Safe Space Mental Health Well-Being

  On เป็นวงกลม #10 เหตุผลที่ทำให้เราตัดใจจากรักเก่าได้ยากเคยสงสัยไหมว่าทำไมเราถึงลืมแฟนเก่าไม่ได้สักที? ไม่ว่าจะกินไม่ได...
25/05/2024

On เป็นวงกลม
#10 เหตุผลที่ทำให้เราตัดใจจากรักเก่าได้ยาก

เคยสงสัยไหมว่าทำไมเราถึงลืมแฟนเก่าไม่ได้สักที? ไม่ว่าจะกินไม่ได้ นอนไม่หลับ หรือไม่มีสมาธิทำงาน เรียนหนังสือไม่เข้าใจ มองไปทางไหนก็เห็นแต่หน้าแฟนเก่า กว่าจะตัดใจได้ใช้เวลานานเป็นเดือนหรือบางคนอาจใช้เวลาเป็นปีๆ พยายามแค่ไหนก็ทำได้แค่ move on เป็นวงกลม มาดูกันว่า 10 สาเหตุที่ทำให้เราตัดใจจากรักเก่าได้ยากคืออะไรบ้าง

1. มีความหวังว่าเขาจะกลับมา
เราจะตัดใจได้ยากถ้ายังหวังว่าแฟนเก่าจะกลับมาคบกันอีกครั้ง ความหวังนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เรายังติดอยู่กับอดีตและไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้
2. ไม่เข้าใจว่าเราเลิกกันเพราะอะไร
การเลิกกันแบบไม่มีเหตุผลชัดเจนทำให้เราไม่สามารถ move on ได้ เราจะคอยคิดหาสาเหตุของการเลิกราอยู่เสมอ ซึ่งการคิดวนซ้ำๆ นี้จะย้ำเตือนความทรงจำและทำให้เราตัดใจได้ยาก
3. ภาพความทรงจำดียังฝังใจ
ความทรงจำดีๆ ในวันเก่าๆ ทำให้เราคิดถึงแฟนเก่าอยู่เสมอ ถึงแม้จะเป็นเรื่องดี แต่บางครั้งอาจทำให้เราลืมข้อเสียและเหตุผลที่ทำให้ความรักครั้งนั้นจบลง
4. แฟนเก่าคนนั้นเป็นรักแรกของเรา
รักแรกมักจะมีความหมายพิเศษ การลืมแฟนเก่าที่เป็นรักแรกจึงเป็นเรื่องยากขึ้นไปอีก เพราะเขาเป็นคนสำคัญคนแรกในประสบการณ์ต่างๆ ของเรา
5. เรายังไม่ปล่อยให้ตัวเองเศร้าเสียใจ
การพยายามไม่เศร้าไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด การปล่อยให้ตัวเองยอมรับและรู้สึกถึงความเสียใจจะช่วยให้เราปลดปล่อยความเศร้าและตัดใจได้ง่ายขึ้น
6. เรายังไม่ได้ลองให้โอกาสคนอื่น
การลืมรักเก่าเป็นเรื่องยากถ้าเรายังไม่เปิดใจให้คนใหม่ การเปรียบเทียบคนใหม่กับแฟนเก่าทำให้เราไม่สามารถเรียนรู้จักกับคนใหม่อย่างแท้จริง
7. เราถูกดึงดูดด้วยคนประเภทใดประเภทหนึ่ง และแฟนเก่าก็เป็นคนประเภทนั้น
คนเรามักแก้ไขอดีตที่เลวร้ายด้วยการสร้างเหตุการณ์ซ้ำอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว เช่น การเลือกคนรักที่มีลักษณะคล้ายคนในอดีตที่ทำให้เราเจ็บปวด การรับรู้และแก้ไขรูปแบบความสัมพันธ์นี้จะช่วยให้เราหลุดพ้นจากความเจ็บปวด
8. เรามองเห็นถึงอนาคตดีๆ กับคนรักเก่า
การลงทุนเวลาและความรู้สึกในความสัมพันธ์ทำให้เราสูญเสียความหวังและความฝันที่เรามีร่วมกับแฟนเก่า การมองไปข้างหน้าและยอมรับว่าความสัมพันธ์นี้จบลงจะช่วยให้เราก้าวต่อไปได้
9. เรายังแอบติดตามคนรักเก่าบนโซเชียลมีเดียอยู่ตลอดเวลา
การติดตามคนรักเก่าผ่านโซเชียลมีเดียทำให้เรานึกถึงเรื่องราวในอดีตและให้ความหวังเล็กๆ ว่าอาจกลับมาคบกันอีกครั้ง การหยุดติดตามจะช่วยให้เราตัดใจได้เร็วขึ้น
10. เรารู้สึกเสียตัวตนของเราไปพร้อมกับความสัมพันธ์ที่เสียไปนี้
เวลามีคนรัก เราอาจใช้เวลาส่วนมากไปกับเขาจนไม่เหลือเวลาสำหรับเพื่อนหรือครอบครัว การสูญเสียตัวตนทำให้เราลืมไปว่าเราเป็นใครและจะมีความสุขได้อย่างไรเมื่อไม่มีคนรัก
อย่างไรก็ดี...
น้องเซฟขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนตัดใจลืมคนรักเก่าและกลับมารักตัวเอง เพื่อจะได้เจอกับรักครั้งใหม่ให้ได้ไวไวนะ 💖🌟

ขอบคุณที่มา: https://www.psychologytoday.com/

#จิตวิทยา #ความรัก #ความสัมพันธ์

💙ปัดขวาถี่ ๆ นึกว่าจะได้แฟน ดันได้ความเครียดแทนซะอย่างงั้น... ใครกำลังเป็นแบบนี้ต้องรีบแก้ด่วน!ทุกวันนี้โลกยุคออนไลน์ทำใ...
23/04/2024

💙ปัดขวาถี่ ๆ นึกว่าจะได้แฟน ดันได้ความเครียดแทนซะอย่างงั้น... ใครกำลังเป็นแบบนี้ต้องรีบแก้ด่วน!
ทุกวันนี้โลกยุคออนไลน์ทำให้ทุกอย่างดูง่ายดายไปหมดเลยใช่มั้ยล่ะคะ ไม่เว้นแม้กระทั่งการหาแฟน หาคู่เดทผ่านแอปต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแอปน้องไฟ หรือแอปน้องผึ้ง
หลักการก็แสนง่ายดายหากชอบใครให้ปัดขวา ถ้าไม่ชอบก็แค่ปัดซ้ายทิ้งไป มองผิวเผินทุกอย่างดูเหมือนจะจอย ๆ สนุกขำ ๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่! สิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงนั่นคือ การเดทออนไลน์อาจทำให้เกิดความเครียดและส่งผลต่อสุขภาพจิตแบบไม่รู้ตัว...
ปัจจัยก็มีด้วยกันหลายเรื่อง ตั้งแต่การถูกปฏิเสธอย่างต่อเนื่อง กดไลค์ใครไปก็ไม่มีการไลค์กลับ ทักแชทหนักขวา จนเริ่มขาดความมั่นใจในตัวเอง ความคิดติดลบค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาทีละนิด
ส่วนพฤติกรรมการปัดซ้ายปัดขวานี้อาจทำให้เราต่างรู้สึกถึงความเป็นมนุษย์ของอีกฝ่ายลดลงก็ได้นะ แม้จะปัดขวาคนที่ชอบก็จริงแต่ไม่ได้รู้สึกอิน หรือผูกพัน ไม่ได้อยากทำความรู้จักลึกซึ้งมากขนาดนั้นเพราะมีแนวคิดติดอยู่ในหัวว่า ขอแค่เริ่มต้นคุยไว้ก่อน หากรู้สึกไม่ใช่ตั้งแต่แรกก็ค่อยเลือกคนใหม่เข้ามาแทน แล้วมันก็จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนไม่เจอรักแท้ในชีวิตสักที
หรืออย่างการสร้างโปรไฟล์ปลอมก็เป็นอีกเรื่องที่คนหาคู่เดทออนไลน์มักพบเจอบ่อย ๆ เพราะใครก็สามารถไปเอารูปคนอื่นจากออนไลน์มาแปะไว้บนหน้าโปรไฟล์ของตัวเองได้ (แม้ผู้สร้างแอปจะพยายามหาวิธีป้องกันแล้วก็เถอะ) ทำให้คนจำนวนไม่น้อยถูกมิจฉาชีพหลอกให้รัก หวังผลประโยชน์ จนรู้สึกเสียอารมณ์และความรู้สึก โดนทำลายความเชื่อใจ ยิ่งกว่าอกหักด้วยซ้ำ!
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ยกมาบอกเล่ามันก็ไม่ได้หมายถึงการเดทออนไลน์ไม่ดีนะ เพราะถ้าใครอยากหาแฟนจากช่องทางนี้ เราก็มี 8 วิธีรับมือและป้องกันการเกิดความเครียดจากการหาคู่ออนไลน์มาแชร์ให้ลองทำตามกันเลย
1. วิดีโอคอลก่อนเจอตัวจริงและลองนัดเจอตัวจริงภายใน 2 สัปดาห์
หลังเริ่มคุยกัน ถ้าเขาบ่ายเบี่ยงก็แสดงถึงความไม่จริงใจ รีบถอยก่อนดีกว่า... แต่ถ้าตกลงเจอกันจริงแนะนำให้เจอพื้นที่สาธารณะ เช่น ห้าง วัด และต้องบอกข้อมูลต่าง ๆ เช่น วัน เวลา สถานที่ ให้คนสนิท เช่น เพื่อน พ่อแม่พี่น้องรู้ไว้ด้วยนะคะ
2. ถ้ารู้สึกเหนื่อยกับการหาคู่ผ่านออนไลน์ ลองพักซักนิดแล้วหากิจกรรมอื่นที่มีความสุขทำแทนบ้างก็ได้
3. ลิสต์สิ่งที่กำลังตามหาผ่านการหาคู่เดทออนไลน์ เช่น สเปคที่ชอบ ลุคแบบไหนที่รู้สึกสบายใจหากไปออกเดท เรื่องที่ต้องปรับตัวหากจะจริงจังกับความสัมพันธ์ เป็นต้น
4. หากรู้สึกแปลก ๆ แสดงว่าอาจมีอะไรไม่ใช่แล้วแน่ ๆ ยอมเชื่อสัญชาตญาณของตัวเองดูบ้างก็ไม่ผิด อย่าหลงเกินเหตุหรือพยายามหลอกตัวเองว่าเขาคือคนที่ใช่
5. ลองซื้อฟีเจอร์ที่ช่วยแนะนำคนดี ๆ ให้เข้าหาก็น่าสนใจ แต่ไม่ต้องถึงขนาดซื้อแพ็คเกจแพงสุดก็ได้
6. เตรียมใจไว้กับการถูกปฏิเสธเพื่อจะได้ไม่รู้สึกผิดหวัง เจ็บช้ำจนไม่เป็นอันกินอันนอน
7. ลองหาคู่เดทแบบออฟไลน์บ้างก็ดีเหมือนกันนะ เช่น เพื่อน พี่ น้อง ที่ทำงานหากมองแล้วตรงสเปคก็ไม่ผิดที่จะขอคุยด้วย (หากเขายังไม่มีใครเหมือนกัน)
8. อย่าลืมให้เวลาดูแลหัวใจตัวเองบ้างล่ะ แบ่งเวลาทำสิ่งที่ชอบอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี เพื่อบาลานซ์สุขภาพจิตให้รู้สึกมีความสุข
💙ทั้ง 8 ทริคนี้สามารถเอาไปใช้จริงได้เลยนะคะสำหรับคนที่อยากหาคู่เดทออนไลน์ สุดท้ายนี้การตามหาความรักไม่ใช่เรื่องผิด แต่การให้ความรักกับตัวเองอย่างสม่ำเสมอก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกันนะ
ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก
Psychology Today:
https://www.psychologytoday.com/intl/blog/talking-about-men/201810/are-dating-apps-damaging-our-mental-health
https://www.psychologytoday.com/ie/blog/theyre-not-coming/202308/online-dating-fatigue

#เดทออนไลน์ #สุขภาพจิต #นักจิตวิทยา

 #พามารู้จักกับความคิดของนักการตลาด #ที่มักจะนำมาใช้โฆษณา และเข้าถึงใจผู้บริโภคได้อย่างแท้จริงทุกคนเคยสงสัยกันบ้างมั้ยว่...
10/01/2024

#พามารู้จักกับความคิดของนักการตลาด
#ที่มักจะนำมาใช้โฆษณา และเข้าถึงใจผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง
ทุกคนเคยสงสัยกันบ้างมั้ยว่าพวกโฆษณาต่างที่เรามักเห็นกันในทีวี, ยูทูปหรือสื่ออื่นๆ อีกมากมาย ทำไมเขาถึงทำให้เราติดใจหรืออยากซื้อได้ขนาดนั้นกันนะ? บางทีก็รู้สึกว่าตัวเองตกเป็นทาสการตลาดไปเลย แต่จะมีใครเชื่อมั้ยว่าการตกเป็นทาสการตลาด มีหลักการทางจิตวิทยาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนะ และหลายๆ หลักการเราอาจจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นวันนี้พวกเรา Safe Space Thailand เลยอยากจะมาแชร์หลักการ แนวคิดที่เขาใช้ในการดึงดูดผู้บริโภคอย่างเรา จะมีอะไรบ้างนั้นไปดูกัน
1. Cognitive Fluency

มาเริ่มกันด้วยส่วนที่สำคัญที่สุดในทุกการโฆษณา หรือก็คือการเล่าเรื่องนั่นเอง โดยการเล่าเรื่องที่สามารถมัดใจ และจับพวกเราไว้ได้อยู่หมัดก็คงหนีไม่พ้น Cognitive Fluency หรือก็คือการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย ไม่ต้องมีอะไรให้ไปคิดต่อยอดซับซ้อนมากนัก ยกตัวอย่างเช่น เราต้องการโฆษณาน้ำส้มตัวนึง เราอาจจะบอกไปเลยว่าดื่มแล้วสดชื่น แทนการที่ให้นักแสดงดื่มแล้วแสดงสีหน้าเอา และอีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการสังเกตกลุ่มเป้าหมาย และทำออกมาให้ตรงใจผู้บริโภคมากที่สุด
เช่น เป้าหมายของเราคือเด็กกลุ่มวัยรุ่น วัยที่กำลังให้ความสำคัญกับเพื่อนมากๆ หากเราต้องการทำโฆษณา 1 ตัว เราก็ควรที่จะทำยังไงก็ได้ ให้เป้าหมายเรารู้สึกว่าโฆษณาตัวนี้เหมือนกับเพื่อนมาบอกต่อว่าของมันดีจริงนะ เป็นต้น ซึ่งการเล่าเรื่องแบบนี้แหละ จะทำให้เราเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง
2. Psychology of Attraction

ถัดมากับกฎของแรงดึงดูด เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนถูกดึงดูดด้วย ‘ความสวยงาม’ ในรูปแบบที่เราชอบ แม้เราจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เคยลองสังเกตตัวเองบ้างมั้ย ว่าเราเดินไปตามถนน เราก็อยากจะมองหาของสวยๆ อย่างต้นไม้ ใบหญ้า ไปจนถึงท้องฟ้าแสนสดใส เพราะคงไม่มีใครหรอกที่อยากมองหาขยะ หรือเศษดินตามพื้น
โดยเราสามารถนำหลักจิตวิทยาข้อนี้มาปรับใช้กับการโฆษณาได้ ด้วยการทำกราฟิคหรือถ่ายรูปให้น่าดึงดูด และเราอาจจะนำกระแสสังคมหรือประเด็นที่น่าสนใจในช่วงนั้นมาผสานให้เกิดเอกลักษณ์ก็ได้นะ หากเรามีทั้งภาพลักษณ์ที่สวยงามและเนื้อหาที่น่าสนใจ บอกเลยว่าไม่มีใครอยากกดข้ามโฆษณาของเราอย่างแน่นอน!
3. Earworm

คงไม่มีใครปฎิเสธว่าเสียงเพลงเป็นอีกหนึ่งในสิ่งที่ทำให้เราตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการอะไรสักอย่าง และก็มักจะมีหลายๆ เพลงที่ทำให้เราติดหูร้องทั้งวัน ตัวอย่างเช่น แล็คตาซอย 5 บาท, ข้าวแสนดี ดีดี๊ดี ไปจนถึงเสียงรถไอติมวอลและอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งนอกจากปรากฎการณ์ Earworm จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์แล้ว ยังสามารถช่วยสร้างการจดจำแบรนด์ที่ดีอีกด้วยนะ
4. Endowment Effect

ใครๆ ก็อยากเป็นคนพิเศษ ถึงแม้ว่าเราจะปฎิเสธ ค้านหัวชนฝาขนาดไหน แต่ลึกๆ ในใจของเราก็รู้สึกดีอยู่ดีเวลาที่มีคนมาทำดีกับเรา หรือทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นคนพิเศษ โดย Endowment Effect หรือก็คือ การกลัวที่จะสูญเสียสิ่งที่มีค่าต่อจิตใจ
ซึ่งถ้าหากเรามาปรับเข้าใช้กับหลักการตลาดก็คงเป็นพวกของ Limited Edition หรือการค่อยๆ สปอยสินค้าทีละเล็กน้อย ทำให้เรารู้สึกติดตามและอยากเป็นเจ้าของในที่สุด เพราะเชื่อว่าหลายคนในที่นี้ก็คงหนีไม่พ้นหรอก เวลาเห็นอะไรที่ขายในช่วงเวลาที่จำกัด ก็จะซื้อตลอด หรือพอไม่ซื้อก็จะรู้สึกเสียดาย
ถ้าไม่ซื้อตอนนี้จะไม่ได้ซื้อแล้วนะ หรือถ้าไม่ได้ซื้อ ก็จะไม่มีขายอีกแล้วนะ รีบซื้อดีกว่า ส่งผลให้เราเสียเงินจนถึงทุกวันนี้นี่เอง ก็คนมันอยากได้ของพิเศษนี่นา จะพลาดได้อย่างไร
5. Social Proof

และสิ่งสุดท้ายที่สำคัญในการทำโฆษณาก็คงจะต้องเป็นความน่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะจากผู้ใช้จริง, Influencer ไปจนถึงเหล่าดารานักแสดง ซึ่งเหล่าผู้บริโภคอย่างเราก็คงไม่ได้ตัดสินใจซื้อของในทันทีทันใดหรอก จนกว่าเราจะได้เห็นรีวิว ทั้งนี้ความน่าเชื่อถือเหล่านี้ก็มีไว้เพื่อสร้างความมั่นใจว่าหลังจากเราซื้อของชิ้นนี้มาจะใช้ดีแน่นอน หรือคุ้มค่ากับที่เราจ่ายไปจริงๆ ดังนั้นใครที่ตั้งใจจะทำแบรนด์อะไรก็อย่าลืมแสดงความน่าเชื่อถือออกมากันด้วยนะ
เป็นยังไงกันบ้างกับแนวคิดที่นักการตลาด มักจะนำมาใช้ในการดึงดูดผู้บริโภคอย่างเรา อ่านแล้วรู้สึกเห็นด้วยหรือไม่อย่างไร อย่าลืมมาแบ่งปันความคิดเห็นกันบ้างนะ สุดท้ายนี้แม้ว่าหลักการจะเป็นอย่างไร ผู้บริโภคเราก็ย่อมมีสิทธิ์เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง หวังว่าทุกคนจะนำหลักการนี้ไปปรับใช้ได้จริงไม่มากก็น้อย ขอให้ทุกคนรอดพ้นจากการเป็นทาสการตลาดนะ!
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ จาก : AD ADDICT (https://adaddictth.com/knowledge/5-Marketing-Psychology)
#จิตวิทยา #นักการตลาด #พัฒนาตัวเอง

📞‘ถ้าสามารถโทรหาตัวเองในอดีตได้ 1 นาที อยากโทรกลับไปตอนไหน และบอกอะไรกับตัวเอง’💙 #จิตวิทยา  #ระบาย  #ระบายความในใจ
07/01/2024

📞‘ถ้าสามารถโทรหาตัวเองในอดีตได้ 1 นาที อยากโทรกลับไปตอนไหน และบอกอะไรกับตัวเอง’💙
#จิตวิทยา #ระบาย #ระบายความในใจ

 #ความถ่อมตนจะช่วยให้การบริหารทีมง่ายขึ้น💪🏻 #และทรงประสิทธิภาพกว่าที่เคย💙เอาเข้าจริงแล้วความถ่อมตน หากใช้อย่างถูกวิธีก็เ...
05/01/2024

#ความถ่อมตนจะช่วยให้การบริหารทีมง่ายขึ้น💪🏻
#และทรงประสิทธิภาพกว่าที่เคย💙
เอาเข้าจริงแล้วความถ่อมตน หากใช้อย่างถูกวิธีก็เป็นข้อดีเหมือนกันนะ สาเหตุที่ต้องพูดแบบนี้เพราะในบางครั้งความถ่อมตนที่มากเกินไปก็อาจก่อให้เกินความรำคาญและปัญหาได้เช่นกัน แต่จะมีใครรู้มั้ยว่าจริงๆ แล้ว นอกจากความถ่อมตนจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดี เรายังสามารถนำมาช่วยในการบริหารทีมให้ง่ายขึ้นได้ด้วยนะ และบอกเลยว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าที่เราคิดไว้ซะอีก
โดยความถ่อมตัวที่สามารถทำให้เรากลายเป็นผู้นำที่ดีได้ จะมีทั้งหมดหลักๆ 3 ข้อดังนี้
1. ยอมรับข้อบกพร่องและจุดอ่อนของตัวเอง
จุดเริ่มต้นแรกคือการยอมรับในข้อบกพร้องและข้อจำกัดของตนเอง เมื่อใดก็ตามที่เรายอมรับได้ จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า self-awareness (การตระหนักรู้ในตนเอง) ตามมา ซึ่งการเห็นข้อจำกัดก็จะสามารถลดความมั่นใจในตัวเองลงได้ และลดโอกาสที่จะก่อปัญหาให้กับองค์กรได้อีกด้วย
2. ชื่นชมและเห็นคุณค่าในงานของผู้อื่น
ถัดมาต้องขอบอกว่าข้อนี้เป็นผลกำไรที่มาจากการถ่อมตน เพราะเมื่อเราถ่อมตัว เราจะเริ่มที่จะเห็นคุณค่าในงานของผู้อื่นมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เรามองเห็นด้านใหม่ๆ ที่เราไม่เห็นมาก่อน ทำให้มีทัศนคติที่ดี และสามารถดึงจุดเด่นของแต่ละคนออกมาใช้ได้เกิดประโยชน์สูงสุด
3. เปิดกว้างในมุมมองความคิด รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
สุดท้ายคือเมื่อเราถ่อมตนจะทำให้เราได้รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นมากขึ้น ฟังอย่างไม่ตัดสิน หรือหากจำเป็นต้องตัดสินจริงๆ ก็ตัดสินอย่างยุติธรรม โดยการกระทำนี้จะทำให้เราได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนร่วมทีมมากขึ้น และก่อให้เกิดบรรยากาศในการทำงานที่ดีขึ้น
หลังจากที่ได้อ่านทุกคนคงต้องคิดว่าไม่ยากอย่างที่คิดนี่นา แถมข้อดียังเยอะมากอีกต่างหาก แบบนี้จะรีรออะไรอยู่ล่ะ? เราสามารถเริ่มต้นทำได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะในสังคมการเรียน สังคมการทำงานไปจนถึงสังคมครอบครัวเลยนะ ใครที่ได้นำไปใช้แล้วอย่าลืมมาแชร์ผลลัพธ์ให้ฟังกันบ้างนะ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ จาก คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : https://www.psy.chula.ac.th/th/feature-articles/leader-humility
#จิตวิทยา #ทำงาน #ปรึกษาจิตแพทย์

 #เพราะการบูลลี่ทางโลกออนไลน์ไม่ใช่เรื่องตลกและอาจรุนแรงกว่าที่เราคิด🆘หากดูเผินๆ การบูลลี่ทางโลกออนไลน์อาจจะดูเป็นเรื่อง...
04/01/2024

#เพราะการบูลลี่ทางโลกออนไลน์ไม่ใช่เรื่องตลกและอาจรุนแรงกว่าที่เราคิด🆘
หากดูเผินๆ การบูลลี่ทางโลกออนไลน์อาจจะดูเป็นเรื่องที่ไกลตัวเรานะ แต่จะมีใครรู้มั้ยว่ามันใกล้ตัวเราและรุนแรงมากกว่าที่คิด แล้วสาเหตุของการบูลลี่คืออะไร หากเกิดการบูลลี่ขึ้นเราจะมีวิธีการรับมืออย่างไร? วันนี้เลยรวบรวมคำตอบมาให้ทุกคนแล้ว จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย
CyberBullying (การรังแกผ่านโลกออนไลน์) หรือก็คือพฤติกรรมที่ใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์หรือสื่อโซเซียลต่างๆ ในการคุกคาม รังแก ข่มเหงโดยเจตนา และกระทำซ้ำๆ จนเหยื่อไม่สามารถแก้ตัวหรือปกป้องตัวเองได้เลย โดยช่องทางหลักๆ ของการบูลลี่ก็จะมีตั้งแต่ แชท, โซเซียลมีเดียจำพวก Facebook, Twitter, TikTok และอื่นๆ อีกมากมาย หรือแม้กระทั่งเกมออนไลน์ก็ยังสามารถมีการบูลลี่กันเกิดขึ้นได้เลย ดังนั้นเราจึงควรต้องตระหนักเอาไว้ให้มากๆ นะ
แล้วทุกคนเชื่อมั้ยว่าพฤติกรรมนี้มักจะเกิดขึ้นในกลุ่มเด็กวัยรุ่นหรือเป็นคนที่อยู่ในวัยที่ต้องกำลังพบเจอความเปลี่ยนแปลงในชีวิต จนทำให้เกิดความเครียดสะสม พอไม่รู้ว่าจะเอาความเครียดนั้นไปลงที่ไหนก็เลยเอามาลงกับโลกออนไลน์นี่เอง ทั้งที่ความจริงมันมีวิธีจัดการกับความเครียดที่ดีกว่านี้ แต่คงปฎิเสธไม่ได้ว่าการบูลลี่คนอื่น มันง่ายกว่าการจัดการปัญหาของตัวเองนี่นา
โดยส่วนมากแล้วแรงจูงใจของการ CyberBullying มักมาจากความสะดวกและรวดเร็วในการรังแก บางคนอาจจะทำลงไปเพราะดูเท่ ดูคูล ดูมีอำนาจ หรือได้รับความสนใจจากคนรอบข้าง บางคนก็อาจจะทำเพียงเพราะความสนุกเฉยๆ ดูเผินๆ คนเหล่านี้อาจจะดูเป็นคนไม่ดีนะ แต่จะมีใครรู้มั้ยว่าคนที่ CyberBullying คนอื่นนั้น ส่วนมากจะเคยเป็นเหยื่อหรือผู้ถูกกระทำมาก่อน จึงกระตุ้นให้อยากแก้แค้นหรือเอาคืนนั่นเอง เพราะเชื่อเถอะว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่อยากเป็นคนไม่ดีหรอก เพียงแค่เราอาจจะเคยโดยทำไม่ดีมาก่อน จนรู้สึกว่าความไม่ดีเป็นเรื่องปกติก็ได้นะ
ซึ่งการบูลลี่นี้แม้ว่าเราจะกระทำไปโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ เรื่องจะเล็กแค่ไหน แต่สุดท้ายผลของการกระทำเราจะฝังใจเหยื่อไปตลอดกาล เพราะในบางครั้งนิดหน่อยของเราอาจจะไปสร้างแผลใจให้กับเขาอย่างมหาศาลเลยก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบทางจิตใจและพฤติกรรม ดังนั้นการที่เรารู้เท่าทันสื่อและใช้ให้ถูกวิธีก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า
#วิธีการป้องกันและรับมือพฤติกรรมCyberBullying

1. ทำความเข้าใจและรู้เท่าทันสื่อ หรือก็สิ่งที่เรียกว่า Media Literacy ระวังในการใช้สื่อโซเซียลให้มากๆ และใช้งานอย่างถูกวิธี
2. ให้ความรู้หรือแบ่งปันความเข้าใจเกี่ยวกับ CyberBullying ให้กับคนรอบข้างตนเอง
3. หากตัวเองตกเป็นเหยื่อผู้ถูกกระทำ ขอความช่วยเหลือจากทางอินเทอร์เน็ต หรือคนรอบข้าง ว่าเราสามารถทำอย่างไรได้บ้าง ตอบกลับแบบไหนถึงจะทำให้เราหลุดพ้นจากการเป็นเหยื่อ หรือในบางกรณีการปล่อยวางอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดก็ได้เช่นกัน
4. ในกรณีนี้ที่ไม่กล้าปรึกษากับคนรอบตัว อาจสามารถขอความช่วยเหลือจากนักจิตวิทยาโดยตรง หรือใครที่อยากได้คนคอยรับฟังปัญหาอย่างไม่ตัดสิน สามารถปรึกษากับพี่นักจิตวิทยาของ Safe Space Thailand ได้นะ ทางพี่ๆ พร้อมรับฟังเสมอเลย
ซึ่งวิธีการป้องกันและรับมือพฤติกรรม CyberBullying เหล่านี้ เราสามารถนำมาใช้ได้ทั้งกับตัวเองและคนรอบข้างที่กำลังเผชิญหน้ากับการถูกกลั่นแกล้งในโลกออนไลน์ได้เลยนะ สุดท้ายนี้อยากจะบอกทุกคนว่า พฤติกรรม CyberBullying นั้นไม่ใช่เรื่องตลกและเป็นเรื่องรุนแรงกว่าที่เราคิดมาก ดังนั้นหากเรารู้เท่าทันสื่อและเข้าใจวิธีการรับมือกับพฤติกรรมเหล่านี้ อาจจะสามารถป้องกันปัญหาสุขภาพจิตที่จะตามมาหลังจากการตกเป็นเหยื่อก็ได้นะ เพราะเรื่องสุขภาพจิตเป็นเรื่องสำคัญกว่าที่คิด อย่าลืมหมั่นใส่ใจตัวเองและคนรอบข้างอยู่เสมอล่ะ
📌ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ จาก คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : https://www.psy.chula.ac.th/th/feature-articles/cyberbullying
#จิตวิยา #สังคมไทย #โดนแกล้ง

🎉NEW YEAR RESOLUTION📌ทริคง่ายๆ ที่จะทำให้เราบรรลุเป้าหมายที่วางเอาไว้เชื่อเลยว่าหลายคนที่กำลังอ่านคอนเท้นต์นี้อยู่ น่าจะ...
27/12/2023

🎉NEW YEAR RESOLUTION
📌ทริคง่ายๆ ที่จะทำให้เราบรรลุเป้าหมายที่วางเอาไว้
เชื่อเลยว่าหลายคนที่กำลังอ่านคอนเท้นต์นี้อยู่ น่าจะเคยตั้งเป้าหมายในช่วงปีใหม่กันเอาไว้บ้าง ไม่ว่าจะเป็น ปีนี้ฉันจะลดน้ำหนัก ปีนี้ฉันจะมีเงินออมซื้อบ้าน-รถ หรือบางคนก็อาจจะวางแผนอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาลัย และอื่นๆ อีกมากมาย แต่จะปีไหนก็ไม่เคยทำได้อย่างที่วางแผนไว้สักที จนบางทีก็เริ่มรู้สึกท้อใจหรือผิดหวังในตนเอง วันนี้เลยอยากจะแชร์ทริคง่ายๆ ที่จะทำให้เราบรรลุเป้าหมายที่วางเอาไว้ได้สำเร็จ บอกเลยว่าปีนี้เราจะทำได้อย่างแน่นอน!
ทริคที่ 1 - ตั้งเป้าหมายให้ไม่สูงจนเกินไป และสามารถทำได้จริง

ขั้นแรกเลยขอแนะนำให้ทุกคนตั้งเป้าหมายเล็กๆ ที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด เพราะการค่อยๆปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หรือพัฒนาตัวเองไปทีละเล็กน้อย ย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าการฝืนหรือหักโหมตัวเอง ตัวอย่างเช่น เราบอกว่าจะเลิกกินน้ำหวาน แบบหักดิบ อาจจะทำให้ร่างกายเราปรับตัวไม่ทันและกินมากกว่าเดิมก็ได้ แต่หากลองเปลี่ยนเป็นกินน้อยลงจากวันละแก้ว เหลือสัก 2-3 วันต่อ 1 แก้ว ก็จะทำได้ง่ายกว่า แถมไม่ฝืนตัวเองด้วยนะ
ทริคที่ 2 - วางแผนวิธีการทำตามเป้าหมายให้ชัดเจน

ในเมื่อเรามีเป้าหมายแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือขั้นตอนที่ชัดเจนนั่นเอง สมมติว่าเราตั้งใจจะ “ลดน้ำหนัก” เราก็ควรที่จะวางแผนการกิน หรือแผนการออกกำลังกายตามลำดับ และเมื่อเรามีขั้นตอนที่ชัดเจน มันก็จะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของเป้าหมายเราได้ด้วย ซึ่งการเห็นภาพขั้นตอนที่ชัดเจน จะช่วยให้เรารู้ว่าเราต้องทำอะไรก่อนหลัง แถมยังติดตามผลได้ง่ายกว่าด้วยนะ
ทริคที่ 3 - ตั้งเป้าหมายหลักเอาไว้ และแบ่งออกเป็นเป้าหมายย่อยๆ ให้ง่ายต่อการปฎิบัติ

การตั้งเป้าหมายเล็กๆ เอาไว้จะช่วยให้เราไปสู่เป้าหมายหลักของเราได้ง่ายขึ้น เพราะการทำสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ให้สำเร็จ ก็เป็นเสมือนแรงใจที่ทำให้เราฮึ้ดสู่ต่อไป ตัวอย่างเช่น เราอยากจะอ่านหนังสือทั้งหมด 10 เล่มก่อนถึงวันสอบ เราก็วางแผนเลยว่าจะอ่านอาทิตย์ละ 1 เล่ม พอเราอ่านจบ ก็จะมีกำลังใจในการอ่านเล่มต่อไป เหมือนพอเราเห็นภาพว่าตัวเองทำมาได้ประมาณนึงแล้ว มันก็จะรู้สึกใจฟูและมีกำลังใจให้เราทำต่อไปได้!
ทริคที่ 4 - บอกคนใกล้ชิดให้รู้ถึงเป้าหมายของเรา

อาจจะฟังดูเหมือนพูดไปเรื่อยเปื่อย แต่จริงๆ แล้วหากเราบอกคนใกล้ชิดให้รู้ถึงเป้าหมายของเราไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คนรู้ใจ ไปจนถึงครอบครัว ก็จะเป็นเสมือนแรงผลักดันให้เราทำได้สำเร็จ ไม่ว่าจะมาในรูปแบบของแรงกดดัน, ความคาดหวัง หรือกำลังใจก็ตาม และนอกจากนี้หากคนรอบตัวเรารู้ว่าเราต้องการจะทำอะไร เขาอาจจะสามารถคอยตักเตือนและชี้นำให้กลับมาทำตามเป้าหมายอีกครั้งได้ด้วยนะ
ทริคที่ 5 - เอาตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเป้าหมายคล้ายกันกับเรา

เชื่อมั้ยว่าการที่เราเอาตัวเองไปอยู่ในที่ๆดี ก็จะทำให้ตัวเราดีตามไปด้วย เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสังคมที่แอคทีฟตลอดเวลา ทำตามเป้าหมายที่วางเอาไว้อย่างใกล้เคียงหรือไม่ก็ได้ จะช่วยทำให้เราบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น เพราะพวกเขาจะเป็นเหมือนพลังงานชั้นดีในการผลักดันให้เราทำตามเป้าหมาย โดยเฉพาะในช่วงที่เราเหนื่อยหรือท้อใจ เราก็อาจจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือฮึ้บขึ้นมาเพื่อทำตามเพื่อนๆ ในทันก็ได้เช่นกัน ดังนั้นอย่าลืมเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในที่ดีๆ และเหมาะกับเราล่ะ
สุดท้ายนี้การตั้งเป้าหมายที่จะทำในปีใหม่นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่การทำตามเป้าหมายให้สำเร็จถือเป็นเรื่องที่ท้าทายมากๆ และไม่ใช่ทุกคนจะสามารถทำได้ หวังว่าทริคทั้ง 5 ข้อนี้จะสามารถช่วยให้ทุกคนฝ่าฟันและบรรลุเป้าหมายได้อย่างราบรื่นมากขึ้น ไม่ว่าเป้าหมายจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะ! พวกเราทำได้แน่นอน✨
📌ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ จาก : Psychology Today
(https://www.psychologytoday.com/us/blog/nurturing-resilience/202301/the-best-way-to-make-and-keep-a-new-years-resolution)
(https://www.psychologytoday.com/intl/blog/the-savvy-consumer/202112/how-succeed-in-your-new-years-resolutions)
(https://www.psychologytoday.com/us/blog/how-my-brain-works/202112/how-make-good-new-years-resolutions)
#ปีใหม่ #พัฒนาตัวเอง

🎅🏻merry christmas คริสมาสต์ปีนี้คุณมีอะไรอยากขอจากซานต้าบ้าง ?🎄   #ระบาย
25/12/2023

🎅🏻merry christmas คริสมาสต์ปีนี้คุณมีอะไรอยากขอจากซานต้าบ้าง ?🎄
#ระบาย

“ฉันไม่คิดว่ามันถูกต้องที่มาตรฐานความงามของเราจะแบ่งออกเป็น 'ผอม' และ 'อ้วน'แต่คงจะดีไม่น้อยถ้าเราได้สวมเสื้อผ้าที่อยากใ...
24/12/2023

“ฉันไม่คิดว่ามันถูกต้องที่มาตรฐานความงามของเราจะแบ่งออกเป็น 'ผอม' และ 'อ้วน'
แต่คงจะดีไม่น้อยถ้าเราได้สวมเสื้อผ้าที่อยากใส่ ฉันหวังว่า คุณจะไม่เสียสละสุขภาพของคุณเพื่อสิ่งนั้น”
วันนี้พวกเรา Safespace อยากพาทุกๆ คนมาทำความรู้จักกับนักแสดงหญิง ‘ฮันโซฮี’ สาวผู้มีพลังบวกอยู่รอบตัว และคอยแผ่คาริสม่าอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร เรียกได้ว่าเธอเป็นนักแสดงชาวเกาหลีใต้ที่กำลังเป็นที่พูดถึง และดังมากในช่วงนี้เลยก็ว่าได้
ซึ่งเธอเป็นคนนึงที่มีหลายคนต่างต้องตกหลุมรัก โดยไม่ใช่แค่หลงในใบหน้า รูปลักษณ์ และท่าทาง แต่นิสัย ทัศนคติ เรียกได้ว่าเต็มร้อย เพราะคำพูดของสาวคนนี้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนจนไวรัลให้กับหมู่วัยรุ่นสมัยนี้เป็นอย่างมาก
โดยประโยคที่เราได้ยกมาวันนี้ เป็นหนึ่งในคำพูดที่เธอพูดขณะไลฟ์สด โดยมีแฟนคลับได้คอมเมนต์ต่างถามเธอกันว่า ‘ถ้าอยากผอมแบบพี่ต้องทำยังไง?’
หลังจากอ่านความคิดเห็นนี้ สาวฮันโซฮี ก็ได้ตอบกลับบรรดาแฟนคลับได้อย่างชาญฉลาด
“จริงๆ แล้วนั้นไม่ใช่สิ่งที่คุณควรทำเพื่อให้ผอมเหมือนฉัน คุณไม่จำเป็นต้องผอมเหมือนฉัน คุณต้องมีสุขภาพที่ดีสิ เพราะงานที่ฉันทำมันต้องแสดงให้ทุกคนเห็นถึงภายในและภายนอก และการดูแลรูปลักษณ์ภายนอกมันเป็นสิ่งที่ฉันต้องทำ ดังนั้นฉันจึงต้องควบคุมอาหาร เพราะถ้าไม่ใช่งานของฉัน ฉันก็คงรักษาน้ำหนักให้เหมือนคนปกติไปแล้ว”
“ฉันไม่คิดว่ามันถูกต้องที่มาตรฐานความสวยความงามของเราจะแบ่งออกเป็น 'ผอม' และ 'อ้วน' คงจะดีไม่น้อยถ้าเราได้สวมเสื้อผ้าที่อยากใส่ได้อย่างพอดีตัว แต่ฉันหวังว่าคุณจะไม่เสียสละสุขภาพของคุณเพื่อสิ่งนั้น”
สุดท้าย ฮันโซฮียังพูดต่ออีกว่า“เพียงเพราะคุณผอม ไม่ได้หมายความว่าคุณจะสวยเสมอไป คนที่มีสุขภาพดีต่างหากนะถึงจะดูดีและสวย”
เป็นยังไงบ้างกับทัศนคติของเธอ เรียกได้ว่าเธอไม่ได้เชิญชวนและยังพูดให้เกิดพลังบวกกับสาวๆ เป็นอย่างมาก
ดังนั้นไม่ว่าหุ่นแบบไหน ถ้าอยากสวมเสื้อผ้าที่ชอบและรู้สึกมั่นใจ ถ้านั้นดีต่อจิตใจของเรา นั้นก็ไม่เพียงพอแล้ว เราไม่จำเป็นต้องลดน้ำหนักให้เสียสุขภาพและสุขภาพจิต แค่ลองในสิ่งที่อยากลอง ทำในสิ่งที่อยากทำ ใครจะว่ายังไงก็ช่าง แต่ถ้าทำออกมาแล้วเราสบายใจ ก็จงทำต่อไป ฉะนั้นอย่าเปลี่ยนตัวเองเพื่อคนอื่น แต่จงทำในสิ่งที่ตัวเองสบายใจและก้าวออกมา
#ฮันโซฮี #คำคมพลังบวก #คำคมให้กำลังใจ

 #ความรักของชายและหญิงรักต่างกันหรือไม่?  #จะทำอย่างไรหากความรักของเราไม่เท่ากัน✨👩‍❤️‍👨เชื่อว่าหลายคนอาจจะเคยได้ยินคำพูด...
21/12/2023

#ความรักของชายและหญิงรักต่างกันหรือไม่?
#จะทำอย่างไรหากความรักของเราไม่เท่ากัน✨👩‍❤️‍👨
เชื่อว่าหลายคนอาจจะเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “ความรักของผู้ชายผู้หญิงน่ะ มันไม่เท่ากันหรอก” หรือไม่ก็ “ความรักของผู้หญิงเริ่มจาก 100 ส่วนผู้ชายเริ่มจาก 0” ซึ่งแต่ละคนก็อาจจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป แต่จะมีใครรู้มั้ยว่าเรื่องของความรักมีผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ด้วยนะ
นักจิตวิทยาได้กล่าวเอาไว้ว่า ผู้หญิงตกหลุมรักบ่อยกว่าและเป็นความรักที่รุนแรงกว่าผู้ชาย แต่ในขณะเดียวกันผู้ชายก็ตกหลุมรักเร็วกว่าผู้หญิงซะอีก และเชื่อมั้ยว่าโดยส่วนมากผู้ชายมักจะเชื่อในเรื่องของความโรแมนติกมากกว่าผู้หญิง เชื่อว่ารักแท้มีแค่ครั้งเดียวในชีวิต คนเราสามารถแต่งงานกับใครก็ได้โดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงฐานะ แต่ผู้หญิงนั้นมักจะคำนึกถึงความเป็นจริงมากกว่า จึงใช้ความเหมาะสมเป็นส่วนนึงในการเลือกคู่ชีวิตของตนเอง
โดยการที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของเรายืนยาวได้ เป็นการกระทำที่ทั้งสองฝ่ายต่างต้องเติมความรักและความสุขให้กัน ซึ่งเรามักจะพบว่าจุดเริ่มต้นของปัญหามักจะมาความคิดที่ว่า “ตัวเองทำอะไรให้อีกฝ่ายมากกว่าที่เราทำจริงๆ” ไม่ว่าจะเป็นการทำงานบ้าน ซักผ้า ตากผ้า ทั้งที่เราอาจจะไม่ได้อยากทำมากมายขนาดนั้นก็ได้
ซึ่งนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการแตกหักในความสัมพันธ์ไม่ว่าจะเกิดจากความเห็นไม่ตรงกัน หรือเวลาที่ไม่เท่ากันก็ได้ ผู้ชายบางคนอาจจะมองว่าการทำงานบ้านต่างๆ คือการแสดงความรัก แต่ผู้หญิงอาจจะแค่ต้องการคำบอกรักหรือการโอบกอดมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น ผู้ชายล้างจานให้ เพราะต้องการแสดงความรัก รักมากเลยนะเลยช่วยเธอทำงานบ้าน แต่ผู้หญิงส่วนมากจะมองว่าการล้างจานนั่นคือหน้าที่ ไม่ใช่การแสดงความรัก พอจะเห็นภาพกันขึ้นมาบ้างมั้ย?
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า “ผู้ชายและผู้หญิงมีความรักที่เท่าๆ กัน แต่อาจจะเป็นคนละรูปแบบเท่านั้นเอง” หากเราต้องการให้ความสัมพันธ์ของเราผ่านไปได้ด้วยดี ก็ต้องหาวิธีแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดก็คือการพูดคุยกัน และปรับความเข้าใจกันนั่นเอง สุดท้ายนี้ขอให้ทุกคนที่กำลังอยู่ในปัญหาความสัมพันธ์ผ่านทุกปัญหาไปได้ด้วยดีนะ หรือหากใครที่คิดไม่ออกว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร อาจจะลองถอยออกมาสักนิด ใช้เวลากับมันสักหน่อย อาจจะเจอคำตอบที่ตามหาอยู่ก็ได้นะ
#ความรักชายหญิง #ระบาย #ระบายความรู้สึก #จิตวิทยา #ปรึกษาจิตแพทย์

สรุป 8 ข้อคิดจากพอดแคสต์ “ค่อยๆ ก้าวออกจากหลุมความคิดลบ”ทุกคนเชื่อมั้ยว่าไม่มีใครในโลกใบนี้หรอกที่ไม่เคยคิดลบ ทุกคนต้องม...
20/12/2023

สรุป 8 ข้อคิดจากพอดแคสต์ “ค่อยๆ ก้าวออกจากหลุมความคิดลบ”
ทุกคนเชื่อมั้ยว่าไม่มีใครในโลกใบนี้หรอกที่ไม่เคยคิดลบ ทุกคนต้องมีอย่างน้อยสักครั้งนึงในชีวิตที่เรามองโลกในแง่ลบ หรือบางคนก็อาจจะคิดลบจนติดเป็นนิสัย จนตัวเองใช้ชีวิตได้ลำบากขึ้น ไม่เป็นอันทำอะไรเลยก็มีเหมือนกัน
เพราะเอาเข้าจริงตัวเราเองก็รู้นะ ว่าความคิดเหล่านั้นไม่ส่งผลดีต่อชีวิตของเราเลย แล้วจะทำยังไงดีล่ะ? ในเมื่อมันหยุดคิดไม่ได้ พอว่างก็คิดขึ้นมาอีกแล้ว ดังนั้นวันนี้เลยอยากจะมาแชร์ สรุป 8 ข้อคิดจากพอดแคสต์ “ค่อยๆ ก้าวออกจากหลุมความคิดลบ” เพราะทุกคนสามารถก้าวออกจากความคิดลบได้ด้วยตัวเอง ส่วนจะมีข้อคิดอะไรบ้างนั้น ไปดูกันน
1. ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว

เพราะการยอมรับเป็นอีกสิ่งสำคัญที่ทำให้เราก้าวไปข้างหน้าได้ หากเราไม่สามารถยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วได้ สิ่งนั้นก็จะเป็นเสมือนโซ่ที่ล่ามเราไว้ไม่ให้ก้าวเดินต่อไปได้ ซึ่งการยอมรับอาจจะเป็นเรื่องที่ฟังดูยาก แต่เชื่อเถอะว่าเราคงไม่สามารถกลับไปแก้ไขอดีตได้อีกแล้ว ดังนั้นจงเรียนรู้ไว้เป็นบทเรียนและทำพรุ่งนี้ให้ดีที่สุดเถอะ!
2. ออกค้นหาหรือสร้างความทรงจำใหม่ที่เราจะไม่มีวันลืม

ถึงแม้ว่าเราจะยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าความรู้สึกผิด กลัว หรือหวาดระแวงจะหายออกไปจากชีวิตเราใช่มั้ย? ถ้าเป็นแบบนั้นจะดีกว่ามั้ยถ้าเราลองออกเดินทางค้นหาหรือสร้างความทรงจำใหม่ๆ ที่ดีขึ้นกว่าเดิม เพราะในท้ายที่สุดเมื่อมีสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตมันอาจจะทับถมจนเราลืมเรื่องร้ายๆ ไปเลยก็ได้นะ
3. ความคิดของเรา ส่งผลต่อตัวเราเสมอ

เชื่อในกฎของแรงดึงดูด หากเราคิดลบวนเวียนก็อาจจะทำให้เราเป็นคนที่พูดจาไม่ดีโดยไม่รู้ตัว, ทำงานทำการไม่ได้เพราะเอาแต่คิด และอาจส่งผลให้ไม่มีใครอยากคุยกับเราก็ได้ แต่หากเราเป็นคนคิดในแง่บวก มองโลกในแง่ดี ก็จะพาคนและสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต ดังนั้นจงจำไว้เสมอว่าความคิดของเรานี่แหละ ที่จะเป็นตัวบอกว่าชีวิตเราจะเป็นอย่างไรต่อไป
4. เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว

บนโลกใบนี้ไม่มีใครที่สมควรจะอยู่คนเดียว อย่างเดียวดายไปทั้งชีวิตหรอกนะ มันอาจจะมีบ้างบางเวลาที่เรารู้สึกไม่มีใคร แต่เชื่อเถอะว่าสุดท้ายแล้วชีวิตของเรายังมีความหวังอยู่เสมอ หากลองมองไปรอบๆ เราอาจจะพบว่ามีคนที่พร้อมจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเรา พาเราไปสู่บทใหม่ของชีวิตก็ได้นะ
5. การกระทำง่ายๆ ก็สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้

พูดแบบนี้แล้วอาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่มันเป็นเรื่องจริงนะ ลองนึกภาพตามว่าสมมติเราคิดลบขึ้นมา นั่งโทษตัวเอง แต่คิดไปก็ไม่ได้อะไร ไปกินขนมดีกว่า ดูซีรีส์ดีกว่า จนบางทีเราก็อาจจะลืมความคิดในตอนแรกไปเลยก็ได้ และการกระทำง่ายๆ เหล่านี้นี่แหละ จะพาเราไปสู่การก้าวออกจากวังวนความคิดลบในท้ายที่สุด
6. ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป

อะไรที่เร่งรีบไม่ได้ดีเสมอไป เฉกเช่นเดียวกับความคิด มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกที่เราจะเลิกคิดลบได้ภายในชั่วข้ามคืน ดังนั้นอย่ากดดันตัวเองมากจนไปเกิน ค่อยเป็นค่อยไป อย่ากดดันตัวเอง ไม่ช้าก็เร็ว จงเชื่อมั่นว่าเราจะก้าวออกจากวังวนความคิดเหล่านี้ได้แน่นอน
7. คนเรามักมีสถานที่แห่งหนึ่งที่เป็นของเราเอง

หากเราไม่สามารถหยุดคิดได้ ลองเอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่เป็นเซฟโซนของเรา ปล่อยความรู้สึกออกมา ระบายทุกอย่าง บางทีมันอาจจะรู้สึกดีขึ้นบ้างก็ได้ หรือไม่ก็ลองหันไปทำอะไรที่เราถนัด สิ่งที่เราทำแล้วรู้สึกมีความสุข เพราะเชื่อเถอะว่าการฝืนตัวเองอยู่ในที่ที่ไม่ใช่ หรือทำในสิ่งที่ไม่ชอบ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของความคิดลบเหล่านี้นะ
8. ก้าวออกจากความคิดที่กักขังเราไว้

สุดท้ายนี้คือการมูฟออน เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราเริ่มจะก้าวออกไปจากวังวนความคิดลบแห่งนี้ได้ มันจะมีความคิดนึงแวบขึ้นมาคือ เราจะหยุดคิดได้จริงๆ เหรอ? และบ่อยครั้งมันจะพาเรากลับไปสู่วังวนที่ไม่มีวันสิ้นสุด ดังนั้นมูฟออนให้ได้! ก้าวไปสู่อิสระและเส้นทางที่รอเราอยู่ด้วยกันเถอะ!
เป็นยังไงกันบ้างกับสรุป 8 ข้อคิดจากพอดแคสต์ที่โคตรดีจากเรื่อง “ค่อยๆ ก้าวออกจากหลุมความคิดลบ” หลังจากที่ทุกคนได้อ่านกันไป แอบนึกถึงตัวเองหรือคนรอบข้างกันบ้างมั้ยนะ? สำหรับใครที่อยากก้าวออกจากความคิดเหล่านี้แต่ก็ยังไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง หรืออยากปรึกษาใครสักคนแต่ไม่กล้าเลย เพราะอยากได้ใครสักคนรับฟังอย่างไม่ตัดสิน ทุกคนสามารถมาปรึกษากับพี่ๆ นักจิตวิทยาของทาง Safe Space Thailand ได้เสมอนะ เพราะสุขภาพจิตของเราสำคัญมากกว่าที่คิด สุดท้ายนี้ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนก้าวออกจากความคิดเหล่านี้ได้ และมาใช้ชีวิตที่สดใสด้วยกันนะ
📌https://youtu.be/imXYv2zLyQc?si=OLJaVBMyqHo2AJvw
#พอดแคสต์ #จิตวิทยา #ปรึกษาจิตแพทย์ #ให้กำลังใจ

📌Sunday Scaries Monday Blues #รู้ตัวอีกทีก็วันจันทร์แล้วไม่อยากไปทำงานเลยมีใครเคยเป็นเหมือนกันบ้างมั้ยนะ? ในขณะที่เรากำล...
18/12/2023

📌Sunday Scaries Monday Blues
#รู้ตัวอีกทีก็วันจันทร์แล้วไม่อยากไปทำงานเลย
มีใครเคยเป็นเหมือนกันบ้างมั้ยนะ? ในขณะที่เรากำลังใช้ชีวิตวันหยุดอย่างสนุกสนาน แต่สายตาก็ดันเหลือบไปเห็นปฎิธิน รู้ตัวอีกทีพรุ่งนี้ก็วันจันทร์ซะแล้ว! ยังไม่ทันจะได้พักอย่างเต็มที่เลยต้องกลับไปทำงานอีกแล้วเหรอเนี่ย จนทำให้เรารู้สึกเซ็ง หรือบางทีแค่คิดก็เหนื่อยแล้วอะ อยากให้หยุดอีกแล้ว ไม่อยากให้ถึงพรุ่งนี้เลยยย
ทุกคนรู้มั้ยว่าจริงๆแล้วความรู้สึกนี้มีชื่อเรียกของมันด้วยนะ โดยอาการนี้มีชื่อว่า Sunday Scaries (อาการกลัววันอาทิตย์) หรือที่ทุกคนอาจเคยได้ยินอีกชื่อหนึ่งว่า Monday Blues (อาการเกลียดวันจันทร์) นั่นเอง ซึ่งอาการนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะคนที่กำลังอยู่ในวัยเรียน, วัยทำงาน หรือคนที่ต้องทำงานเป็น Rountine อยู่เป็นประจำ ในบางคนอาจจะเกิดความกังวลสูงจนส่งกระทบทางร่างกายได้ด้วยไม่ว่าจะเป็น อาการปวดตึงกล้ามเนื้อ นอนหลับยาก สะดุ้งตื่นตลอดคืน รู้สึกเหนื่อยล้าโดยไม่มีสาเหตุ อาหารไม่ย่อย หัวใจเต้นเร็ว หรือหายใจลำบาก เป็นต้น
โดยสาเหตุของอาการนี้สามารถเป็นได้หลายสาเหตุตั้งแต่ตารางงาน หรือปริมาณงานที่มากเกินไป ช่วงวัยที่ต้องปรับตัวจากการพักผ่อนไปสู่การทำงาน หรืองานยุ่งมากๆ จนไม่สามารถ Balance ระหว่างชีวิตส่วนตัว และการทำงานได้นั่นเอง แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะ? เพื่อป้องกันความรู้สึกและอาการเหล่านี้ วันนี้เลยอยากจะมาแชร์ 5 วิธีรับมือกับอาการกลัววันอาทิตย์ เกลียดวันจันทร์ ได้ง่ายๆ ดังนี้
1. ทำ To-do list ไว้ตั้งแต่วันศุกร์

ก่อนที่เราจะเลิกงานในวันศุกร์ ลองลิสต์งานที่ต้องทำในวันจันทร์ล่วงหน้าเอาไว้เลย โดยวิธีนี้จะช่วยให้เราเห็นภาพในการทำงานมากขึ้น และช่วยลดความกังวลในวันหยุดนั่นเอง
2. ใช้เวลาวันหยุดสุดสัปดาห์ให้คุ้มค่า

ในวันหยุดก็โยนงานทิ้งไปให้หมด พยายามนึกถึงงานให้น้อยลง อาจจะลองออกไปเดินเล่น, เที่ยวกับกลุ่มเพื่อน หรือทานอาหารเย็นกับคนที่เรารัก ลองใช้มือถือให้น้อยลง สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เรามีความสุขกับการพักผ่อนมากขึ้น ช่วงแรกๆ ที่ทำอาจจะปรับตัวยากนิดนึง แต่ทุกคนสามารถทำได้อย่างแน่นอน!
3. ลองพยายามทำสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่เราทำงานอยู่ทุกวัน

บางครั้งเราก็อาจจะทำงานในรูปแบบเดิมๆ ทุกวัน นั่งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมไม่ได้ออกไปไหน ทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ในวันหยุดเราก็อาจจะออกไปข้างนอกเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ พยายามอย่าอุดอู้อยู่กับสถานที่ทำงาน หรือใครที่ต้องออกไปทำงานข้างนอกตลอดเวลา จะลองอยู่บ้านในวันหยุดบ้างก็ได้เหมือนกันนะ เชื่อเถอะว่าวิธีนี้จะช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูแบบเห็นได้ชัดเลย
4. พยายามรักษาตารางการนอนให้สมดุล

หลายครั้งที่เราพยายามจะใช้เวลาในวันหยุดให้คุ้มค่า ไม่ว่าจะใช้ไปกับการนอนดูหนัง ดูซีรีส์ที่ดองเอาไว้ บ้างก็ไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ หรือบ้างก็เล่นเกมจนโต้รุ่ง แต่เชื่อเถอะว่าสุดท้ายแล้วการพักผ่อนที่ดีที่สุดต่อร่างกายก็คือการนอน ดังนั้นพยายามนอนให้ตรงเวลาและเต็มที่ โดยการนอนจะช่วยให้ร่างกายเราได้รับการเติมพลัง พร้อมที่จะไปลุยกับวันจันทร์นั่นเอง!
5. ให้รางวัลกับตัวเองในวันจันทร์

การให้รางวัลกับตัวเองก็เป็นอีกหนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้เรารู้สึกดีมากขึ้น อาจจะลองแวะซื้อเครื่องดื่มแก้วโปรดก่อนไปทำงาน กินอาหารอร่อยๆ หรืออาจจะหาอะไรสนุกๆ ทำในวันจันทร์ เป็นการเติมพลังให้กับตัวเองไปตลอดทั้งอาทิตย์!
แต่หากใครที่ลองวิธีข้างต้นแล้วยังไม่รู้สึกดีขึ้น ก็เป็นได้ว่าเราอาจจะมีความเครียดสะสมทั้งจากเรื่องงานและชีวิตส่วนตัว ดังนั้นการปรึกษาพูดคุยกับคนรอบข้างเกี่ยวกับความรู้สึกที่กำลังเผชิญอยู่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญเหมือนกัน ลองทักเพื่อนที่ไว้ใจหรือคนสนิทไปปรึกษาบ้างก็เป็นไอเดียที่ดีนะ แต่ถ้าอยากได้ใครสักคนรับฟังอย่างไม่ตัดสิน สามารถมาปรึกษากับพี่ๆ นักจิตวิทยาของทาง Safe Space Thailand ได้เสมอนะ สุดท้ายนี้แม้ว่าวันจันทร์อาจจะทุลักทุเลไปบ้าง แต่เราจะผ่านไปได้อย่างแน่นอน!
📌ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ จาก
Babylonhealth : https://www.babylonhealth.com/en-us/blog/health/beating-the-monday-blues
MI Blues Perspectives : https://www.mibluesperspectives.com/stories/mental-health/sunday-scaries-meaning
UAB News : https://www.uab.edu/news/youcanuse/item/13730-monday-blues-and-sunday-scaries-overcoming-the-weekend-to-weekday-transition
#จิตวิทยา #วันจันทร์ #จิตแพทย์

ที่อยู่

Bangkok
10101

เบอร์โทรศัพท์

+66875502926

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Safe Spaceผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์