อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ-หมอเอก

อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ-หมอเอก ...

เมื่อสุขภาพอยู่ในมือเรา…จริงๆ แล้วก็อยู่ในมือถือด้วยเหมือนกันทุกวันนี้ โทรศัพท์มือถือทำได้แทบทุกอย่างตั้งแต่คุยกับเพื่อน...
29/09/2025

เมื่อสุขภาพอยู่ในมือเรา…จริงๆ แล้วก็อยู่ในมือถือด้วยเหมือนกัน

ทุกวันนี้ โทรศัพท์มือถือทำได้แทบทุกอย่าง
ตั้งแต่คุยกับเพื่อน สั่งของ จ่ายบิล โอนเงิน
ไปจนถึงเรื่องการดูแลสุขภาพ

วันนี้ผมเลยอยากชวนทุกคน มาทำความรู้จักอีกครั้งกับ
Line Official Account ของ สปสช. ()
ช่องทางสุขภาพที่หลายคนอาจเคยใช้ แต่รอบนี้มี บริการใหม่ๆ ที่น่าสนใจมาก
เรียกได้ว่า “ครบเครื่อง ครบวงจร” ขึ้นกว่าเดิม



ย้อนกลับไปปี 2563
สปสช.เริ่มเปิดบริการผ่าน Line OA เพราะรู้ว่าคนไทยใช้ “ไลน์” กันทุกวัน
เป้าหมายแรกคือทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลบัตรทอง 30 บาทได้ง่ายขึ้น
แต่ต่อมาก็พัฒนาเรื่อยๆ จนกลายเป็นมากกว่าช่องทางข้อมูล
กลายเป็น “ช่องทางบริการสุขภาพ” ของจริง

จากเพื่อนหลักร้อยในวันแรก…
วันนี้เรามีเพื่อนกว่า 11.85 ล้านคน แล้วครับ
การันตีด้วยรางวัล LINE Thailand Awards ติดต่อกันถึง 2 ปีซ้อน
เป็นเครื่องยืนยันว่า นี่คือช่องทางที่ประชาชนใช้จริง และได้ประโยชน์จริง



ล่าสุด Line OA สปสช. ขยายบริการเป็น 8 รายการหลัก
ช่วยให้การดูแลสุขภาพง่ายขึ้น ตั้งแต่ตรวจสอบสิทธิ ไปจนถึงพบหมอออนไลน์
1. ตรวจสอบสิทธิรักษาพยาบาล
แค่กรอกเลขบัตรประชาชน ก็รู้เลยว่าอยู่สิทธิไหน
พร้อมชื่อหน่วยบริการประจำ
2. เปลี่ยนหน่วยบริการบัตรทอง
ย้ายบ้าน ย้ายงาน ไม่ต้องไป รพ. ให้เสียเวลา กดเปลี่ยนในไลน์ได้เลย
3. ขอรหัส OTP ยืนยันตัวตน
ใช้แทนบัตรประชาชน ป้องกันการสวมสิทธิ
4. Health Link เชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพ
แพทย์เห็นประวัติการรักษาต่อเนื่อง ลดการตรวจซ้ำ ดูแลได้แม่นยำขึ้น
(ผลงานของสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) องค์การมหาชน)
5. DMIND ตรวจสุขภาพใจด้วย AI
ประเมินภาวะเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า พร้อมคำแนะนำและช่องทางช่วยเหลือ
(พัฒนาโดย คณะแพทยศาสตร์ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
6. CHECK PD คัดกรองโรคพาร์กินสัน
ทำแบบทดสอบเบื้องต้นได้เองที่บ้าน สำหรับคนอายุ 40 ปีขึ้นไป
(ผลงานวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสภากาชาดไทย)
7. Doctor at Home – หมอประจำบ้านอัจฉริยะ
AI ช่วยตรวจอาการเบื้องต้น เช่น ไอ เจ็บคอ มีไข้ พร้อมคำแนะนำ
(ข้อมูลอ้างอิงจากตำรา “การตรวจรักษาโรคทั่วไป 1” โดย รองศาสตราจารย์นายแพทย์สุรเกียรติ อาชานุภาพ)
8. เทเลเมดิซีน (Telemedicine)
พบหมอออนไลน์จากที่บ้าน เหมาะกับผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
มียาส่งตรงถึงบ้าน ผ่าน 3 แอปสุขภาพที่ร่วมกับ สปสช.



ทั้งหมดนี้เกิดจากความร่วมมือของ สปสช. กับหลายหน่วยงาน
เพื่อทำให้การดูแลสุขภาพ “อยู่ใกล้ตัวคนไทยมากที่สุด”
ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เวลาไหน ก็เข้าถึงบริการได้

เพียงแค่เพิ่มเพื่อน Line OA สปสช. (พิมพ์ )
คุณก็มีบริการสุขภาพครบวงจรอยู่ในมือถือแล้วครับ

เพราะผมเชื่อว่า… สุขภาพที่ดี ไม่ควรมีข้อจำกัด

26/09/2025

“สปสช. ตอบทุกข้อสงสัยเรื่องการเบิกจ่าย”

ทันตกรรมทางไกล…เปลี่ยนข้อจำกัดเล็ก ๆ ให้เป็นโอกาสใหญ่ทุกครั้งที่ทีมทันตแพทย์ออกหน่วยเชิงรุกในชุมชน สิ่งที่เจอบ่อยที่สุดค...
22/09/2025

ทันตกรรมทางไกล…เปลี่ยนข้อจำกัดเล็ก ๆ ให้เป็นโอกาสใหญ่

ทุกครั้งที่ทีมทันตแพทย์ออกหน่วยเชิงรุกในชุมชน สิ่งที่เจอบ่อยที่สุดคือ “ข้อจำกัดของเวลา”
บริการที่ทำได้จึงมักเป็นเพียงพื้นฐาน เช่น ตรวจสุขภาพช่องปาก ขูดหินน้ำลาย อุดฟัน หรือถอนฟัน
ส่วนการรักษาที่ซับซ้อนขึ้น อย่างการใส่ฟันเทียม หรือรากฟันเทียม
ไม่สามารถทำได้ในเวลาจำกัดของการออกหน่วย

ผู้ป่วยหลายคนจึงต้องเดินทางเข้าเมือง มายังโรงพยาบาลใหญ่ที่มีศักยภาพพอ
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ ระยะทางที่ไกล ค่าใช้จ่ายที่สูง และเวลาที่เสียไป
ทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อย “เข้าไม่ถึงบริการ” ที่จำเป็นต่อคุณภาพชีวิตของพวกเขา

ที่จังหวัดอุบลราชธานี ทพ.วุฒิชัย ตั้งสิริสุธีกุล ทันตแพทย์ชำนาญการพิเศษ กลุ่มงานทันตกรรม
โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ และทีมงาน ได้มองเห็นปัญหานี้อย่างจริงจัง
และเลือกที่จะ “เปลี่ยนวิธีคิด” ด้วยการนำระบบ ทันตกรรมทางไกล (Teledentistry) เข้ามาใช้
เพื่อเชื่อมโยงโรงพยาบาลใหญ่กับโรงพยาบาลชุมชน

โครงการนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่เป็นการต่อยอดจากความสำเร็จของ
“โครงการทศวิถีเทิดไท้องค์ราชันย์” เมื่อปี 2567
ที่ได้ทดลองใช้บริการฟันเทียม รากฟันเทียม และระบบทันตกรรมทางไกล
จนเห็นผลลัพธ์ชัดเจน ก่อนขยายสู่ “โครงการทันตกรรมนฤมิตรเบญจภาคี”
ครอบคลุม 5 บริการหลักตามสิทธิประโยชน์บัตรทอง
• บริการรากฟันเทียม
• บริการฟันเทียมเชิงรุก
• ศัลยกรรมช่องปากเชิงรุกในโรงพยาบาลลูกข่าย
• ทันตกรรมทางไกล (Teledentistry)
• การใช้ยาสมุนไพรไทยบรรเทาอาการ

โดยเฉพาะ Teledentistry ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของระบบบริการ
เพราะไม่ได้จำกัดแค่การให้คำปรึกษาเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง
การช่วยวินิจฉัยโรค (Tele-diagnosis)
การติดตามผลการรักษา (Tele-monitoring)
การปรึกษาแพทย์สาขาอื่นเมื่อมีปัญหาซับซ้อน (Tele-consultation)
การถ่ายทอดความรู้แก่คนไข้และญาติ (Tele-education)
และแม้กระทั่งการสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย (Tele-empowerment)

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ โรงพยาบาลชุมชนสามารถให้บริการเฉพาะทางได้ใกล้บ้าน
ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องเดินทางเข้าเมืองเหมือนเดิม ลดทั้งค่าใช้จ่าย เวลา
และยังช่วยแบ่งเบาความแออัดในโรงพยาบาลใหญ่ได้อย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ โครงการยังช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนศัลยแพทย์ช่องปากในพื้นที่ชนบท
และยังต่อยอดสู่การทำงานร่วมกับ รพ.สต. และอสม.
เพื่อถ่ายทอดความรู้ด้านสุขภาพช่องปากให้ชุมชนดูแลตัวเองได้มากขึ้น

เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นว่า…
“ข้อจำกัดเล็ก ๆ หากมองต่างมุม ก็สามารถกลายเป็นโอกาสใหญ่ในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ”

“โครงการทันตกรรมนฤมิตรเบญจภาคี” จึงไม่เพียงแต่ช่วยรักษาฟัน
แต่ยังสร้างรอยยิ้ม ความหวัง และความเท่าเทียม
ให้กับประชาชนในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

เวลาที่ผมลงพื้นที่เจอพี่น้องประชาชนไม่ว่าจะเป็นวัยสาวทำงาน คุณแม่ลูกเล็กหรือคุณพ่อที่เป็นเสาหลักของครอบครัวสิ่งที่ผมเห็น...
16/09/2025

เวลาที่ผมลงพื้นที่เจอพี่น้องประชาชน
ไม่ว่าจะเป็นวัยสาวทำงาน คุณแม่ลูกเล็ก
หรือคุณพ่อที่เป็นเสาหลักของครอบครัว

สิ่งที่ผมเห็นอยู่เสมอ คือ “ความกังวลเรื่องสุขภาพ”
ไม่ใช่เพียงโรคที่อาการชัด แต่กลับเป็น “โรคเงียบ”
ที่ซ่อนอยู่ในร่างกายเหมือนระเบิดเวลา
กว่าจะรู้ตัวก็มักสายเกินแก้

วันนี้ผมอยากเล่าเรื่อง 3 โรคร้าย
ที่ถ้าตรวจพบเร็ว เราสามารถป้องกันและรักษาได้
คือ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งพยาธิใบไม้ตับ และเอชไอวี/เอดส์



มะเร็งปากมดลูก

เป็นหนึ่งในมะเร็งที่คร่าชีวิตผู้หญิงไทยจำนวนมาก
ที่ผ่านมา การตรวจต้องไปที่โรงพยาบาล ขึ้นขาหยั่งตรวจ
หลายคนไม่กล้าเพราะความเขินอาย ทำให้พลาดโอกาส
จนโรคลุกลามไปถึงระยะรุนแรง

แต่วันนี้มีนวัตกรรม HPV self-sampling
หรือ “ชุดตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยตัวเอง”
เก็บตัวอย่างได้เองทั้งที่บ้านและที่หน่วยบริการ
ง่าย ไม่ต้องอาย และรู้ผลตั้งแต่ต้นทาง
บัตรทองครอบคลุมสิทธิสำหรับผู้หญิงอายุ 30–59 ปีแล้ว



มะเร็งพยาธิใบไม้ตับ

โรคนี้มากับวิถีการกิน โดยเฉพาะอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ ในภาคอีสาน
ซึ่งอาจนำไปสู่มะเร็งท่อน้ำดีและเสียชีวิตได้

นักวิจัยไทยได้พัฒนา ชุดตรวจปัสสาวะคัดกรองพยาธิใบไม้ตับ
ใช้ง่าย รู้ผลใน 5–10 นาที และอยู่ในสิทธิบัตรทองแล้ว
คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะผู้ที่เคยกินปลาน้ำจืดสุกดิบ
สามารถเข้ารับการตรวจได้ หากพบเชื้อก็รักษาตั้งแต่ต้น



เอชไอวี/เอดส์

วันนี้เอชไอวีไม่ใช่โรคที่สิ้นหวังอีกต่อไป
หากตรวจพบเร็ว และได้รับยาต้านไวรัสทันเวลา
ผู้ติดเชื้อก็มีชีวิตยืนยาวเหมือนคนทั่วไป

สิทธิบัตรทองครอบคลุม ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง
ทั้งแบบเจาะเลือดปลายนิ้วและตรวจจากน้ำลาย
รวดเร็ว สะดวก และถ้าพบความเสี่ยง
จะเข้าสู่การยืนยันและรักษาทันที
ยังมีสิทธิถุงยาง ยาป้องกัน PrEP และ PEP
เพื่อหยุดยั้งการแพร่เชื้อตั้งแต่แรก



สิ่งที่น่ากลัวที่สุด

ไม่ใช่โรค แต่คือ “การไม่รู้ว่ามีโรคหรือความเสี่ยง”
วันนี้ สปสช. บรรจุชุดตรวจคัดกรองทั้ง 3 โรค
ให้ประชาชนทุกสิทธิรับบริการ ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

รับบริการได้ที่โรงพยาบาล คลินิกที่เข้าร่วม
ร้านยาที่มีตรา “ร้านยาของฉันให้บริการสร้างเสริมสุขภาพ”
หรือกดรับสิทธิผ่านแอป “เป๋าตัง” ในเมนู “กระเป๋าสุขภาพ”

สุขภาพคือของขวัญที่ล้ำค่า
ถ้าคุณอยู่ในกลุ่มเป้าหมาย อย่ารอช้า
เพราะเพียงการรู้เร็ว อาจช่วยรักษา “ชีวิตคุณ”
และปกป้อง “ครอบครัวของคุณ” ไว้ได้



สอบถามเพิ่มเติม
📞 สายด่วน สปสช. 1330
💬 Line : คลิกที่นี่
📌 Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

12/09/2025

สปสช.ตอบทุกข้อสงสัยการเบิกจ่าย

เมื่อรอยยิ้มกลับคืนสู่ทัณฑสถานหญิงชลบุรีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา “ทัณฑสถานหญิงชลบุรี” ได้จัดกิจกรรมโครงการการดูแลสุขภาพด้าน...
01/09/2025

เมื่อรอยยิ้มกลับคืนสู่ทัณฑสถานหญิงชลบุรี

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา “ทัณฑสถานหญิงชลบุรี” ได้จัดกิจกรรม
โครงการการดูแลสุขภาพด้านทันตกรรมผู้ต้องขัง
ภายใต้โครงการ ราชทัณฑ์ปันสุข ทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ประจำปีงบประมาณ 2568
เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ

ผมได้รับเกียรติให้ร่วมเปิดโครงการ พร้อมด้วย
คุณชัยพร แพภิรมย์รัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี
และคุณสุกฤตา เพชรหนองชุม ผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงชลบุรี

โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อดูแลสุขภาพช่องปากผู้ต้องขังหญิงกว่า 600 คน
จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25–29 สิงหาคม และ 1 กันยายน 2568
เพื่อให้ผู้ต้องขังได้เข้าถึงการรักษาทางทันตกรรมอย่างเท่าเทียม

สิ่งที่สัมผัสได้ทันทีเมื่อก้าวเข้าไป คือบรรยากาศแห่งความร่วมมือ
ไม่ว่าจะเป็นทีมงานของทัณฑสถานหญิงชลบุรี
สมาคมรถทันตกรรมเคลื่อนที่ (ประเทศไทย)
คลินิกทันตกรรมฟอร์จูนเชียงใหม่
รวมถึงการสนับสนุนจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
ทุกฝ่ายต่างทำงานด้วยเป้าหมายเดียวกัน คือ “คืนสุขภาพและรอยยิ้มให้กับผู้ต้องขังหญิง”

จากการพูดคุยกับ ผอ.ทัณฑสถานฯ ทำให้ทราบว่า
ผู้ต้องขังจำนวนมากมีปัญหาฟันผุ เหงือกอักเสบ และหินปูนสะสม
บางคนเจ็บปวดจนต้องพึ่งยาแก้ปวดทุกวัน วันละนับร้อยราย
สะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาสุขภาพช่องปากแม้ดูเล็กน้อย
ก็สามารถบั่นทอนคุณภาพชีวิตได้มากเพียงใด

แม้โรงพยาบาลชลบุรีจะส่งทีมทันตแพทย์มาบริการทุกสัปดาห์
แต่ด้วยข้อจำกัดด้านเวลาและจำนวนผู้ป่วย ทำให้ดูแลได้เพียง 10–20 รายต่อครั้ง
เมื่อเทียบกับผู้ต้องขังที่มากกว่า 1,900 คน ย่อมไม่เพียงพอ
นี่จึงเป็นที่มาของ รถทันตกรรมเคลื่อนที่
ที่นำทีมทันตแพทย์ 5 คน มาตั้งเป้ารักษาวันละกว่า 100 ราย
ซึ่งหลายวันก็ทำได้เกินเป้าหมาย
ไม่ว่าจะถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูน หรือเคลือบฟลูออไรด์
ต่างช่วยบรรเทาความเจ็บปวด และคืนรอยยิ้มได้จริงๆ

สิ่งที่สะท้อนใจคือ ผู้ต้องขังจำนวนไม่น้อยไม่มีฟันเหลือแล้ว
ทำให้การกินอาหารเป็นเรื่องยากลำบาก
แม้สิทธิประโยชน์บัตรทองจะครอบคลุมรากฟันเทียมและฟันเทียมแล้ว
แต่บริการนี้ยังไม่สามารถทำได้ในรถทันตกรรมเคลื่อนที่
อย่างไรก็ตาม ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า สปสช. จะนำประเด็นนี้ไปพิจารณา
เพื่อดูว่าจะสามารถขยายบริการให้ครอบคลุมได้ในอนาคตหรือไม่

การดูแลสุขภาพผู้ต้องขังเป็นงานที่ สปสช. ผลักดันอย่างต่อเนื่อง
เริ่มชัดเจนตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า
“สิทธิการรักษาพยาบาล” เป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์
และนโยบาย “30 บาทรักษาทุกที่” ครอบคลุมไปถึง “ในเรือนจำ” ด้วยเช่นกัน

สำหรับผม การได้เห็นรอยยิ้มของผู้ต้องขังที่เพิ่งทำฟัน
ไม่ว่าจะเป็นแค่การอุด ถอน หรือขูดหินปูน
คือภาพที่บอกได้ชัดเจนว่า โครงการนี้มีคุณค่ามากเพียงใด
เพราะสุขภาพช่องปากไม่ได้หมายถึงเพียงฟันและเหงือก
แต่ยังเชื่อมโยงกับสุขภาพกาย สุขภาพใจ และความเป็นอยู่โดยรวม
“การไม่มีอาการปวดฟัน” คือความสุขเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่
โดยเฉพาะสำหรับผู้ต้องขัง ที่รอยยิ้มหนึ่งครั้งอาจหมายถึงความหวังในวันพรุ่งนี้

จากโตเกียวถึงอิบารากิ…ความตั้งใจเดียวกันเพื่อดูแลสุขภาพคนไทยผมได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 13–17 สิงหา...
25/08/2025

จากโตเกียวถึงอิบารากิ…ความตั้งใจเดียวกันเพื่อดูแลสุขภาพคนไทย

ผมได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 13–17 สิงหาคม 2568
ตามคำเชิญของ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว
เพื่อพบปะและรับฟังปัญหาของพี่น้องคนไทยที่อาศัยอยู่ทั้งในกรุงโตเกียวและจังหวัดอิบารากิ

ต้องขอขอบคุณ ท่านวิชชุ เวชชาชีวะ เอกอัครราชทูตไทย และทีมงานทุกท่าน โดยเฉพาะคุณณฐา อุดมมงคลกุล ท่านที่ปรึกษา ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลคนไทย “ครบทุกมิติ” รวมถึง สุขภาพกายและใจ

สิ่งที่ผมได้ยินจากพี่น้องไทยในญี่ปุ่นคือ

เวลาเจ็บป่วย อธิบายอาการเป็นภาษาญี่ปุ่นไม่ง่าย ทำให้การรักษาไม่ชัดเจน

ถ้าไม่มีใบส่งตัวไปพบแพทย์เฉพาะทาง ค่าใช้จ่ายสูงมาก จนหลายครอบครัวรับไม่ไหว

บางคนต้องพึ่ง ยาที่ส่งมาจากเมืองไทย แต่เสี่ยงต่อการใช้ไม่ถูกต้อง

และอีกเรื่องที่น่าห่วงคือ สุขภาพจิต
หลายคนอยู่ไกลบ้าน ต้องทำงานหนักในสังคมใหม่ ความเหงาและความโดดเดี่ยวทำให้บางคนเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า

ผมจึงได้ชวนให้พี่น้องไทยเพิ่มเพื่อน LINE OA ของ สปสช.
ที่มีเมนู DMiND สำหรับคัดกรองสุขภาพจิตเบื้องต้น
เหมือนมีเพื่อนคอยฟัง และช่วยให้เริ่มหาทางออกตั้งแต่เนิ่นๆ

ที่สำคัญ วันนี้ รัฐบาลไทยและบอร์ด สปสช. ได้เปิดสิทธิประโยชน์ใหม่ให้คนไทยสิทธิบัตรทองทุกคน
เข้าถึงบริการ แพทย์ทางไกล (Telemedicine) ได้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย
ไม่ว่าคุณจะอยู่ญี่ปุ่น สิงคโปร์ หรือที่ใดในโลก
ก็สามารถปรึกษาแพทย์ไทยผ่านวิดีโอคอลได้ทันที
พูดภาษาเดียวกัน เข้าใจกันทันที และได้คำแนะนำตั้งแต่เริ่มมีอาการ

นี่คือความตั้งใจที่จะทำให้พี่น้องไทยในต่างแดน “ไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง”

และสิ่งที่ทำให้ผมประทับใจที่สุด…
คือการได้เห็นพี่น้องคนไทยในญี่ปุ่น รวมตัวกันเป็นจิตอาสา
คอยช่วยเหลือกัน ไม่ว่าจะพาไปโรงพยาบาล ช่วยแปลภาษา หรือเป็นเพื่อนพูดคุยให้หายเหงา
เป็นภาพที่อบอุ่น และสะท้อนพลังของความเป็นไทยที่งดงามเสมอ

คนไทยจำนวนไม่น้อยที่มาอยู่ต่างประเทศ
ก็มาด้วยความหวังดีต่อครอบครัว ส่งเงินกลับบ้าน เลี้ยงดูพ่อแม่ลูกหลาน
ดังนั้นเมื่อเขาป่วยไข้ รัฐและสังคมไทยต้องพร้อมดูแล

เพราะสุขภาพไม่ใช่เพียง “รักษาเมื่อเจ็บป่วย”
แต่ต้องรวมถึง การสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค

นี่คือความตั้งใจของ สปสช. ที่อยากบอกกับทุกคนว่า
ไม่ว่าคนไทยจะอยู่ที่ไหนบนโลก ก็ไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง.

18/08/2025

ปรับรอบการจ่ายเงินค่าบริการสำหรับ “หน่วยบริการนวัตกรรม” และ “คลินิกโรคไต”

การดูแลผู้ป่วยติดบ้าน ติดเตียง = การลงทุนของประเทศประเทศไทยกำลังเดินเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” อย่างเต็มรูปแบบตัวเลขผู้สูงอาย...
18/08/2025

การดูแลผู้ป่วยติดบ้าน ติดเตียง = การลงทุนของประเทศ

ประเทศไทยกำลังเดินเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” อย่างเต็มรูปแบบ
ตัวเลขผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จาก 9.7 ล้านคนในปี 2557
เป็น 14.4 ล้านคนในปี 2568 จากประชากรทั้งประเทศ 65.9 ล้านคน
นี่ไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร
แต่เป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายระบบสาธารณสุข และยังสะเทือนถึงทุกครัวเรือนในประเทศ

เมื่อผู้สูงอายุป่วยหรือต้องพึ่งพิง
การดูแลต่อเนื่องและใกล้ชิดเป็นสิ่งจำเป็น
แต่ภาระนี้ส่วนใหญ่มักตกอยู่กับครอบครัว
หลายบ้านต้องเผชิญค่าใช้จ่ายสูงลิ่ว
บางครอบครัวต้องมีลูกหลานลาออกจากงาน
เพื่อทุ่มเวลาให้กับการดูแลพ่อแม่เต็มที่
และเมื่อรายได้หายไป ปัญหาเศรษฐกิจก็ตามมา

นี่คือจุดที่ภาครัฐ โดย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
เข้ามามีบทบาทสำคัญ ผ่านการจัดตั้ง กองทุน LTC (Long Term Care)
ตั้งแต่ปี 2559 เพื่อให้การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงเกิดขึ้นจริงใน “ชุมชน”
ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผู้สูงอายุใช้ชีวิตอยู่เป็นส่วนใหญ่

ระบบ LTC ทำงานผ่าน 2 หัวใจสำคัญ
• Caremanager ผู้วางแผนการดูแลรายบุคคล (Care Plan) ให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุแต่ละคน
• Caregiver ผู้ดูแลที่ได้รับการอบรม เข้าไปดูแลผู้สูงอายุถึงบ้าน ช่วยเหลือทั้งชีวิตประจำวันและสุขภาพ

สิ่งนี้ไม่ใช่แค่การแพทย์ แต่เป็นการลงทุนที่มีคุณค่าหลายมิติ

หนึ่ง เพื่อ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

สอง เพื่อ “ลดภาระของครอบครัว” ให้ลูกหลานยังคงทำงานเลี้ยงครอบครัวได้

สาม เพื่อ “ใช้งบประมาณสร้างการจ้างงาน” รายได้หมุนเวียนสู่ชุมชน และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก

ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา งบประมาณกองทุน LTC ขยับเพิ่มขึ้นทุกปี
จาก 334 ล้านบาทในปีแรก สู่ 2,000 ล้านบาทในปี 2568
พร้อมการปรับค่าดูแลผู้สูงอายุจาก 6,000 บาทต่อคน เป็น 10,442 บาทต่อคนต่อปี
ทำให้ผู้สูงอายุที่ได้รับการดูแลเพิ่มขึ้นจากหลักหมื่น สู่หลักแสนในปัจจุบัน

และล่าสุด บอร์ด สปสช. อนุมัติให้ จ้าง Caregiver เพิ่มอีก 18,000 คนทั่วประเทศ
ด้วยงบประมาณกว่า 1,115 ล้านบาท
เพื่อดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดบ้าน ติดเตียงกว่า 1 แสนคน
นี่ไม่ใช่เพียงการดูแลสุขภาพ แต่คือการใช้งบประมาณเพื่อสร้างงาน กระจายรายได้ และกระตุ้นเศรษฐกิจไปพร้อมกัน

💡 ดังนั้น ในมุมมองของ สปสช.
กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไม่ใช่ภาระงบประมาณของประเทศ
แต่คือ งบลงทุนด้านทรัพยากรบุคคล
ที่สร้างคุณภาพชีวิตให้ผู้สูงอายุ ลดภาระครอบครัว
และยังเสริมความแข็งแรงให้กับเศรษฐกิจฐานราก

เพราะท้ายที่สุดแล้ว…
การดูแลผู้ป่วยติดบ้าน ติดเตียง ไม่ใช่ภาระ แต่คือการลงทุนเพื่ออนาคตของสังคมไทย

เมื่อเทคโนโลยีเดินทางข้ามภูเขา…จาก Smart Home สู่ Smart Health บนดอยสูง “เชียงดาว”สัปดาห์ก่อน ผมเพิ่งเล่าเรื่อง รพ.สต.สิ...
12/08/2025

เมื่อเทคโนโลยีเดินทางข้ามภูเขา…
จาก Smart Home สู่ Smart Health บนดอยสูง “เชียงดาว”

สัปดาห์ก่อน ผมเพิ่งเล่าเรื่อง รพ.สต.สิงหนาท จ.พระนครศรีอยุธยา
ที่ใช้ IoT ช่วยดูแลผู้ป่วยเบาหวานจนควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สัปดาห์นี้ ผมอยากพาไปไกลขึ้น…ไกลถึงบนดอย อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
ที่นี่ โรงพยาบาลเชียงดาวกำลังเปลี่ยนวิธีดูแลสุขภาพของผู้คนบนภูเขาสูง
ด้วย Telemedicine – ระบบการแพทย์ทางไกล

เพราะถนนที่คดเคี้ยวและระยะทางไกล
ทำให้การไปหาหมอสำหรับคนที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย
ยิ่งผู้ป่วยโรคเรื้อรังอย่าง NCDs ที่ต้องติดตามรักษาต่อเนื่องกว่า 2,000 คน
ปัญหานี้ถ้าปล่อยไว้ ก็จะมีคนไข้จำนวนไม่น้อยหลุดจากระบบดูแล

แต่ รพ.เชียงดาว ไม่รอให้ปัญหาบานปลาย
เมื่อเทคโนโลยีการสื่อสารพร้อม ก็จับมือกับ อบต.เชียงดาว และ อสม.
ออกแบบระบบ Telemedicine ที่เหมาะกับพื้นที่
เริ่มนำร่องในปี 2567 ดูแลผู้ป่วยความดันโลหิตสูง 900 ราย

ผลที่ได้ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา…น่าทึ่งครับ
• ลดค่าใช้จ่ายและเวลาการเดินทางของผู้ป่วย
• ลดความแออัดในโรงพยาบาล
• ความพึงพอใจสูงถึง 90%
• ที่สำคัญ ไม่พบภาวะแทรกซ้อนเลย

แม้ผู้ป่วยบางคนไม่มีสมาร์ทโฟนหรืออินเทอร์เน็ต
อสม.จะทำหน้าที่เป็น “สะพานเชื่อม”
ใช้มือถือของตัวเองประสานกับหมอ
นัดให้ผู้ป่วยมาที่ศาลาประชาคม หรือศูนย์บริการชุมชนในหมู่บ้าน
แล้วรับบริการแพทย์ทางไกลได้ทันที

คุณหมอพิสิษฐวุฒิ อยุทธ์ ผอ.รพ.เชียงดาว เล่าให้ฟังว่า
ต่อไปจะขยายไปยังกลุ่มโรคเรื้อรังอื่น เช่น เบาหวาน และ Common Diseases
พร้อมระบบส่งยาโดย “เฮลท์ไรเดอร์”
และเตรียมขยายความร่วมมือกับหน่วยงานนอกภาคสาธารณสุข
เพื่อเข้าถึงกลุ่มเปราะบางในชุมชนให้มากที่สุด

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้เพราะการสนับสนุนของ อบต.เชียงดาว
โดยท่านสมบัติ ประธานราษฎร์ นายก อบต.
ที่ใช้ “กองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่น” (กปท.)
อบรม อสม.ให้ประสานงานกับโรงพยาบาล
ทำให้ Telemedicine ไม่ใช่แค่โครงการทดลอง แต่เป็นบริการจริงของประชาชน

การเดินทางกว่า 700 กม. จากกรุงเทพฯ ครั้งนี้
ทำให้ผมมั่นใจว่าโมเดลนี้สามารถขยายไปทั่วประเทศได้
เพราะไม่ว่าคนไข้จะอยู่ที่ไหน เดินทางยากแค่ไหน
ถ้าสัญญาณไปถึง หมอก็ไปถึงเช่นกัน

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี
แต่คือการเปลี่ยนวิธีคิดด้านสุขภาพยุคดิจิทัล
ให้ “หมอเดินไปถึงบ้านคนไข้” โดยที่คนไข้ไม่ต้องออกจากบ้าน
และทุกคนเข้าถึงการรักษาได้อย่างเท่าเทียม

นี่แหละครับ…Smart Health ที่แท้จริง

#เชียงดาว

08/08/2025

ไขข้อข้องใจ C305: ปัญหาใหญ่ที่หน่วยบริการกังวลที่สุด!
หลากปัญหา C-Code : ทำความเข้าใจและแก้ไขให้ตรงจุด!
แนวทางการปิดสิทธิที่ถูกต้อง: 7 วิธีที่คุณควรรู้!
รายงาน OP ANYWHERE: เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายกว่าที่คิด!
การเปลี่ยนแปลงประเภทคลินิก และปัญหาที่พบบ่อยอื่นๆ!

IoT เปลี่ยน รพ.สต. เป็นคลินิกสุขภาพอนาคตวันนี้... เทคโนโลยีไม่ได้อยู่แค่ในบ้านแต่ “เดินทางมาถึงบ้านเรา” โดยเฉพาะในระบบสุ...
04/08/2025

IoT เปลี่ยน รพ.สต. เป็นคลินิกสุขภาพอนาคต

วันนี้... เทคโนโลยีไม่ได้อยู่แค่ในบ้าน
แต่ “เดินทางมาถึงบ้านเรา” โดยเฉพาะในระบบสุขภาพ

บ้านที่เคยมีแค่ทีวี ตู้เย็น หรือพัดลม
ตอนนี้กลายเป็น Smart Home
ที่เครื่องใช้ไฟฟ้าคุยกันเองได้ผ่านอินเทอร์เน็ต
หรือที่เราเรียกกันว่า IoT — Internet of Things

แล้วถ้าเครื่องวัดน้ำตาล วัดความดัน หรือเครื่องชั่งน้ำหนัก
คุยกับโรงพยาบาลได้ล่ะ?
คำตอบอยู่ที่ “รพ.สต.สิงหนาท” จ.พระนครศรีอยุธยา ครับ

เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ผมมีโอกาสไปเยี่ยมพื้นที่จริง
ที่นี่เป็นต้นแบบของการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน
โดยใช้ IoT มาเชื่อมต่อเครื่องมือวัดสุขภาพเข้ากับระบบของโรงพยาบาล

ไม่ต้องรอให้ผู้ป่วยมารพ.ทุก 3 เดือน
ไม่ต้องรอจนค่าน้ำตาลสูงเกินก่อนค่อยรักษา
แต่เปลี่ยนมาเป็น “ติดตามทุกวัน” ผ่านอุปกรณ์สุขภาพที่บ้าน
ทั้งแบบที่ผู้ป่วยใช้เอง และแบบที่ อสม. นำไปวัดให้ถึงบ้าน

เมื่อค่าที่วัดผิดปกติ
ระบบจะส่งสัญญาณเตือนไปยังแพทย์และทีมดูแลทันที
นี่ไม่ใช่แค่ Smart Device
แต่มันคือ Smart System ที่ทำให้
“หมอ...เดินไปถึงบ้านคนไข้” โดยไม่ต้องออกจากโรงพยาบาลเลยด้วยซ้ำ

รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดฯ เปรียบเทียบไว้น่ารักว่า
“ผู้ป่วยจะรู้สึกเหมือนมีหมอดูแลอยู่ตลอดเวลา”
และนั่นคือใจกลางของการดูแลสุขภาพในโลกอนาคตครับ

ผลลัพธ์ก็ชัดเจน
คุณประยุทธ ไตรสารศรี ผอ.รพ.สต.สิงหนาท เล่าว่า
ในผู้ป่วยเบาหวาน 18 คนที่เข้าร่วม
กว่า 50% สามารถหยุดยาได้ และอีก 22% ลดขนาดยา
เพราะพวกเขารู้จักตัวเองมากขึ้น
ปรับพฤติกรรมได้ตรงจุด
ด้วยการรู้ “ตัวเลขสุขภาพของตัวเอง” อย่างต่อเนื่อง

และคุณหมอวรางคณา ทองเปรม จาก รพ.ลาดบัวหลวง
ซึ่งเป็นผู้ออกแบบระบบต้นแบบนี้
ก็มองเห็นเลยว่านี่คือการเปลี่ยนจาก “หมอเจ้าของคนไข้”
ไปสู่ “คนไข้เจ้าของสุขภาพ”

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี
แต่มันคือการเปลี่ยนวิธีคิด
เปลี่ยนระบบ
และเปลี่ยนผลลัพธ์สุขภาพของทั้งประเทศ

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
กำลังมองหาต้นแบบแบบนี้
เพื่อนำไปต่อยอดขยายผลให้ครอบคลุมทั้งประเทศ
เพราะเราเชื่อว่า…
“ถ้าคนไทยเห็นตัวเลขสุขภาพของตัวเองได้ทุกวัน
เขาจะดูแลตัวเองได้ดีขึ้นแน่นอนครับ”

#คลินิกสุขภาพอนาคต #สปสช

ที่อยู่

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ-หมอเอกผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ-หมอเอก:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram