Navella Medical & Wellness

Navella Medical & Wellness Your optimal health solution
เพื่อสุขภาพที่ดี ในแบบฉบับของคุณ

Navella Anti-aging and Wellness
“Your optimal health solution”

We are healthcare professionals with a mission to provide holistic health solutions tailor-made for all through technology, innovation and knowledge.

ทำไมท้องอืดบ่อย? แค่กินมากไป หรือร่างกายกำลังป่วย! 😰 คุณรู้สึกจุก แน่น อืด เรอ หรือคลื่นไส้หลังกินเสร็จ แล้วก็บอกตัวเองว...
02/09/2025

ทำไมท้องอืดบ่อย? แค่กินมากไป หรือร่างกายกำลังป่วย!

😰 คุณรู้สึกจุก แน่น อืด เรอ หรือคลื่นไส้หลังกินเสร็จ แล้วก็บอกตัวเองว่า "แค่ท้องอืด เดี๋ยวก็หาย" อยู่รึเปล่า? แม้อาการเหล่านี้อาจดูไม่รุนแรง แต่รู้ไหมว่า อาการท้องอืดที่เป็นบ่อย ๆ ไม่เพียงสร้างความไม่สบายตัวเท่านั้น แต่อาจบ่งชี้ถึงความผิดปกติในร่างกายที่มากกว่าแค่กินเร็วหรือกินเยอะเกินไป!

🤢 อาหารไม่ย่อย คืออะไร?

อาหารไม่ย่อย หรือ Dyspepsia เป็นภาวะที่หลายคนเจอได้บ่อย มีลักษณะอาการหลัก เช่น แน่นท้อง จุกเสียด เรอบ่อย คลื่นไส้ หรือรู้สึกเหมือนอาหารไม่ย่อยติดค้างในกระเพาะอาหาร อาจเกิดขึ้นหลังรับประทานอาหารไม่นาน หรือบางรายอาจมีอาการตลอดวัน

😖 ภาวะนี้ไม่ได้หมายความว่าระบบย่อยอาหารล้มเหลวโดยสิ้นเชิง แต่อาจมีความผิดปกติบางอย่าง เช่น การเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารช้าลง หรือ การหลั่งกรดในกระเพาะผิดจังหวะ ซึ่งอาจเกิดจากพฤติกรรมการกิน หรือแม้แต่ภาวะฮอร์โมนในร่างกาย

📌 แล้วอะไรเป็นสาเหตุของอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย?

สาเหตุของอาการอาหารไม่ย่อยนั้นมีหลากหลาย ทั้งจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวันไปจนถึงปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่:

🍝1. พฤติกรรมการกินเป็นตัวกระตุ้นอาการ

🔹เคี้ยวไม่ละเอียด: ทำให้อาหารชิ้นใหญ่ตกลงไปในกระเพาะ ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่าปกติในการย่อย ส่งผลให้เกิดแก๊สและอาการแน่นท้อง

🔹กลืนลมร่วมระหว่างการกิน: พฤติกรรมการรีบกิน พูดระหว่างกิน หรือดูดหลอดบ่อย ๆ จะทำให้กลืนอากาศลงท้องร่วมกับอาหาร เกิดเป็นแก๊สสะสมในกระเพาะ

🔹อาหารรสจัด/ไขมันสูง: จะกระตุ้นการหลั่งกรดมากเกิน จนอาจระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะอาหาร และทำให้กล้ามเนื้อหูรูดกระเพาะล่างทำงานช้าลง จึงเกิดอาการอาหารไม่ย่อยได้บ่อยขึ้น

🔹เวลากินผิดธรรมชาติ: เช่น การกินมื้อใหญ่ใกล้เวลานอนส่งผลให้กระเพาะไม่ทันย่อยอาหารก่อนนอน ทำให้กรดไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหารในขณะนอนราบ

☕2. ดื่มเครื่องดื่มบางชนิดมากเกินไป

🔹คาเฟอีนในกาแฟ: ไปยับยั้ง Lower Esophageal Sphincter (LES) หรือหูรูดกระเพาะ ทำให้กรดไหลย้อนกลับขึ้นมาได้ง่าย และยังชะลอการลำเลียงอาหารออกจากกระเพาะ

🔹น้ำอัดลม/เครื่องดื่มมีแก๊ส: เพิ่มปริมาณก๊าซในกระเพาะทันที ทำให้รู้สึกแน่น จุก เสียด และยังรบกวนการย่อยอาหารโดยตรง

🔹แอลกอฮอล์: มีฤทธิ์กัดเยื่อบุกระเพาะ กระตุ้นการหลั่งกรด และลดความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหูรูด ทำให้ผู้ดื่มบ่อยมีอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อยเรื้อรังได้ง่าย

👎3. พฤติกรรมการใช้ชีวิต ที่รบกวนระบบย่อยอาหาร

🔹ความเครียดเรื้อรัง: มีผลต่อระบบประสาทพาราซิมพาเธติก (ระบบควบคุมการทำงานของอวัยวะภายใน) ทำให้ลำไส้และกระเพาะทำงานช้าลง

🔹การไม่เคลื่อนไหวร่างกาย: คนที่นั่งนาน ๆ หลังอาหาร หรือใช้ชีวิตแบบไม่ Active ระบบย่อยจะเคลื่อนไหวช้าลง ทำให้อาหารค้างในกระเพาะนานกว่าปกติ เกิดอาการอาหารไม่ย่อยได้ง่าย

🔹สูบบุหรี่: นิโคตินมีผลต่อการหดคลายของกล้ามเนื้อในทางเดินอาหาร และยังทำให้เกิดการหลั่งกรดมากเกิน ซึ่งเป็นสาเหตุที่คนสูบบุหรี่มักมีปัญหาท้องอืด อาหารไม่ย่อยเรื้อรัง

🩺4. มีโรคที่ซ่อนอยู่:

🔹กรดไหลย้อน (GERD): ทำให้กรดจากกระเพาะย้อนขึ้นมาเรื้อรัง ทำลายเยื่อบุหลอดอาหาร และทำให้การย่อยอาหารในกระเพาะไม่สมบูรณ์

🔹แผลในกระเพาะ/ลำไส้เล็ก: ทำให้กระเพาะไวต่อการระคายเคือง ส่งผลให้เกิดอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อยแม้กินอาหารปกติ

🔹โรคกระเพาะอาหารเคลื่อนไหวช้า (Gastroparesis): พบมากในผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ใช้ยาบางชนิด ทำให้อาหารตกค้างในกระเพาะนานเกินไป

🧬5. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

🔹ก่อนมีประจำเดือน/ช่วงมีประจำเดือน: ระดับโปรเจสเตอโรนสูงขึ้นทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ช้าลง จึงเกิดอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อยในผู้หญิงก่อนมีประจำเดือน

🔹ขณะตั้งครรภ์: มดลูกขยายตัวกดทับลำไส้และกระเพาะ อีกทั้งฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนสูง ยังส่งผลให้กล้ามเนื้อหูรูดของกระเพาะทำงานลดลง

🔹วัยทอง: ความไม่สมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจน อาจส่งผลต่อจุลินทรีย์ในลำไส้และการย่อยอาหารอย่างมีนัยสำคัญ

📍หากคุณสังเกตว่าอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อยเกิดซ้ำๆ ตามรอบประจำเดือน หรือมีแนวโน้มเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย การตรวจระดับฮอร์โมนแบบเชิงลึก กับทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ ณ เวฬา Wellness Center อาจช่วยให้คุณเข้าใจต้นเหตุได้อย่างตรงจุด

💡 ท้องอืด อาหารไม่ย่อย แก้ยังไงดี? อยากรู้ อ่านเพิ่มเติมที่ http://bit.ly/46qQDCq

✅ แม้อาการอาหารไม่ย่อยจะพบได้บ่อย แต่ก็ไม่ควรละเลย เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะหรือโรคที่ต้องดูแล หากรู้จักสังเกตตัวเองและปรับพฤติกรรมอย่างเหมาะสม ก็สามารถบรรเทาอาการและป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำได้

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม / ปรึกษาปัญหาด้านสุขภาพ

💬 Line :
📷 IG :
🌐 www.navellawellness.com
📞 0-2090-6988 , 09-8286-6228
📍 Silom Edge (3rd Floor) Next to BTS Sala Daeng & MRT Silom
#ณเวฬา #อาหารไม่ย่อย #ท้องอืดอาหารไม่ย่อย #วิธีแก้ท้องอืดอาหารไม่ย่อย

🌟 Navella Success Stories Series ตอน: จากผมร่วงเป็นหย่อม สู่ผมดกเงางามอีกครั้งชีวิตวัยสาวที่ควรสดใส แต่กลับเต็มไปด้วยควา...
31/08/2025

🌟 Navella Success Stories Series ตอน: จากผมร่วงเป็นหย่อม สู่ผมดกเงางามอีกครั้ง

ชีวิตวัยสาวที่ควรสดใส แต่กลับเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ ร้องไห้บ่อยครั้งเมื่อส่องกระจก เพราะผมร่วงเป็นหย่อม ๆ จนเกือบหมดหัว เธอไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกาย และมีคำถามคาใจว่า "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?" แม้จะเคยไปพบแพทย์เฉพาะทางด้านเส้นผม แต่การรักษาก็ยังไม่เห็นผล

🏷️แล้วหมอเอมมี่จะช่วยให้เธอกลับมามีผมดกเงางามอีกครั้งได้อย่างไร? เธอจะผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้หรือไม่ ติดตามเรื่องราวที่น่าทึ่งนี้ไปพร้อมกัน

💡 ประวัติคนไข้

👧🏻 เด็กหญิงวัย 13 ปี ที่เริ่มมีผมร่วงเป็นหย่อมๆ หลังจากมีประจำเดือนครั้งแรก และอาการค่อย ๆ รุนแรงขึ้น จนเริ่มส่งผลต่อความมั่นใจและสภาพจิตใจของเธอ แม้จะเคยไปพบแพทย์เฉพาะทางด้านเส้นผม และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค Alopecia Areata (โรคผมร่วงเป็นหย่อมจากภูมิคุ้มกันทำร้ายรากผม) แต่การรักษายังไม่เห็นผลชัดเจน

🚩 นอกจากปัญหาเรื่องผม เธอยังมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น สิวเห่ออย่างต่อเนื่อง ปวดท้องบ่อย ท้องเสียบ่อยครั้ง รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า ปัญหาสุขภาพของเธออาจซับซ้อนกว่าที่คิด

🩺 การตรวจสุขภาพเชิงลึก

เพื่อหาสาเหตุอย่างลึกซึ้ง คุณหมอได้แนะนำให้ตรวจสุขภาพแบบเจาะลึก ประกอบด้วย:

✔ Ultimate Check-up

✔ ตรวจภูมิแพ้อาหารแฝง (Food Intolerance 222 รายการ)

✔ ตรวจภูมิแพ้สิ่งแวดล้อม (Environmental Allergy)

📋 ผลตรวจสุขภาพ (ก่อนการรักษา)

ผลการตรวจอย่างละเอียดแสดงให้เห็นถึงความผิดปกติในหลายระบบของร่างกาย

🔬 การอักเสบเรื้อรังและระบบภูมิคุ้มกัน

✔ HSCRP: สูงมากที่ 30 mg/L (ปกติควร

👫 คุณกำลังอยากมีเจ้าตัวเล็กเพื่อเติมเต็มชีวิตคู่ แต่เส้นทางนี้กลับไม่ง่ายอย่างที่คิดใช่ไหม?👶ต่อไปนี้คือ 6 แนวทางการกิน ท...
27/08/2025

👫 คุณกำลังอยากมีเจ้าตัวเล็กเพื่อเติมเต็มชีวิตคู่ แต่เส้นทางนี้กลับไม่ง่ายอย่างที่คิดใช่ไหม?👶
ต่อไปนี้คือ 6 แนวทางการกิน ที่จะช่วยให้คุณตั้งครรภ์ได้อย่างสมบูรณ์!! 👩‍🍼

ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มวางแผนการมีลูก กำลังพยายามเต็มที่ หรือแม้แต่เริ่มกังวลกับคำว่า "ภาวะมีบุตรยาก" ขอให้รู้ไว้ว่า คุณไม่ได้อยู่คนเดียว และมีอีกหลายวิธีที่สามารถเสริมพลังให้ร่างกายพร้อมตั้งครรภ์อย่างสมบูรณ์ได้ หนึ่งในวิธีสำคัญนั้นอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด... คือ "อาหาร" ที่เรากินทุกวัน 🥗

🤰ครั้งนี้ Navella จะพาคุณเจาะลึกถึง 6 เคล็ดลับการกิน เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ ตั้งแต่การบำรุงคุณภาพไข่และสเปิร์มไปจนถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน พร้อมแนะนำวิธีลดสารพิษที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการมีบุตร มาร่วมค้นพบพลังของอาหารที่จะช่วยปูทางสู่การเป็นพ่อแม่ในฝันของคุณ อ่านบทความฉบับเต็ม https://url.in.th/evblB

💪1. อาหารช่วยร่างกายล้างสารพิษ

ก่อนมีลูก ร่างกายต้องพร้อมรับอีกหนึ่งชีวิต สารพิษสะสมในร่างกายอาจรบกวนฮอร์โมนและลดโอกาสการตั้งครรภ์

ตัวอย่าง อาหารสนับสนุนการล้างพิษ

✔กะหล่ำดอก – มี DIM (Diindolylmethane) ซึ่งเป็นสารประกอบที่ช่วยในการเผาผลาญฮอร์โมนเอสโตรเจนส่วนเกินในตับ

✔กระเทียม – กระตุ้นการผลิตกลูตาไธโอน สารต้านอนุมูลอิสระและช่วยล้างพิษหลักของร่างกาย

✔เบอร์รี่, ขิง, ขึ้นฉ่าย, ผักใบเขียวเข้ม – เป็นอาหารที่ช่วยสนับสนุนช่องทางการขับสารพิษของร่างกาย เช่น ปอด ระบบทางเดินอาหาร ผิวหนัง ไต และระบบน้ำเหลือง

✔กินปลาที่มีสารปรอทต่ำ เช่น ปลาแซลมอน – เพื่อลดการได้รับโลหะหนัก ซึ่งอาจเป็นสารพิษต่อร่างกาย

✅ 2. หมุนเวียนการกินเมล็ดพืชตามรอบประจำเดือน

การหมุนเวียนเมล็ดพืชเป็นแนวทางการใช้อาหารเป็นยาที่เกี่ยวข้องกับการกินเมล็ดพืชบางชนิดในช่วงต่างๆ ของรอบเดือน เพื่อช่วยให้ฮอร์โมนสมดุล เสริมการตกไข่ และการสร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่จำเป็นต่อการตั้งครรภ์ ดังนี้

📆 ช่วงฟอลลิคูลาร์ (Follicular Phase): วันที่ 1–14 ของรอบเดือน (เริ่มนับจากวันแรกที่มีประจำเดือน) ในช่วงนี้ร่างกายจะสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจน เพื่อกระตุ้นให้ไข่ในรังไข่เจริญเติบโตจนถึง “ไข่ตก” ประมาณวันที่ 14 เป้าหมายของการกินเมล็ดพืชในช่วงนี้คือ สนับสนุนการเจริญของไข่และการตกไข่

เมล็ดพืชที่แนะนำในช่วงนี้:

✅ เมล็ดแฟลกซ์ – อุดมด้วยโอเมก้า 3 ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีไปยังรังไข่

✅ เมล็ดฟักทอง – มีสังกะสีและแมกนีเซียม ช่วยกระตุ้นการตกไข่

📆 ช่วงลูทีนีซิ่ง (Luteal Phase): วันที่ 15–28 ของรอบเดือนหลังจากไข่ตก ร่างกายจะเริ่มสร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เพื่อเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกให้พร้อมรับการฝังตัวของตัวอ่อน
เมล็ดพืชที่แนะนำในช่วงนี้:

✅ เมล็ดทานตะวัน – มีวิตามินบี 6 และแมกนีเซียม ช่วยสร้างโปรเจสเตอโรน

✅ เมล็ดงา – อุดมด้วยวิตามินบีและซีลีเนียม ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน

👶3. อาหารบำรุงไข่ให้แข็งแรง พร้อมสำหรับการตั้งครรภ์

คุณภาพของไข่คือหัวใจของการสร้างตัวอ่อนที่แข็งแรง ลดความเสี่ยงของความผิดปกติทางพันธุกรรมที่อาจนำไปสู่ปัญหาในการตั้งครรภ์และปัญหาสุขภาพของเด็กในอนาคต
ตัวอย่าง อาหารที่ช่วยบำรุงเซลล์ไข่และฮอร์โมนเพศหญิง

✔พริกหวานสีเหลือง – วิตามินซีสูง ช่วยปกป้องเซลล์ไข่จากอนุมูลอิสระ

✔เมล็ดฟักทอง – เป็นแหล่งของสังกะสีและแมกนีเซียม ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน

✔ชาเขียวมัทฉะ – มี EGCG ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูงที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย

✔ไข่แดงและปลาซาร์ดีน – เป็นแหล่งวิตามินดี ซึ่งช่วยสนับสนุนจำนวนไข่ การทำงานของรังไข่ คุณภาพไข่ และลดการอักเสบในร่างกาย

✔เมล็ดงาและเนื้อไก่ – อุดมด้วย CoQ10 ช่วยปรับปรุงการตอบสนองของรังไข่และคุณภาพของตัวอ่อน เนื่องจากระดับ CoQ10 จะลดลงตามอายุ โดยเฉพาะผู้หญิงอายุ 35 ปีขึ้นไป

🙎‍♂️4. บำรุงคุณภาพอสุจิ

กว่า 50% ของภาวะมีบุตรยากมีปัจจัยจากฝ่ายชายด้วย อสุจิที่มีคุณภาพต่ำเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การตั้งครรภ์ไม่ประสบความสำเร็จ

ตัวอย่าง อาหารบำรุงคุณภาพอสุจิ

✔เมล็ดฟักทอง, หอยนางรม – อุดมไปด้วยสังกะสี ซึ่งจำเป็นต่อการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ซึ่งจำเป็นสำหรับการสร้างสเปิร์ม

✔มะเขือเทศเชอร์รี่, แตงโม – มีไลโคปีน ช่วยลดความเสียหายของ DNA สนับสนุนจำนวนสเปิร์มและการเคลื่อนไหวของอสุจิ

✔กุ้ง, ถั่วบราซิล – แหล่งซีลีเนียม ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของสเปิร์ม

🤱5. อาหารช่วยสนับสนุนคุณภาพตัวอ่อน (ตั้งแต่ก่อนปฏิสนธิ)

ความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันและการไหลเวียนโลหิตที่ไม่ดีสามารถทำลายไข่และสเปิร์มได้ สารอาหารบางชนิดสามารถช่วยลดความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันและช่วยให้อวัยวะสืบพันธุ์ได้รับออกซิเจน เลือด และสารอาหารที่เพียงพอเพื่อช่วยในการพัฒนาไข่และสนับสนุนคุณภาพของไข่ ตัวอย่าง เช่น

✔สตรอเบอร์รี่, หน่อไม้ฝรั่ง, ผักโขม – อุดมไปด้วยโฟเลต ซึ่งช่วยในการสังเคราะห์ DNA ที่สำคัญสำหรับการแบ่งเซลล์อย่างรวดเร็วในช่วงต้นของการพัฒนาตัวอ่อน และมีกรดอัลฟาไลโปอิก (ALA) ช่วยปรับปรุงการทำงานของไมโทคอนเดรียและลดความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน

✔บีทรูท, ผักโขม, กระเทียม, แตงโม, เมล็ดฟักทอง: แหล่งของไนเตรท/ซิทรุลลีน/อาร์จินีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตไนตริกออกไซด์ ไนตริกออกไซด์ช่วยขยายหลอดเลือด ปรับปรุงการส่งออกซิเจน เลือด และสารอาหารไปยังอวัยวะสืบพันธุ์ของคุณ

👩‍🦰6. อาหารเสริมสร้างการฝังตัวของตัวอ่อน

การมีเยื่อบุโพรงมดลูกที่หนาและพร้อมรับการฝังตัวของตัวอ่อนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการตั้งครรภ์

ตัวอย่าง อาหารช่วยสนับสนุนเยื่อบุโพรงมดลูกให้แข็งแรง

✔เมล็ดทานตะวัน – อุดมด้วยวิตามินอี ช่วยเพิ่มความหนาเยื่อบุได้

✔โยเกิร์ต – เสริมจุลินทรีย์ดีในมดลูก เพิ่มโอกาสการฝังตัว

✔ปลาแซลมอน, ทูน่า, วอลนัท, ควินัว – อาหารเหล่านี้อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ซึ่งช่วยส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดไปยังมดลูก ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ

✔ธัญพืชไม่ขัดสี – อุดมด้วยวิตามิน B6, ธาตุเหล็ก และไฟเบอร์ ช่วยรักษาระดับเอสโตรเจนที่เหมาะสมและเพิ่มความหนาของเยื่อบุ

✨แม้อาหารจะมีบทบาทสำคัญในการบำรุงสุขภาพระบบสืบพันธุ์ แต่ก็เป็นเพียงหนึ่งในองค์ประกอบของการเตรียมตัวมีลูกเท่านั้น เพราะปัจจัยอย่างฮอร์โมน ความเครียด การนอนหลับ การออกกำลังกาย และสุขภาพโดยรวมก็ล้วนมีผลต่อโอกาสการตั้งครรภ์ หากคุณต้องการวางแผนอย่างแม่นยำและเข้าใจร่างกายตัวเองมากขึ้น การตรวจระดับฮอร์โมนกับแพทย์เฉพาะทางจึงเป็นก้าวต่อไปที่สำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกระบบในร่างกายพร้อมสำหรับการต้อนรับสมาชิกใหม่ในครอบครัวอย่างแท้จริง

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม / ปรึกษาปัญหาด้านสุขภาพ

💬 Line :
📷 IG :
🌐 www.navellawellness.com
📞 0-2090-6988 , 09-8286-6228
📍 Silom Edge (3rd Floor) Next to BTS Sala Daeng & MRT Silom
#ณเวฬา #มีบุตรยาก #มีลูกยาก

🩸 ก่อนเมนส์มา... ใครเป็นแบบนี้บ้าง?อยู่ดี ๆ ก็หงุดหงิด ไม่อยากคุยกับใคร น้ำตาไหลง่าย กินเก่งผิดปกติ ปวดท้องหน่วง ๆ เหมือ...
24/08/2025

🩸 ก่อนเมนส์มา... ใครเป็นแบบนี้บ้าง?

อยู่ดี ๆ ก็หงุดหงิด ไม่อยากคุยกับใคร น้ำตาไหลง่าย กินเก่งผิดปกติ ปวดท้องหน่วง ๆ เหมือนจะไม่ไหวแต่ก็ยังต้องใช้ชีวิตให้ได้เหมือนเดิม...คุณไม่ได้อ่อนแอ แต่อาจกำลังเผชิญกับ “PMS” หรือ “อาการก่อนมีประจำเดือน” ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องเล็ก

🔍 PMS หรือ อาการก่อนเมนส์มา คืออะไร?

PMS (Premenstrual Syndrome) หรือภาวะกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน เป็นอาการที่เกิดขึ้นในช่วง 1–2 สัปดาห์ก่อนที่ประจำเดือนจะเริ่ม โดยจะบรรเทาลงเมื่อมีประจำเดือนมาแล้วอย่างเป็นทางการ ภาวะ PMS เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งมีผลต่อทั้งร่างกายและจิตใจ ผู้หญิงแต่ละคนจะมีอาการแตกต่างกันไปในด้านความรุนแรงและลักษณะอาการ บางคนอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย ขณะที่บางคนอาจมีอาการรุนแรงจนกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างชัดเจน อ่านเพิ่มเติม http://bit.ly/4l5b8bB

🧐 PMS เกิดจากอะไร?

✔1. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

เมื่อใกล้เมนส์มา ฮอร์โมนเพศหญิงอย่างเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจะมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งหากร่างกายผลิตฮอร์โมนในสัดส่วนที่ไม่สมดุล เช่น โปรเจสเตอโรนต่ำกว่าเกณฑ์ที่ควรเป็น หรือมีเอสโตรเจนมากเกินไปเมื่อเทียบกับโปรเจสเตอโรน ก็จะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า “ฮอร์โมนไม่สมดุล” ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่กระตุ้นให้อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด ซึมเศร้า อ่อนล้า รวมถึงอาการทางร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ คัดตึงหน้าอก หรือท้องอืดในช่วงก่อนมีประจำเดือน

✔2. สารเซโรโทนิน (Serotonin) ในสมอง

เซโรโทนินเป็นสารสื่อประสาทที่มีผลต่ออารมณ์และความสุข การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนอาจไปกระทบกับระดับเซโรโทนินในสมอง ทำให้เกิดอาการซึมเศร้า อยากอาหาร หรือหลับยากก่อนเมนส์มา

✔3. ภาวะขาดวิตามินหรือแร่ธาตุ

การขาดวิตามิน B6, แคลเซียม หรือแมกนีเซียมอาจส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถจัดการกับอาการก่อนมีประจำเดือนได้ดีพอ ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย หรืออารมณ์แปรปรวน

✔4. ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความเครียดสะสม, การดื่มแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีนมากเกินไป, การบริโภคน้ำตาลสูง, ขาดการออกกำลังกาย และภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้อาการก่อนเมนส์มาแย่ลงได้

👩 PMS จัดการได้ด้วยวิธีไหน?

แม้จะไม่สามารถป้องกันอาการก่อนมีประจำเดือนได้ 100% แต่ก็สามารถลดความรุนแรงและผลกระทบได้ด้วยวิธีเหล่านี้

1. ปรับพฤติกรรมการกิน ตัวอย่างเช่น

📌ลดอาหารที่กระตุ้นการอักเสบ เช่น น้ำตาล คาเฟอีน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารแปรรูป และไขมันทรานส์

📌กินผักตระกูลกะหล่ำและพืชหัว (ก่อนมีประจำเดือน) เช่น บรอกโคลี กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก หัวไชเท้า ซึ่งอุดมด้วยสารกลูโครซิโนเลต (Glucosinolates) ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของตับในการขจัดเอสโตรเจนส่วนเกิน ลดความเสี่ยงของภาวะ “เอสโตรเจนโดมิแนนซ์” ซึ่งสัมพันธ์กับอาการคัดเต้านม หงุดหงิด และบวมน้ำก่อนมีประจำเดือน

📌เสริมอาหารเสริมที่มีสาร DIM (Diindolylmethane) มีคุณสมบัติช่วยปรับสมดุลการเผาผลาญของเอสโตรเจนในตับ ทำให้ร่างกายเปลี่ยนเอสโตรเจนไปอยู่ในรูปแบบที่ปลอดภัยและไม่ก่อให้เกิดอาการผิดปกติ ช่วยลดทั้งอาการทางอารมณ์และร่างกายที่เกิดจากความไม่สมดุลของฮอร์โมนเพศ

2. ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม

📌การออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือขี่จักรยาน อย่างน้อย 30 นาที/วัน 3–5 วันต่อสัปดาห์ ช่วยบรรเทา PMS ได้ในหลายมิติ เช่น ช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินและเซโรโทนิน ซึ่งช่วยลดอาการปวดและปรับสมดุลอารมณ์ให้ดีขึ้นในช่วงก่อนเมนส์มา เป็นต้น

3. จัดการความเครียด/ความวิตกกังวล

ระดับความเครียดที่สูงส่งผลต่อความไม่สมดุลของฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งอาจรบกวนการทำงานของฮอร์โมนเพศและทำให้อาการก่อนมีประจำเดือนแย่ลง 📌 แนะนำให้จัดการกับความเครียด ด้วยการฝึกหายใจลึก ๆ ฝึกสมาธิ โยคะ หรือทำงานอดิเรกที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย เพื่อบรรเทาอาการทางอารมณ์

4. พักผ่อนให้เพียงพอ

ฮอร์โมนเมลาโทนินและคอร์ติซอลมีบทบาทสำคัญต่อการนอนหลับและความสมดุลของระบบประสาทอัตโนมัติ หากนอนไม่พอ หรือคุณภาพการนอนไม่ดี อาจส่งผลต่อความรุนแรงของ PMS ได้ 📌 จึงควรนอนให้ได้ 7–8 ชั่วโมงต่อคืน โดยรักษาเวลานอนให้สม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูและลดอาการต่าง ๆ ได้ดีขึ้น

5. ทานยา / อาหารเสริม

ในผู้หญิงที่มีอาการรุนแรง 📌 การใช้ยาและอาหารเสริมบางชนิดสามารถช่วยบรรเทาอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น อาจใช้ยาบรรเทาอาการปวด ยาคุมกำเนิด หรืออาหารเสริมจำพวกแคลเซียม แมกนีเซียม หรือวิตามินบี ตามคำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ

💙“PMS หรือ อาการก่อนเมนส์มา” เป็นสัญญาณที่ร่างกายส่งออกมาเพื่อบอกว่ากำลังมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในระบบภายใน โดยเฉพาะด้านฮอร์โมน การเข้าใจว่า PMS คืออะไร และเรียนรู้วิธีรับมืออย่างมีสติ จะช่วยให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นแม้ในช่วงวันก่อนมีประจำเดือน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม / ปรึกษาปัญหาด้านสุขภาพ

💬 Line :
📷 IG :
🌐 www.navellawellness.com
📞 0-2090-6988 , 09-8286-6228
📍 Silom Edge (3rd Floor) Next to BTS Sala Daeng & MRT Silom
#ณเวฬา #ตรวจฮอร์โมน #สุขภาพผู้หญิง

🌟 Navella Success Stories Series ตอน: จากเคย IVF ล้มเหลว 8 ครั้ง… สู่การตั้งครรภ์สำเร็จในวัย 43 ปี การเดินทางของผู้หญิงค...
21/08/2025

🌟 Navella Success Stories Series ตอน: จากเคย IVF ล้มเหลว 8 ครั้ง… สู่การตั้งครรภ์สำเร็จในวัย 43 ปี

การเดินทางของผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ยอมแพ้ต่อความฝันในการมีลูก แม้จะต้องเผชิญกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำ IVF มาแล้วกว่า 8 ครั้ง แต่ไม่สำเร็จ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นจนเสียสมดุลของร่างกายจดเกือบหมดหวังและถอดใจ

🏷️แล้วหมอจิมมี่จะช่วยให้เธอมีลูกได้อย่างที่หวังไว้หรือไม่? ทำได้อย่างไร? ติดตามเรื่องราวสุดประทับใจนี้ไปพร้อมกัน

💡 ประวัติคนไข้

👩‍🦰 หญิงวัย 37 ปีคนหนึ่ง เริ่มต้นเส้นทางมีลูกด้วยใจที่มุ่งมั่น เธอพยายามด้วยวิธีธรรมชาติ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงหันมาพึ่งวิธีทางการแพทย์ ด้วยการทำ IVF (In Vitro Fertilization) หรือ การปฏิสนธินอกร่างกาย โดยแพทย์จะเก็บไข่มาผสมกับอสุจิในห้องแล็บ จากนั้นรอจนเกิดการปฏิสนธิเป็นตัวอ่อน และนำตัวอ่อนที่แข็งแรงกลับเข้าไปฝังในโพรงมดลูก เพื่อให้ตั้งครรภ์ การทำ IVF ต้องอาศัยทั้งการกระตุ้นไข่ด้วยฮอร์โมน การติดตามผลด้วยอัลตราซาวด์อย่างใกล้ชิด และการวินิจฉัยคุณภาพของตัวอ่อนอย่างละเอียด

เธอทำ IVF มาแล้วถึง 8 ครั้ง ครั้งแรก ๆ ได้ไข่เพียงไม่กี่ใบ แต่คุณภาพไข่ไม่ดี จึงไม่สามารถนำไปผสมเป็นตัวอ่อนได้สำเร็จ หลังอายุ 40 จำนวนไข่เริ่มลดลงอย่างชัดเจน แม้จะเก็บไข่และผสมได้ 1 ครั้ง แต่ก็หลุดไป

🟥 นอกจากนี้ น้ำหนักตัวของเธอยังเพิ่มขึ้นไวในช่วงอายุ 40+ มีความเครียดเรื้อรังจากการพยายามมีลูกอย่างต่อเนื่อง และผลจากการฉีดฮอร์โมนกระตุ้นไข่ต่อเนื่องหลายปีก็ทำให้ร่างกายของเธอเริ่มเสียสมดุลเธอเริ่มรู้สึกหมดหวัง... จนกระทั่งได้เห็นคลิปรีวิวของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีปัญหาเหมือนกัน แต่สามารถกลับมาตั้งครรภ์ได้ที่ ณ เวฬา คลินิก จึงตัดสินใจมาพบหมอจิมมี่เป็นครั้งแรก ตอนที่เธออายุ 43 ปี

🩺 การตรวจสุขภาพเชิงลึก

คุณหมอจิมมี่แนะนำให้ทำการตรวจสุขภาพแบบละเอียด (Ultimate Check-up) ซึ่งรวมถึงการตรวจฮอร์โมนเพศ ฮอร์โมนการเจริญพันธุ์ และค่าการอักเสบเรื้อรังในร่างกาย เพื่อประเมินความพร้อมของร่างกายในการตั้งครรภ์อย่างละเอียด

🚩ไม่แนะนำให้รักษาโดยอ้างอิงจากแนวทางการรักษานี้ แม้ว่าคุณจะมีปัญหาสุขภาพหรืออาการที่คล้ายคลึงกันเนื่องจากปัญหาสุขภาพของแต่ละคนมีสาเหตุและลักษณะที่แตกต่างกันไป การรักษาที่ได้ผลสำหรับบางคนอาจไม่เหมาะสมกับคนอื่น ที่ ณ เวฬา คลินิก ทีมแพทย์ของเราจะทำการประเมินอาการอย่างละเอียดและออกแบบแผนการรักษาที่เหมาะสมกับคุณโดยเฉพาะ หากคุณต้องการแนวทางการรักษาที่ปลอดภัยและได้ผล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจเริ่มการรักษาใดๆ

🥰 เรื่องราวนี้คือพลังแห่งความหวัง เคสนี้คือหลักฐานว่า สุขภาพที่ดีและการตั้งครรภ์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ “ความเข้าใจร่างกายอย่างลึกซึ้ง” หากคุณกำลังพยายามมีลูก แต่ยังไม่สำเร็จ ลองให้เราได้ช่วยตรวจให้ลึกกว่าเดิม ด้วยเวชศาสตร์ป้องกัน + ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ ณ เวฬา Medical & Wellness สุขภาพที่ดี และฝันของการมีลูก…อาจใกล้กว่าที่คุณคิด 💙

🌟อยากรู้ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป อ่านต่อได้ในคอมเม้นท์ หรือ คลิก https://url.in.th/Yymzd

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม / ปรึกษาปัญหาด้านสุขภาพ
💬 Line :
📷 IG :
🌐 www.navellawellness.com
📞 0-2090-6988 , 09-8286-6228
📍 Silom Edge (3rd Floor) Next to BTS Sala Daeng & MRT Silom
#ณเวฬา #สุขภาพ #มีบุตรยาก

🩸 รู้ไหมว่า... กรุ๊ปเลือดของคุณ อาจมีผลต่อความเสี่ยงในการเกิดโรคบางอย่างได้! 🚩 หลายการศึกษาทางระบาดวิทยาและพันธุกรรมในระ...
17/08/2025

🩸 รู้ไหมว่า... กรุ๊ปเลือดของคุณ อาจมีผลต่อความเสี่ยงในการเกิดโรคบางอย่างได้!

🚩 หลายการศึกษาทางระบาดวิทยาและพันธุกรรมในระดับโลกชี้ว่า กรุ๊ปเลือดแต่ละแบบมีความสัมพันธ์กับโรคบางโรคในลักษณะที่ “พบได้บ่อยกว่า” หรือ “มีแนวโน้มเสี่ยงสูงกว่า” อ่านฉบับเต็มที่ http://bit.ly/3J8kJRl

🔎ลองมาสำรวจไปพร้อมกันว่า คนกรุ๊ป A, B, AB และ O... ใครมีแนวโน้มเจ็บป่วยจากอะไร และควรระวังเรื่องใดบ้าง เพื่อให้คุณสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้อย่างเหมาะสม

🅰️ กรุ๊ป A – หัวใจต้องระวัง กระเพาะต้องดูแล

ถ้าคุณมีกรุ๊ปเลือด A ให้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้เป็นพิเศษ:

🚩 งานวิจัยจาก Harvard School of Public Health พบว่าคนกรุ๊ป A มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจมากกว่าคนกรุ๊ป O ถึง 8% โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดหัวใจ เพราะกรุ๊ป A มีระดับโปรตีนบางชนิดที่อาจทำให้เลือดข้นหรืออุดตันง่าย

🚩 ระบบภูมิคุ้มกันอาจตอบสนองต่อเชื้อ H. pylori ได้ไวเกินไป ทำให้เสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหาร

🚩 คุณเครียดง่าย อารมณ์แปรปรวนบ่อย และภูมิคุ้มกันอาจอ่อนแอกว่ากรุ๊ปอื่น

✅ ดูแลตัวเองยังไงดี?

ควรดูแลสุขภาพหัวใจด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น เน้นผัก ผลไม้ และธัญพืชเต็มเมล็ด ลดอาหารไขมันสูงและโซเดียม นอกจากนี้ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และตรวจสุขภาพกระเพาะเป็นระยะ รวมถึงปรึกษาแพทย์หากมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร

🅱️ กรุ๊ป B – ระวังน้ำตาลพุ่ง เมตาบอลิซึมมีปัญหา

คุณที่อยู่ในกรุ๊ป B อาจต้องใส่ใจสุขภาพด้าน:

🚩 งานวิจัยจาก Diabetes and Metabolism Journal ระบุว่า คนกรุ๊ป B มีความสัมพันธ์กับภาวะดื้อต่ออินซูลินและมีแนวโน้มเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีประวัติครอบครัวและน้ำหนักเกิน หรือมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ร่วมด้วย

🚩 ปัญหาเรื่องระบบเผาผลาญ เช่น ไขมันพอกตับ ไขมันในเลือดสูง หรืออ้วนลงพุง

🚩 บางคนอาจมีแนวโน้มสมาธิสั้นหรือระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติ

✅ ดูแลตัวเองยังไงดี?

ควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดด้วยการเลือกรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low GI) เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืชเต็มเมล็ด หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป เครื่องดื่มรสหวาน และน้ำตาลทราย + พักผ่อนให้พอ เพื่อรักษาสมดุลฮอร์โมน นอกจากนี้ การออกกำลังกายเป็นประจำและการจัดการกับความเครียดในชีวิตประจำวันให้ดี ก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันและจัดการกับโรคเหล่านี้

🆎 กรุ๊ป AB – สมองต้องหมั่นใช้ หลอดเลือดต้องใส่ใจ

กรุ๊ป AB เป็นกรุ๊ปเลือดที่พบได้น้อย แต่ถ้าคุณอยู่ในกลุ่มนี้ ลองเช็กดูว่าเคยมีอาการเหล่านี้ไหม:

🚩 งานวิจัยจาก University of Vermont พบว่า คนกรุ๊ป AB มีแนวโน้มเป็นโรคความจำเสื่อม (cognitive impairment) สูงกว่าคนกรุ๊ป O ถึง 82%

🚩 มีแนวโน้มเลือดแข็งตัวง่ายกว่าปกติ เนื่องจากมีปัจจัยการแข็งตัวของเลือดบางชนิดในระดับที่สูงกว่า จึงอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)

🚩 มักพบว่านอนหลับไม่สนิท เครียดง่าย ซึ่งอาจกระทบต่อระบบประสาทโดยรวม

✅ ดูแลตัวเองยังไงดี?

ควรดูแลสุขภาพสมองด้วยการนอนหลับให้เพียงพอ (7-9 ชั่วโมงต่อคืนสำหรับผู้ใหญ่) ฝึกสมองด้วยกิจกรรมที่กระตุ้นการคิด เช่น อ่านหนังสือ หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ การฝึกสมาธิและบริโภคอาหารบำรุงสมอง เช่น ปลาที่มีไขมันดีสูง (แซลมอน ทูน่า), ถั่ว, และผักใบเขียวเข้ม

🅾️ กรุ๊ป O – ดูเหมือนแกร่ง แต่ก็มีจุดอ่อนซ่อนอยู่

กรุ๊ป O มักถูกมองว่า “โชคดี” เพราะ เสี่ยงโรคหัวใจและมะเร็งบางชนิดน้อยกว่ากรุ๊ปอื่น

🚩 แต่ในขณะเดียวกัน กลับมีแนวโน้มเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้มากกว่า โดยเฉพาะจากเชื้อ H. pylori

🚩 ข้อมูลจาก Journal of Infection ระบุว่า คนกรุ๊ป O เสี่ยง “ไทรอยด์ต่ำ” มากกว่ากรุ๊ปอื่น ซึ่งส่งผลต่อพลังงาน น้ำหนัก และอารมณ์

🚩 อาจมีปัญหาเรื่องเลือดแข็งตัวยาก เลือดออกมากผิดปกติ เนื่องจากมีสารที่ทำให้เลือดแข็งตัว (เช่น Factor VIII และ von Willebrand factor) ในระดับที่ต่ำกว่ากรุ๊ป A/B/AB

✅ ดูแลตัวเองยังไงดี?

เลี่ยงความเครียดสะสม เพราะส่งผลโดยตรงต่อกระเพาะอาหาร ตรวจเช็กฮอร์โมนไทรอยด์เป็นระยะ โดยเฉพาะถ้ามีอาการอ่อนเพลีย ผมร่วง หรือหนาวง่าย กินอาหารที่ย่อยง่าย และหลีกเลี่ยงของเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด ที่อาจกระตุ้นกรดในกระเพาะ

📌 หลายโรคที่กล่าวถึง เป็นเพียง“ความสัมพันธ์ทางสถิติ” ไม่ใช่ข้อยืนยันว่าจะต้องเป็นโรคนั้น ๆ เสมอไป เพราะสุดท้ายแล้ว สุขภาพที่ดีของคุณ ไม่ได้ขึ้นกับกรุ๊ปเลือด... แต่ขึ้นกับการดูแลตัวเองทุกวัน กินดี พักพอ ออกกำลังกาย ตรวจสุขภาพประจำปี และไม่ละเลยสัญญาณเล็ก ๆ จากร่างกาย

💬 ถ้าอยากรู้ว่าคุณควรเริ่มดูแลจุดไหนก่อน ลองเริ่มจาก ตรวจสุขภาพแบบเจาะลึก เพื่อเข้าใจร่างกายของคุณเองให้มากขึ้น

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม / ปรึกษาปัญหาด้านสุขภาพ

💬 Line :
📷 IG :
🌐 www.navellawellness.com
📞 0-2090-6988 , 09-8286-6228
📍 Silom Edge (3rd Floor) Next to BTS Sala Daeng & MRT Silom
#ณเวฬา #กรุ๊ปเลือด

👶🏻"เป็นพาหะธาลัสซีเมีย" รู้ให้ชัด วางแผนให้พร้อม ป้องกันโรคเลือดร้ายที่ถ่ายทอดถึงลูก! 📊 รู้หรือไม่ ธาลัสซีเมียเป็น “โรคท...
14/08/2025

👶🏻"เป็นพาหะธาลัสซีเมีย" รู้ให้ชัด วางแผนให้พร้อม ป้องกันโรคเลือดร้ายที่ถ่ายทอดถึงลูก!

📊 รู้หรือไม่ ธาลัสซีเมียเป็น “โรคทางพันธุกรรมที่พบบ่อยที่สุดในประเทศไทย” คนไทยกว่า 30–40% เป็น “พาหะธาลัสซีเมีย” โดยไม่รู้ตัว ในแต่ละปี ประเทศไทยมีเด็กเกิดใหม่ที่เป็นโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงประมาณ 12,000 ราย และมากกว่า 500,000 คนในไทย เป็นผู้ป่วยธาลัสซีเมียชนิดที่ต้องได้รับการรักษาตลอดชีวิต!

📌 ธาลัสซีเมียคืออะไร? แล้วพาหะต่างจากผู้ป่วยยังไง?

🩸 ธาลัสซีเมีย เป็นโรคโลหิตจางเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของยีนที่ควบคุมการสร้างฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนในร่างกาย ผู้ป่วยจะมีเม็ดเลือดแดงแตกง่าย ทำให้เกิดอาการซีด เหนื่อยง่าย หัวใจทำงานหนัก และเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายหลายประการ

👌 ขณะที่ พาหะธาลัสซีเมีย หมายถึง ผู้ที่มียีนผิดปกติเพียง 1 ชุดจากพ่อหรือแม่เท่านั้น ตัวเองมักไม่แสดงอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น ซีด เหนื่อยง่าย แต่ยังใช้ชีวิตได้ตามปกติ และไม่ต้องรับการรักษาใดๆ

👉 แต่สิ่งสำคัญคือ พาหะสามารถถ่ายทอดยีนผิดปกติสู่ลูกได้ หากคู่ของคุณก็เป็นพาหะด้วยเช่นกัน ความเสี่ยงที่ลูกจะเป็น "ผู้ป่วยธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง มีถึง 25% " นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม "การตรวจเลือดก่อนแต่งงานหรือก่อนมีลูก" จึงสำคัญมาก โดยเฉพาะในคนไทยที่มีโอกาสเป็นพาหะสูงมากแบบไม่รู้ตัว

❗ ทำไมธาลัสซีเมียจึงเป็นปัญหาสุขภาพที่ ส่งผลกระทบไปตลอดชีวิต?

🔻 ต้องรับเลือดตลอดชีวิต

เด็กที่เป็นธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงต้องได้รับการถ่ายเลือดทุก 3–4 สัปดาห์ ตั้งแต่วัยเด็กจนตลอดชีวิต เพื่อรักษาระดับฮีโมโกลบินให้พอเพียง ไม่ให้เกิดภาวะซีด หอบ เหนื่อย หรืออวัยวะล้มเหลว

🔻 ภาวะเหล็กเกินในร่างกาย

การถ่ายเลือดบ่อยครั้งจะทำให้ร่างกายสะสมธาตุเหล็กส่วนเกิน ซึ่งหากไม่ได้รับยาขับเหล็กอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลเสียต่อหัวใจ ตับ และต่อมไร้ท่อต่าง ๆ ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น หัวใจล้มเหลว เบาหวาน ตับแข็ง และภาวะเจริญพันธุ์ผิดปกติ

🔻 คุณภาพชีวิตต่ำและค่าใช้จ่ายสูง

ครอบครัวต้องรับภาระทั้งด้านจิตใจและการเงินจากการดูแลผู้ป่วยตลอดชีวิต โดยเฉพาะในรายที่ต้องเดินทางมาโรงพยาบาลบ่อย ๆ หรือรับยาขับเหล็กชนิดฉีดทุกวัน

🔻 ไม่มีทางรักษาให้หายขาด ยกเว้นการปลูกถ่ายไขกระดูก

การปลูกถ่ายไขกระดูก (Bone Marrow Transplantation) เป็นวิธีเดียวในปัจจุบันที่อาจทำให้หายขาด แต่มีข้อจำกัดหลายด้าน เช่น ต้องหาผู้บริจาคที่เข้ากันได้ 100% (มักเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน), ค่าใช้จ่ายสูง และยังมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจากการรักษา

👶🏻 อยากมีลูก แต่เป็นพาหะธาลัสซีเมีย... ต้องทำยังไง? คลิก https://url.in.th/uDKhO
การมีลูกไม่ใช่เรื่องน่ากลัวสำหรับพาหะธาลัสซีเมีย ถ้าคุณรู้เท่าทันและวางแผนให้ดี

✅ 1. ตรวจคัดกรองพาหะธาลัสซีเมีย ทั้งคุณและคู่รัก

ใช้วิธีการตรวจเลือดเบื้องต้น เช่น MCV, MCH และ Hb typing ถ้าผลสงสัยว่าเป็นพาหะ แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจยืนยันโดยการวิเคราะห์ยีน

👩‍⚕️ 2. ปรึกษาแพทย์พันธุศาสตร์ (Genetic Counseling)

หากพบว่าทั้งสองฝ่ายเป็นพาหะ แพทย์จะให้คำปรึกษาเกี่ยวกับความเสี่ยง และทางเลือกในการมีลูก เช่น การตรวจวินิจฉัยก่อนคลอด (Amniocentesis หรือ CVS) หรือ การทำเด็กหลอดแก้วและคัดกรองตัวอ่อน (PGD)

🥗 3. เตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนตั้งครรภ์

ตรวจระดับฮีโมโกลบิน และวิเคราะห์ภาวะซีด หากไม่มีปัญหาเรื่องเหล็กเกิน อาจเสริมกรดโฟลิก 5 มก./วัน ล่วงหน้าก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือน พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด และงดสารกระตุ้น เช่น บุหรี่ แอลกอฮอล์ และปฏิบึติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

📅 4. วางแผนตั้งครรภ์อย่างใกล้ชิดกับแพทย์

ผู้หญิงที่เป็นพาหะมักตั้งครรภ์ได้ตามปกติ แต่ต้องได้รับการดูแลเฉพาะทาง หากพบว่าลูกในครรภ์มียีนผิดปกติรุนแรงจริง ครอบครัวควรได้รับข้อมูลครบถ้วนเพื่อวางแผนอนาคตร่วมกัน

📍 โรคธาลัสซีเมียอาจไม่ใช่โรคระบาด แต่คือ “โรคเรื้อรังที่สร้างผลกระทบยาวนานทั้งต่อผู้ป่วยและครอบครัว” หากคุณกำลังวางแผนมีลูก และไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นพาหะธาลัสซีเมียหรือไม่ ขอแนะนำให้เข้ารับการตรวจเลือดและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตั้งครรภ์ เพื่อให้คุณและลูกน้อยมีสุขภาพที่ดีในอนาคต ... ป้องกันไว้ ดีกว่าให้ลูกต้องรักษาทั้งชีวิต!

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม / ปรึกษาปัญหาด้านสุขภาพ

💬 Line :
📷 IG :
🌐 www.navellawellness.com
📞 0-2090-6988 , 09-8286-6228
📍 Silom Edge (3rd Floor) Next to BTS Sala Daeng & MRT Silom
#ณเวฬา #ธาลัสซีเมีย #พาหะธาลัสซีเมีย

💙 วันแม่ปีนี้...มองลึกกว่า "ช่อมะลิ" สู่สุขภาพของแม่ที่คุณรักทุกปี...วันที่ 12 สิงหาคม หลายคนรีบหาดอกมะลิสวย ๆ เพื่อกราบ...
12/08/2025

💙 วันแม่ปีนี้...มองลึกกว่า "ช่อมะลิ" สู่สุขภาพของแม่ที่คุณรัก

ทุกปี...วันที่ 12 สิงหาคม หลายคนรีบหาดอกมะลิสวย ๆ เพื่อกราบแม่ แต่รู้ไหมว่า สิ่งที่แม่ต้องการมากที่สุด อาจไม่ใช่แค่ “ดอกไม้” หรือ “คำบอกรัก” แต่อาจเป็น “สุขภาพที่ดี” เพื่อจะได้อยู่กับคุณไปนาน ๆ

👩 เพราะความจริงคือ ผู้หญิงต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพหลากหลายตลอดชีวิต และ "ยิ่งอายุมาก ความเสี่ยงก็ยิ่งเพิ่มขึ้น" วันแม่ปีนี้ มาดูกันเถอะว่า “แต่ละช่วงวัยของผู้หญิง” มีความเสี่ยงอะไรบ้าง เพื่อที่คุณจะเริ่มดูแลตัวเอง (และแม่) ได้ทันเวลา

👩‍🦰 วัย 20-30 ปี: ช่วงเริ่มต้นของการดูแลตัวเองอย่างจริงจัง
ความเสี่ยงสุขภาพ:

🚩ภาวะถุงน้ำในรังไข่ (PCOS): ผู้หญิงวัยนี้ราว 1 ใน 10 คนมีภาวะนี้ โดยอาจมีประจำเดือนผิดปกติ มีสิว ผมร่วง หรือมีบุตรยาก

🚩มะเร็งปากมดลูก: เป็นมะเร็งที่พบได้ในหญิงอายุ 25 ปีขึ้นไป และเป็นอันดับ 2 ที่พบบ่อยที่สุดในหญิงไทย

🚩ภาวะเครียดและฮอร์โมนไม่สมดุล: สังคมเร่งรีบ งานหนัก นอนไม่พอ ส่งผลต่อฮอร์โมนเพศและรอบเดือน

ควรดูแลสุขภาพยังไง?

✔ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Pap smear หรือ HPV test)

✔ตรวจระดับฮอร์โมน หากประจำเดือนผิดปกติ มีอาการอารมณ์แปรปรวน หรือวางแผนมีบุตร

✔ปรับพฤติกรรม: นอนให้พอ ลดคาเฟอีน และออกกำลังกายสม่ำเสมอ

👩‍🦱 วัย 30-40 ปี: ช่วงที่บทบาทชีวิตเริ่มหนักขึ้น สุขภาพจึงเริ่มสั่นคลอน
ความเสี่ยงสุขภาพ:

🚩ภาวะมีบุตรยาก: อายุเกิน 35 ปี โอกาสตั้งครรภ์ตามธรรมชาติลดลงเกือบ 50%

🚩ซีสต์ หรือเนื้องอกในมดลูก: พบได้บ่อยในวัย 30 ปลาย ๆ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยมีบุตร

🚩ความเสี่ยงมะเร็งเต้านม: เริ่มเพิ่มขึ้นจากวัยก่อนหน้า โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติครอบครัว

📈 สถาบันมะเร็งแห่งชาติระบุว่า ผู้หญิงไทยอายุ 35 ปีขึ้นไป ควรเริ่มตรวจมะเร็งเต้านมทุกปี

📈ผู้หญิงวัย 30-40 ปีจำนวนมากมี ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล จากความเครียดและพักผ่อนไม่เพียงพอ

ควรดูแลสุขภาพยังไง?

✔ตรวจอัลตราซาวนด์เต้านมและมดลูก เป็นประจำ

✔ตรวจฮอร์โมน เพื่อดูระดับเอสโตรเจน-โปรเจสเตอโรน หากมีอาการ PMS รุนแรง หรือเหนื่อยเรื้อรัง

✔จัดเวลาพักผ่อน และหมั่นตรวจสุขภาพประจำปี

👩‍🦳 วัย 45 ปีขึ้นไป: เมื่อฮอร์โมนเริ่มลดลง ความเสี่ยงเริ่มชัดเจน

ความเสี่ยงสุขภาพ:

🚩วัยทอง (Menopause): เริ่มจากประจำเดือนขาด หงุดหงิด ร้อนวูบวาบ นอนไม่หลับ ผิวแห้ง

🚩กระดูกพรุน: ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลง ส่งผลต่อความหนาแน่นของกระดูก

🚩มะเร็งเต้านมและมะเร็งมดลูก: มีอัตราเพิ่มขึ้นชัดเจนหลังอายุ 45 ปี

🚩เบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือด: เป็นกลุ่มโรคเรื้อรังที่ค่อย ๆ คืบคลานโดยไม่มีอาการ

📈ผู้หญิงไทยวัย 50 ปีขึ้นไป มากกว่า 60% มีภาวะกระดูกบางหรือพรุนโดยไม่รู้ตัว

📈มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่คร่าชีวิตผู้หญิงไทยมากที่สุด ทุกปี

ควรดูแลสุขภาพยังไง?

✔ตรวจฮอร์โมน + ตรวจมวลกระดูก

✔ตรวจมะเร็งเต้านมและมดลูก (อัลตราซาวนด์ + แมมโมแกรม)

✔ปรับอาหาร ออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดิน ว่ายน้ำ หรือโยคะ

👵 วัย 60 ปีขึ้นไป: สุขภาพต้องดูแลทุกมิติ

ความเสี่ยงสุขภาพ

🚩โรคหัวใจและหลอดเลือด: เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของผู้หญิงไทยวัย 60+

🚩ภาวะสมองเสื่อม / อัลไซเมอร์: ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลง ส่งผลต่อสมองและความจำ

🚩กระดูกเปราะ กระดูกหักง่าย: พบมากขึ้นในผู้หญิงที่เข้าสู่วัยหลังหมดประจำเดือนมานาน

🚩กลุ่มโรคเรื้อรัง: เบาหวาน ความดัน ไขมันพุ่ง ปัสสาวะบ่อย เสี่ยงโรคไต

📈จากข้อมูลของกรมอนามัย ปี 2566 ผู้หญิงไทยอายุ 60 ปีขึ้นไปกว่า 70% มีโรคประจำตัวอย่างน้อย 1 โรค โดยมักไม่แสดงอาการในระยะแรก

📈สมองเสื่อมพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะฮอร์โมนขาดนานเกิน 10 ปี

ดูแลสุขภาพอย่างไร?

✔ตรวจสุขภาพเชิงลึกประจำปี เน้นเรื่อง “หัวใจ, สมอง, กระดูก, ไต และระบบเมตาบอลิซึม”

✔ตรวจระดับน้ำตาล, ไขมัน, ความดัน และค่าสารอักเสบ (inflammatory markers)

✔ตรวจสมองเบื้องต้น เช่น แบบทดสอบความจำ หรือ Brain Health Check

✔เสริมอาหาร-วิตามินที่เหมาะกับวัย เช่น วิตามิน D, แคลเซียม, และโอเมก้า 3

✔กระตุ้นกิจกรรมที่ช่วยให้ร่างกาย-สมองเคลื่อนไหว เช่น เดินกลางแจ้ง ทำสวน ฝึกสมาธิ

💙 แทนที่จะซื้อของแพง ๆ ที่แม่อาจไม่ได้ใช้ ลองเปลี่ยนมาเป็นการ “พาแม่ตรวจสุขภาพ” และฟังร่างกายแม่อย่างเข้าใจ เพราะยิ่งตรวจเร็ว รู้เร็ว ก็ยิ่งมีโอกาสป้องกัน ปรับสมดุล และชะลอความเสื่อมได้ทันท่วงที อ่านฉบับเต็มที่ https://url.in.th/Xtehm

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม / ปรึกษาปัญหาด้านสุขภาพ

💬 Line :
📷 IG :
🌐 www.navellawellness.com
📞 0-2090-6988 , 09-8286-6228
📍 Silom Edge (3rd Floor) Next to BTS Sala Daeng & MRT Silom
#ณเวฬา #สุขภาพเพศหญิง

ที่อยู่

Silom Edge (3rd Floor)
Bangkok
10500

เวลาทำการ

จันทร์ 09:30 - 18:30
อังคาร 09:30 - 18:30
พุธ 09:30 - 18:30
พฤหัสบดี 09:30 - 18:00
ศุกร์ 09:30 - 18:30
เสาร์ 09:30 - 18:30

เบอร์โทรศัพท์

+6620906988

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Navella Medical & Wellnessผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Navella Medical & Wellness:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram