ตลาดนัดครอบครัว

ตลาดนัดครอบครัว ตลาดนัดสำหรับแบ่งปันความรู้ และความเข้าใจเกี่ยวกับทุกเรื่องพัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก

สารบัญเพจ สามารถเข้าดูได้ที่รูปภาพ (Photo) ตามช่วงอายุและปัญหาพฤติกรรมได้เลยค่ะ

01/10/2025

"ถ้าลูกอายุ 3-4 ปี ไม่ยอมนอนกลางวันจะเป็นอะไรไหมคะคุณหมอ" อาจจะเป็นข้อสงสัยของผู้ปกครองหลาย ๆ คนนะคะ วันนี้หมอไอซ์ 👩‍⚕️ จะมาชี้แจงเกี่ยวกับข้อสงสัยนี้กันค่ะ และหากลูกไม่นอนกลางวันแล้วจะมีวิธีดูแลอย่างไร

#ทุกเรื่องการเลี้ยงลูกตลาดนัดครอบครัวมีคำตอบ

28/09/2025
ทำไมจึงยังไม่ควรให้ลูกเป็นเจ้าของสมาร์ตโฟนก่อนอายุ 13 ปี ? บทสรุปจากงานวิจัย โดยหมอเค…ศ.นพ.วีระศักดิ์ ชลไชยะจากผลการศึกษ...
26/09/2025

ทำไมจึงยังไม่ควรให้ลูกเป็นเจ้าของสมาร์ตโฟนก่อนอายุ 13 ปี ? บทสรุปจากงานวิจัย โดยหมอเค…ศ.นพ.วีระศักดิ์ ชลไชยะ

จากผลการศึกษาของโครงการ Global Mind Project โดย Sapien Labs ที่ศึกษาโดยการสำรวจออนไลน์ในอาสาสมัครที่มีอายุ 18-24 ปี เกือบ 2 ล้านคน ใน 163 ประเทศทั่วโลก พบว่าวัยผู้ใหญ่ตอนต้นที่รายงานว่าตนเองมีผลคะแนนสุขภาพจิต (Mind Health Quotient) โดยรวม ซึ่งหมายถึงสุขภาวะด้านสังคม อารมณ์ สติปัญญา และทางกายลดลง มักมีประวัติว่าเป็นเจ้าของสมาร์ตโฟนก่อนอายุ 13 ปี หากจะอธิบายให้เห็นภาพมากขึ้น การศึกษานี้พบว่าผลคะแนนสุขภาพจิตจะเท่ากับ 30 คะแนน หากอาสาสมัครเป็นเจ้าของสมาร์ตโฟนที่อายุ 13 ปี แต่ผลคะแนนสุขภาพจิตจะเหลือเพียง 1 คะแนน หากอาสาสมัครรายงานว่าเป็นเจ้าของสมาร์ตโฟนที่อายุ 5 ปี

นอกจากนี้การเป็นเจ้าของสมาร์ตโฟนเมื่ออายุน้อยลงยังสัมพันธ์กับการมีความคิดอยากฆ่าตัวตาย ความก้าวร้าว การแยกตัวออกจากชีวิตจริง และอาการประสาทหลอนมากขึ้น รวมถึงยังมีปัญหาด้านการควบคุมอารมณ์ มีความยืดหยุ่นทางอารมณ์ ความเชื่อมั่น และเห็นคุณค่าในตนเองลดลง ซึ่งความสัมพันธ์ต่าง ๆ ข้างต้นพบในระดับประชากรทั่วโลก ทุกวัฒนธรรม และภาษา

ความสัมพันธ์ระหว่างการเป็นเจ้าของสมาร์ตโฟนในวัยเด็กกับผลคะแนนสุขภาพจิตโดยรวมที่ลดลงในวัยผู้ใหญ่ตอนต้นจะพบชัดเจนมากกว่าในเพศหญิง ผู้วิจัยยังพบอีกว่าการเข้าถึงโซเชียลมีเดียตั้งแต่อายุน้อย การถูกระรานทางไซเบอร์ (cyberbullying) การรบกวนการนอนหลับ และการมีความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ไม่ดีจะเป็นปัจจัยสื่อกลางของความสัมพันธ์ระหว่างการเป็นเจ้าของสมาร์ตโฟนในวัยเด็กกับผลคะแนนสุขภาพจิตโดยรวมที่ลดลง หรือหากกล่าวอีกมุมหนึ่ง คือ เด็กที่เป็นเจ้าของสมาร์ตโฟนก่อนอายุ 13 ปี จะส่งผลให้เข้าถึงโซเชียลมีเดียตั้งแต่อายุน้อย เพิ่มโอกาสที่จะถูกระรานทางไซเบอร์ ครอบครัวมีความสัมพันธ์กันลดลง และการนอนหลับจะถูกรบกวนได้ ผลการวิเคราะห์อื่นที่น่าสนใจพบว่าเด็กที่เข้าถึงโซเชียลมีเดียตั้งแต่อายุน้อยจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการมีความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ไม่ดี และการถูกระรานทางไซเบอร์อีกด้วย

อย่างไรก็ตามการศึกษานี้มีข้อจำกัด คือ ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเวลาการใช้สื่อผ่านจอ หรือกิจกรรมโซเชียลมีเดียที่ใช้ รวมถึงไม่มีข้อมูลการใช้สื่อผ่านจอในวัยเด็ก และเก็บข้อมูลในช่วงการระบาดของโควิด-19 ซึ่งเพิ่มโอกาสที่จะใช้สื่อผ่านจอมากขึ้น รวมทั้งยังอาจส่งผลต่อคะแนนสุขภาพจิตได้ อีกทั้งยังไม่สามารถสรุปแบบเป็นเหตุและผลจากการศึกษาวิจัยแบบภาคตัดขวางลักษณะนี้ได้

คำแนะนำเชิงนโยบาย

➢ ผู้วิจัยเสนอแนะว่าควรพิจารณาจำกัดการเข้าถึงโซเชียลมีเดีย และการใช้สมาร์ตโฟนที่สามารถเชื่อมต่อกับสัญญาณอินเทอร์เน็ต และมีแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่นอกเหนือจากการใช้เพื่อโทรคุย และส่งข้อความในเด็กที่อายุต่ำกว่า 13 ปี ให้เป็นนโยบายที่นำไปปฏิบัติในระดับชาติให้เหมือนกับการควบคุมการเข้าถึงแอลกอฮอล์และบุหรี่ในเด็กและเยาวชน ซึ่งนโยบายข้างต้นเริ่มทำในบางประเทศแต่ก็จำเป็นที่จะต้องอาศัยความร่วมมือกันจากทุกภาคส่วน ซึ่งคำแนะนำนี้น่าจะท้าทายมากที่สุดที่จะนำไปปฏิบัติได้จริง

➢ ควรให้การศึกษาเกี่ยวกับการรู้เท่าทันดิจิทัลและปัญหาสุขภาพจิตเพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนสามารถใช้สื่อดิจิทัลต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัย สร้างสรรค์ และมีประสิทธิภาพ

➢ พิจารณาจำกัดการเข้าถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในเด็กและเยาวชนที่ยังมีอายุไม่ถึงเกณฑ์สำหรับการใช้สื่อสังคมออนไลน์นั้น ๆ

วัตถุประสงค์ของการเขียนบทความนี้ ผมไม่ได้ต่อต้านการใช้สมาร์ตโฟนในเด็กที่อายุน้อยกว่า 13 ปี แต่อยากส่งเสริมให้ใช้เพื่อการโทรคุย หรือติดต่อสื่อสารที่จำเป็น หรือเพื่อประโยชน์ในการเรียนรู้สำหรับเด็กก็น่าจะดีกว่าการเข้าถึงโซเชียลมีเดียที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสมและใช้อย่างไม่ควบคุม นอกจากนี้ผมอยากจะเชิญชวนให้พ่อแม่และผู้ปกครองพิจารณาทบทวนให้รอบคอบถึงข้อดีและข้อเสียของการซื้อสมาร์ตโฟนให้เด็กโดยเฉพาะที่ยังมีอายุน้อย หรือเด็กที่มีปัญหาสมาธิสั้น มีปัญหาในการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรม และมีปัญหาความสัมพันธ์กับผู้ปกครอง รวมทั้งที่ยังไม่สามารถรับผิดชอบดูแลตนเองเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวัน ของใช้ส่วนตัว การเรียน งานบ้าน และไม่สามารถปิดการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เมื่อไม่จำเป็นต้องใช้ได้

สิ่งหนึ่งที่ผมมักจะถามเด็กและวัยรุ่นอยู่เสมอ คือ วัตถุประสงค์ของการใช้สื่อผ่านจอ เล่นโซเชียลมีเดีย หรือเกมต่าง ๆ ว่าคืออะไร เด็กหลายคนตอบว่าเล่นเพื่อความสนุก ความบันเทิง ผ่อนคลาย เข้าสังคม และลดความเบื่อเวลาไม่มีอะไรทำ ในขณะที่ผมก็มักจะถามคำถามต่อว่าแล้วเคยใช้สื่อผ่านจอหรือเล่นเกมจนหัวร้อน อารมณ์เสียเมื่อเล่นแพ้ ทำงานไม่เสร็จ ทะเลาะกับพ่อแม่ หรือส่งผลเสียอื่น ๆ หรือไม่ ซึ่งเด็กจำนวนหนึ่งจะตอบว่ามี หลังจากนั้นผมจะเน้นย้ำให้เด็กทบทวนว่าวัตถุประสงค์เริ่มแรกของการใช้สื่อต่าง ๆ เพื่ออะไร ดังนั้นหากใช้สื่อผ่านจอหรือเล่นเกมแล้วสุดท้ายสื่อหรือเกมเหล่านั้นกลับมา “เล่นชีวิต” ของเด็ก ๆ ด้วยก็คงไม่น่าจะดีเช่นกัน อีกทั้งผมจะยกตัวอย่างเคสเด็กที่มีปัญหาจากการใช้สื่อที่ต้องมารักษาให้เด็กฟัง ซึ่งเด็กก็มักจะรับฟัง แล้วสุดท้ายจะสรุปร่วมกันว่าอยากให้เด็กใช้สื่อหรือเล่นได้หลังจากที่รับผิดชอบกิจวัตรประจำวัน หรือหน้าที่ต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว เล่นได้แบบไม่เสียงานเสียการ หรือทำลายความสัมพันธ์อันดีกับคนอื่น ๆ และถ้าหากใช้จนสื่อเริ่มจะมาเล่นชีวิตของเด็กบ้าง ก็ควรจะรีบถอยออกมา แล้วหาสิ่งอื่นทำทดแทน และหาจุดสมดุลใหม่ก็น่าจะดีกว่า

ผมเชื่อว่าหมอพัฒนาการและจิตแพทย์เด็กส่วนใหญ่ย่อมเห็นด้วยว่าการรักษาเด็กที่ติดสื่อผ่านจอแล้วนั้นยากกว่าการป้องกันปัญหานี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ดังนั้นผู้ปกครองจึงมีบทบาทสำคัญในการให้เด็กเข้าถึงโซเชียลมีเดียเมื่อเวลาเหมาะสม ไม่ให้เป็นเจ้าของสมาร์ตโฟนตั้งแต่อายุน้อย สร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีในครอบครัว ส่งเสริมวินัย มีกิจวัตรประจำวัน และสุขลักษณะการนอนหลับที่ดีเพื่อให้เด็กสามารถใช้สื่อผ่านจออย่างเป็นประโยชน์ และส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและใจของเด็กให้น้อยที่สุด

เอกสารอ้างอิง:
https://www.tandfonline.com/doi/full/10.1080/19452829.2025.2518313?utm_medium=email&utm_source=EmailStudio&utm_campaign=Global+study+of+young+people+links+early+smartphone+ownership+with+poorer+mental+health_5176281&utm_id=&

https://www.medscape.com/viewarticle/mental-health-worrying-impact-smartphones-before-age-13-2025a1000nwt?ecd=WNL_mdpls_250916_mscpedit_peds_etid7722610&uac=45181SX&spon=9&impID=7722610

#ทุกเรื่องการเลี้ยงลูกตลาดนัดครอบครัวมีคำตอบ

25/09/2025

❓️ทำไมลูกบ้านนั้นดูจอตอนกินข้าวได้ล่ะแม่ แต่ทำไมหนูทำไม่ได้ล่ะ 🤔 คุณพ่อคุณแม่เคยได้ยินคำถามแบบนี้จากลูกบ้างไหมคะ ว่าทำไมสิ่งที่เราห้ามลูกแต่เด็กคนอื่นกลับทำได้

วันนี้หมอพร 👩‍⚕️ มีเคล็ดลับในการตอบคำถามลูกเกี่ยวกับปัญหานี้มาฝากกันค่ะ

#ทุกเรื่องการเลี้ยงลูกตลาดนัดครอบครัวมีคำตอบ

Franklin D. Roosevelt (ประธานาธิบดีคนที่ 32 ของสหรัฐอเมริกา) กล่าวว่า ทะเลที่สงบไม่เคยทำให้นักเดินเรือเก่ง 🌊 ⛵️เช่นเดียว...
21/09/2025

Franklin D. Roosevelt (ประธานาธิบดีคนที่ 32 ของสหรัฐอเมริกา) กล่าวว่า
ทะเลที่สงบไม่เคยทำให้นักเดินเรือเก่ง 🌊 ⛵️

เช่นเดียวกันกับเด็กที่ไม่เคยเจออุปสรรค ก็จะไม่ทำให้เกิดทักษะชีวิต

ความท้าทายหรือความยากลำบากในชีวิตเด็ก ๆ เป็นโอกาสที่ดีในการเติบโต

การที่เด็ก ๆ ต้องเผชิญน้ำเชี่ยวหรือปัญหาจะช่วยเสริมสร้างทักษะในการปรับตัวและเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่เด็กทั้งทางกายและใจ 💖

#ทุกเรื่องการเลี้ยงลูกตลาดนัดครอบครัวมีคำตอบ

สัญญาณเตือน 10 ข้อที่ลูกอาจเป็นออทิสติก โดยหมอเค…ศ.นพ.วีระศักดิ์ ชลไชยะ โรคออทิซึม หรือ autism spectrum disorder เป็นโรค...
19/09/2025

สัญญาณเตือน 10 ข้อที่ลูกอาจเป็นออทิสติก โดยหมอเค…ศ.นพ.วีระศักดิ์ ชลไชยะ

โรคออทิซึม หรือ autism spectrum disorder เป็นโรคที่มีความบกพร่องด้านสังคมและการสื่อสาร และการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม รวมทั้งมีพฤติกรรม ความสนใจ หรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่จำกัด และมีลักษณะซ้ำ ๆ ซึ่งจะมีอาการตั้งแต่ช่วงปฐมวัย หากจะอธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้น เด็กที่มีภาวะออทิสติกจะมีพัฒนาการด้านสังคมและภาษาล่าช้า และเบี่ยงเบนไปจากเด็กปกติทั่วไป อยู่ในโลกส่วนตัว ไม่สนใจในการเล่นหรือการมีความสัมพันธ์กับผู้อื่น ร่วมกับมีพฤติกรรมซ้ำ ๆ ซึ่งที่ระบุในชื่อว่าเป็นสเปกตรัม (spectrum) ก็เพราะว่าเด็กที่เป็นโรคนี้จะมีอาการตั้งแต่น้อยมากซึ่งอาจได้รับการวินิจฉัยเมื่ออยู่ในวัยเรียน จนถึงมีอาการบกพร่องอย่างมาก ทั้งนี้หากพ่อแม่และผู้ปกครองสังเกตว่าบุตรหลานมีพัฒนาการและพฤติกรรมเหล่านี้ ควรพาเด็กไปรับการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อจะได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสมตั้งแต่ระยะเริ่มแรก อย่างไรก็ตามเด็กออทิสติกไม่จำเป็นต้องมีอาการต่าง ๆ ทั้งหมด และไม่สามารถใช้เพียงอาการใดอาการหนึ่งเท่านั้นที่จะบอกว่าเป็นออทิสติก แต่ต้องมีความบกพร่องของทักษะหลายอย่างตามที่ระบุไว้

1. เด็กพูดช้ามักเป็นอาการสำคัญที่มาในวัยเตาะแตะหรือวัยอนุบาล เด็กมักไม่เข้าใจภาษา ทำตามคำสั่งไม่ได้ ไม่ตอบสนองต่อเสียงเรียกชื่อ และไม่ค่อยสื่อสารด้วยการใช้ภาษาท่าทาง เช่น ไม่ชี้บอกความต้องการ หรือขอความช่วยเหลือ อาจใช้มือของผู้ปกครองเป็นเพียงอุปกรณ์เพื่อไปยังสิ่งที่ต้องการ หรือไม่ชี้เพื่อบอกสิ่งที่สนใจ ขาดความสนใจร่วมกับผู้อื่น หากเป็นเด็กโตที่สามารถสื่อสารได้ ก็มักไม่สนทนาโต้ตอบกลับไปกลับมา ไม่ใช้ภาษาเพื่อเข้าสังคมอย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ ซึ่งเด็กออทิสติกมักจะมีลักษณะที่แตกต่างจากเด็กที่มีพัฒนาการด้านภาษาล่าช้าเพียงอย่างเดียวตามที่เคยโพสต์ไว้ก่อนหน้านี้ (https://www.facebook.com/share/p/178xLL6A22/)

2. เล่นของเล่นไม่เป็นและไม่สมวัย ซึ่งเด็กปกติอายุ 12 เดือน จะสามารถเล่นของเล่นได้อย่างเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของของเล่นนั้น ๆ เช่น เล่นลูกบอลโดยการกลิ้งหรือโยน เล่นหวีโดยทำท่าหวีผมตัวเอง หรือเด็กปกติอายุ 18 เดือน ควรเล่นสมมุติง่าย ๆ เช่น นำขวดนมของเล่นป้อนให้ตุ๊กตา เป็นต้น เด็กออทิสติกมักเล่นสิ่งของที่ไม่ใช่ของเล่นตามวัย รวมทั้งเล่นไม่เป็น เช่น ถือกระดาษ โบรชัวร์ เชือก หรือขวดน้ำไว้เฉย ๆ หรือชอบเล่นสิ่งของที่มีลักษณะซ้ำ ๆ เช่น นำสิ่งของมาเรียงกัน เวลาเล่นรถมักจะหงายท้องรถแล้วหมุนล้อซ้ำ ๆ รวมทั้งมักไม่สนใจเล่นกับเด็กวัยเดียวกัน ชอบเล่นคนเดียว เข้าหาคนอื่นผิดปกติ หากเป็นเด็กโตมักไม่มีเพื่อนสนิท และมีปัญหาในการทำงานกลุ่ม

3. หลีกเลี่ยงการมองหน้าสบตา หรือมองหน้าสบตาน้อย หรือผิดปกติ เช่น มองบริเวณจมูก หรือปากของผู้อื่น หรือมองไปที่อื่น โดยเฉพาะเมื่อพ่อแม่พูดคุยหรือทำกิจกรรมด้วย

4. ไม่ค่อยเข้าใจหรือแบ่งปันอารมณ์ ความรู้สึก หรือไม่เข้าใจมุมมองของผู้อื่น ไม่มีอารมณ์ร่วมกับผู้อื่นเวลาทำกิจกรรมที่สนุกสนานหรือตื่นเต้น หรือแสดงออกทางสีหน้าน้อย เช่น ไม่สนุกเวลาร่วมกิจกรรมที่คนอื่นรู้สึกสนุกอยู่ หรือไม่แสดงความรู้สึกผิดหรือเศร้าเมื่อแม่กำลังเสียใจ เป็นต้น

5. มีพัฒนาการด้านภาษาและสังคมถดถอย โดยเฉพาะเมื่อมีอายุระหว่าง 15-24 เดือน เช่น เคยพูดคำที่มีความหมาย หรือสื่อสารโดยใช้ภาษาท่าทาง หรือมองหน้าสบตาเพื่อการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับคนอื่น เลียนแบบ และเล่นสมมุติได้ แล้วต่อมาไม่ทำพัฒนาการนั้น ๆ อีกเลย ซึ่งพบภาวะพัฒนาการถดถอยนี้ได้ถึงร้อยละ 20-35 ในเด็กออทิสติก

6. ชอบท่องจำ ก-ฮ A-Z นับ 1-100 ท่องสี รูปร่างของสิ่งต่าง ๆ พูดชื่อประเทศ หรือพูดภาษาตัวเอง หรือภาษาต่างประเทศทั้ง ๆ ที่บ้านใช้แต่ภาษาไทย หรือหมกมุ่นจนพูด หรือเล่นเฉพาะสิ่งที่เด็กมีความสนใจ เช่น พูดชื่อไดโนเสาร์แต่ละสายพันธุ์ ดาวต่าง ๆ ในจักรวาล เป็นต้น ซึ่งการที่เด็กท่องจำหรือพูดสิ่งเหล่านี้ได้มักทำให้ผู้ปกครองยินดี เพราะคิดว่าเป็นเด็กฉลาด มีความจำดี แต่หากเป็นการจำแบบนกแก้วนกขุนทอง หรือจำตามสิ่งที่เคยได้ยินมาจากสื่อผ่านจอ และไม่ได้พูดเรื่องนั้นเพื่อเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่นก็พบได้ในเด็กออทิสติก

7. มีพฤติกรรม ความสนใจ หรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่จำกัด และมีลักษณะซ้ำ ๆ เช่น ชอบหมุนหรือโยกตัว สะบัดมือเวลาตื่นเต้นหรือดีใจ ชอบเปิดปิดก๊อกน้ำหรือประตู มีความสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะจนดูเหมือนหมกมุ่นหรือเป็นแฟนพันธุ์แท้ในเรื่องนั้น ๆ และยากที่จะดึงออกจากความสนใจหรือพฤติกรรมนั้น

8. มีความไวต่อการรับรู้ทางความรู้สึกต่าง ๆ ที่น้อยหรือมากเกินไป เช่น ไวต่อเสียงเครื่องเป่าผม เครื่องดูดฝุ่น หรือฟ้าร้องจนต้องปิดหู รำคาญป้ายยี่ห้อเสื้อหรือตะเข็บผ้า หากหกล้มหรือบาดเจ็บจะอดทนอย่างมาก ไม่ร้องไห้ หรืออาจจะร้องไห้มากกว่าเด็กคนอื่นก็ได้ เลือกกินอาหารที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น ชอบกินอาหารประเภทเส้น อาหารอ่อน หรือเมนูไข่เท่านั้น เป็นต้น

9. ยึดติดกับกิจวัตรต่าง ๆ และไม่ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงในกิจวัตรประจำวัน เช่น จำเป็นต้องไปตามเส้นทางเดิม ๆ ทุกวัน หรือกลับจากโรงเรียนต้องทำกิจกรรมต่าง ๆ ตามลำดับ ซึ่งหากถูกเปลี่ยนลำดับ หรือไม่ได้ทำตามกิจวัตรประจำวันก็จะร้องไห้โวยวายอาละวาด เป็นต้น

10. มีปัญหาอารมณ์และพฤติกรรมเนื่องจากไม่เข้าใจและไม่สามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้ รวมทั้งความบกพร่องของทักษะด้านสังคม หรือต้องการที่จะทำพฤติกรรมซ้ำ ๆ แต่ถูกห้ามไว้ เด็กมักจะหงุดหงิด โมโห มีพฤติกรรมก้าวร้าว รวมทั้งมักจะซน อยู่ไม่นิ่ง และสมาธิสั้น ซึ่งเด็กวัยอนุบาลหรือประถมต้น อาจไปปรึกษาแพทย์ด้วยอาการซน สมาธิสั้น รบกวนครูและเพื่อนในห้องเรียน ซึ่งเด็กมักจะมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งที่กล่าวไว้ในข้อข้างต้นร่วมด้วย ไม่ได้มีอาการซน สมาธิสั้นเพียงอย่างเดียว

#ทุกเรื่องการเลี้ยงลูกตลาดนัดครอบครัวมีคำตอบ

17/09/2025

ก้อนไม้ ✨️ ของเสริมพัฒนาการลูกชั้นดี วันนี้หมอเกรซ 👩‍⚕️ จะมาแนะนำวิธีใช้ก้อนไม้เล่นกับลูกวัยต่ำกว่า 1 ปีค่ะ ว่าสามารถนำมาสร้างสรรค์วิธีเล่นอย่างไรให้ได้พัฒนาการที่รอบด้าน และหากที่บ้านไม่มีก้อนไม้ จะสามารถใช้สิ่งใดมาแทนได้ค่ะ
มาเลี้ยงลูกให้มีความสุข และสนุกไปกับหมอเกรซนะคะ 🥰

#ทุกเรื่องการเลี้ยงลูกตลาดนัดครอบครัวมีคำตอบ

 #ทุกเรื่องการเลี้ยงลูกตลาดนัดครอบครัวมีคำตอบ
14/09/2025

#ทุกเรื่องการเลี้ยงลูกตลาดนัดครอบครัวมีคำตอบ

9 ข้อที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคสมาธิสั้น โดยหมอเค…ศ.นพ.วีระศักดิ์ ชลไชยะ 1. เด็กที่นั่งเล่นมือถือ วิดีโอเกม ต่อเลโก้ หร...
12/09/2025

9 ข้อที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคสมาธิสั้น โดยหมอเค…ศ.นพ.วีระศักดิ์ ชลไชยะ

1. เด็กที่นั่งเล่นมือถือ วิดีโอเกม ต่อเลโก้ หรือจิ๊กซอว์ วาดรูป หรืออ่านหนังสือเล่มโปรดได้นาน ๆ ไม่น่าจะเป็นโรคสมาธิสั้น
เด็กสมาธิสั้นสามารถจดจ่อกับสิ่งที่ตัวเองสนใจได้นานจนดูเหมือนว่ามีสมาธิกับสิ่งที่ชอบได้ แต่หากให้เด็กทำสิ่งที่ไม่ชอบ หรือน่าเบื่อสำหรับเด็ก หรือกิจวัตรประจำวันที่จำเป็นต้องทำ มักจะไม่มีสมาธิจดจ่อ ทำงานไม่เสร็จ ขาดความรอบคอบ และไม่เรียบร้อย นอกจากนี้เด็กที่ใช้สื่อผ่านจอตั้งแต่วัยเด็กเล็ก เป็นปริมาณมาก และเป็นรายการที่ไม่เหมาะสมกับเด็กมีโอกาสที่จะมีพฤติกรรมสมาธิสั้น และปัญหาด้านการควบคุมตัวเองได้ แต่ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมาธิสั้นเสมอไป

2. ลูกแค่ไฮเปอร์ไม่น่าจะเป็นสมาธิสั้น
ไฮเปอร์เป็นคำที่พ่อแม่มักใช้เพื่อเล่าเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็ก หมายถึง อาการซน ยุกยิก อยู่ไม่นิ่ง ไม่ได้เป็นการวินิจฉัยโรคสมาธิสั้น ซึ่งโรคนี้เด็กจำเป็นต้องมีอาการซน หุนหันพลันแล่น และ/หรือสมาธิสั้นที่มากกว่าเด็กวัยเดียวกัน และเข้าได้กับเกณฑ์การวินิจฉัยอย่างน้อยใน 2 สถานการณ์ เช่น ที่บ้านและโรงเรียน จนส่งผลกระทบต่อการเรียน การทำงาน การดำเนินชีวิตประจำวัน และความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น เช่น มีปัญหาความสัมพันธ์กับพ่อแม่และเพื่อน เป็นต้น ดังนั้นไฮเปอร์จึงหมายถึงแค่พฤติกรรม ไม่ใช่การวินิจฉัยโรค

3. ลูกเรียนได้คะแนนดี ไม่น่าจะเป็นสมาธิสั้น
เด็กสมาธิสั้นสามารถมีสติปัญญาปกติหรือสูงกว่าเกณฑ์ปกติได้ ซึ่งหากยังเรียนอยู่ในระดับชั้นที่ไม่สูงมาก เช่น อนุบาลหรือประถมต้น และพอที่จะมีสมาธิอยู่บ้างก็อาจเรียนได้คะแนนดีมาก แต่หากเรียนในชั้นที่สูงขึ้น ซึ่งมีเนื้อหายากขึ้น และจำเป็นต้องคงให้มีสมาธินานขึ้นก็อาจจะเรียนอย่างไม่มีประสิทธิภาพ จนเริ่มเห็นผลการเรียนที่ไม่ดีเท่ากับตอนเล็ก ๆ ได้

4. หากลูกเป็นสมาธิสั้นควรงดอาหาร ขนม เครื่องดื่มที่มีรสหวาน หรืออาหารบางประเภท
ปัจจุบันการรักษาโรคสมาธิสั้นตามมาตรฐานไม่แนะนำให้หลีกเลี่ยงหรืองดอาหารต่าง ๆ หากเด็กไม่ได้มีประวัติแพ้อาหารใด ๆ ร่วมด้วย อย่างไรก็ตามผู้ปกครองบางคนมีประสบการณ์ว่าหากลูกงดอาหาร ขนม หรือเครื่องดื่มที่มีรสหวานแล้วทำให้เด็กซนน้อยลง ก็เป็นเพียงข้อสังเกตเฉพาะรายบุคคลเท่านั้น ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์จากงานวิจัยอย่างเพียงพอที่จะสรุปได้

5. กินยาสมาธิสั้นแล้วจะกดประสาทเด็ก ทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติ
พ่อแม่ผู้ปกครองมักจะเคยชินกับพฤติกรรมเด็กสมาธิสั้นที่เป็นเด็กซน ไฮเปอร์ มีพลังงานในตัวมาก พูดเก่ง กล้าตอบคำถาม และหุนหันพลันแล่น ซึ่งเมื่อเด็กกินยาสมาธิสั้นจะทำให้เด็กควบคุมตัวเองได้มากขึ้นจนดูเหมือนว่าเด็กไม่เป็นธรรมชาติ จริง ๆ แล้วยารักษาสมาธิสั้น เป็นยากลุ่มที่กระตุ้นให้มีสมาธิ (stimulants) มากกว่าที่จะกดพฤติกรรมเด็ก ซึ่งหากหมอปรับยาให้เหมาะสม ไม่ได้มากเกินไป เด็กก็จะดูเหมือนเด็กทั่วไป และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ

6. ให้เด็กกินยาสมาธิสั้นแล้วจะติดจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้หากไม่กินยา
เด็กที่กินยาสมาธิสั้นอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ร่วมกับได้รับการปรับพฤติกรรมและฝึกระเบียบวินัยอย่างสม่ำเสมอไปด้วย เด็กจะค่อย ๆ ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป จนเด็กสามารถเรียนรู้ที่จะกำกับตนเองให้มีสมาธิขึ้น แม้จะไม่ได้กินยา ซึ่งเด็กส่วนใหญ่จะสามารถหยุดยาได้เมื่อโตขึ้น

7. กินวิตามิน อาหารเสริมหรือผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาในสื่อโซเชียลเพื่อหวังให้ลูกมีสมาธิ ความจำดีขึ้น ไม่ลืมง่าย และผลการเรียนดีขึ้น
ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานจากงานวิจัยว่ามีวิตามิน อาหารเสริม หรือผลิตภัณฑ์ใดผลิตภัณฑ์หนึ่งที่จะช่วยรักษาโรคสมาธิสั้น ช่วยบำรุงสมอง หรือเพิ่มความจำได้ตามสรรพคุณที่กล่าวอ้าง ดังนั้นผู้ปกครองจึงควรรู้เท่าทัน ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ และปรึกษาหมอเด็กหรือหมอที่ดูแลรักษาลูกก่อนน่าจะดีกว่า

8. ลูกเป็นโรคสมาธิสั้นจึงควรฝึกให้นั่งสมาธิเพื่อจะได้มีสมาธิดีขึ้น
จริง ๆ แล้วเด็กสมาธิสั้นโดยเฉพาะที่มีอาการซนหุนหันพลันแล่นจะมีความยากลำบากในการนั่งสมาธิ แต่เด็กโตและวัยรุ่นน่าจะมีโอกาสฝึกนั่งสมาธิได้มากกว่า ถึงแม้ว่าการนั่งสมาธิจะไม่ใช่การรักษาโรคสมาธิสั้น แต่ก็เป็นกิจกรรมที่สามารถช่วยให้เด็กมีสติ ผ่อนคลาย และมีความสุขสงบได้หากฝึกฝนอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตามกิจกรรมที่จะเป็นประโยชน์สำหรับเด็กสมาธิสั้น คือ การเล่นกีฬา ดนตรี ศิลปะ และการทำงานบ้าน เพื่อฝึกให้เด็กมีความรับผิดชอบ มีวินัย รู้จักหน้าที่ กฎกติกา ความคิดสร้างสรรค์ และมีความภูมิใจในตนเอง เป็นต้น

9. โรคสมาธิสั้นจะหายไปเองเมื่อโตขึ้น
เมื่อโตขึ้นอาการซนอยู่ไม่นิ่งจะลดลง แต่อาการสมาธิสั้น และหุนหันพลันแล่นจะยังคงอยู่ได้เมื่อเป็นวัยรุ่นและผู้ใหญ่ ดังนั้นหากเด็กตั้งแต่วัยอนุบาลที่มีอาการซน อยู่ไม่นิ่ง สมาธิสั้น และหุนหันพลันแล่นควรพาไปปรึกษากับหมอพัฒนาการเด็กหรือจิตแพทย์เด็กเพื่อให้การวินิจฉัยและดูแลรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรกจะช่วยให้อาการต่าง ๆ ดีขึ้นเมื่อโตขึ้น หากเด็กไม่ได้รับการวินิจฉัยและช่วยเหลืออย่างเหมาะสมจะมีความเสี่ยงที่จะยังคงมีอาการสมาธิสั้นเมื่อเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ส่งผลให้มีความยากลำบากในการบริหารจัดการงานต่าง ๆ ทำงานไม่เสร็จ มีปัญหาการควบคุมอารมณ์ มีปัญหาความสัมพันธ์กับสมาชิกในครอบครัว เพื่อน หรือแฟน มีปัญหาทางจิตเวชเพิ่มขึ้น เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล ทำร้ายตนเอง ติดสารเสพติด หย่าร้าง ประสบอุบัติเหตุทางจราจร ปัญหาอาชญากรรม เป็นต้น

#ทุกเรื่องการเลี้ยงลูกตลาดนัดครอบครัวมีคำตอบ

💤 เด็กนอนยาก หลับไม่เต็มอิ่ม อาจกระทบต่อการเรียนรู้และพัฒนาการ!📖 ร่วมหาคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและการนอนหลับ✨การ...
12/09/2025

💤 เด็กนอนยาก หลับไม่เต็มอิ่ม อาจกระทบต่อการเรียนรู้และพัฒนาการ!
📖 ร่วมหาคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและการนอนหลับ

✨การนอนหลับในวัยเด็ก: ประเด็นสำคัญที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม✨

🗓 วันศุกร์ที่ 12 กันยายน 2568
⏰ เวลา 12:00 – 13:00 น.
📍 รับชมสดผ่าน Facebook Live: ราชวิทยาลัย/สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย https://www.facebook.com/RCPedT

💬 พบกับการเสวนาจากผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กและการนอนหลับ
👩‍⚕️ วิทยากร:
อ. พญ.พรชฎา ศรีสิงหสงคราม
กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรมและการนอนหลับ
ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

👩‍⚕️ ผู้ดำเนินรายการ:
ผศ. พญ.พร ไตรรัตน์วรกุล
กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม
ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่จะได้เรียนรู้:
✅ ความสำคัญของการนอนหลับที่มีคุณภาพต่อพัฒนาการเด็ก
✅ ปัญหาการนอนที่พบบ่อยและวิธีแก้ไข
✅ เคล็ดลับสร้างนิสัยการนอนที่ดีตั้งแต่เล็ก

🛎 สาขาวิชาพัฒนาการและการเจริญเติบโต ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย🌈ขอเชิญพ่อ แม่ และผู้ปกครอง...
12/09/2025

🛎 สาขาวิชาพัฒนาการและการเจริญเติบโต ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
🌈ขอเชิญพ่อ แม่ และผู้ปกครอง เข้าร่วมโครงการวิจัย

“ผลของประสบการณ์เชิงบวกและประสบการณ์อันไม่พึงประสงค์ในวัยเด็กของผู้ปกครองต่อการใช้สื่อที่มีปัญหาและการติดเกมของเด็ก ”

โดยผู้เข้าร่วมวิจัยจะได้รับ
✅ การตรวจคัดกรองการใช้สื่อที่มีปัญหาและภาวะติดเกมของบุตรหลาน
✅ เงินชดเชยค่าเสียเวลาในการตอบแบบสอบถาม

🚩คุณสมบัติของผู้เข้าร่วมวิจัย
1. เป็นพ่อ แม่ หรือผู้ปกครองที่มีบุตรหลานอายุ 6-12 ปี ที่อยู่กับเด็กนานอย่างน้อย 6 เดือน
2. สามารถใช้แอปพลิเคชั่น LINE ได้
3. บุตรหลานของท่านไม่มีปัญหาพัฒนาการล่าช้า และไม่มีปัญหาด้านสุขภาพจิต

สมัครกันเข้ามาเยอะ ๆ นะคะ 😍

กดลงทะเบียนตามลิงก์นี้ได้เลยค่ะ
👉 https://forms.gle/w1ftW5a5oFv7Xg9aA

หรือ Scan QR code ในรูปภาพ

หากท่านมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ของการเข้าร่วมโครงการวิจัย จะได้รับการติดต่อกลับจากทีมผู้วิจัยเพื่อพิจารณาเข้าร่วมโครงการวิจัยอีกครั้งค่ะ

🙏🏻ขอขอบคุณทุกท่านอีกครั้งที่ให้ความสนใจในโครงการวิจัยนี้ค่ะ

โครงการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยแพทย์ประจำบ้านต่อยอด สาขาวิชาพัฒนาการและการเจริญเติบโต ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โทร: 02-2564943

10/09/2025

👨👩 คุณพ่อคุณแม่อยากรู้ไหมคะว่าลูกของเราเป็นดอกกล้วยไม้ หรือดอกแดนดิไลออน
วันนี้หมอพร 👩‍🔬 จะมาเล่าให้ฟังว่าหากลูกเราเป็นดอกกล้วยไม้หรือดอกแดนดิไลออนนั้นเป็นอย่างไร และจะมีวิธีการดูแลอย่างไร

#ทุกเรื่องการเลี้ยงลูกตลาดนัดครอบครัวมีคำตอบ

ที่อยู่

รพ. จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ถนนพระราม 4
Bangkok
10330

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ตลาดนัดครอบครัวผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง ตลาดนัดครอบครัว:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram