Net PAMA: เน็ต ป๊าม้า หลักสูตรออนไลน์วิธีเลี้ยงลูกเชิงบวก

Net PAMA: เน็ต ป๊าม้า หลักสูตรออนไลน์วิธีเลี้ยงลูกเชิงบวก เลี้ยงลูกเชิงบวกโปรแกรมออนไลน์
เรียนฟรี…ทุกที่ ทุกเวลา
Positive Parenting…Anywhere Anytime

01/10/2025

ความสุขของพ่อแม่ ส่งต่อถึงลูกๆ ด้วย เลยอยากชวนถามคุณพ่อคุณแม่ว่า…เวลาที่ได้อยู่กับลูก ช่วงไหนที่ทำให้คุณรู้สึก “มีความสุขที่สุด” ?

ทำความเข้าใจความโหดร้ายของเด็กผ่าน 'ออบสเคียรัส (Obscurus)' –   จากสัตว์ประหลาดในโลกเวทมนตร์ยุคก่อนแฮร์รี่ พอตเตอร์ ‘Fan...
30/09/2025

ทำความเข้าใจความโหดร้ายของเด็กผ่าน 'ออบสเคียรัส (Obscurus)' – จากสัตว์ประหลาดในโลกเวทมนตร์ยุคก่อนแฮร์รี่ พอตเตอร์ ‘Fantastic Beasts and Where to Find Them’ บทความโดย #คุณนายข้าวกล่อง
ถึงแม้ภาพยนตร์พ่อมดแม่มดสุดฮิตเจ็ดภาคอย่าง Harry Potter (แฮร์รี่ พอตเตอร์) จะสร้างประวัติการณ์จารึกว่าเป็นหนึ่งในหนัง legend ของพวกเรา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนังไตรภาคที่เล่าเรื่องอดีตกาลก่อนยุคพ่อมดแฮร์รี่จะเกิด ที่ย้อนไปตั้งแต่สมัยที่ศาสตราจารย์ดัมเบิ้ลดอร์ (Albus Dumbledore) ยังเป็นหนุ่มแน่น อย่าง ‘Fantastic Beasts (สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่)’ ก็ถือเป็นหนังคุณภาพคับแก้ว ที่ส่วนตัวมองว่าภาคแรกของหนังที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับสัตว์มหัศจรรย์ของพ่อมดตัวเอก Newt Scamander (นิ้วต์ สกาแมนเดอร์) นอกจากจะทำหน้าที่ปูเรื่องและตัวละครสำหรับภาคต่อได้อย่างน่าติดตามแล้ว หนังยังส่งเมสเสจดี ๆ อย่างเรื่องการกีดกันคนชายขอบของสังคมของมนุษย์ (Discrimination) ได้อย่างดีมากเช่นกัน
และอีกหนึ่งเมสเสจที่คุณนายข้าวกล่องชอบและมองว่าดูมีประโยชน์สำหรับพวกเราชาวผู้ปกครอง นั่นก็คือการอธิบายถึงการเกิด ‘Obscurus (ออบสเคียรัส)’ หนึ่งในสัตว์ประหลาดรูปร่างดำทะมึน ที่เต็มไปด้วยพลังด้านมืด ทำให้มันถือเป็นสิ่งที่โหดร้ายที่สุดในโลกเวทมนตร์ยุคนั้น ซึ่งนั่นทำให้ตัวร้ายของหนังหรือ Grindelwald (กรินเดลวัลด์) พยายามตามล่าเพื่อหวังจะใช้เป็นเครื่องมือในการครอบครองโลกและแก้แค้นเหล่ามนุษย์ผู้ไร้ซึ่งเวทมนตร์อย่างโนแมจ ที่กดขี้ผู้มีเวทมนตร์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร
.
แต่ความน่าสนใจมากก็คือ สัตว์ประหลาดนี้ไม่ได้อยู่ดี ๆ ก็เกิดมาเหมือนกับสิ่งมีชีวิตหรือสัตว์ประหลาดตนอื่นในหนัง แต่มันเป็นพลังด้านมืดที่มักจะเกิดขึ้นในพ่อมดแม่มดที่อายุไม่เกินสิบขวบ ซึ่งสาเหตุที่พลังด้านมืดนี้เกิดขึ้นมาจากการที่กลุ่มเด็กเหล่านี้ต้องพยายามกดทับหรือซ่อนเวทมนตร์ของตัวเองในสมัยอดีตเพื่อหลบหนีจากการถูกสังหารโดยเหล่าโนแมจ เพราะพวกเขาถือว่าผู้วิเศษแตกต่างจากตนเกินไปและเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ การกบทับพลังเวทย์นี้เลยส่งผลทำให้เด็กมีปัญหาในการควบคุมพลังของตัวเอง และสิ่งนี้เลยถูกเปลี่ยนแปลงกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ทรงพลังที่สุดของยุค เพราะตัวมันไม่มั่นคงแต่มีความรุนแรง และมักจะจู่โจมต่อสู้ใครก็ตามที่เข้าใกล้มัน
และแม้ว่าโดยส่วนมากออบสคีเรียลจะมีอายุสั้นและหายไปได้เองหลังจากสิบขวบ แต่ในเคสของครีเดนซ์ แบร์โบน (Credence Barebone) เด็กชายวัยรุ่นอายุ 18 ปีไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเขาถือว่าเป็นพ่อมดผู้มีอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ที่มีออบสเคียรัสอยู่ในตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าออบสเคียรัสนี้ก็ใหญ่และมีความรุนแรงมากที่สุดเช่นกัน
ซึ่งหากย้อนไปดูประวัติของเด็กชายครีเดนซ์ เขาคือเด็กกำพร้าผู้เติบโตมากับแมร์รี่ ลู แบร์โบน (Mary Lou Barebone) คุณแม่อุปถัมภ์ในสถานเด็กกำพร้าและหัวหน้าชมรมพ่อมดแม่มดเซเล็ม ที่เป็นกลุ่มโนแมจผู้มีจุดมุ่งหมายจะปราบเหล่าพ่อมดแม่มดให้สิ้นซาก คุณแม่แมร์รี่เลยเป็นบุคคลที่เกลียดพ่อมดแม่มดเข้าไส้ จนถึงขนาดสร้างบทกลอนให้ลูกเลี้ยงของเธอท่องไว้เพื่อปลูกฝังความเกลียดชังในเหล่าพ่อมดแม่มดเลยทีเดียว (ซึ่งแน่นอนบทกลอนคือโหดและหลอนมากค่ะ)
และแม้ว่าคุณแม่แมร์รี่ของเราจะใจบุญเลี้ยงเด็กกำพร้ามาถึงทั้งหมด 12 คน แต่ครีเดนซ์ดูเหมือนจะเป็นลูกชังที่สุดของคนในบ้าน ทำให้เวลาเขาทำอะไรไม่ถูกใจแมร์รี่ เธอจะเฆี่ยนตีเขาด้วยเข็มขัดอยู่ตลอด สิ่งนี้เลยทำให้ครีเดนซ์โหยหาซึ่งความรักและการยอมรับมาก รวมถึงทำให้เขาบุคลิกที่ดูแปลกแยกจากสังคม (เดินตัวงอ ห่อเหี่ยว น่าเศร้าตลอดเวลา) จนทำให้เขาถูกสังคมโนแมจเองเหยียดอยู่บ่อยครั้ง รวมไปถึงว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกาในเรื่องสมัยนั้นหรือเฮนรี่ ชอว์ (Henry Shaw) ด้วยเช่นกัน
การถูกกีดกันจากสังคมมนุษย์ปกติ รวมถึงการถูกทำร้ายจากคุณแม่อุปถัมภ์ ทำให้ครีเดนซ์รู้สึกเก็บกด และพยายามกดทับพลังวิเศษของตัวเองไว้ จนสุดท้ายเขาก็ทนความเจ็บปวดรวดร้าวนี้ไม่ไหวจนระเบิดมันออกมาเป็นออบสเคียรัส พลังด้านมืดที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น จนถึงขั้นที่สามารถออกไปฆ่าเฮนรี่ ชอว์ ได้ รวมไปถึงชีวิตของคุณแม่ตัวเองด้วยหลังจากที่เธอเข้าข้างน้องสาวกำพร้าของเขามากกว่าตัวเขาเอง
ซึ่งหากเราลองเอาเจ้าออบสเคียรัสมาเปรียบเปรยในชีวิตจริง สัตว์ประหลาดนี้คงเป็นตัวแทนของการอธิบายได้ถึง ‘ความเจ็บปวดที่กลายเป็นความเคียดแค้นของเด็กคนหนึ่ง’ จากการที่เขาไม่ถูกยอมรับในสังคม รวมไปถึงถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจจากคนในครอบครัวเอง ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่เจ้าของเรื่องหรือคุณเจ เค โรลลิ่ง (J.K. Rowling) ต้องการสื่อให้เห็นเช่นกัน โดยเธอตั้งใจจะสื่อเมสเสจในเรื่องของ Trauma หรือการบาดเจ็บทางจิตใจของบุคคลที่ถูกกีดกันและทำร้ายเพียงแค่เพราะมีลักษณะที่แตกต่างจากสังคม
ซึ่งในเคสของครีเดนซ์ นอกจากจะถูกสังคมโนแมจกีดกันด้วยแล้ว ดูเหมือนว่าสังคมเวทมนตร์ส่วนใหญ่เองก็ดูจะไม่เข้าใจถึงคอนเสปต์ของการเกิดสัตว์ประหลาดแสนโหดร้ายนี้สักเท่าไหร่เช่นเดียวกัน ทำให้พวกเขาเองก็กลัว และอยากที่จะกำจัดเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ให้สิ้นซากเหมือนกัน ซึ่งถ้าให้เราลองจินตนาการตัวเองเป็นเด็กชายครีเดนซ์.....มันก็คงเข้าใจได้ที่เขาจะรู้สึกโดดเดี่ยว เศร้า และเปราะบางไม่น้อยเหมือนกัน เพราะไม่ว่าเขาจะหันไปทางไหน ดูเหมือนทุกคนบนทั้งสองโลก ก็ดูจะไม่ยอมรับเขาไปหมดเลย
เด็กคนนี้ดูน่าสงสารมากเลยว่าไหมคะ ☹
แต่พ่อมดผู้เป็นพระเอกของเราอย่างนิ้วต์ รวมถึงแม่มดสาวนักปราบมารอย่างทีน่า โกลด์สตีน (Tina Goldstene) ดูจะเป็นข้อยกเว้นของกลุ่มพ่อมดแม่มดส่วนใหญ่ที่คิดจะกำจัดออบสเคียรัส โดยเฉพาะพ่อมดนิ้วต์ ที่เขาตั้งใจจะศึกษาเหล่าสัตว์ประหลาดพวกนี้อย่างจริงจัง รวมไปถึงเจ้าออบสเคียรัสด้วย ซึ่งเมื่อล่าสุดนิ้วต์เองก็ได้พบเจอมันอยู่ในร่างของแม่มดหญิงวัย 8 ขวบที่ซูดาน ซึ่งเขาก็สามารถช่วยแม่มดเด็กหญิงคนนั้นจากออบสเคียรัสได้ด้วยการแยกสัตว์ประหลาดนี้ออกมาจากตัวเด็กจนสำเร็จ และเก็บเจ้าออบสเคียรัสใส่กระเป๋าคู่ใจมาเพื่อนำมาศึกษาทำความเข้าใจสิ่งมีชีวิตตัวนี้ต่อไป
เมสเสจในหนังเรื่องนี้ให้อะไรกับเราในฐานะผู้ปกครอง?
ความโหดร้ายของเด็กหรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่คนหนึ่ง มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิดที่ไม่มีทางจะสามารถแก้ไขได้ หรือถ้าเราพูดเป็นภาษาอังกฤษ เราคงพูดได้ว่า ‘No one’s born bad’
แต่สิ่งที่ทำให้เขากลายเป็นคนโหดร้าย หรือเต็มไปด้วยความเคียดแค้นจนกลายเป็นคนที่ดูน่ากลัวเพราะกล้าทำร้ายคน ๆ หนึ่งได้ลงคอ มันเป็นเพราะลึก ๆ แล้วคนกลุ่มนี้เจ็บปวดและเปราะบางมากต่างหาก เพราะเขาได้พบเจอแต่ประสบการณ์ที่เลวร้าย ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ที่โดนคนอื่นรังเกียจ ทำร้าย หรือเหยียดหยาม ไปจนถึงประสบการณ์ที่ไร้ซึ่งบุคคลที่รักเขา หรือเต็มไปด้วยประสบการณ์ที่โดดเดี่ยว หันซ้ายหันขวาไปก็ไม่เจอใครที่สามารถไว้ใจหรือซัพพอร์ตจิตใจเขาได้เลย
แต่ดูเหมือนสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้ความโหดร้ายนี้ค่อย ๆ เบาลง ทำให้เจ้าสัตว์ประหลาดนี้ค่อย ๆ สงบลง และอาจหายไปได้ที่สุด อาจเริ่มต้นมาจากการเห็นอกเห็นใจ (empathy) ค่อย ๆ ปลอบประโลมและทำความเข้าใจกับก้อนความโหดร้ายนี้อย่างใจเย็นและอ่อนโยน แทนที่จะผลักใสมันไปไกล ๆ หรือยิ่งทุบตีมันให้หลาบจำ เหมือนกับที่นิ้วต์สามารถแยกเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ออกจากตัวเด็กแม่มดเด็กหญิงคนนั้น เพราะเขาอธิบายว่าเจ้าออบสเคียรัสนี้ก็เหมือนพวกปรสิต ที่หากตัว host หรือเจ้าของร่างไม่ได้เป็นที่อยู่อาศัยที่เอื้อต่อการเติบโตมากพอ มันก็เป็นได้แค่เพียงสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งที่อ่อนกำลังลงเท่านั้น
ซึ่งถ้าหากลองนำมาเปรียบเทียบกับโลกความเป็นจริง ความเจ็บปวดหรือบาดแผลทางจิตใจจากเหตุการณ์อดีตที่เลวร้าย มันก็คงสามารถค่อย ๆ ฮีลได้ด้วยความเห็นอกเห็นใจ ความอ่อนโยน และการสร้างความเชื่อมั่นต่อเด็กว่า ‘เขาเป็นที่รักและสามารถจัดการตัวเองได้’ กลายเป็นเด็กน้อยที่แข็งแกร่งและเต็มไปด้วยพลังจากความรัก ได้เฉกเช่นเดียวกัน
และถึงแม้ว่าเหตุการณ์การทำร้ายคนอื่นจนถึงขั้นฆ่าคนคงไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับลูก ๆ ของเรา แต่เมื่อใดที่เขาเริ่มแสดงความโกรธ ความหงุดหงิด หรือพฤติกรรมต่อต้านก้าวร้าวกับเรา เพื่อน หรือในสังคมอื่น ๆ การปรับ mindset ว่า no one’s born bad และค่อย ๆ ใช้ความเห็นอกเห็นใจ ความอ่อนโยน หรือการมอบความรัก ความอบอุ่น หรือความปลอดภัย ก็อาจสามารถเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการทำความเข้าถึงความเจ็บปวดบางอย่างภายใต้การกระทำหรืออารมณ์ที่เกิดขึ้น และสามารถนำมาไปสู่การแก้ไขหรือการลดพฤติกรรมต่อต้านหรือก้าวร้าวลงได้เช่นกัน
เพราะสิ่งที่อยู่เบื้องหลังพฤติกรรมที่น่ากลัวหรือแสนโหดร้ายนี้....มันคือความเจ็บปวดก้อนใหญ่ที่หนักหนาสาหัส และมันน่าสงสารมากจริง ๆ
และหากใครต้องการเรียนรู้หรือศึกษาถึงทักษะการเลี้ยงลูก เพื่อช่วยลดพฤติกรรมต่อต้านก้าวร้าวเพิ่มเติม สามารถมาเรียนเพิ่มเติมได้ฟรีเลยที่ www.netpama.com

#เน็ตป๊าม้า

29/09/2025

พอดีว่าพวกเรากำลังจะปรับปรุงเว็บไซต์ Net PAMA 🌐
เลยอยากถามพ่อแม่ว่า…มีฟีเจอร์ไหนที่อยากให้มี หรืออยากให้เราปรับตรงไหนเป็นพิเศษบ้าง? มาคอมเมนต์บอกกันหน่อยน้า 💡

เคล็ดลับ 5 นาที ฝึกลูกให้รู้จักหน้าที่และความรับผิดชอบ แบบ Positive Parenting บทความโดย  #น้องตัวกลม สวัสดีค่าแม่ๆ 👋 วัน...
29/09/2025

เคล็ดลับ 5 นาที ฝึกลูกให้รู้จักหน้าที่และความรับผิดชอบ แบบ Positive Parenting บทความโดย #น้องตัวกลม
สวัสดีค่าแม่ๆ 👋 วันนี้ #น้องตัวกลม มีเรื่องเล็กๆ แต่สำคัญมากมาบอกต่อ… เรื่อง ฝึกลูกให้มีความรับผิดชอบผ่านงานบ้าน แบบไม่ต้องง้อการดุหรือการบังคับ

หลายคนอาจคิดว่า งานบ้านเป็นภาระ เป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่จริงๆ แล้ว งานบ้านเล็กๆ นี่แหละ คือโอกาสทองให้ลูก “ฝึกวินัยและรู้จักหน้าที่” ได้ตั้งแต่เด็กเลยค่ะ 🏡
1️⃣ เริ่มจากงานบ้านง่ายๆ ที่เหมาะกับวัย
อาจไม่ต้องเริ่มจากงานใหญ่ๆ อย่างล้างจานหรือกวาดบ้านก็ได้ค่ะ

👶 เด็กเล็ก: เก็บของเล่นใส่กล่อง, เอาเสื้อผ้าใส่ตะกร้า
👦 เด็กโต: ช่วยรดน้ำต้นไม้, เช็ดโต๊ะ, จัดโต๊ะเรียน
✅ เคล็ดลับ: เลือกงานที่ลูกทำได้เองและไม่ยากเกินไป ลูกจะได้รู้สึกว่า “ฉันทำได้!”
2️⃣ “ชวนให้ทำ” ไม่ใช่ “สั่งให้ทำ”
การสอนลูกให้ทำงานบ้านไม่ใช่การบังคับหรือสั่งให้ทำ แต่คือการสร้างบรรยากาศที่ลูกอยากมีส่วนร่วมเอง

🤬 แทนที่จะบอกว่า “เก็บของเดี๋ยวนี้!”
😀 ลองพูดว่า “เรามาเก็บของเล่นด้วยกันดีมั้ย จะได้ห้องเรียบร้อยขึ้นด้วย”
✅ คำพูดเชิงชวนแบบนี้ ทำให้ลูก “อยากร่วมมือ” มากกว่ารู้สึกว่าเขาถูกบังคับ
3️⃣ ชมแบบเฉพาะเจาะจง
ใช้คำพูดเชิงบวกและให้กำลังใจ อาจไม่จำเป็นต้องชมแบบกว้างๆ “เก่งมาก!” นะคะ อาจฟังแล้วดูดี แต่ไม่ชัดเจน

🤗 ลองชมว่า “แม่ชอบที่ลูกจัดของเล่นเป็นระเบียบ หาของง่ายขึ้นมาก!” หรือ "ขอบคุณที่ช่วยพ่อทำงานบ้านนะ"
✅ คำพูดเหล่านี้จะสร้างการเห็นคุณค่าของสิ่งที่เขาทำและกระตุ้นให้ลูกอยากทำอีก
4️⃣ สม่ำเสมอ แต่ยืดหยุ่น

🧸 วางกิจวัตรเล็กๆ เช่น ก่อนนอนเก็บของเล่นทุกครั้ง
😴 แต่บางวันหากลูกเหนื่อย หรือทำงานบ้านไม่ทัน ก็สามารถยืดหยุ่นได้
✅ ที่สำคัญเลยคือ “ความสม่ำเสมอ” ไม่ใช่ความเข้มงวดจนเกินไป
5️⃣ ใช้เวลาแค่ 5 นาทีต่อวัน
ไม่ต้องเยอะ ไม่ต้องนาน แต่เน้น “สม่ำเสมอ”

⏰ 5 นาทีเล็กๆ ในทุกวัน จะกลายเป็น “การสร้างนิสัย”
🏆 ลูกจะค่อยๆ ซึมซับ “ความรับผิดชอบ” และ “ความภูมิใจในสิ่งที่ทำ”
✨ภายใน 5 นาที จากการเริ่มต้นด้วยงานบ้านเล็กๆ คือ โอกาสทองให้ลูกฝึกวินัยและความรับผิดชอบ การใช้เคล็ดลับเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ลูกเรียนรู้ความรับผิดชอบและเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีวินัยได้ โดยไม่ต้องใช้วิธีการลงโทษหรือคำตำหนิเลยค่ะ
💡 อยากได้เทคนิคเต็มๆ ที่ฝึกวินัยและสร้างนิสัยดีให้ลูก
มาเรียนรู้กันได้แบบฟรีๆ ได้เลยที่ 👉 https://www.netpama.com/ บอกเลยว่าแม่ๆ พ่อๆ จะได้ทั้งไอเดีย วิธีการสอนลูก การสื่อสาร และเทคนิคการสร้างความรับผิดชอบแบบ ครบ จบ ในทุกขั้นตอน!
#เน็ตป๊าม้า #จากผู้เรียนสู่ผู้สร้าง #คัมภีร์เลี้ยงลูกเชิงบวก #สร้างวินัยให้ลูก

เจอกันคืนนี้ 2 ทุ่มนะคะ 🤍
25/09/2025

เจอกันคืนนี้ 2 ทุ่มนะคะ 🤍

งานบ้านไม่ใช่แค่เรื่องของผู้ใหญ่ แต่เป็นทักษะชีวิตที่สำคัญของทุกคน! มาดูกันว่า "ทำไมการให้ลูกช่วยทำงานบ้าน" ถึงมีประโยชน์มากกว่าที่คิด และพ่อแม่จะมีเทคนิคยังไงให้ลูกสนุกกับงานบ้านได้ในไลฟ์นี้ค่ะ
แขกรับเชิญ
🎤 ผศ.ดร.พัชรินทร์ เสรี
ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเด็กพิเศษ
ผู้ดำเนินรายการ
🎤 ผศ.ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร
วันพฤหัสที่ 25 กันยายน 2568
เวลา 20.00-21.30 น.
ติดตามข่าวสาร/สอบถามเพิ่มเติม เกี่ยวกับ Net PAMA ได้ทาง
FB: Net PAMA: เน็ต ป๊าม้า
Website: www.netpama.com
E-mail: contact@netpama.com
#เน็ตป๊าม้า #เลี้ยงลูกเชิงบวก #เน็ตป๊าม้าช่วยได้

10 ทักษะสำคัญที่ลูกจะได้รับจากการช่วยงานบ้าน บทความโดย  #มัมมี่Bชวนเมาท์การฝึกให้ลูกช่วยงานบ้านอาจดูเป็นเรื่องเล็กที่หลา...
24/09/2025

10 ทักษะสำคัญที่ลูกจะได้รับจากการช่วยงานบ้าน บทความโดย #มัมมี่Bชวนเมาท์
การฝึกให้ลูกช่วยงานบ้านอาจดูเป็นเรื่องเล็กที่หลายบ้านไม่เห็นความสำคัญหรือมองข้ามไป แต่ที่จริงแล้วการมอบหมายให้ลูกได้ช่วยทำงานบ้าน ไม่ใช่แค่บ้านที่จะสะอาดเรียบร้อย แต่เป็นการสะสมและสร้างคุณสมบัติที่ดีและสำคัญให้ลูกในการใช้ชีวิตในทุกๆวัน จนกลายเป็นนิสัยที่จะติดตัวลูกไปในอนาคต ดังนี้
1.การช่วยงานบ้านเป็นการฝึกทักษะจำเป็นในการใช้ชีวิต ทั้งทักษะการคิด วางแผนและแก้ปัญหาเพื่อทำงานบ้านที่ได้รับมอบหมายในแต่ละช่วงวัยให้สำเร็จ
2.เป็นการฝึกวินัยและความรับผิดชอบ ลูกจะเข้าใจได้เองว่า งานบ้านเป็นงานส่วนรวมที่ทุกคนในบ้านต้องช่วยกัน และต่างต้องรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย
3.ปลูกฝังความมีน้ำใจในการช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อลูกได้ทำงานบ้านจะเข้าใจถึงความเหนื่อย ทำให้รู้จักเห็นอกเห็นใจ ไม่อยากปล่อยให้ใครในครอบครัวเหนื่อยอยู่คนเดียว
4. เป็นการฝึกความอดทน เพราะงานบ้านคืองานที่เหนื่อยและไม่สนุก แต่ลูกต้องอดทนรับผิดชอบงานบ้านที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ
5.ฝึกการแบ่งและจัดการเวลาได้อย่างเหมาะสม ทำให้ลูกได้เรียนรู้การจัดการเวลาและรับผิดชอบงานหลายอย่างได้ เช่น แบ่งเวลาเรียน เรื่องส่วนตัว เวลาเล่น และเวลาทำงานบ้าน
6.งานบ้านช่วยสร้างคุณค่าในตัวเอง การได้ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ได้เห็นผลงานของตนเอง ได้รับคำชมที่เหมาะสม จะทำให้ลูกรู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง เขามีดี เขาทำได้ สามารถช่วยเหลือแบ่งเบาภาระพ่อแม่ได้
7.เข้าใจถึงคุณค่าของความพยายาม เมื่อลูกฝึกฝนจนพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ลูกจะรู้ว่ากว่าบ้านจะสะอาดเป็นระเบียบ และมีความสะดวกสบายได้นั้น มาจากการลงมือลงแรงทำซึ่งต้องใช้ความพยายามกว่าจะสำเร็จ
8.ฝึกนิสัยความเป็นระเบียบและรักความสะอาด เพราะหากบ้านรกเขาจะยิ่งเหนื่อย
9.สร้างความมั่นใจในตัวเอง เมื่อลูกทำงานบ้านที่เคยรู้สึกยากและเหนื่อยจนสำเร็จ
เห็นผลงานตนเองที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ได้รับคำชมจากคนรอบตัว จะเป็นการสร้างและสะสมความมั่นใจ ทำให้ลูกกล้าลองลงมือทำสิ่งใหม่ๆ เพราะเขาเคยทำสำเร็จมาแล้ว
10. สร้างสิ่งแวดล้อมทีดีในบ้านและความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว บ้านที่สะอาดเรียบร้อย นอกจากเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ จะทำให้พ่อแม่ภูมิใจในการเลี้ยงลูกของตนเอง ภูมิใจในตัวลูก และสำคัญที่สุด คือทำให้ลูกก็ภูมิใจในตัวเองเช่นกัน
งานบ้านที่ดูเป็นเรื่องเล็กๆ อาจเป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของลูก มาฝึกให้ลูกช่วยทำงานบ้านไปด้วยกันนะคะ
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการฝึกลูกช่วยทำงานบ้าน โดยการสร้างระเบียบวินัยไปพร้อมกับความสัมพันธ์ที่ดีกับลูก บทเรียนทั้งหมดได้ถูกรวบรวมไว้ใน #คอร์สจัดเต็มออนไลน์ ที่มีทั้งวิธีการสื่อสารกับลูก การชมที่ถูกต้องและการให้รางวัล เพื่อกระตุ้นให้ลูกอยากทำดีต่อไป
ทั้งหมดจัดทำโดยทีมจิตแพทย์เด็กและนักจิตวิทยา ที่ https://www.netpama.com/ มีทั้งคลิปวีดิโอเรื่องราว ตัวอย่างคำพูดที่สามารถนำไปใช้เลยได้จริง ทั้งหมดนี้เรียน ได้ฟรี! โดยไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ♥️

🏆🎭 “โอเวน คูเปอร์” คว้ารางวัล Emmy Awards 2025 นักแสดงชายที่อายุน้อยที่สุดเป็นแรงบันดาลใจดีๆ ให้ทั้งเด็กๆ และพ่อแม่ในยุค...
23/09/2025

🏆🎭 “โอเวน คูเปอร์” คว้ารางวัล Emmy Awards 2025 นักแสดงชายที่อายุน้อยที่สุด
เป็นแรงบันดาลใจดีๆ ให้ทั้งเด็กๆ และพ่อแม่ในยุคนี้
“โอเวน คูเปอร์” ในวัยเพียง 15 ปี ที่เพิ่งคว้ารางวัล Emmy Awards 2025 มาได้สดๆ ร้อนๆ เรื่องราวของเขาไม่ได้แค่สร้างประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจดีๆ ให้ทั้งเด็กๆ และพ่อแม่ผู้ปกครองในยุคนี้ได้เลยค่ะ บทความโดย #น้องตัวกลม💖
สิ่งที่โอเวนสอนเรา คือ "อายุไม่ใช่กำแพงของความฝัน"
✨ อย่าหยุดเชื่อมั่นในตัวเอง: โอเวนบอกว่า - “เมื่อสามปีก่อนเขายังเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้เป็นที่รู้จัก แต่เพราะเขาไม่หยุดเชื่อในตัวเองและทำในสิ่งที่รัก วันนี้เขาจึงมาอยู่บนจุดที่ยิ่งใหญ่ได้ คุณก็เช่นกันครับ ทุกความฝันเริ่มต้นจากความเชื่อมั่นเล็กๆ ที่เรามีต่อตัวเอง”

✨ ก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัย (Comfort Zone): การได้มายืนบนเวที Emmy Awards ของโอเวนเกิดขึ้นจากการที่เขา "กล้าที่จะก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัย" การลองทำสิ่งใหม่ๆ แม้จะน่าอายหรือน่ากลัวในตอนแรก อาจจะนำไปสู่โอกาสที่ไม่คาดฝัน ความสำเร็จไม่ได้รออยู่ในที่เดิมๆ แต่รออยู่ในที่ที่เราไม่คุ้นเคย

✨ ความพยายามไม่เคยทรยศใคร: โอเวนพิสูจน์ให้เห็นว่า - "ถ้าคุณตั้งใจและมีสมาธิ คุณสามารถทำทุกอย่างให้สำเร็จได้" ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน กีฬา หรือศิลปะ หากคุณทุ่มเทและมีวินัย ความสำเร็จจะตามมาในที่สุด

✨ สำหรับพ่อแม่ และผู้ปกครอง: เข้าใจและสนับสนุนลูกในแบบที่เขาเป็น เรื่องราวของโอเวน คูเปอร์ สะท้อนให้เห็นถึงพลังของการสนับสนุนจากครอบครัว

✨ เชื่อมั่นในศักยภาพของลูก: พ่อแม่มีบทบาทสำคัญในการเป็นแรงผลักดันแรกให้กับลูก การเชื่อมั่นในสิ่งที่ลูกทำ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดูเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็เป็นเหมือนเชื้อเพลิงที่เติมไฟในตัวลูกให้ลุกโชนได้

✨ ยอมรับความแตกต่าง และจังหวะชีวิตของแต่ละคน: ทุกคนมีเส้นทางและจังหวะชีวิตที่ไม่เหมือนกัน บางคนประสบความสำเร็จเร็ว บางคนต้องใช้เวลามากกว่านั้น การไม่นำลูกไปเปรียบเทียบกับใคร และเข้าใจว่าลูกมี "วันของเขา" เป็นของตัวเอง จะช่วยให้ลูกรู้สึกปลอดภัยและมีกำลังใจที่จะเดินต่อไป

✨ ส่งเสริมให้ลูกกล้าที่จะล้มเหลว: เมื่อโอเวนพูดว่า - "ใครจะไปสนว่ามันจะน่าอายมั้ย?" นั่นหมายความว่าเขาได้รับอนุญาตให้กล้าที่จะลองทำอะไรใหม่ๆ โดยไม่ต้องกลัวความล้มเหลวหรือคำตัดสินจากคนอื่น พ่อแม่ควรสร้างบรรยากาศที่ลูกสามารถลองผิดลองถูกได้โดยไม่ถูกตำหนิ เพราะความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้และเติบโต
การที่โอเวนกล่าวทิ้งท้ายว่า - "แม้รางวัลนี้จะมีชื่อผม แต่จริงๆ แล้วมันเป็นของทุกคนที่อยู่เบื้องหลังกล้อง" สะท้อนให้เห็นถึงความถ่อมตัว ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแกร่งและมีคุณภาพ
ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือเด็กๆ เรื่องราวของโอเวน คูเปอร์ เป็นเหมือนเครื่องเตือนใจว่า "อย่าหยุดเชื่อมั่นในตัวเอง และอย่าหยุดลงมือทำ" เพราะทุกความพยายามที่คุณสะสม จะนำไปสู่โอกาสที่จะเก็บเกี่ยวความสำเร็จที่สวยงามในสักวันหนึ่งค่ะ
สำหรับพ่อแม่ที่อยากได้มุมมองใหม่ๆ ในการเลี้ยงลูกด้วยแนวทางแบบเชิงบวก
สามารถเรียนคอร์สออนไลน์ฟรี! 👉 https://www.netpama.com/ กันดูนะคะ คอร์สนี้จะช่วยให้พ่อแม่มีกำลังใจ และวิธีการเลี้ยงลูกที่เข้าใจหัวใจลูกมากขึ้นค่ะ
#เน็ตป๊าม้า #คัมภีร์เลี้ยงลูกเชิงบวก #เลี้ยงลูกเชิงบวก

22/09/2025

"งานบ้าน หนูไม่ทำได้ไหมแม่?" ประโยคนี้อาจจะคุ้นหูคุณพ่อคุณแม่หลายคนใช่ไหมคะ? 😅
มาดูมุมมองจากเด็ก ๆ กันบ้างว่าเขารู้สึกยังไงกับงานบ้าน แล้วมาฟังเทคนิคดี ๆ จากผู้เชี่ยวชาญว่าทำยังไงให้ลูก ๆ อยากลุกขึ้นมาช่วยงานบ้านจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต! เพราะงานบ้านมีประโยชน์มากกว่าที่คิด ทั้งเรื่อง การบริหารเวลา และ การสร้างความกระฉับกระเฉง ให้กับตัวลูก ๆ เอง
มารับฟังพร้อมกันในคลิปนี้เลยค่ะ!
อีกทั้งยังสามารถเรียนรู้เทคนิคเพิ่มเติมไปด้วยกันในไลฟ์ Net PAMA The Rescue
วันอังคารที่ 19 สิงหาคม 2568
เวลา 20.00-21.30 น.
#เน็ตป๊าม้าช่วยได้

งานบ้านไม่ใช่แค่เรื่องของผู้ใหญ่ แต่เป็นทักษะชีวิตที่สำคัญของทุกคน! มาดูกันว่า "ทำไมการให้ลูกช่วยทำงานบ้าน" ถึงมีประโยชน...
22/09/2025

งานบ้านไม่ใช่แค่เรื่องของผู้ใหญ่ แต่เป็นทักษะชีวิตที่สำคัญของทุกคน! มาดูกันว่า "ทำไมการให้ลูกช่วยทำงานบ้าน" ถึงมีประโยชน์มากกว่าที่คิด และพ่อแม่จะมีเทคนิคยังไงให้ลูกสนุกกับงานบ้านได้ในไลฟ์นี้ค่ะ
แขกรับเชิญ
🎤 ผศ.ดร.พัชรินทร์ เสรี
ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเด็กพิเศษ
ผู้ดำเนินรายการ
🎤 ผศ.ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร
วันพฤหัสที่ 25 กันยายน 2568
เวลา 20.00-21.30 น.
ติดตามข่าวสาร/สอบถามเพิ่มเติม เกี่ยวกับ Net PAMA ได้ทาง
FB: Net PAMA: เน็ต ป๊าม้า
Website: www.netpama.com
E-mail: contact@netpama.com
#เน็ตป๊าม้า #เลี้ยงลูกเชิงบวก #เน็ตป๊าม้าช่วยได้

19/09/2025

ผู้ชมไลฟ์เมื่อวานมีใครอยากให้มี Mindful parenting EP.2 บ้างค้า ฝากกด reaction หรือ comment กันมาหน่อยค่ะ ☺️

18/09/2025

ที่อยู่

Bangkok
10700

เบอร์โทรศัพท์

+6624194080

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Net PAMA: เน็ต ป๊าม้า หลักสูตรออนไลน์วิธีเลี้ยงลูกเชิงบวกผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Net PAMA: เน็ต ป๊าม้า หลักสูตรออนไลน์วิธีเลี้ยงลูกเชิงบวก:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram