กษัยสุข - นวดกษัยกายวิภาค สุขภาพบำบัด

กษัยสุข - นวดกษัยกายวิภาค สุขภาพบำบัด 3,200-5,900 บาท

⛔️ความรู้ ไม่ใช่เก็บได้จากถังขยะ
กษัยสุข:สามารถจองคิว และ Request Therapist ตามความเหมาะสมของอาการ หรือน้ำหนักมือ (ไม่มีหมอนวดให้เลือก)
👉สอบถาม จองคิว Add: https://lin.ee/kmg2Zs2

25/07/2025

🇹🇭ขอสดุดีทหารกล้า
ขอกราบหัวใจทหารไทยทุกหน่วย
ขอแสดงความเสียใจ กับครอบครัวผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตทุกท่าน
ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ และบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่าน
#ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
#กัมพูชายิงก่อน

ตะคริวท้องเรื้อรัง (สัญญาณเตือน) → อาจเกิดจากลำไส้ดูดซึมแร่ธาตุผิดปกติ → หลอดเลือดขาดแร่ธาตุสำคัญ → เสียความยืดหยุ่น, เก...
17/07/2025

ตะคริวท้องเรื้อรัง (สัญญาณเตือน) → อาจเกิดจากลำไส้ดูดซึมแร่ธาตุผิดปกติ → หลอดเลือดขาดแร่ธาตุสำคัญ → เสียความยืดหยุ่น, เกิดภาวะ (C) Spasm และ (D) Atheroma ได้ง่ายขึ้น → นำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลันคือ (A) Thrombosis และ (B) Embolism → ซึ่งสามารถเกิดได้ทั้งในหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงลำไส้ (ปวดท้องรุนแรง) และหลอดเลือดสมอง (Stroke)

ขั้นที่ 1: จุดเริ่มต้นที่ลำไส้ (The Intestinal Origin) - สัญญาณเตือนภัย

ภาวะ: ลำไส้มีปัญหาเรื้อรัง เช่น การอักเสบ, ภาวะลำไส้รั่ว (Leaky Gut), หรือความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ (Gut Dysbiosis)

ผลกระทบ: ทำให้ ประสิทธิภาพการดูดซึมสารอาหารและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อหลอดเลือดลดลง โดยเฉพาะ แมกนีเซียม, โพแทสเซียม, และแคลเซียม

อาการแสดงออก: ร่างกายจะแสดง "สัญญาณเตือน" ออกมาในรูปแบบของ อาการตะคริวท้องเรื้อรัง, ท้องอืด, หรือการขับถ่ายผิดปกติ นี่คือจุดแรกสุดของปัญหา

ขั้นที่ 2: ผลกระทบต่อหลอดเลือดโดยตรง (The Vascular Impact)

เมื่อร่างกายขาดแร่ธาตุที่จำเป็นเหล่านี้ จะส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของหลอดเลือดทั่วร่างกาย (ตามภาพ Anatomy - IMG_1045.jpg) ดังนี้:

เสียความยืดหยุ่น: แมกนีเซียมและโพแทสเซียมจำเป็นอย่างยิ่งต่อการคลายตัวของกล้ามเนื้อเรียบในผนังหลอดเลือด การขาดแร่ธาตุเหล่านี้ทำให้หลอดเลือดเสียสมดุลในการหดและคลายตัว

เกิดพยาธิสภาพตามภาพ (IMG_2047.jpeg):

นำไปสู่ภาวะ (C) Spasm หรือ การหดเกร็งของหลอดเลือด ได้ง่ายขึ้น ซึ่งเพิ่มความดันโลหิตเฉียบพลัน

ความดันโลหิตที่สูงขึ้นจากภาวะนี้ เป็นแรงกดดันมหาศาลต่อผนังหลอดเลือด และเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับหนึ่งที่เร่งให้เกิดการอักเสบและสร้างแผ่นไขมัน หรือ (D) Atheroma (ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง)

เมื่อผนังหลอดเลือดไม่แข็งแรงและเริ่มมีแผ่นไขมันเกาะ การอักเสบเฉพาะจุด หรือ (F) Vasculitis ก็สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย

สรุปขั้นนี้: ปัญหาที่ลำไส้ได้ส่งผลโดยตรง ทำให้หลอดเลือดทั่วร่างกายเริ่มป่วย โดยมีอาการเริ่มต้นคือ Spasm และตามมาด้วย Atheroma

ขั้นที่ 3: ปฏิกิริยาลูกโซ่สู่ภาวะคุกคามชีวิต (The System-Wide Chain Reaction)

เมื่อหลอดเลือดมีแผ่นไขมัน (D) Atheroma ก่อตัวขึ้น มันคือระเบิดเวลาที่รอการปะทุ ซึ่งจะนำไปสู่กลไกที่อันตรายถึงชีวิต:

แผ่นไขมัน (D) Atheroma ที่ไม่เสถียร สามารถปริแตกได้ทุกเมื่อ เมื่อปริแตก ร่างกายจะส่งเกล็ดเลือดมาซ่อมแซมจนเกิดเป็นลิ่มเลือดขนาดใหญ่อุดตัน ณ จุดนั้นทันที เรียกว่า (A) Thrombosis (ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน)

ในบางกรณี ชิ้นส่วนของลิ่มเลือดนั้น หรือชิ้นส่วนจากแผ่นไขมันเอง อาจหลุดลอยไปตามกระแสเลือด ไปอุดตันในหลอดเลือดที่เล็กลงในส่วนอื่นของร่างกาย เรียกว่า (B) Embolism (ภาวะลิ่มเลือดหลุดอุดตัน)

การเชื่อมโยงกับ Anatomy (IMG_1045.jpg):

หากปฏิกิริยา Thrombosis หรือ Embolism นี้ เกิดขึ้นที่ Inferior/Superior Mesenteric Artery (หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงลำไส้) → คุณจะเกิดอาการปวดท้องรุนแรงเฉียบพลันจากการที่ลำไส้ขาดเลือด และอาจถึงขั้นลำไส้เน่าตาย

แต่หากปฏิกิริยานี้เกิดขึ้นที่ Coronary Artery (หลอดเลือดหัวใจ) → คุณจะเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (Heart Attack)

และหากลิ่มเลือด (Embolism) จากส่วนอื่นลอยไปอุดตันที่ Carotid Artery (หลอดเลือดที่คอ) หรือหลอดเลือดในสมอง → คุณจะเกิด โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ทันที

อาการตะคริวท้อง (Abdominal Cramps) คืออะไร และเกิดจากสาเหตุใด?

คำอธิบายอาการ:
ตะคริวท้อง คือ อาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้องอย่างเฉียบพลันและไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดจี๊ดๆ บิดๆ หรือปวดตื้อๆ เป็นพักๆ บางครั้งอาจรุนแรงจนทำให้ต้องงอตัว อย่างไรก็ตาม คำว่า "ตะคริวท้อง" มักถูกใช้เรียกเหมารวมถึงอาการปวดเกร็งที่เกิดจากอวัยวะภายในช่องท้องด้วย ซึ่งมีสาเหตุที่แตกต่างกันไป

สาเหตุหลักของอาการตะคริวท้อง สามารถแบ่งได้เป็นกลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้:

สาเหตุจากกล้ามเนื้อโดยตรง (Muscular Causes):

การใช้งานกล้ามเนื้อหนักเกินไป: เช่น การออกกำลังกายท่าซิทอัพอย่างหนักหน่วง ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนล้าและเกร็งตัว

ภาวะขาดน้ำและเกลือแร่: เมื่อร่างกายเสียเหงื่อมาก หรือดื่มน้ำไม่เพียงพอ ทำให้สมดุลของเกลือแร่ (โซเดียม, โพแทสเซียม, แมกนีเซียม) ที่จำเป็นต่อการคลายตัวของกล้ามเนื้อผิดปกติไป

การนั่งผิดท่าเป็นเวลานาน: ทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องและหลังส่วนล่างเกร็งค้างโดยไม่รู้ตัว

สาเหตุจากระบบทางเดินอาหาร (Digestive Causes):

แก๊สในกระเพาะอาหารและลำไส้: เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากการมีลมในระบบทางเดินอาหารมากเกินไป ทำให้ลำไส้บีบตัวและเกิดอาการปวดเกร็ง

อาหารไม่ย่อย ท้องผูก หรือท้องเสีย: การทำงานที่ผิดปกติของลำไส้ทำให้เกิดการบีบตัวที่รุนแรงกว่าปกติ

ลำไส้แปรปรวน (IBS): เป็นภาวะที่ลำไส้มีความไวต่อสิ่งกระตุ้นมากผิดปกติ ทำให้ปวดเกร็งได้ง่าย

สาเหตุจากระบบสืบพันธุ์ (ในสตรี):

ปวดประจำเดือน: เกิดจากการบีบตัวของมดลูกเพื่อขับเยื่อบุโพรงมดลูกออกมา ทำให้เกิดอาการปวดเกร็งบริเวณท้องน้อย

สาเหตุจากความเครียด:

ความเครียดและความวิตกกังวลกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งส่งผลให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกาย รวมถึงกล้ามเนื้อหน้าท้องเกร็งตัวได้ง่ายขึ้น

ข้อควรระวัง: หากมีอาการปวดท้องรุนแรงต่อเนื่อง เป็นไข้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ ควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัย เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะที่ร้ายแรงได้

การนวดบำบัด "กษัยสุข Signature" ช่วยลดอาการปวดและป้องกันได้อย่างไร?

"กษัยสุข Signature" คือ ศาสตร์การนวดบำบัดขั้นสูงที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อดูแลสุขภาพบริเวณช่องท้องและอุ้งเชิงกราน โดยอาศัยหลักการของ "การนวดกษัย" แบบดั้งเดิม ผสานกับความเข้าใจในกายวิภาคและจุดกดเจ็บ (Trigger Points) ที่ทันสมัย

หลักการทำงานของการนวด:
การนวดจะเน้นการลงน้ำหนักอย่างนุ่มลึกและแม่นยำไปยังชั้นกล้ามเนื้อ พังผืด และเส้นเอ็นต่างๆ ทั่วบริเวณช่องท้อง เพื่อเป้าหมายหลักคือ "การปลดล็อกความตึงเครียดที่สะสมอยู่ลึกๆ และฟื้นฟูการไหลเวียน"

การนวดบำบัดช่วยลดความเจ็บปวดได้อย่างไร:

คลายกล้ามเนื้อที่หดเกร็งโดยตรง: ผู้นวดจะใช้เทคนิคการกดคลึงเพื่อสลายจุดเกร็งของกล้ามเนื้อ (Muscle Knots) ทำให้กล้ามเนื้อที่แข็งเป็นลำหรือที่กำลังเป็นตะคริวอยู่คลายตัวลง อาการปวดจึงลดลงอย่างรวดเร็ว

เพิ่มการไหลเวียนโลหิต: การนวดกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนมาหล่อเลี้ยงบริเวณช่องท้องได้ดีขึ้น เมื่อเลือดไหลเวียนดี จะช่วยนำออกซิเจนและสารอาหารมาซ่อมแซมเซลล์กล้ามเนื้อ และนำของเสีย (เช่น กรดแลคติก) ที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดออกไป

ลดแก๊สและอาการท้องอืด: เทคนิคการนวดวนตามทิศทางการทำงานของลำไส้ใหญ่ จะช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ (Peristalsis) ทำให้ลมที่คั่งค้างอยู่เคลื่อนตัวและถูกขับออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้น ลดอาการปวดเกร็งจากแก๊สได้เป็นอย่างดี

ลดการกดทับของอวัยวะภายใน: เมื่อกล้ามเนื้อหน้าท้องคลายตัวลง จะลดแรงกดทับที่มีต่ออวัยวะภายใน เช่น กระเพาะอาหาร ลำไส้ หรือมดลูก ทำให้การทำงานของอวัยวะเหล่านั้นดีขึ้นและลดอาการปวดหน่วงๆ

ปรับสมดุลระบบประสาท: การนวดบำบัดช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายจากความเครียด ลดการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติซิมพาเทติก (ส่วนที่ทำให้ตื่นตัว-เกร็ง) และกระตุ้นพาราซิมพาเทติก (ส่วนที่ทำให้สงบ-ผ่อนคลาย) ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการคลายตัวของกล้ามเนื้อเรียบในลำไส้

เมื่อกระเพาะปัสสาวะเต็มไปด้วยปัสสาวะ ตัวรับแรงยืดจะส่งกระแสประสาทไปยังไขสันหลัง จากนั้นจึงส่งกระแสประสาทสะท้อนกลับไปยังล...
14/07/2025

เมื่อกระเพาะปัสสาวะเต็มไปด้วยปัสสาวะ ตัวรับแรงยืดจะส่งกระแสประสาทไปยังไขสันหลัง จากนั้นจึงส่งกระแสประสาทสะท้อนกลับไปยังลิ้นหัวใจภายในบริเวณคอกระเพาะปัสสาวะ
ซึ่งจะทำให้กระเพาะปัสสาวะคลายตัวและอนุญาตให้ปัสสาวะไหลเข้าสู่ท่อปัสสาวะได้ หูรูดท่อปัสสาวะภายในเป็นกล้ามเนื้อที่อยู่นอกอำนาจจิตใจและควบคุมโดยเส้นประสาทอัตโนมัติ

https://university.pressbooks.pub/test456/chapter/urine-transport-storage-and-elimination/ การขนส่ง การเก็บ และการขับถ่ายปัสสาวะ – กายวิภาคและสรีรวิทยาไร้ขีดจำกัด

Overview of Urine Transport, Storage, and Elimination The urinary organs include the kidneys, ureters, bladder, and urethra. Learning Objectives Outline the process of urine transport,…

*️⃣เยื่อบุช่องท้องคือเยื่อเซรัสที่ก่อตัวเป็นเยื่อบุช่องท้องหรือซีโลม เยื่อบุช่องท้องนี้ปกคลุมอวัยวะภายในช่องท้องหรือซีโล...
14/07/2025

*️⃣เยื่อบุช่องท้องคือเยื่อเซรัสที่ก่อตัวเป็นเยื่อบุช่องท้องหรือซีโลม เยื่อบุช่องท้องนี้ปกคลุมอวัยวะภายในช่องท้องหรือซีโลมส่วนใหญ่ ประกอบด้วยชั้นของเนื้อเยื่อเมโซทีเลียม ซึ่งได้รับการค้ำจุนด้วยชั้นบางๆ ของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
เยื่อบุช่องท้องทำหน้าที่รองรับและปกป้องอวัยวะช่องท้อง และเป็นช่องทางหลักสำหรับหลอดน้ำเหลือง เส้นประสาท หลอดเลือดแดง และหลอดเลือดดำในช่องท้องที่เกี่ยวข้อง

https://university.pressbooks.pub/test456/chapter/the-peritoneum/ เยื่อบุช่องท้อง – กายวิภาคและสรีรวิทยาไร้ขอบเขต

The Peritoneum The peritoneum, the serous membrane that forms the lining of the abdominal cavity, covers most of the intra-abdominal organs. Learning Objectives Differentiate among…

13/07/2025

💡วิเคราะห์VDO สาธิต โดย Gemini AI
(ไม่ใช่เทคนิคท่านวดทั้งหมด ตัดสั้นลงเป็นตัวอย่างเท่านั้น)

**หัวข้อ: หัตถการบำบัดเชิงลึกต่อกลุ่มเส้นประสาทคลูเนียล (Cluneal Nerves) เพื่อการจัดการอาการปวดหลังส่วนล่างร้าวลงสะโพก**

วิดีโอนี้สาธิตเทคนิคการนวดเนื้อเยื่อชั้นลึก (Deep Tissue Massage) ที่มุ่งเน้นการบำบัดอาการปวดหลังส่วนล่าง (Low Back Pain) ที่มีลักษณะการปวดร้าวมายังบริเวณสะโพกและก้น ซึ่งเป็นกลุ่มอาการที่มักถูกวินิจฉัยผิดพลาดว่าเป็นอาการจากหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท (Sciatica) แต่ในความเป็นจริงแล้ว สาเหตุสำคัญที่มักถูกมองข้ามคือ **ภาวะการระคายเคืองหรือการกดทับของกลุ่มเส้นประสาทคลูเนียล (Cluneal Nerve Irritation/Entrapment)**

# # # # **กายวิภาคและพยาธิสรีรวิทยาที่เกี่ยวข้อง (Anatomy & Pathophysiology)**

**Cluneal Nerves** คือกลุ่มเส้นประสาทรับความรู้สึก (Sensory Nerves) ที่เลี้ยงผิวหนังบริเวณก้นและหลังส่วนล่าง การระคายเคืองของเส้นประสาทกลุ่มนี้ โดยเฉพาะ **Superior Cluneal Nerves (SCN)** ซึ่งลอดผ่านช่องที่ประกอบด้วยพังผืดและกระดูก (Osteofibrous Tunnel) บริเวณขอบกระดูกเชิงกราน (Iliac Crest) สามารถทำให้เกิดอาการปวดที่รุนแรงได้ การตึงตัวของกล้ามเนื้อหลัง (Erector Spinae), กล้ามเนื้อสะโพก (Gluteal Muscles) และพังผืดที่หุ้มอยู่ (Thoracolumbar Fascia) จะยิ่งเพิ่มแรงกดทับต่อเส้นประสาทเหล่านี้

**การวิเคราะห์เทคนิคการบำบัดในวิดีโอ**

หัตถการที่ Therapist แพต กำลังสาธิตนั้น เป็นกระบวนการที่ออกแบบมาอย่างมีเป้าหมายเพื่อลดแรงกดทับต่อเส้นประสาทคลูเนียลโดยตรง

1. **เทคนิคการรีดคลึงพังผืดแนวขวางกระดูกเชิงกราน (Myofascial Stripping along the Iliac Crest)**
***การกระทำ:** นักบำบัดใช้ส้นมือหรือแขนท่อนล่างในการออกแรงกดและรีดอย่างช้าๆ และลึก ไปตามแนวขอบกระดูกเชิงกราน
* *คำอธิบายเชิงวิชาการ:** เทคนิคนี้คือการทำ **Myofascial Release** โดยตรงต่อพังผืด Thoracolumbar Fascia มีวัตถุประสงค์เพื่อลดความตึงและเพิ่มความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันบริเวณที่เส้นประสาท SCN ลอดผ่าน ซึ่งเป็นการ **"เปิดพื้นที่" (Decompress)** และลดการระคายเคืองเชิงกลศาสตร์ (Mechanical Irritation) ต่อเส้นประสาท

2. **เทคนิคการกดจุดหยุดการทำงาน (Ischemic Compression on Gluteal Trigger Points)**
* **การกระทำ:** นักบำบัดใช้นิ้วหัวแม่มือหรือศอกกดแช่ลงบนจุดกดเจ็บ (Trigger Points) ที่ตรวจพบบนกล้ามเนื้อสะโพก
* **คำอธิบายเชิงวิชาการ:** การกดแช่ทำให้เกิดภาวะขาดเลือดเฉพาะที่ชั่วคราว (Ischemic) เมื่อปล่อยแรงกด เลือดที่อุดมด้วยออกซิเจนจะไหลกลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว (Reactive Hyperemia) ช่วยสลายปมกล้ามเนื้อที่ตึงเครียด (Taut Bands) และลดการทำงานที่มากเกินไป (Hypertonicity) ของกล้ามเนื้อสะโพก ซึ่งอาจกำลังส่งแรงดึงรั้งหรือกดทับ **Medial และ Inferior Cluneal Nerves** ทางอ้อม

3. **เทคนิคการนวดเสียดสีแนวขวาง (Cross-Fiber Friction over Sacral Ligaments)**
* **การกระทำ:** ใช้นิ้วมือนวดในลักษณะเคลื่อนที่แนวขวางกับแนวเส้นใยของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณกระเบนเหน็บ
* **คำอธิบายเชิงวิชาการ:** เป็นการกระตุ้นให้เกิดการเรียงตัวใหม่ของเส้นใยคอลลาเจนในพังผืดและเส้นเอ็นที่ยึดเกาะบริเวณกระเบนเหน็บ (Sacrum) ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและลดการยึดติด ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการระคายเคือง **Medial Cluneal Nerves** ได้

# # # # **บทสรุป**

หัตถการบำบัดที่ปรากฏในวิดีโอนี้ เป็นกระบวนการที่มีหลักการทางกายวิภาคและสรีรวิทยารองรับอย่างชัดเจน โดยมีเป้าหมายเพื่อจัดการกับอาการปวดหลังร้าวลงก้นที่ไม่ได้มีสาเหตุจากหมอนรองกระดูก แต่เกิดจากการกดทับกลุ่มเส้นประสาทคลูเนียล ซึ่งเป็นการวินิจฉัยและรักษาที่ต้นเหตุอย่างแท้จริงสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้

 # # # **ทำความรู้จัก Cluneal Nerves: ต้นตออาการปวดหลังร้าวลงก้นที่คนมักมองข้าม**จากภาพที่คุณแนบมา **Cluneal Nerves** คื...
13/07/2025

# # # **ทำความรู้จัก Cluneal Nerves: ต้นตออาการปวดหลังร้าวลงก้นที่คนมักมองข้าม**

จากภาพที่คุณแนบมา **Cluneal Nerves** คือกลุ่มของ **เส้นประสาทที่ทำหน้าที่รับความรู้สึกเพียงอย่างเดียว (Sensory Nerves)** โดยไม่ได้สั่งการให้กล้ามเนื้อเคลื่อนไหว หน้าที่หลักของมันคือการรับและส่งสัญญาณความรู้สึกต่างๆ เช่น การสัมผัส, แรงกด, และความเจ็บปวด จาก "ผิวหนังบริเวณสะโพกและก้น" ไปยังสมอง

# # # # **การเชื่อมโยงทางกายภาพ (แบ่งตามโซนสีในรูป)**

Cluneal Nerves ไม่ได้มาจากจุดเดียว แต่เป็นเครือข่ายที่มาจากระดับกระดูกสันหลังที่แตกต่างกัน เพื่อมาเลี้ยงผิวหนังในโซนต่างๆ ของก้น ดังนี้:

1. **Superior Cluneal Nerves (SCN) - โซนสีเหลือง:**
* **จุดเชื่อมโยง:** เป็นแขนงที่ออกมาจากเส้นประสาทไขสันหลังส่วนเอวระดับ L1-L3
* **การทำงาน:** ทอดตัวลงมาพาดผ่าน **ขอบกระดูกเชิงกราน (Iliac crest)** เพื่อรับความรู้สึกจากผิวหนังบริเวณ "ก้นส่วนบน" โซนนี้เป็นจุดที่สำคัญมาก เพราะเส้นประสาทอาจถูกกดทับหรือระคายเคืองได้ง่ายในบริเวณที่พาดผ่านกระดูก ทำให้เกิดอาการปวดหลังส่วนล่างร้าวลงก้นได้

2. **Medial Cluneal Nerves (MCN) - โซนสีเขียว:**
* **จุดเชื่อมโยง:** เป็นแขนงที่ออกมาจากเส้นประสาทไขสันหลังส่วนกระเบนเหน็บระดับ S1-S3
* **การทำงาน:** รับความรู้สึกจากผิวหนังบริเวณ "ก้นส่วนกลาง" ซึ่งอยู่ใกล้กับกระดูกกระเบนเหน็บ (Sacrum) อาการปวดบริเวณก้นกบหรือแถวๆ นั้น อาจเกี่ยวข้องกับเส้นประสาทกลุ่มนี้

3. **Inferior Cluneal Nerves (ICN) - โซนสีแดง:**
* **จุดเชื่อมโยง:** เป็นแขนงของเส้นประสาทที่มาจากบริเวณต้นขาด้านหลัง (Posterior cutaneous nerve of the thigh)
* **การทำงาน:** ทอดตัวขึ้นมาเพื่อรับความรู้สึกจากผิวหนังบริเวณ "ก้นส่วนล่าง" หรือบริเวณรอยพับก้น (Gluteal fold) และปุ่มกระดูกรองนั่ง (Sitz bone)

4. **Lateral Cluneal Nerves - โซนสีน้ำเงิน:**
* **จุดเชื่อมโยง:** มาจากเส้นประสาทไขสันหลังส่วนเอวระดับ L1-L2
* **การทำงาน:** รับความรู้สึกจากผิวหนังบริเวณ "สะโพกด้านข้าง"

# # # # **ความสำคัญและอาการที่เกี่ยวข้อง**

* **แสดงอาการปลอม (The Great Impersonator):** ความสำคัญที่สุดของ Cluneal Nerves คืออาการปวดที่เกิดจากเส้นประสาทกลุ่มนี้ มักจะ **"เลียนแบบ"** อาการของโรคอื่นๆ เช่น **โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท (Sciatica)** หรือ **อาการปวดจากข้อต่อกระเบนเหน็บ (SI Joint Pain)** ทำให้คนไข้จำนวนมากได้รับการวินิจฉัยที่คลาดเคลื่อนและรักษาไม่ตรงจุด
* **สาเหตุของการระคายเคือง:** เกิดได้จากการที่เส้นประสาทถูกกดทับ, หนีบ, หรือยึดรั้งจากพังผืดและกล้ามเนื้อที่ตึงตัวเกินไป โดยเฉพาะกลุ่ม Superior Cluneal Nerves ที่พาดผ่านขอบกระดูกเชิงกราน

* **การนวดรีด (Stripping) และกดลึก (Deep Pressure)** บริเวณหลังส่วนล่างและขอบกระดูกเชิงกราน มีเป้าหมายเพื่อคลายกล้ามเนื้อและพังผืดที่อาจกำลังกดทับ **Superior Cluneal Nerves** อยู่
* **การนวดคลึงและกดบริเวณก้นและกระเบนเหน็บ** มีเป้าหมายเพื่อลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ Gluteus

ดังนั้น การนวดในลักษณะนี้จึงไม่ใช่แค่การคลายกล้ามเนื้อทั่วไป แต่เป็น **หัตถการบำบัดที่ลงลึกถึงต้นตอของอาการปวดร้าว ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการระคายเคืองของเส้นประสาทรับความรู้สึกกลุ่มนี้**

https://www.sspphysio.com.au/pudendal-nerve-irritation-and-perineal-pain.html💡แปลภาษาไทย ด้วย Gemini AI  # # # **การบำบั...
13/07/2025

https://www.sspphysio.com.au/pudendal-nerve-irritation-and-perineal-pain.html
💡แปลภาษาไทย ด้วย Gemini AI

# # # **การบำบัดภาวะเส้นประสาทพูเดนดัลถูกรบกวน อาการปวดขาหนีบและฝีเย็บ**

ภาวะเส้นประสาทพูเดนดัลถูกรบกวน (Pudendal nerve irritation), ภาวะเส้นประสาทพูเดนดัลถูกกดทับ (pudendal nerve entrapment), และอาการปวดบริเวณฝีเย็บ (perineal pain) ล้วนเป็นระดับอาการที่แตกต่างกันซึ่งเกี่ยวข้องกับแรงกดที่เกิดขึ้นตามแนวของเส้นประสาทพูเดนดัล (Pudendal nerve) ซึ่งสร้างอาการที่ไม่พึงประสงค์อย่างมาก ได้แก่:

* อาการปวดร้าวไปยังบริเวณฝีเย็บ, อุ้งเชิงกราน, ขาหนีบ, อวัยวะเพศ (ถุงอัณฑะและองคชาตในผู้ชาย / อาการปวดบริเวณแคม, ช่องคลอด, ภาวะช่องคลอดหดเกร็ง (Vaginismus) และภายในช่องคลอดของผู้หญิง)
* อาการปวดที่อวัยวะเพศ, ฝีเย็บ และรอบๆ บริเวณทวารหนักในผู้ชาย
* อาการปวดและตึงบริเวณด้านหลังของสะโพก
* อาการปวดอุ้งเชิงกรานส่วนหลัง หรือปวดกระดูกหัวหน่าว/ขาหนีบ
* อาการปวดอุ้งเชิงกราน/ฝีเย็บที่จะแย่ลงเมื่อนั่งหรือเมื่อมีความเครียด แต่จะดีขึ้นเมื่อยืนหรือนั่งบนโถส้วม
* อาการปวดที่แย่ลงเมื่อใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่น

เส้นประสาทพูเดนดัลมีจุดกำเนิดมาจากร่างแหประสาทส่วนเอวและกระเบนเหน็บ (lumbo-sacral plexus) ในระดับ L4-S4 ประกอบด้วยทั้งเส้นใยประสาทรับความรู้สึก (80%) และเส้นใยประสาทสั่งการ (20%) เส้นประสาทพูเดนดัลจะแตกแขนงออกเป็นเส้นประสาทเล็กๆ 3 เส้น คือ:

* **เส้นประสาทส่วนล่างของไส้ตรง (Inferior re**al nerve):** เลี้ยงบริเวณช่องทวารหนัก, ผิวหนังรอบทวารหนัก, ไส้ตรง, และกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักส่วนนอก
* **เส้นประสาทฝีเย็บ (Perineal nerve):** เลี้ยงบริเวณฝีเย็บ, ช่องคลอด, ท่อปัสสาวะ, ถุงอัณฑะ, แคม, กล้ามเนื้อฝีเย็บตามขวาง, และกล้ามเนื้อหูรูดท่อปัสสาวะ
* **เส้นประสาทส่วนบนของคลิตอริสหรือองคชาต (Dorsal nerve of the cl****is or p***s):** เลี้ยงผิวหนังของคลิตอริส/องคชาต และกล้ามเนื้อ bulbocavernosus กับ ischiocavernosus

ภาวะเส้นประสาทพูเดนดัลถูกรบกวน หรือบางครั้งเรียกว่า **อาการปวดเส้นประสาทพูเดนดัล (pudendal neuralgia)** อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของความรู้สึกในบริเวณใดๆ หรือทุกบริเวณที่เส้นประสาทนี้ไปเลี้ยง และมักจะเกี่ยวข้องกับการทำงานมากเกินไป หรือการหดเกร็งของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานส่วนหลัง การทำงานของกล้ามเนื้อที่มากเกินไปนี้ถูกเชื่อว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ช่องทางที่เส้นประสาทลอดผ่านระหว่างเส้นเอ็น sacrospinous และ sacrotuberous (คือ **ช่องอัลค็อก - Alcock's canal**) และ/หรือระหว่างกล้ามเนื้อ ischiococcygeus, piriformis และ obturator internus แคบลง

*(รูปที่ 1: แสดงเส้นทางของเส้นประสาทพูเดนดัลจากร่างแหประสาทกระเบนเหน็บ ผ่านช่องอัลค็อก ไปยังอวัยวะเพศ)*

**กายภาพบำบัด** ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นทางเลือกการรักษาที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสำหรับอาการปวดเส้นประสาทพูเดนดัล, ภาวะเส้นประสาทพูเดนดัลถูกรบกวน และภาวะเส้นประสาทพูเดนดัลถูกกดทับ

กุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจภาวะนี้ คือการเข้าใจกายวิภาคของอุ้งเชิงกรานส่วนหลัง และการที่ส่วนนี้ของร่างกายเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว, ความมั่นคง และชีวิตประจำวันของเราอย่างไร โดยอุ้งเชิงกรานประกอบด้วยกระดูก 3 ชิ้น คือ กระดูกไร้ชื่อ (innominate bone) 2 ชิ้น และกระดูกกระเบนเหน็บ (sacrum) โดยมีกระดูกก้นกบ (coccyx) ติดอยู่ส่วนปลายด้านล่างของกระดูกกระเบนเหน็บ อุ้งเชิงกรานมักถูกพิจารณาว่าเป็นศูนย์กลางของโครงกระดูกมนุษย์ เพราะมันเชื่อมต่อระหว่างกระดูกสันหลังและขา และมีกล้ามเนื้อถึง 35 มัดมายึดเกาะ ทั้งยังมีเส้นเอ็นที่แข็งแรงที่สุดในร่างกายบางส่วนคอยพยุงข้อต่อของอุ้งเชิงกรานอยู่ด้วย

เส้นประสาทอื่นๆ ที่เลี้ยงบริเวณขาหนีบ/ถุงอัณฑะ และอวัยวะเพศ ได้แก่ เส้นประสาท genito-femoral และเส้นประสาท obturator ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการประเมินด้วยในกรณีที่มีอาการปวดอุ้งเชิงกรานที่ซับซ้อน

เมื่อคุณยืนบนเท้า 2 ข้าง น้ำหนักตัว 65% ของคุณจะถูกถ่ายเทจากฐานของกระดูกสันหลังมายังส่วนบนของกระดูกกระเบนเหน็บ การรับน้ำหนักนี้ดำเนินต่อไปเมื่อคุณเดิน, นั่ง, ก้ม, วิ่ง ฯลฯ เพื่อรับมือกับแรงกดที่เรากระทำต่อข้อต่อในกระดูกสันหลังส่วนเอวและอุ้งเชิงกราน สมองจะสั่งการกล้ามเนื้อที่เฉพาะเจาะจงมากๆ ให้ทำงานเพื่อพยุงข้อต่อเหล่านี้ กล้ามเนื้อเหล่านี้มักถูกเรียกว่า **"กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (core muscles)"** ซึ่งสามารถนึกภาพได้เหมือนภาชนะทรงกระบอกที่ห่อหุ้มอวัยวะในช่องท้องและช่วยพยุงหลังและอุ้งเชิงกรานไว้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวประกอบด้วย:
* **Transversus abdominis:** เป็นกล้ามเนื้อชั้นที่ลึกที่สุดในผนังหน้าท้อง และพันรอบช่องท้องส่วนล่างตั้งแต่สะดือไปจนถึงกระดูกสันหลังเหมือนเครื่องรัดตัว (คอร์เซ็ต)
* **Lumbar multifidus:** เป็นกลุ่มกล้ามเนื้อเล็กๆ ที่พยุงข้อต่อแต่ละข้อในกระดูกสันหลังส่วนเอว และช่วยสร้างความตึงให้กับส่วนหลังของข้อต่อกระดูกเชิงกราน (sacroiliac joint)
* **Pubococcygeus:** เป็นส่วนหน้าของอุ้งเชิงกราน ทำหน้าที่เหมือนฐานของภาชนะทรงกระบอก ช่วยพยุงอวัยวะต่างๆ และช่วยควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระ

วิธีการทำงาน (หรือไม่ทำงาน) ของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของเรื่องราวที่ว่าภาวะเส้นประสาทพูเดนดัลถูกรบกวนเกิดขึ้นได้อย่างไร งานวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าในร่างกายที่แข็งแรงปกติ สมองจะใช้กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวเพื่อพยุงหลังส่วนล่างและอุ้งเชิงกรานของคุณทุกครั้งที่คุณมีการเปลี่ยนการถ่ายเทน้ำหนัก นั่นหมายความว่า ทันทีที่คุณมีความคิดที่จะเคลื่อนไหว (เช่น จากนั่งเป็นยืน หรือจากยืนแล้วตัดสินใจจะเดิน) ปฏิกิริยาแรกที่สมองจะทำคือการเปิดใช้งานกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวทั้งหมดนี้ที่ระดับประมาณ 5-10% ของกำลังสูงสุด โดยที่คุณไม่ต้องคิดหรือรับรู้ถึงมันเลย การทำงานของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวนี้จะสร้างความมั่นคงให้กับข้อต่อหลังส่วนล่าง, ข้อต่อกระดูกเชิงกราน และข้อต่อหัวหน่าว และการทำงานต่อเนื่องของมันจะช่วยพยุงข้อต่อเหล่านี้ในขณะที่กล้ามเนื้อมัดใหญ่ของคุณทำงานเพื่อสร้างการเคลื่อนไหว เราต้องพึ่งพาความรู้สึกมั่นคงที่ได้จากกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวที่ทำงานโดยที่เราไม่รู้ตัว

พฤติกรรมท่าทางที่ไม่ดี โดยเฉพาะในการนั่ง, ความเครียด, และอาการปวดหลัง ทั้งหมดนี้สามารถยับยั้งการทำงานที่ควรจะเป็นของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวได้ เมื่อสมองของเรารับรู้ว่ากล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวไม่ทำงาน มันจะเริ่มมองหาทางเลือกอื่นเพื่อพยุงร่างกายเราไว้ กลยุทธ์การชดเชยที่พบบ่อยคือการที่สมองเริ่ม "เกร็ง" กล้ามเนื้อก้นชั้นลึก โดยเฉพาะกล้ามเนื้อ ischiococcygeus และ obturator internus เมื่อกล้ามเนื้อเหล่านี้เริ่มทำงานหนักเกินไปและตึงเครียดตลอดทั้งวัน ก็มีโอกาสที่จะเกิดแรงกดดันต่อโครงสร้างที่ลอดผ่านช่องอัลค็อก (Alcock's Canal) ซึ่งรวมถึงเส้นประสาทพูเดนดัลด้วย

นักกายภาพบำบัดที่ Sydney Spine and Pelvis Centre มีความตระหนักดีถึงกลไกต่างๆ ที่สามารถนำไปสู่ภาวะเส้นประสาทพูเดนดัลถูกรบกวน และมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการปรับปรุงการวินิจฉัยและการรักษาภาวะที่เจ็บปวดนี้ แผนการรักษาของเราประกอบด้วยการประเมินอุ้งเชิงกรานและกระดูกสันหลังส่วนเอวเพื่อหาความผิดปกติของข้อต่อหรือกล้ามเนื้อ, การคลายกล้ามเนื้อที่ทำงานมากเกินไปและเส้นเอ็นที่ตึงอย่างเฉพาะเจาะจง และสอนวิธีให้คุณ "ปิดการทำงาน" ของกล้ามเนื้อที่ทำงานหนักเกินไปเหล่านั้น เพื่อให้แรงกดดันต่อเส้นประสาทสามารถเริ่มฟื้นตัวได้

---

**ท่าออกกำลังกายเพื่อคลายกล้ามเนื้อ Ischiococcygeus และกระตุ้นการทำงานของ Pubococcygeus**

* ให้จินตนาการถึงรูปสามเหลี่ยมที่มียอดแหลมอยู่ที่กระดูกหัวหน่าวของคุณ และฐานด้านหลังของสามเหลี่ยมเชื่อมระหว่าง **ปุ่มกระดูกรองนั่ง (sitz bones)** ทั้งสองข้างของคุณ
* ขั้นตอนแรกคือ **ผ่อนคลายก้นของคุณ** ลองจินตนาการว่าก้นของคุณคือช็อกโกแลตแท่งหนึ่ง และคุณกำลังนอนอยู่บนชายหาดในวันฤดูร้อน ทรายร้อนมากจนทำให้ช็อกโกแลตของคุณละลาย **ปล่อยให้ก้นของคุณ "ละลาย" หรือผ่อนคลายลง** หากจินตภาพการละลายไม่ได้ผล ให้ลองคลำหาปุ่มกระดูกรองนั่งของคุณขณะนอนลง และจินตนาการว่ากระดูกเหล่านี้กำลังขยายกว้างออกจากกัน (หรือจินตนาการว่าฐานด้านหลังของสามเหลี่ยมที่คุณนึกภาพไว้กำลังกว้างขึ้น อย่าเกร็งก้นและอย่าให้ปุ่มกระดูกรองนั่งบีบเข้าหากันเด็ดขาด!!)
* ตอนนี้ ให้รักษาฐานด้านหลังของสามเหลี่ยมของคุณให้กว้างไว้ และจินตนาการถึงการค่อยๆ **"ยก" ยอดของสามเหลี่ยม (คือกระดูกหัวหน่าวของคุณ) ขึ้นไปทางสะดือ** จินตนาการว่ามีเชือกเชื่อมกระดูกหัวหน่าวกับสะดือของคุณซึ่งกำลังค่อยๆ ดึงขึ้นอย่างนุ่มนวล ลองดูว่าคุณสามารถทำค้างไว้โดยที่ก้นไม่เกร็ง และหายใจไปด้วยได้หรือไม่

ลองดูว่า "จินตภาพ" แบบไหนที่ช่วยให้คุณผ่อนคลายก้นได้ดีที่สุด ฝึกทำเช่นนี้ทุกครั้งที่คุณรู้สึกว่าก้นของคุณเกร็ง และลองดูว่าคุณสามารถรักษความรู้สึกของการผ่อนคลายฐานด้านหลังของสามเหลี่ยมนี้ไว้ได้หรือไม่ทั้งในท่านั่งและท่ายืน

ขอให้โชคดี!

📌 บันทึกโพสไว้ด้วยนะคะ กษัยแปลว่า…“ความเสื่อม”"กษัย" ไม่ใช่โรค แต่คือสภาวะ "ความเสื่อม" ของแกนกลางร่างกายที่คุณอาจไม่รู้...
04/07/2025

📌 บันทึกโพสไว้ด้วยนะคะ กษัยแปลว่า…“ความเสื่อม”

"กษัย" ไม่ใช่โรค แต่คือสภาวะ "ความเสื่อม" ของแกนกลางร่างกายที่คุณอาจไม่รู้ตัว

คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า "กษัย" เกี่ยวข้องกับสมรรถภาพทางเพศเท่านั้น แต่ในทางการแพทย์แผนไทยและกายวิภาคศาสตร์ประยุกต์ "กษัย" คือสภาวะการเสื่อมถอย (Degeneration) ของระบบต่างๆ ที่เป็นรากฐานของร่างกาย โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่บริเวณอุ้งเชิงกรานและช่องท้องส่วนล่าง

ลองจินตนาการว่าร่างกายเรามี "ศูนย์บัญชาการ" อยู่ที่บริเวณกระดูกกระเบนเหน็บชิ้นที่ 2-4 (S2-S4) ซึ่งเป็นที่อยู่ของเครือข่ายเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อและอวัยวะสำคัญทั้งหมดในบริเวณนั้น เมื่อศูนย์บัญชาการนี้ทำงานผิดปกติเพราะถูกรบกวน สภาวะ "ความเสื่อม" ก็จะเริ่มต้นขึ้น

ความเสื่อมเกิดขึ้นได้อย่างไร? จากมุมมองกายวิภาค

1. กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Pelvic Floor) เสื่อมสภาพ:
กล้ามเนื้อกลุ่มนี้ทำหน้าที่เหมือน "เปลญวน" ที่คอยพยุงอวัยวะในช่องท้องและควบคุมการขับถ่าย เมื่อเรานั่งนานๆ หรือมีท่าทางที่ไม่ถูกต้อง กล้ามเนื้อกลุ่มนี้จะเกิดภาวะ ตึงเครียดจนเกร็งค้าง หรือ อ่อนแรงจนย้วย สิ่งนี้จะไปสร้างแรงกดทับและรบกวนโดยตรงต่อเครือข่ายประสาท S2-S4 ที่อยู่ติดกัน เปรียบเสมือนการตัดการสื่อสารของศูนย์บัญชาการ

2. พังผืดรั้งและจุดเจ็บ (Fascia Adhesion & Trigger Points):
เมื่อกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและกล้ามเนื้อขาหนีบ (Groin Muscles) ตึงตัวเป็นเวลานาน ร่างกายจะสร้างพังผืด (Fascia) ขึ้นมาห่อหุ้มและยึดรั้งจนขาดความยืดหยุ่น เกิดเป็น "Trigger Point" หรือจุดกดเจ็บ ที่ส่งความปวดร้าวไปยังบริเวณอื่น เช่น ปวดหลังส่วนล่างลึกๆ ปวดร้าวลงขา หรือปวดหน่วงที่อวัยวะเพศ นี่คือสัญญาณของเนื้อเยื่อที่กำลังเสื่อมสภาพเพราะขาดการไหลเวียนของเลือดและออกซิเจน

3. ระบบประสาทช่องท้อง (Abdominal Nerve Plexus) ทำงานรวน:
ความตึงเครียดจากอุ้งเชิงกรานจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังช่องท้อง ทำให้ระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมการย่อยอาหารและการทำงานของลำไส้เกิดภาวะสับสน นำไปสู่อาการท้องอืด ลมในท้องเยอะ หรือท้องผูกเรื้อรัง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของความเสื่อมในการทำงานของอวัยวะภายใน

4. มวลกล้ามเนื้อลดลง (Muscle Atrophy):
เมื่อเส้นประสาทถูกรบกวนและการไหลเวียนเลือดไม่ดี กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้อง เช่น กล้ามเนื้อก้น กล้ามเนื้อต้นขา และกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว จะไม่ได้รับการกระตุ้นอย่างเต็มที่ นานวันเข้าก็จะเกิดภาวะ มวลกล้ามเนื้อลดลง ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง ขาไม่ค่อยมีแรง และทรงตัวได้ไม่ดี ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของ "ความเสื่อม" ที่เห็นได้ชัดที่สุด

สรุป: อาการเหล่านี้คือสัญญาณของ "กษัย" หรือ "ความเสื่อม"

ปวดหลังส่วนล่างลึกๆ ที่หาสาเหตุไม่เจอ

ปัสสาวะไม่สุด กะปริดกะปรอย เกิดซากเซลล์ที่ค้างในระบบเมเทบบอลิซึม

ท้องอืด ท้องผูก หรือรู้สึกว่าระบบย่อยอาหารไม่ดี มีอาการกรดไหลย้อน

รู้สึกขาอ่อนแรง กำลังวังชาถดถอย

สมรรถภาพทางเพศลดลง

❗️สำคัญมาก นวดกษัยบำบัด จึงไม่ใช่นวดเฉพาะจุด ✖️ไม่ใช่นวดผ่อนคลาย✖️ไม่ใช่นวดกระตุ้นอารมณ์ 👉ไม่อ่านไม่หาข้อมูล …โดนหลอกเสี...
20/06/2025

❗️สำคัญมาก นวดกษัยบำบัด จึงไม่ใช่นวดเฉพาะจุด
✖️ไม่ใช่นวดผ่อนคลาย✖️ไม่ใช่นวดกระตุ้นอารมณ์
👉ไม่อ่านไม่หาข้อมูล …โดนหลอกเสียเงินฟรี ต้องโทษตัวเอง🤬

กษัยสุข: นวดบำบัดกษัยประยุกต์ Swedish Therapy เพื่อสุขภาพชายที่ดีขึ้น

จุดประสงค์: ฟื้นฟูร่างกาย ลดอาการความเสื่อมของกษัย
หลักการสำคัญ:
>ใช้หลักการจากแพทย์แผนไทยและกายภาพบำบัด <

มุ่งเน้นกลไกห่วงโซ่กลศาสตร์ใน 4 อวัยวะสำคัญ
🔺ขั้นตอนการบำบัด 4 อวัยวะหลัก:
🎯หลัง (L, T, C): คลายกล้ามเนื้อ, ลดการกดทับเส้นประสาท
🎯เชิงกราน (ก้น) (สลักเพชร, กระเบนเหน็บ, ก้นย้อย): คลายกล้ามเนื้อรอบเชิงกราน, ลดการกดทับ Sacral Foramen (BL32) และเส้นประสาท
🎯ท้อง (กล้ามเนื้อ QL, ลำไส้, ตับ, ไต, กระเพาะปัสสาวะ, ต่อมลูกหมาก): ปรับสมดุลอวัยวะภายใน, คลายพังผืดที่เกี่ยวข้อง
🎯เชิงกรานส่วนหน้า (หัวหน่าว, ขาหนีบ, ถุงอัณฑะ, Perineum, องคชาติ): สลายพังผืดเฉพาะจุด, เพิ่มการไหลเวียนเลือดสู่บริเวณสำคัญ
เทคนิคประยุกต์ Swedish Therapy:
เทคนิคการนวดเพื่อคลายจุดตึง (Ischemic Compression)
เทคนิคการกดคลายพังผืด (Deep Friction)
การปรับแรงนวดตามการตอบสนองผู้รับบริการ

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง:
ฟื้นฟูการทำงานระบบประสาท (S2-S4 ควบคุมการแข็งตัว) (T12-L2 ควบคุมการหลั่ง)
เพิ่มการไหลเวียนโลหิต
ลดความตึงเครียดกล้ามเนื้อ/พังผืด
สุขภาพทางเพศชายที่ดีขึ้น (การแข็งตัว, การหลั่ง)

💡การควบคุมการแข็งตัว การทำงานของ S2-S4 และการหลั่งน้ำอสุจิ (T12-L2)
จากรูปภาพ สามารถอธิบายกลไกการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของอวัยวะเพศชายและการหลั่งน้ำอสุจิได้ดังนี้
1. การแข็งตัวของอวัยวะเพศชาย (Er****on)
* การควบคุมโดยเส้นประสาท: การแข็งตัวของอวัยวะเพศชายถูกควบคุมโดยระบบประสาทพาราซิมพาเทติก ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ไขสันหลังส่วน Sacral (S2-S4)
* เส้นประสาทพุดเดนดัล (Pudendal nerve): เส้นประสาทนี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบประสาท S2-S4 ทำหน้าที่ส่งสัญญาณไปยังกล้ามเนื้อของอวัยวะเพศชาย ทำให้เกิดการคลายตัวของหลอดเลือดและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดเข้าสู่เนื้อเยื่อของอวัยวะเพศชาย เป็นผลให้อวัยวะเพศชายแข็งตัว
* Pelvic splanchnic nerves: เส้นประสาทกลุ่มนี้ช่วยขยายหลอดเลือดที่อวัยวะเพศชาย ทำให้เลือดไหลเข้าสู่เนื้อเยื่อมากขึ้น และกระตุ้นการทำงานของต่อม bulbourethral ซึ่งผลิตสารหล่อลื่น
2. การหลั่งอสุจิ (Ej*******on)
* การควบคุมโดยเส้นประสาท: การหลั่งอสุจิเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบประสาททั้งส่วนกลางและส่วนปลาย โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ไขสันหลังส่วน Thoracic และ Lumbar (T12-L2)
* Sacral splanchnic nerves: เส้นประสาทกลุ่มนี้ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ เช่น ต่อมสร้างอสุจิ (seminal vesicles) ต่อมลูกหมาก (prostate gland) และกล้ามเนื้อเรียบที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของอสุจิ
* การทำงานร่วมกัน: เมื่อได้รับการกระตุ้นทางเพศ เส้นประสาทจากสมองจะส่งสัญญาณไปยังไขสันหลังส่วน T12-L2 ซึ่งจะกระตุ้นเส้นประสาท Sacral splanchnic ทำให้เกิดการบีบตัวของกล้ามเนื้อในระบบสืบพันธุ์ ส่งผลให้มีการหลั่งอสุจิออกมา
สรุป
* การแข็งตัวของอวัยวะเพศชายเป็นกระบวนการที่ถูกควบคุมโดยระบบประสาทพาราซิมพาเทติก ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ไขสันหลังส่วน S2-S4 ผ่านทางเส้นประสาทพุดเดนดัลและ Pelvic splanchnic nerves
* การหลั่งน้ำอสุจิเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนกว่า ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบประสาททั้งส่วนกลางและส่วนปลาย โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ไขสันหลังส่วน T12-L2 ผ่านทางเส้นประสาท Sacral splanchnic
* การทำงานที่ประสานกันของระบบประสาทและอวัยวะต่างๆ ในระบบสืบพันธุ์ มีความสำคัญต่อการแข็งตัวของอวัยวะเพศชาย การหลั่งน้ำอสุจิ และการสืบพันธุ์

26/05/2025

กษัยตามแนวคิดการแพทย์แผนไทย เป็นกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากความผิดปกติของธาตุทั้ง 4 (ดิน น้ำ ลม ไฟ) ภายในร่างกาย รวมถึงความผิดปกติของเสมหะ เลือด ลม และดี ซึ่งสามารถบำบัดได้ด้วยหัตถการนวดบำบัดและยาสมุนไพร เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับโรคสมัยใหม่ สามารถเชื่อมโยงได้ดังนี้:

กษัยที่เกิดแก่กองธาตุสมุฏฐาน 8 จำพวก และอาการสมัยใหม่ที่เทียบเคียงได้:

กษัยน้ำ (เกิดจากความผิดปกติของธาตุน้ำ - อาโปธาตุ)

อาการ: บวมน้ำ, ปัสสาวะขัดหรือมากเกินไป
เทียบเคียงโรคสมัยใหม่: ภาวะบวมน้ำ (Edema), โรคไตบางชนิด, ภาวะกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติ (Overactive Bladder) หรือภาวะปัสสาวะเล็ด
กษัยลม (เกิดจากความผิดปกติของธาตุลม - วาโยธาตุ)

อาการ: ปวดเมื่อย, จุกเสียด, แน่นท้อง
เทียบเคียงโรคสมัยใหม่: อาการปวดกล้ามเนื้อ (Myalgia), กลุ่มอาการลำไส้แปรปรวน (IBS) ที่มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือปวดท้อง, อาการกรดไหลย้อน
กษัยไฟ (เกิดจากความผิดปกติของธาตุไฟ - เตโชธาตุ)

อาการ: ร้อนใน, กระหายน้ำ
เทียบเคียงโรคสมัยใหม่: ภาวะขาดน้ำ (Dehydration), อาการร้อนวูบวาบ (โดยเฉพาะในหญิงวัยหมดประจำเดือน), อาการที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญผิดปกติ
กษัยดิน (เกิดจากความผิดปกติของธาตุดิน - ปถวีธาตุ)

อาการ: เกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร, ท้องอืด, ท้องผูก
เทียบเคียงโรคสมัยใหม่: โรคระบบทางเดินอาหารและลำไส้ต่างๆ เช่น ท้องผูกเรื้อรัง, ท้องอืด, อาหารไม่ย่อย, กลุ่มอาการลำไส้แปรปรวน
กษัยเลือด

อาการ: เลือดลมไม่ดี
เทียบเคียงโรคสมัยใหม่: ภาวะโลหิตจาง, ปัญหาการไหลเวียนโลหิตไม่ดี, ประจำเดือนผิดปกติ, ความผิดปกติของระบบเลือด
กษัยปัสสาวะ

อาการ: มีปัญหาเกี่ยวกับระบบปัสสาวะ
เทียบเคียงโรคสมัยใหม่: โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ, นิ่วในทางเดินปัสสาวะ, ต่อมลูกหมากโต (ในเพศชาย) ที่ส่งผลต่อการปัสสาวะ
กษัยเส้นเอ็น

อาการ: ปวดเมื่อยตามร่างกาย
เทียบเคียงโรคสมัยใหม่: กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูกเรื้อรัง (เช่น Fibromyalgia), อาการปวดข้อ, เอ็นอักเสบ, ออฟฟิศซินโดรม
กษัยราก

อาการ: เกิดจากความเสื่อมถอยของร่างกาย
เทียบเคียงโรคสมัยใหม่: ภาวะความเสื่อมตามวัย (Aging-related conditions), ภาวะอ่อนเพลียเรื้อรัง (Chronic Fatigue Syndrome), โรคที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อมของเซลล์และอวัยวะ
กองธาตุสมุฏฐาน 8 จำพวก (ที่อธิบายละเอียดขึ้น):

ปถวีธาตุสมุฏฐาน (กองธาตุดิน) (เกี่ยวข้องกับโครงสร้างและของแข็ง)

หทัยวัตถุ (หัวใจ): ใจสั่น, เจ็บหน้าอก -> โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ, โรคหลอดเลือดหัวใจ
มังสัง (กล้ามเนื้อ): ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ, กล้ามเนื้ออ่อนแรง -> Myalgia, Myopathy
อัฏฐิ (กระดูก): ปวดกระดูก, กระดูกเสื่อม -> Osteoarthritis, Osteoporosis
อัฏฐิมินชัง (เยื่อในกระดูก): ไขกระดูกเสื่อม -> ภาวะไขกระดูกฝ่อ
ยกนัง (ตับ): ตับอักเสบ, ดีซ่าน -> Hepatitis, Jaundice
กิโลมกัง (พังผืด): พังผืดรัดรั้ง -> Adhesions, Fibrosis (เทียบได้กับการเกิดพังผืดในอวัยวะหรือเนื้อเยื่อ เช่น พังผืดหลังผ่าตัด หรือพังผืดที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรัง)
ปิหกัง (ม้าม): ม้ามโต -> Splenomegaly
วักกัง (ไต): ไตอักเสบ, ไตวาย -> Nephritis, Renal Failure
อันตัง (ลำไส้ใหญ่): ท้องผูก, ท้องเสีย -> Constipation, Diarrhea, IBS
อันตคุณัง (ลำไส้เล็ก): ปวดท้อง, อาหารไม่ย่อย -> Dyspepsia, Malabsorption
อุทริยัง (อาหารใหม่): อาหารเป็นพิษ -> Food Poisoning
กรีสัง (อาหารเก่า): อุจจาระตกค้าง -> F***l Impaction
มัตถเกมัตถลุงคัง (มันสมอง): ปวดศีรษะ, ความจำเสื่อม -> Migraine, Dementia
สิระ (เส้นประสาท): เหน็บชา, อัมพฤกษ์ อัมพาต -> Neuropathy, Paralysis, Stroke sequelae
นหารู (เส้นเอ็น): เอ็นอักเสบ, ปวดตามข้อ -> Tendinitis, Arthritis
ทัตตะ (ฟัน): ฟันผุ, ปวดฟัน -> Dental Caries, Toothache
ตะโจ (ผิวหนัง): ผิวหนังอักเสบ, ผื่นคัน -> Dermatitis, Eczema
โลมา (ขน): ขนร่วง -> Alopecia
นขา (เล็บ): เล็บเปราะ, เล็บขบ -> Brittle Nails, Ingrown Nails
ปิตตะ (ดี เสมหะ): เป็นตัวกำกับการทำงานของธาตุดิน -> (เกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบทางเดินอาหารและระบบภูมิคุ้มกัน)
อาโปธาตุสมุฏฐาน (กองธาตุน้ำ) (เกี่ยวข้องกับของเหลว)

ปิตตัง (น้ำดี): ดีซ่าน, คลื่นไส้ อาเจียน -> Jaundice, Nausea, Vomiting
เสมหัง (เสมหะ): ไอ, มีเสมหะ -> Cough, Phlegm, Bronchitis
ปุพโพ (น้ำหนอง): ฝี, หนอง -> Abscess, Pustules
โลหิตัง (น้ำเลือด): เลือดจาง, ประจำเดือนผิดปกติ -> Anemia, Menstrual Irregularities
เสโท (น้ำเหงื่อ): เหงื่อออกมาก, เหงื่อออกน้อย -> Hyperhidrosis, Anhidrosis
เมโท (น้ำมันไขข้อ): ข้ออักเสบ, ข้อเสื่อม -> Arthritis, Osteoarthritis
อัสสุ (น้ำตา): ตาแห้ง, ตาแฉะ -> Dry Eyes, Conjunctivitis
วสา (น้ำเหลือง): น้ำเหลืองเสีย, บวมน้ำ -> Lymphedema, Edema
เขโฬ (น้ำลาย): ปากแห้ง, น้ำลายน้อย -> Xerostomia (Dry Mouth)
สิงคาณิกา (น้ำมูก): คัดจมูก, น้ำมูกไหล -> Rhinitis, Nasal Congestion
ลสิกา (น้ำไขข้อ): ข้อฝืด, ข้อติด -> Joint Stiffness
มุตตัง (น้ำปัสสาวะ): ปัสสาวะขัด, ปัสสาวะบ่อย -> Dysuria, Frequent Urination
วาโยธาตุสมุฏฐาน (กองธาตุลม) (เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวและการไหลเวียน)

อุทธังคมาวาตา (ลมพัดขึ้นเบื้องบน): วิงเวียนศีรษะ, หน้ามืด -> Dizziness, Vertigo
อโธคมาวาตา (ลมพัดลงเบื้องต่ำ): ท้องอืด, ท้องเฟ้อ -> Flatulence, Bloating
กุจฉิสยาวาตา (ลมในท้อง): ปวดท้อง, จุกเสียด -> Abdominal Pain, Cramps
โกฏฐาสยาวาตา (ลมนอกลำไส้): ท้องอืด, เรอ, ผายลม -> Bloating, Belching, Flatulence
อังคมังคานุสารีวาตา (ลมตามตัว): เหน็บชา, ปวดเมื่อยตามตัว -> Numbness, Aches and Pains
อัสสาสะปัสสาสะวาตา (ลมหายใจเข้าออก): หอบหืด, หายใจไม่สะดวก -> Asthma, Dyspnea
เตโชธาตุสมุฏฐาน (กองธาตุไฟ) (เกี่ยวข้องกับความร้อนและการเผาผลาญ)

สันตัปปัคคี (ไฟอุ่นกาย): ตัวร้อน, เป็นไข้ -> Fever
ปริทัยหัคคี (ไฟระส่ำระสาย): ร้อนใน, กระหายน้ำ -> Oral Ulcers, Dehydration
ชิรณัคคี (ไฟย่อยอาหาร): อาหารไม่ย่อย, ท้องอืด -> Indigestion, Dyspepsia
ปริณามัคคี (ไฟเผาผลาญ): น้ำหนักลด, อ่อนเพลีย -> Weight Loss, Chronic Fatigue
เสมหะสมุฏฐาน (กองเสมหะ) -> (อาจเทียบได้กับโรคระบบทางเดินหายใจที่มีเสมหะมาก หรือภาวะที่มีของเหลวในร่างกายมากเกินไป)

โลหิตะสมุฏฐาน (กองกำเดา หรือเลือด) -> (เทียบได้กับความผิดปกติของระบบเลือดหรือการไหลเวียน)

วาตะสมุฏฐาน (กองลม) -> (เทียบได้กับโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท การเคลื่อนไหว หรืออาการปวดต่างๆ)

ปิตตะสมุฏฐาน (กองดี) -> (เทียบได้กับความผิดปกติของตับ ถุงน้ำดี หรือระบบทางเดินอาหารและอาการที่เกี่ยวข้องกับความร้อน/อักเสบ)

โดยสรุป:

กษัยอุปปาติกะ: มักเกี่ยวข้องกับความเชื่อและสิ่งเหนือธรรมชาติ การรักษาจะเน้นไปทางพิธีกรรมหรือการแก้เคล็ด (ไม่มีการเทียบเคียงกับโรคสมัยใหม่โดยตรง)
กษัยกองธาตุสมุฏฐาน: เน้นไปที่ความผิดปกติทางกายภาพ ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยการนวด, ยาสมุนไพร และการปรับพฤติกรรม อาการเหล่านี้สามารถเทียบเคียงได้กับกลุ่มอาการหรือโรคต่างๆ ในการแพทย์แผนปัจจุบันตามที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับ ระบบโครงสร้างร่างกาย, ระบบย่อยอาหาร, ระบบทางเดินปัสสาวะ, ระบบไหลเวียนโลหิต, ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก, และภาวะความเสื่อมของร่างกาย

ที่อยู่

เลียบทางด่วน ซอยโยธินพัฒนา
Bangkok

เวลาทำการ

จันทร์ 10:00 - 22:00
อังคาร 10:00 - 22:00
พุธ 10:00 - 22:00
พฤหัสบดี 10:00 - 22:00
ศุกร์ 10:00 - 22:00
เสาร์ 10:00 - 22:00
อาทิตย์ 10:00 - 22:00

เบอร์โทรศัพท์

+66840292633

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ กษัยสุข - นวดกษัยกายวิภาค สุขภาพบำบัดผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์