจำนวนพืชและสัตว์ชนิดต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับที่สมดุล

คำว่า “เซเรนเกติ” เป็นชื่อของทุ่งหญ้าแห่งหนึ่งในแอฟริกาตะวันออก ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีการศึกษาวิจัยทางนิเวศวิทยาที่สำคัญมากมาย

เท่าที่พ่อจับใจความได้ หนึ่งในหลักการสำคัญของกฎเซเรนเกติคือ สัตว์บางชนิดมีความสำคัญมากกว่าชนิดอื่น ๆ สัตว์เหล่านี้ แม้จะมีจำนวนน้อย แต่กลับมีบทบาทสำคัญในการควบคุมโครงสร้างและความหลากหลายของระบบนิเวศ

ตัวอย่างเช่น ผู้ล่าระดับบนสุดอย่างหมาป่า สามารถควบคุมจำนวนประชากรของเหยื่อ ซึ่งส่งผลต่อพืชพรรณและสัตว์อื่น ๆ ในระบบนิเวศได้ หรือปลาแซลมอนในแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ ที่ซากของพวกมันจะให้ปุ๋ยแก่ต้นไม้ริมฝั่งแม่น้ำ ถ่ายโอนสารอาหารจากมหาสมุทรเข้าสู่ระบบนิเวศบนบก

การสูญเสียสายพันธุ์หลักเหล่านี้อาจทำให้ระบบนิเวศล่มสลาย ในทางกลับกัน การนำพวกมันกลับคืนสู่ระบบนิเวศสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกได้อย่างมาก

กฎแห่งเซเรนเกติไม่ได้ตอบคำถามว่าอะไรที่ลูกควรรู้ ซึ่งพ่อคิดว่าคงไม่มีใครตอบได้เช่นกัน นอกจากตัวลูกเอง เพราะสิ่งที่เราควรรู้ย่อมแตกต่างกันไปตามวิถีชีวิตและความมุ่งหวังของแต่ละคน

แต่สิ่งที่กฎแห่งเซเรนเกติบอกกับเราคือ ความรู้แต่ละอย่างมีผลต่อชีวิตเราไม่เท่ากัน เมื่อรวมกับข้อเท็จจริงที่ว่าเวลาในชีวิตของเรามีจำกัด พ่อคิดว่าเราจึงควรถามตัวเองอยู่เสมอว่าเราจำเป็นต้องรู้อะไรและจะรู้ไปเพื่ออะไร

การรู้บางเรื่องมากไปไม่ได้ช่วยให้ชีวิตของลูกฉลาดขึ้นหรือมีความสุขมากขึ้น (พ่อพูดเรื่องนี้จากประสบการณ์ตรงได้เลย) ซึ่งโลกทุกวันนี้ล้วนเต็มไปด้วยความรู้ประเภทนี้ แต่การรู้บางเรื่องแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจเป็นหลักนำทางชีวิตของลูกได้ตลอดไป

พ่ออยากให้ลูกหมั่นทบทวนตัวเองอยู่เสมอว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่ลูกอยากอุทิศชีวิตเพื่อเรียนรู้มัน อะไรคือสิ่งที่เมื่อลูกรู้แล้วลูกจะมีชีวิตที่เป็นปกติสุข พ่อเอาใจช่วยให้ลูกได้พบคำตอบ

พ่อไม่รู้ว่าบันทึกฉบับนี้ของพ่อคือสิ่งที่ลูกจำเป็นรู้หรือไม่ แต่พ่อรู้ว่ามันคือสิ่งที่พ่ออยากบอกกับลูกทั้งสอง

รัก,

พ่อของลูก
3 ก.พ. 68

โรคซึมเศร้า ในฐานะโรคที่ถูกให้นิยามอย่างชัดเจนนั้น ถือเป็นสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นพร้อมกับวิวัฒนาการของเกณฑ์การวินิจฉัยในคู่ม...
29/01/2025

โรคซึมเศร้า ในฐานะโรคที่ถูกให้นิยามอย่างชัดเจนนั้น ถือเป็นสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นพร้อมกับวิวัฒนาการของเกณฑ์การวินิจฉัยในคู่มือการวินิจฉัยและสถิติของความผิดปกติทางจิต (Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders - DSM) ซึ่งจัดทำโดยสมาคมจิตแพทย์อเมริกัน (American Psychiatric Association)

แม้ว่าอารมณ์เศร้าจะมีมานานในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ แต่การจัดประเภทและวินิจฉัยโรคซึมเศร้าอย่างเป็นระบบนั้น ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากใน DSM ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา

บทความนี้จะสำรวจวิวัฒนาการของการวินิจฉัยภาวะซึมเศร้าตั้งแต่ DSM ฉบับแรก (DSM-I) จนถึงฉบับล่าสุด (DSM-5) โดยมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงของเกณฑ์การวินิจฉัย ประเด็นสำคัญ และข้อวิจารณ์ที่เกี่ยวข้อง

**********

ยุคเริ่มต้น: ทฤษฎีจิตวิเคราะห์และความคลุมเครือ (DSM-I และ DSM-II)

DSM-I (1952) และ DSM-II (1968) ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic Theory) ซึ่งเป็นแนวคิดทางจิตวิทยาที่เน้นศึกษาจิตใต้สำนึกและประสบการณ์ในวัยเด็ก ภาวะซึมเศร้าในยุคนี้ถูกจัดประเภทเป็นอาการอย่างกว้าง ๆ ภายใต้กลุ่ม Psychotic Disorders และ Psychoneurotic Disorders ใน DSM-I โดยแบ่งเป็น Manic-Depressive Reaction (อยู่ใน Psychotic Disorders) ซึ่งมีทั้งอาการแมเนียและซึมเศร้า และ Depressive Reaction (อยู่ใน Psychoneurotic Disorders) ซึ่งเน้นสาเหตุจากปัจจัยภายนอก เช่น ความเครียด
อย่างไรก็ตาม DSM ทั้งสองฉบับนี้ถูกวิจารณ์อย่างมากในหลายประเด็น ประการแรก คือการขาดเกณฑ์การวินิจฉัยที่เป็นมาตรฐาน ภาษาที่ใช้มีความคลุมเครือ อาศัยทฤษฎีจิตวิเคราะห์ที่ไม่สามารถวัดผลได้เชิงประจักษ์ ทำให้การวินิจฉัยขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแพทย์เป็นหลัก ส่งผลให้ความน่าเชื่อถือต่ำ (Low Reliability) กล่าวคือ แพทย์แต่ละคนอาจวินิจฉัยผู้ป่วยคนเดียวกันแตกต่างกัน

ประการที่สอง คือการแบ่งประเภทไม่ชัดเจน ไม่มีการแยกโรคซึมเศร้าออกจากโรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar Disorder) อย่างชัดเจน และการจัดกลุ่มโรคตามอาการกว้างๆ เช่น Psychotic vs. Neurotic ไม่สะท้อนพยาธิวิทยาที่แท้จริง

ประการที่สาม คืออคติทางวัฒนธรรม เนื่องจากการพัฒนา DSM มาจากข้อมูลผู้ป่วยในสหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตก ซึ่งอาจไม่เหมาะสมกับบริบททางวัฒนธรรมอื่น

**********

จุดเปลี่ยนสำคัญ: การกำเนิด Major Depressive Disorder (DSM-III)

DSM-III (1980) ถือเป็นการปฏิวัติครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์การวินิจฉัยภาวะซึมเศร้า โดยเปิดตัว Major Depressive Disorder (MDD) เป็นโรคเฉพาะ แยกออกจาก Bipolar Disorder อย่างชัดเจน เกณฑ์การวินิจฉัย MDD กำหนดให้อย่างน้อยต้องมีอาการหลัก 2 ประการ ได้แก่ (1) อารมณ์เศร้า หรือ (2) การสูญเสียความสนใจหรือความสุขในกิจกรรมต่าง ๆ (Anhedonia) และต้องมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยอย่างน้อย 5 ใน 9 อาการ (เช่น นอนไม่หลับหรือนอนมากเกินไป อ่อนเพลีย รู้สึกไร้ค่า) เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใน DSM-III ได้แก่ การยกเลิกการวินิจฉัยแบบ Neurosis การเน้นหลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ (Reliability) และการเริ่มใช้คำว่า Dysthymia เพื่ออธิบายภาวะซึมเศร้าเรื้อรังที่มีความรุนแรงน้อยกว่า

อย่างไรก็ตาม DSM-III ก็ถูกวิจารณ์เช่นกัน โดยเฉพาะการทำให้เป็นเรื่องทางการแพทย์มากเกินไป (Overmedicalization) ที่เปลี่ยนความทุกข์ทางอารมณ์ให้กลายเป็น "โรค" ที่ต้องรักษาด้วยยา ตัวอย่างเช่น เกณฑ์ MDD อาจวินิจฉัยภาวะเศร้าตามธรรมชาติ (เช่น หลังหย่าร้าง) เป็นโรคได้

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาความเจ็บป่วยร่วม (comorbidity) สูง เนื่องจากการเน้นการแบ่งโรคเป็นหมวดหมู่ (Categorical Model) ทำให้ผู้ป่วยมักถูกวินิจฉัยหลายโรคพร้อมกัน ซึ่งสะท้อนว่าเกณฑ์อาจไม่ตรงกับความซับซ้อนของอาการจริง อีกทั้งยังละเลยปัจจัยทางสังคมและจิตวิทยา โดยเน้นอาการทางกายภาพ (เช่น นอนไม่หลับ) มากกว่าประสบการณ์ส่วนตัวหรือสาเหตุภายนอก

**********

การปรับปรุงและการเพิ่มความละเอียด (DSM-IV)

DSM-IV (1994) ปรับปรุงเกณฑ์ MDD โดยเพิ่มข้อกำหนดว่าอาการต้องก่อให้เกิดความทุกข์หรือความบกพร่องอย่างมีนัยสำคัญในด้านสังคม การงาน หรือด้านอื่น ๆ ที่สำคัญ (Clinical Significance) นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดข้อยกเว้นกรณีการเศร้าโศกจากการสูญเสีย (Bereavement Exclusion) ซึ่งระบุว่าหากอาการเกิดขึ้นหลังการเสียชีวิตของบุคคลใกล้ชิดและอาการดังกล่าวเกิดขึ้นไม่เกิน 2 เดือน จะไม่ถือว่าเป็น MDD

DSM-IV ยังได้ระบุกลุ่มย่อย (Specifiers) ของ MDD เพื่อสะท้อนความหลากหลายของอาการ เช่น Melancholic Features (อาการหนักในช่วงเช้า เบื่ออาหาร น้ำหนักลด) Atypical Features (นอนมาก กินมาก รวมถึงปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่ไวต่อการถูกปฏิเสธ และอาการทางกาย เช่น แขนขาหนักอึ้ง) และ specifier 'With Chronic' สำหรับ Major Depressive Episode ที่มีอาการต่อเนื่องเกิน 2 ปี นอกจากนี้ยังมี Dysthymic Disorder ที่หมายถึงภาวะซึมเศร้าเรื้อรังที่มีความรุนแรงน้อยกว่า

อย่างไรก็ตาม การเพิ่ม Specifiers เหล่านี้ถูกวิจารณ์ว่าอาจนำไปสู่การขยายนิยามโรคเกินจำเป็น ทำให้มีผู้ถูกวินิจฉัยมากขึ้น และนำไปสู่การใช้ยาที่เพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น Atypical Features ซึ่งพบได้บ่อยในผู้ป่วยอายุน้อย แต่อย่างไรก็ดี การวินิจฉัยภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่นยังคงต้องอาศัยการประเมินอย่างรอบคอบ โดยพิจารณาทั้งเกณฑ์ DSM และบริบทอื่นๆ ของวัยรุ่น รวมถึงพัฒนาการทางอารมณ์และสังคม ไม่ใช่เพียงเพราะมีอาการตรงกับ Atypical Features เท่านั้น

ข้อวิจารณ์หลักของ DSM-IV คือข้อโต้แย้งเรื่อง Bereavement Exclusion ซึ่งอนุญาตให้ยกเว้นการวินิจฉัย MDD หากอาการเกิดหลังการสูญเสียคนใกล้ชิด แต่ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการเลือกปฏิบัติต่อความเศร้าจากสาเหตุอื่น (เช่น การหย่าร้าง) นอกจากนี้ ยังมีการวิจารณ์เรื่องการขยายนิยามโรคเกินจำเป็น และมีข้อกล่าวหาว่ากระบวนการแก้ไข DSM-IV ได้รับอิทธิพลจากบริษัทยา

**********

สู่แนวคิดสเปกตรัมและความท้าทายใหม่ (DSM-5)

DSM-5 (2013) นำเสนอการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายประการ ประการแรก คือ การยกเลิก Bereavement Exclusion ซึ่งหมายความว่า หากบุคคลมีอาการตรงตามเกณฑ์ MDD แม้จะเกิดขึ้นหลังจากการสูญเสีย ก็สามารถวินิจฉัยว่าเป็น MDD ได้

การเปลี่ยนแปลงนี้นำไปสู่การถกเถียงอย่างกว้างขวาง เนื่องจากถูกวิจารณ์ว่าทำให้ความเศร้าธรรมชาติกลายเป็นโรค เสี่ยงต่อการที่แพทย์สั่งยาแก้ซึมเศร้าโดยไม่จำเป็น อย่างไรก็ตาม ฝ่ายสนับสนุนการยกเลิกชี้ให้เห็นว่าความเศร้าจากการสูญเสียอาจรุนแรงและยาวนานเทียบเท่ากับความเศร้าจากสาเหตุอื่น และผู้ป่วยเหล่านี้ควรได้รับการรักษาที่เหมาะสม จำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงจากการเปลี่ยนแปลงนี้

ประการที่สอง DSM-5 ได้เพิ่มกลุ่มอาการใหม่ ได้แก่ Disruptive Mood Dysregulation Disorder (DMDD) สำหรับเด็กที่มีอารมณ์รุนแรงบ่อยครั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่การวินิจฉัยเด็กที่มีอารมณ์รุนแรงเป็นโรค และ Premenstrual Dysphoric Disorder (PMDD) สำหรับภาวะอารมณ์เศร้าอย่างรุนแรงในช่วงก่อนมีประจำเดือน ซึ่งถูกมองว่า "ทำให้อาการก่อนมีประจำเดือนเป็นสิ่งผิดปกติ" การเพิ่มกลุ่มอาการใหม่เหล่านี้ถูกวิจารณ์ว่าคลุมเครือและขยายขอบเขตของโรค

ประการที่สาม Dysthymia และ Chronic MDD ถูกรวมเข้าด้วยกันเป็น Persistent Depressive Disorder (PDD) นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่ม Specifiers ใหม่ เช่น Mixed Features (มีอาการคล้ายแมเนียร่วมด้วย) และ Anxious Distress (มีความวิตกกังวลควบคู่)

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดที่ว่าภาวะซึมเศร้าเป็นสเปกตรัมมากกว่าการแบ่งขั้วอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม DSM-5 ยังถูกวิจารณ์ในประเด็นความขัดแย้งทางผลประโยชน์ เนื่องจากผู้เขียนบางส่วนมีความสัมพันธ์กับบริษัทยา ซึ่งอาจออกแบบเกณฑ์เพื่อขยายตลาดยา และยังมีปัญหา Reliability แม้จะมีการปรับเกณฑ์ แต่การวินิจฉัยยังคงขึ้นอยู่กับอาการที่ผู้ป่วยรายงาน ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนระหว่างแพทย์ได้

**********

คำวิจารณ์โดยรวมต่อ DSM และทางเลือกอื่น

นอกเหนือจากข้อวิจารณ์เฉพาะฉบับแล้ว DSM ยังเผชิญกับคำวิจารณ์โดยรวมหลายประการ ได้แก่ การทำให้ประสบการณ์ปกติของมนุษย์กลายเป็นโรค (Medicalization of Normal Human Experience) โดยแปลงสภาพความรู้สึกทั่วไป (เช่น เศร้าหลังสูญเสีย) เป็น "โรค" นำไปสู่การใช้ยาเกินความจำเป็น

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่อง Categorical vs. Dimensional Debate ซึ่ง DSM ใช้โมเดล "มีหรือไม่มีโรค" (Yes/No) ในขณะที่ความจริงแล้วภาวะซึมเศร้าเป็นสเปกตรัม อีกทั้งยังมีปัญหาความตรง (Validity Problem) เนื่องจากโรคใน DSM ไม่สอดคล้องกับกลไกทางชีวภาพที่ชัดเจน (เช่น ไม่มี Biomarker ที่ชัดเจนสำหรับ MDD) ทำให้เป็นการวินิจฉัยตามอาการ ไม่ใช่สาเหตุ

DSM ยังถูกวิจารณ์เรื่องอคติทางวัฒนธรรม เนื่องจากอาการและเกณฑ์อิงวัฒนธรรมตะวันตก อาจไม่เหมาะสมกับกลุ่มเชื้อชาติหรือความเชื่ออื่น และอิทธิพลจากอุตสาหกรรมยา โดยการขยายนิยามโรคมักสอดคล้องกับการวางตลาดยาใหม่

สุดท้ายคือความน่าเชื่อถือ (Reliability) ที่ไม่เสถียร แม้ DSM-III จะปรับปรุง Reliability แต่การวินิจฉัยยังคงขึ้นอยู่กับความสามารถของแพทย์และความตรงไปตรงมาของผู้ป่วย

ปัจจุบัน มีทางเลือกอื่นที่กำลังพัฒนา เช่น ICD-11 ขององค์การอนามัยโลกที่เน้นมุมมองด้านการทำงาน (Functional Approach) มากกว่า โดยพิจารณาถึงผลกระทบของอาการต่อการใช้ชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ยังมี RDoC (Research Domain Criteria) ของสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NIMH) ซึ่งเป็นกรอบการวิจัยที่พยายามเชื่อมโยงอาการทางจิตเวชกับโดเมนการทำงานของสมองและพฤติกรรม เช่น การรับรู้ อารมณ์ และการควบคุมตนเอง โดยไม่ยึดติดกับการแบ่งประเภทโรคแบบ DSM RDoC ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นของการพัฒนา แต่ก็เป็นแนวทางที่น่าสนใจสำหรับการวิจัยทางจิตเวชในอนาคต

**********

บทสรุปและความท้าทายในอนาคต

วิวัฒนาการของการวินิจฉัยภาวะซึมเศร้าใน DSM สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องในการทำความเข้าใจความผิดปกติทางจิตที่ซับซ้อนนี้ จากอิทธิพลของทฤษฎีจิตวิเคราะห์ในยุคแรก สู่การเน้นหลักฐานเชิงประจักษ์และการกำหนดเกณฑ์ที่ชัดเจนในยุคหลัง DSM ได้พัฒนาไปอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายและข้อถกเถียงมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายนิยามของโรคที่อาจนำไปสู่การวินิจฉัยและการรักษาเกินความจำเป็น

คำถามสำคัญที่ยังคงอยู่คือ DSM ควรเป็น "คัมภีร์" หรือเป็นเพียง "เครื่องมือ" บางฝ่ายเห็นว่า DSM ควรเป็นแนวทางทางคลินิก ไม่ใช่กฎที่ตายตัว และแพทย์ควรใช้ดุลยพินิจในการวินิจฉัย โดยพิจารณาจากบริบทของผู้ป่วยแต่ละราย แต่ในทางปฏิบัติ DSM ถูกใช้เป็นมาตรฐานทางกฎหมายและประกันสุขภาพ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการวินิจฉัยที่ยึดติดกับเกณฑ์มากเกินไป จำเป็นต้องหาจุดสมดุลระหว่างการใช้ DSM เป็นเครื่องมือในการวินิจฉัยและการใช้ดุลยพินิจทางคลินิก

การทำความเข้าใจวิวัฒนาการของ DSM ข้อวิจารณ์ต่างๆ และการถกเถียงที่เกี่ยวข้องจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักวิชาชีพและผู้ที่สนใจ เพื่อให้สามารถประเมินและใช้เกณฑ์การวินิจฉัยได้อย่างเหมาะสม ส่งเสริมการดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม และผลักดันให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะซึมเศร้าต่อไปในอนาคต

สมภพ แจ่มจันทร์
29 ม.ค. 68

ตธ. และ มสม. ลูกรักเมื่อถ้อยคำ "ทำไมไม่มีใครเข้าใจฉันเลย" ถูกกล่าวออกมาโดยใครบางคน แท้จริงแล้ว เสียงนั้นกำลังร่ำร้องถึงบ...
14/01/2025

ตธ. และ มสม. ลูกรัก

เมื่อถ้อยคำ "ทำไมไม่มีใครเข้าใจฉันเลย" ถูกกล่าวออกมาโดยใครบางคน แท้จริงแล้ว เสียงนั้นกำลังร่ำร้องถึงบุคคลหนึ่ง ผู้เปี่ยมด้วยความสำคัญในหัวใจเขา คนผู้ที่เขาทั้งปรารถนาและคาดหวังให้เข้าใจในความรู้สึก มิใช่ว่าไร้ซึ่งผู้คนเข้าใจเขาโดยสิ้นเชิง

และเมื่อใครคนหนึ่งเอ่ยว่า "ทำไมโลกนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน" แท้จริงแล้ว เขากำลังสะท้อนถึงเหตุการณ์อันเลวร้ายบางเรื่องที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ หาใช่ว่าทุกสรรพสิ่งบนโลกล้วนเต็มไปด้วยความโหดร้าย

เช่นเดียวกัน ยามที่ถ้อยคำ "ทำไมชีวิตฉันถึงอาภัพเช่นนี้" ถูกเปล่งออกมา แท้จริงแล้ว เขากำลังกล่าวถึงบางแง่มุมในชีวิตที่มิได้เป็นไปดังหวัง มิใช่ว่าชีวิตของเขานั้นปราศจากซึ่งสิ่งดีงามโดยสิ้นเชิง

ที่เขารับรู้เช่นนี้ นั่นก็เพราะว่าในตอนนั้น หัวใจของเขากำลังถูกครอบงำด้วยความทุกข์

ลูกรัก ยามใดที่ความทุกข์เข้าเกาะกุมจิตใจ มุมมองของเรามักจะคับแคบ เหมารวม และบิดเบือนไปตามอารมณ์ที่โหมกระหน่ำ เสมือนว่าเรามองโลกผ่านเลนส์ที่ขุ่นมัว เราจะรับรู้เพียงส่วนเสี้ยวที่มืดมน ละเลยความงดงามที่อยู่รายล้อม

แต่ทว่า เมื่อเราสามารถสงบจิตสงบใจลงได้ เมื่อนั้นดวงตาของเราจะกลับมามองเห็นสิ่งต่าง ๆ อย่างชัดเจน เราจะประจักษ์ว่าสิ่งที่เรารับรู้เกี่ยวกับผู้คน โลกใบนี้ รวมถึงชีวิตของเรานั้น เป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็ก ๆ ของพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาล

ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่ลูกรู้สึกว่าผู้คน โลกใบนี้ และชีวิตของลูกช่างโหดร้ายและเต็มไปด้วยแง่ลบ พ่อขอให้ลูกจงตระหนักว่านั่นมิใช่ความจริงทั้งหมด

ขอให้ลูกเชื่อมั่นว่ายังมีผู้คนที่พร้อมจะเข้าใจลูกเสมอ ยังมีผู้คนที่พร้อมจะยื่นมือช่วยเหลือและโอบกอดลูกด้วยความรัก โลกใบนี้ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวดี ๆ มากมาย และชีวิตของลูกนั้นคือชีวิตที่งดงาม เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าและความหมาย

ลูกรัก อย่ายอมให้เมฆหมอกแห่งความทุกข์บดบังแสงสว่างแห่งความจริงอันงดงามในชีวิตของลูก

พ่อของลูก
14 ม.ค.​68

ตธ. และ มสม. ลูกรักพ่ออยากชวนลูกทั้งสองลองคิดเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างตัวเลขสองชุด ชุดแรกคือ 100 กับ 80 และชุดที่สอง...
08/01/2025

ตธ. และ มสม. ลูกรัก

พ่ออยากชวนลูกทั้งสองลองคิดเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างตัวเลขสองชุด ชุดแรกคือ 100 กับ 80 และชุดที่สองคือ 80 กับ 79 ลูกคิดว่าตัวเลขชุดไหนแตกต่างกันมากกว่ากัน?

คำตอบที่ชัดเจนคือ 100 กับ 80 เพราะความต่างของตัวเลขนั้นห่างกันถึง 20 ในขณะที่ 80 กับ 79 ห่างกันเพียง 1 เท่านั้น แต่ลูกรู้ไหมว่า ในบางสถานการณ์ ความต่างเพียง 1 ระหว่าง 80 กับ 79 กลับส่งผลกระทบที่มากกว่าความต่าง 20 ระหว่าง 100 กับ 80 เสียอีก

สถานการณ์หนึ่งที่ลูกทั้งสองจะต้องเผชิญในอนาคตคือการสอบวัดผล หากลูกสอบได้คะแนนเต็ม 100 หรือได้คะแนน 80 ขึ้นไป ก็คงไม่มีปัญหาอะไร พ่อหวังว่าลูกจะทำได้ดี แต่ถ้าลูกได้คะแนน 79 แทนที่จะเป็น 80 คะแนนที่หายไปเพียง 1 คะแนนนี้ กลับส่งผลกระทบอย่างมากต่อผลการเรียนของลูก

เพราะตามเกณฑ์การวัดผล หากลูกได้คะแนนระหว่าง 80-100 ลูกจะได้เกรด 4 หรือเกรด A แต่หากลูกได้คะแนน 79 ลูกจะได้เพียงเกรด 3 หรือเกรด B+ เท่านั้น ลองคิดดูสิว่า ความรู้ความสามารถของนักเรียนที่ได้ 80 คะแนน กับ 79 คะแนนนั้น แทบจะไม่แตกต่างกันเลยเมื่อเทียบกับความแตกต่างของคนที่ได้ 100 และ 80 แต่เกรดของนักเรียนที่ได้ 80 กับ 79 กลับต่างกัน ในขณะที่คนที่ได้ 100 กับ 80 จะได้เกรดเดียวกัน

นี่คือข้อจำกัดของระบบการประเมินผล จุดตัดของเกณฑ์การตัดสินว่าใครจะได้เกรดอะไรนั้น บางครั้งก็ดูเป็นไปตามอำเภอใจ และอาจไม่ได้สะท้อนถึงความรู้ความสามารถที่แท้จริงของผู้ถูกประเมินเสมอไป

ในสายงานของพ่อเองก็เช่นกัน พ่อต้องเผชิญกับสถานการณ์คล้าย ๆ แบบนี้อยู่บ่อยครั้ง ในการวินิจฉัยความผิดปกติทางจิต หากใครคนหนึ่งมีอาการครบตามเกณฑ์ที่กำหนด เขาก็จะถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรค เช่น โรคซึมเศร้า แต่หากเขามีอาการขาดไปเพียงข้อเดียว หรือคะแนนไม่ถึงเกณฑ์ เขาจะไม่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคดังกล่าว ทั้งที่ในความเป็นจริง คนสองคนนี้อาจต้องการความช่วยเหลือที่ใกล้เคียงกัน หรือไม่ก็ไม่จำเป็นต้องรับการรักษาใด ๆ

พ่อเคยอ่านงานวิจัยที่น่าสนใจมาก เขาพบว่าการตัดสินคนสองกลุ่มที่มีตัวชี้วัดสุขภาพแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย เช่น ระดับน้ำตาลในเลือด โดยวินิจฉัยว่าคนกลุ่มหนึ่งมีปัญหาสุขภาพและอีกกลุ่มมีสุขภาพปกติ ส่งผลต่อสุขภาพและพฤติกรรมที่ตามมาของคนสองกลุ่มนี้อย่างมีนัยสำคัญ หมายความว่าการประเมินหรือการตัดสินที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย สามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตคนได้อย่างใหญ่หลวง

พ่อไม่ได้จะบอกว่าการประเมินหรือการวินิจฉัยเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ มันยังมีประโยชน์ในแง่ของการจัดกลุ่มและวางแผนการดำเนินงาน แต่สิ่งสำคัญคือเราไม่ควรยึดติดกับผลลัพธ์ของการประเมินเหล่านั้นมากจนเกินไป อย่าลืมว่ามันเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งเท่านั้น และอาจไม่ได้สะท้อนความจริงทั้งหมด

สิ่งที่พ่ออยากจะสื่อให้ลูกเข้าใจคือ มนุษย์เรามักสร้างระบบการประเมินและตัดสินขึ้นมาเพื่อความสะดวกในการจัดการ แต่ระบบเหล่านี้มักมีข้อจำกัดและอาจไม่ยุติธรรมเสมอไป การยึดติดกับตัวเลขหรือผลลัพธ์ของการประเมินมากเกินไป อาจทำให้เรามองข้ามคุณค่าที่แท้จริงของสิ่งต่าง ๆ หรือแม้แต่คุณค่าของตัวเราเอง

ขอให้ลูกใช้ชีวิตอย่างมีสติ พิจารณาสิ่งต่าง ๆ อย่างรอบด้าน และอย่าให้ผลการประเมินใด ๆ มาตีกรอบชีวิตของลูกจนสูญเสียความเป็นตัวเอง

พ่อของลูก
8 ม.ค. 68

ตธ. และ มสม. ลูกรักชีวิตเปรียบเสมือนละครโรงใหญ่ที่เราทุกคนต่างเป็นตัวเอกในเรื่องราวของตัวเอง เราสวมบทบาทหลากหลายเปลี่ยนแ...
07/01/2025

ตธ. และ มสม. ลูกรัก

ชีวิตเปรียบเสมือนละครโรงใหญ่ที่เราทุกคนต่างเป็นตัวเอกในเรื่องราวของตัวเอง เราสวมบทบาทหลากหลายเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์

บางครั้งเราอาจเป็นคนดีที่เสียสละ บางครั้งก็กลายเป็นคนเลวที่ทำผิดพลาด เราอาจเป็นผู้ให้ที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ หรือเป็นผู้รับที่ยอมรับความช่วยเหลือ ในบางสถานการณ์เราอาจเป็นคนมีน้ำใจคอยช่วยเหลือผู้อื่น แต่ในบางครั้งก็อาจกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวที่คำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเอง เราอาจสวมบทบาทเป็นตัวตลกที่สร้างเสียงหัวเราะให้คนรอบข้าง หรือเป็นคนเศร้าที่จมอยู่กับความทุกข์

บทบาทเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นสีสันที่ทำให้ละครชีวิตของเรามีทั้งสุข เศร้า เคล้าน้ำตา และเสียงหัวเราะ

แต่มีบทบาทหนึ่งที่เราทุกคนพึงหลีกเลี่ยง นั่นคือ การเล่นบทเหยื่อ (ซึ่งต่างจากการตกเป็นเหยื่อของการกระทำที่เลวร้าย)

พฤติกรรมเช่นนี้ภาษาอังกฤษเรียกว่า playing the victim หมายถึง การแสดงออกซึ่งพฤติกรรมที่ทำให้ตนเองดูเหมือนเป็นผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบหรือตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ เพื่อเรียกร้องความสนใจ ความเห็นใจ หรือหลีกเลี่ยงการรับผิดชอบ โดยอาจแสดงออกผ่านการโทษผู้อื่น สถานการณ์ หรือโชคชะตา บ่อยครั้งที่ผู้ที่เล่นบทเหยื่อจะไม่ยอมรับข้อบกพร่องของตน มองไม่เห็นบทบาทของตัวเองในปัญหา และปฏิเสธที่จะแก้ไขหรือพัฒนาตัวเอง

เมื่อเราเลือกที่จะเล่นบทเหยื่อเรากำลังสร้างกรงขังตัวเองไว้กับความเจ็บปวด เพราะเราไม่ยอมรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองทำ ไม่พยายามเรียนรู้จากความผิดพลาด และไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เราจะจมอยู่กับอดีตและการกล่าวโทษทุกสิ่งทุกอย่าง ยกเว้นตัวเอง และปล่อยให้ชีวิตถูกควบคุมด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ

ดังนั้น พ่อขอให้ลูกเท่าทันบทบาทที่ตัวเองกำลังเล่นอยู่ในละครแห่งชีวิต พยายามสวมบทบาทที่เป็นประโยชน์ต่อตัวลูกและคนที่ลูกรักให้มากที่สุด บทบาทที่ไม่ทำให้ใครต้องเจ็บปวด แต่ถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่าลูกจะอยู่ในบทบาทใด ขอให้ลูกรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง และเรียนรู้ที่จะเติบโตจากประสบการณ์ทั้งดีและร้าย

อย่าเล่นบทเหยื่อ เพราะมันจะบั่นทอนคุณค่าของลูกและบทนี้จะครอบงำชีวิตลูกตลอดไป

พ่อของลูก
7 ม.ค. 68

ตธ. และ มสม. ลูกรักเมื่อลูกทำผิด อย่าคาดหวังว่าผู้อื่นจะให้อภัยลูก หรือแม้แต่ลูกจะให้อภัยตัวเองเพราะนั่นคือสิ่งที่ลูกควบ...
06/01/2025

ตธ. และ มสม. ลูกรัก

เมื่อลูกทำผิด อย่าคาดหวังว่าผู้อื่นจะให้อภัยลูก หรือแม้แต่ลูกจะให้อภัยตัวเอง

เพราะนั่นคือสิ่งที่ลูกควบคุมไม่ได้ ไม่ว่าลูกจะต้องการมันแค่ไหน เมื่อมีเหตุก็ย่อมมีผล ลูกไม่อาจหลีกหนีผลของสิ่งที่ลูกทำ

ผู้คนอาจโกรธและเกลียดลูก ลูกอาจรู้สึกผิดและไม่มีวันให้อภัยตัวเองได้

แต่ไม่เป็นไรเลย ขอให้ลูกยืดอกรับผลจากการกระทำด้วยความกล้าหาญ ถึงที่สุดแล้วมันก็จะผ่านไป เช่นเดียวกับทุกสรรพสิ่งในจักรวาลที่เคยเกิดขึ้น กำลังเกิดขึ้น และจะเกิดขึ้นในอนาคต

ไม่มีสิ่งใดคงอยู่ตลอดไป

พ่ออยากบอกลูกว่า ไม่ว่าคนอื่นจะรู้สึกอย่างไรต่อลูก และไม่ว่าลูกจะรู้สึกอย่างไรต่อตัวเอง อย่ายอมให้ความรู้สึกเหล่านี้นิยามตัวตนทั้งชีวิตของลูก

ความผิดที่ลูกทำเป็นเพียงเสี้ยวส่วนเดียวของพื้นที่ชีวิตอันกว้างใหญ่ไพศาล

ลูกไม่จำเป็นต้องให้อภัยตัวเองในความผิดนั้น ขอเพียงลูกสำนึกผิดและมีชีวิตต่อไปเพื่อสร้างสรรค์สิ่งดีงามตามกำลังของลูก

แม้ผืนดินแห่งความผิดพลาดจะรกร้างและไม่อาจฟื้นฟูขึ้นใหม่ แต่ลูกยังมีพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์อีกมากมาย ลูกมีโอกาสที่จะแผ้วถางผืนดินใหม่ ๆ ให้งดงามได้เสมอ

พ่อของลูก
6 ม.ค. 68

ตธ. และ มสม. ลูกรักก่อนที่ลูกจะเริ่มต้นชีวิตคู่กับใครสักคน ลูกจำเป็นต้องถามตัวเองว่าลูกต้องการอะไรจากการมีชีวิตคู่ ใครคน...
02/01/2025

ตธ. และ มสม. ลูกรัก

ก่อนที่ลูกจะเริ่มต้นชีวิตคู่กับใครสักคน ลูกจำเป็นต้องถามตัวเองว่าลูกต้องการอะไรจากการมีชีวิตคู่ ใครคนนั้นคือคนที่ลูกรักและมีเป้าหมายเดียวกันกับลูกหรือเปล่า และคำถามที่สำคัญมากคือ ลูกอยากแต่งงานกับตัวเองหรือเปล่า

หมายความว่า ถ้าลูกคือใครอีกคนที่มองดูตัวลูก ลูกอยากแต่งงานกับคน ๆ นี้หรือเปล่า

พ่อไม่เคยถามคำถามข้อนี้กับตัวเองเลย จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ถ้าพ่อย้อนเวลากลับไปถามตัวเองในอดีตได้ก่อนที่พ่อจะแต่งงานกับแม่ของลูก พ่อคงตอบว่าไม่ พ่อไม่อยากแต่งงานกับตัวเอง เพราะพ่อยังไม่ใช่คนรักที่ดีพอ มีหลายอย่างในตัวพ่อที่เป็นปัญหา และมันจะทำร้ายคนที่พ่อรัก ถ้าพ่อไม่ได้จัดการแก้ไขมันก่อนจะมีชีวิตคู่

การถามตัวเองว่าเราอยากแต่งงานกับตัวเองหรือเปล่า คือการถามตัวเองว่าเราเป็นคนรักที่ดีพอแล้วหรือยัง ถ้าพ่อได้ถามตัวเองในตอนนั้น พ่อคงไม่ได้แต่งงานกับแม่ของลูก มันอาจต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย เพื่อที่พ่อจะแก้ไขข้อบกพร่องและพัฒนาตัวเองให้เป็นคนรักที่ดีพอสำหรับแม่ของลูก เป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่พ่ออยากแต่งงานด้วย แต่พ่อคิดว่ามันคุ้มค่าแก่การรอคอยนะ

คนเรามักคิดถึงสิ่งที่ตัวเองต้องการจากคนรัก แต่เราไม่ค่อยตระหนักว่าตัวเราดีพอที่จะเป็นคนรักหรือเปล่า พ่อคิดว่าเราไม่ได้ตั้งคำถามว่าเราเป็นคนรักที่ดีพอไหมเพื่อตัดสินตัวเอง แต่เราจำเป็นต้องรู้คำตอบ ไม่ว่าคำตอบนั้นจะเป็นอย่างไร เพื่อเป็นแนวทางพัฒนาตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้น ก่อนที่จะเป็นคนรักของใครสักคน

แม้วันนี้พ่อจะย้อนเวลากลับไปถามตัวเองในอดีตไม่ได้ แต่พ่อสามารถถามตัวเองในตอนนี้ได้ ลูกอยากรู้ไหมว่าพ่ออยากแต่งงานกับตัวเองในวันนี้หรือเปล่า พ่อเชื่อว่าแม่ของลูกก็คงอยากรู้

คำตอบคือ...

พ่อของลูก
2 ม.ค. 68

01/01/2025

เธอไม่มีวันได้รับการเยียวยาและปลดปล่อยตัวเองจากความเจ็บปวดอย่างแท้จริง หากเธอไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในชีวิตอย่างไร

การกล่าวโทษและโยนความรับผิดชอบให้ผู้อื่นเพียงอย่างเดียว และมองว่าตัวเองเป็นเพียงเหยื่ออันไร้เดียงสาของสถานการณ์ จะทำให้เธอถูกพันธนาการไว้กับความเจ็บปวดไปตลอดกาล

ทุกคนจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง ไม่มีใครหลีกหนีผลของสิ่งที่ตนเองทำได้ ตัวเธอก็เช่นกัน

การเยียวยาเริ่มต้นที่การยอมรับความจริงเกี่ยวกับตัวเรา และเต็มใจรับผิดชอบในส่วนของเรา

สมภพ แจ่มจันทร์
1 ม.ค. 68

ตธ. และ มสม. ลูกรักวันสุดท้ายของปีคือช่วงเวลาที่คนเรามักใช้ทบทวนชีวิตตลอดปีที่ผ่านมา มันอาจมีทั้งเรื่องที่เราสำเร็จและล้...
31/12/2024

ตธ. และ มสม. ลูกรัก

วันสุดท้ายของปีคือช่วงเวลาที่คนเรามักใช้ทบทวนชีวิตตลอดปีที่ผ่านมา มันอาจมีทั้งเรื่องที่เราสำเร็จและล้มเหลว สมหวังและผิดหวัง สุขสมและทุกข์ระทม แต่ไม่ว่าชีวิตของเราจะเป็นยังไง มันก็สามารถเป็นบทเรียนให้กับชีวิตที่เหลืออยู่ของเราได้

พ่อเองขอใช้โอกาสนี้ในการทบทวนชีวิตในปีนี้ เพื่อเป็นบทเรียนสำหรับตัวเองและฝากไว้ให้ลูกทั้งสอง

ชีวิตในปี 2567 ของพ่อเปรียบเหมือนการตกลงไปในหุบเหวอันมืดมิด ร่วงหล่นราวกับไม่มีวันสิ้นสุด มันคือปีที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของพ่อ เป็นช่วงเวลาที่ทุกข์ทรมานแสนสาหัสที่สุดที่ของพ่อเคยพบเจอ

หลายเดือนก่อน พ่อนึกภาพไม่ออกด้วยซ้ำ ว่าจะก้าวข้ามความทุกข์นี้ไปได้อย่างไร แต่ในตอนนี้ ขณะที่พ่อกำลังพิมพ์บันทึกฉบับนี้ในวันสุดท้ายของปี พ่อยังคงหายใจ แม้หลายสิ่งในชีวิตจะพังทลายลงไป แต่พ่อรู้สึกว่าไม่มีอะไรสำคัญกว่าการที่ตอนนี้พ่อยังมีแม่และลูก ๆ อยู่ในชีวิต

ทุกวันนี้ความสุขของพ่อ คือการที่ทุกเช้าพ่อได้กอดแม่และกอดหนูทั้งสองคน และการที่ทุกคืนเราทุกคนเข้านอนเคียงข้างกัน พ่อไม่เคยคิดว่าความสุขของพ่อจะเรียบง่ายแบบนี้ บางทีสิ่งที่พ่อต้องการอย่างแท้จริงในชีวิตอาจมีเพียงเท่านี้

บทเรียนอันเจ็บปวดที่พ่อได้เรียนรู้ในปีที่แสนสาหัสนี้คือ เมื่อเราทำความผิด จงยืดอกยอมรับสิ่งที่ตัวเองทำ และกล้าเผชิญหน้ากับผลที่ตามมา เมื่อนั้นเราจะเป็นอิสระจากพันธนาการของความผิดนั้นอย่างแท้จริง แม้ว่าหนทางนี้อาจจะต้องใช้เวลายาวนานก็ตาม

การปิดบังอำพรางความผิด แม้จะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้ชั่วคราว แต่เราจะไม่มีวันเป็นอิสระจากมันได้เลย ความผิดนั้นจะคอยเกาะกุมและกัดกินชีวิตของเราไปตลอด จนกว่าวันหนึ่งความจริงจะปรากฎ

ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ลูกต้องตระหนักไว้เสมอว่า การที่เราทำความผิด ไม่ได้หมายความว่าตัวเราคือคนเลวร้าย เราไม่ควรตัดสินคุณค่าของตนเองด้วยการกระทำบางอย่าง ต่อให้มันเป็นความผิดใหญ่หลวง ความผิดนี้ก็ไม่มีทางจะยิ่งใหญ่เกินกว่าทั้งชีวิตของเราได้ ลูกจำเป็นต้องสำนึกผิดต่อสิ่งที่ตัวเองทำ แต่ลูกต้องไม่จมอยู่กับความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต

พ่อเชื่อว่าความดีที่เราเคยทำไม่อาจนำมาชดเชยความผิดที่เราได้ทำลงไป เพราะมันเป็นคนละส่วนกัน แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ควรนำความผิดที่ทำไปลบล้างความดีทั้งหมดที่เราเคยสั่งสมมาเช่นกัน ขอให้ลูกแยกแยะสิ่งเหล่านี้ให้ออก ไม่ว่าใครจะมองลูกอย่างไร ขอให้ลูกเชื่อมั่นในความดีงามของตัวเอง

ในเส้นทางชีวิตของลูก ลูกจะต้องทำผิดอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง เช่นเดียวกับพ่อและมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าลูกจะตั้งใจหรือไม่ แต่สิ่งที่ลูกสามารถเลือกได้ และพ่อหวังว่าลูกจะเลือกได้ดีกว่าพ่อ คือจงเลือกที่จะรับมือกับความผิดพลาดที่ตัวเองทำอย่างมีสติและกล้าหาญ และนำมันมาเป็นบทเรียนที่ช่วยให้ลูกเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น

พ่อภาวนาให้ความผิดพลาดที่ลูกจะต้องเผชิญไม่ใช่สิ่งเลวร้ายต่อตัวลูกและคนที่ลูกรักมากเกินไป เหมือนที่พ่อเคยเจอ และพ่อขออวยพรให้ลูกโชคดี ได้เจอคนที่รัก ยอมรับ และพร้อมจะเผชิญทุกอย่างไปกับลูก เหมือนพ่อที่มีแม่ของลูกอยู่เคียงข้าง

แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น ขอให้ลูกจดจำไว้ว่า พ่อคนนี้จะอยู่เคียงข้างลูกเสมอ ไม่ว่าลูกกำลังเผชิญกับสิ่งใด

อำลาปีเก่าต้อนรับปีใหม่
เราจะเดินทางต่อไปด้วยกัน

พ่อของลูก
31 ธ.ค. 67

ตธ. และ มสม. ลูกรักฟรีดริช นิทเช่ นักปรัชญาชาวเยอรมัน เคยกล่าวว่า "สิ่งใดที่ฆ่าเราไม่ตาย สิ่งนั้นย่อมทำให้เราแข็งแกร่งขึ...
30/12/2024

ตธ. และ มสม. ลูกรัก

ฟรีดริช นิทเช่ นักปรัชญาชาวเยอรมัน เคยกล่าวว่า "สิ่งใดที่ฆ่าเราไม่ตาย สิ่งนั้นย่อมทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น"

วันนี้พ่อยังมีชีวิตอยู่ ทั้งที่พ่อคิดว่าตัวเองน่าจะตายไปแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน

แม้จะเจ็บปวดและทรมานแสนสาหัส แต่พ่อยังไม่ตาย

งานของพ่อคือการช่วยเหลือผู้คนที่เป็นทุกข์ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พ่อได้ฟังเรื่องราวความทุกข์มากมายหลากหลายรูปแบบ ความทุกข์ของบางคนหนักหนาเสียจนทำให้พวกเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป

แม้พ่อจะรับรู้ความรู้สึกของพวกเขา แม้ว่าพ่อจะเห็นอกเห็นใจพวกเขา แม้ว่าพ่อจะพยายามช่วยเหลือพวกเขาอย่างเต็มที่

แต่พ่อไม่เคยเข้าใจความทุกข์ที่ทำให้คนเราอยากหลีกหนีมันด้วยความตาย เพราะพ่อไม่เคยมีประสบการณ์แบบเดียวกับพวกเขา

จนกระทั่งวันหนึ่ง ประสบการณ์บางอย่างทำให้พ่อเข้าใจความทุกข์นั้นแล้ว พ่ออยากกลับไปบอกคนเหล่านั้นว่าพ่อเข้าใจพวกเขาแล้ว

พ่อเขียนบันทึกฉบับนี้ในคืนวันที่ 30 ย่างเข้าเช้าวันที่ 31 ธ.ค. อีกไม่กี่ชั่วโมง ปีนี้ก็จะผ่านพ้นไป

พ่ออยากบอกให้ลูกรู้ว่า แม่และลูก ๆ คือสิ่งสำคัญที่ทำให้พ่อยังคงมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ โดยเฉพาะแม่ของลูกที่ยืนหยัดอยู่เคียงข้างพ่อแม้ว่าตัวเองจะเจ็บปวดแสนสาหัส

สิ่งนั้นฆ่าพ่อไม่ตาย พ่อจะผ่านปีนี้ไปด้วยความแข็งแกร่งกว่าเดิม

ไม่ว่าชีวิตของลูกจะพบเจอกับความทุกข์ที่หนักหนาเพียงใด ขอให้ลูกจดจำไว้ว่าจงมีชีวิตต่อไป เมื่อลูกผ่านมันไปได้ ลูกจะเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น

ในช่วงเวลาที่ความทุกข์นั้นยากจะทานทนและยังไม่ผ่านพ้นไป พ่อจะอยู่ตรงนี้ เพื่อปกป้องลูกให้นานที่สุด

พ่อของลูก
30 ธ.ค. 67

ตธ. และ มสม. ลูกรัก“ชีวิตคืออะไร?” พ่อถามคำถามนี้อย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ขณะที่พ่อเรียนปริญญาโท จิตวิทยาการปรึกษา ที่จุ...
29/12/2024

ตธ. และ มสม. ลูกรัก

“ชีวิตคืออะไร?” พ่อถามคำถามนี้อย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ขณะที่พ่อเรียนปริญญาโท จิตวิทยาการปรึกษา ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน คำถามนี้คือคำถามแรกที่อาจารย์ถามพ่อในชั้นเรียน และคำตอบของพ่อในวันนั้นคือ “ชีวิตคือการเดินทาง” ภาพเปรียบเปรยชีวิตกับการเดินทางเป็นสิ่งที่หลายคนคุ้นเคย เพราะทั้งสองสิ่งต่างมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด มีอุปสรรคและการเติบโต มีการบรรลุจุดหมายปลายทางและการพลัดพรากจากกัน

จนถึงวันนี้ พ่อยังคงเชื่อว่าชีวิตคือการเดินทาง แต่การเดินทางของพ่อในวันนี้ย่อมต่างจากเมื่อหลายสิบปีก่อน กระทั่งแตกต่างอย่างยิ่งจากหลายเดือนก่อน ชีวิตของพ่อในตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป พ่อไม่ได้มองว่าชีวิตคือการเดินทางเพียงลำพัง เหมือนก่อนหน้านี้ที่เคยมองว่าชีวิตคือการเดินทางเพื่อค้นพบตัวเอง เรียนรู้และเติบโตผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างทาง ชีวิตเช่นนี้คือชีวิตที่มีตัวเองเป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดใหญ่หลวง เป็นภาพลวงตาที่อัตตาสร้างขึ้น

ชีวิตพ่อในวันนี้ไม่ได้หมายถึงตัวพ่อเท่านั้น แต่หมายถึงทุกอย่าง ซึ่งรวมถึงแม่ของลูก ลูกทั้งสอง และผู้คนมากมายที่เกี่ยวข้อง การเดินทางของพ่อจึงเป็นการเดินทางร่วมกันของทุกคนในชีวิตของพ่อ ทุกสิ่งที่พ่อทำย่อมส่งผลต่อคนที่เกี่ยวข้อง และทุกสิ่งที่คนอื่นทำก็ย่อมมีผลต่อตัวพ่อ เมื่อมองเห็นว่าชีวิตคือสายใยที่เชื่อมโยงกัน ทำให้พ่อตระหนักถึงความสำคัญของการมีสติและการไตร่ตรองอย่างรอบคอบก่อนการตัดสินใจใด ๆ เพราะนี่มิใช่การเดินทางของพ่อแต่เพียงผู้เดียว

พ่อเพิ่งได้อ่านบทกวีบทหนึ่งที่ชื่อ The Treasures of Life ของ Olive Walters พ่อรู้สึกประทับใจในเนื้อหาที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งกินใจ เลยนำมาฝากไว้ให้ลูกทั้งสองและแม่ของลูก พ่ออยากบอกให้รู้ว่าแม่และลูกคือขุมทรัพย์แห่งชีวิตของพ่อ และพ่อเองก็จะพยายามเป็นขุมทรัพย์ให้ทุกคนเช่นกัน
Life is a journey
A journey of time
Where a heart needs another
To give it a shine

We're all on a journey
With two paths to take
One that is right
And the one that can break

With many a set back
We'll find hard to bear
It's love and true friendship
That will help us to care

For a heart that is lonely
Can fill up with strain
Like a plant that can wither
Without sun and rain

So together when sharing
Surely we'll find
it's the treasure of life
That can give peace of mind

พ่อของลูก
29 ธ.ค. 67

ตธ. และ มสม. ลูกรักสิบปีก่อน พ่อกับแม่ได้เดินทางไปเยือนนครวัด หมู่ปราสาทหินขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 ใ...
28/12/2024

ตธ. และ มสม. ลูกรัก

สิบปีก่อน พ่อกับแม่ได้เดินทางไปเยือนนครวัด หมู่ปราสาทหินขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 ในรัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 แห่งจักรวรรดิเขมร

ก่อนไป พ่อแทบไม่มีพื้นฐานความรู้ทางประวัติศาสตร์หรือโบราณคดีเกี่ยวกับนครวัดเลย แต่เมื่อได้ยืนอยู่เบื้องหน้าปราสาทนครวัด ความรู้สึกนั้นเกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูด พ่อหวังว่าลูกจะได้สัมผัสประสบการณ์เช่นนี้ด้วยตนเองสักครั้ง

นอกจากนครวัดแล้ว บริเวณโดยรอบยังมีปราสาทหินอื่น ๆ ที่งดงามอีกมากมาย แม้แต่ซากปรักหักพัง พ่อก็ยังรู้สึกถึงความงามที่ซ่อนอยู่

ก่อนที่กองหินเหล่านี้จะกลายเป็นซากอารยธรรมอย่างที่เห็น พวกมันเคยเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งก่อสร้างอันยิ่งใหญ่และงดงามตระการตามาก่อน เช่นเดียวกับก่อนที่พวกมันจะถูกนำมาสร้างเป็นปราสาทหินในยุครุ่งเรืองของจักรวรรดิเขมร พวกมันก็เป็นเพียงก้อนหินธรรมดา นี่คือสัจธรรมแห่งวัฏจักร เช่นเดียวกับชีวิตของเรา

ชีวิตของพ่อในวันนี้ก็อาจไม่ต่างจากกองหินเหล่านั้น ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของปราสาทหินอันยิ่งใหญ่ ท่ามกลางซากปรักหักพังของชีวิต สิ่งที่ไม่เคยเสื่อมสลายและยังคงช่วยประคับประคองชิ้นส่วนของชีวิตที่กระจัดกระจาย คือความรักของพ่อและแม่

วันนี้เมื่อพ่อมองดูกองหินแห่งชีวิตที่ผันแปรไป แม้จะมีความเสียใจและความเจ็บปวด แต่พ่อก็ยังคงมองเห็นความงามในนั้นได้ เพราะมีแม่ของลูกอยู่เคียงข้าง เช่นเดียวกับวันที่เราเคยยืนเคียงข้างกันมองกองหินเหล่านั้นที่นครวัด

พ่อหวังว่าสักวันเราทุกคนจะได้ไปชมความงามของนครวัดด้วยกัน

พ่อของลูก
28 ธ.ค. 67

ตธ. และ มสม. ลูกรักลูกรู้ไหมว่า อะไรคือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนมีร่วมกัน แต่กลับมีไม่เท่ากัน และใช้มันต่างกันไป นั่นคือ "เวลา"...
27/12/2024

ตธ. และ มสม. ลูกรัก

ลูกรู้ไหมว่า อะไรคือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนมีร่วมกัน แต่กลับมีไม่เท่ากัน และใช้มันต่างกันไป นั่นคือ "เวลา" ไงล่ะลูก

ทุกชีวิตบนโลกใบนี้ล้วนมีเวลาเป็นของตัวเอง จะมากหรือน้อยล้วนขึ้นอยู่กับปัจจัยนานัปการ หากลูกเกิดเมื่อร้อยปีก่อน อายุขัยเฉลี่ยของลูกอาจอยู่ที่เพียง 35-40 ปี ยิ่งหากเกิดในประเทศที่กำลังพัฒนา ชีวิตก็อาจยิ่งสั้นลงไปอีก

ปัจจุบัน มนุษย์มีอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 73 ปี และมีแนวโน้มจะยืนยาวขึ้นไปอีกในอนาคต แต่ไม่ว่าเราจะอยู่ได้กี่สิบปี มันก็เป็นเพียงช่วงเวลาอันแสนสั้น เมื่อเปรียบกับการดำรงอยู่ของจักรวาล ชีวิตเราเป็นเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น

พ่อเองเคยใฝ่ฝันอยากมีอายุยืนยาวถึง 80 ปี เพื่อจะได้ทำงานที่รักไปจนกว่าร่างกายจะทำไม่ไหวเหมือนนักจิตบำบัดคนหนึ่งที่พ่อชื่นชม แต่แล้ววันหนึ่ง ความคิดนี้ก็เปลี่ยนไป

ตอนนี้พ่ออยากมีชีวิตอยู่ให้นานกว่าแม่ของลูก ไม่สำคัญว่าจะอีกกี่ปี ขอเพียงให้พ่อได้ดูแลแม่ให้นานที่สุด และให้แม่จากไปก่อนพ่อตามที่แม่ต้องการ เพื่อที่แม่จะไม่ต้องทนทุกข์อยู่เพียงลำพังบนโลกใบนี้

สิ่งอื่นใดในชีวิตพ่อล้วนไร้ความหมาย เมื่อเทียบกับการได้ใช้ชีวิตอยู่เคียงข้างแม่ของลูก ซึ่งกว่าที่พ่อจะตระหนัก ก็ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดของเราทุกคน

สิ่งที่น่าขันก็คือ แม้รู้ว่าเวลามีจำกัด มนุษย์เรากลับใช้เวลาไปกับสิ่งสำคัญอย่างแท้จริงได้น้อยเหลือเกิน บางครั้งก็หลงทางไปกับเรื่องไร้สาระ อาจเป็นเพราะเราไม่เข้าใจตัวเองดีพอดี

การใช้ชีวิตโดยไม่เข้าใจตัวเอง อาจทำให้เราเสียเวลาอันมีค่าไปกับสิ่งที่ไม่มีความหมายใด ๆ ต่อชีวิตเราเลย

และที่น่าเศร้าที่สุดคือ กว่าที่หลายคนจะค้นพบว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่ควรทุ่มเทเวลาให้ เวลานั้นก็ล่วงเลยผ่านไปจนเกือบหมดสิ้นแล้ว พ่อเองก็อาจเป็นหนึ่งในนั้น ไม่มีใครรู้ แต่เราคงจะได้รู้ในวันหนึ่ง

พ่ออยากให้ลูกใช้เวลาอันแสนสั้นในชีวิต ไปกับสิ่งที่สำคัญและมีคุณค่าต่อตัวลูกให้มากที่สุด แต่ก่อนอื่น ลูกต้องรู้จักตัวเองให้ดีเสียก่อน ค้นหาให้พบว่าอะไรคือสิ่งที่ลูกต้องการ อะไรคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตของลูกมีความหมาย

พ่อไม่มีคำตอบให้ลูก และคงไม่มีใครตอบคำถามนี้แทนลูกได้ ลูกต้องค้นหาคำตอบนี้ด้วยตัวลูกเอง

สำหรับพ่อแล้ว พ่ออยากใช้เวลาที่เหลืออยู่ ดูแลแม่และลูก ๆ ทั้งสองของพ่อให้ดีที่สุด ทุ่มเทให้กับงานที่พ่อรัก สร้างประโยชน์ให้กับผู้คน และสังคม ตราบลมหายใจสุดท้ายของชีวิต

พ่อขอจบบันทึกฉบับนี้ด้วยคำกล่าวของ Marcus Aurelius จักรพรรดิชาวโรมันในหนังสือ Meditation ที่พ่อเคยอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหลายช่วงเวลาของชีวิต แต่ที่ผ่านมาพ่ออาจไม่เคยเข้าใจความหมายของมันเลย
เราต่างคือสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายใต้กาลเวลา ผู้จดจำและสิ่งที่ถูกจดจำก็ไม่ต่างกัน ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งชั่วคราว ทั้งความทรงจำและสิ่งที่อยู่ในความทรงจำ เวลาที่เจ้าจะหลงลืมทุกอย่างอยู่ใกล้แค่เอื้อม และเวลาที่ทุกอย่างจะลืมเจ้าก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมเช่นกัน ระลึกไว้เสมอว่าในไม่ช้าเจ้าจะไม่มีใครรู้จัก และไม่ได้ดำรงอยู่อีกต่อไป

พ่อของลูก
27 ธ.ค. 67

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Sompop Jamchan - สมภพ แจ่มจันทร์ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Sompop Jamchan - สมภพ แจ่มจันทร์:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram