ฟาร์มาชอพ PharmaShop

ฟาร์มาชอพ PharmaShop ให้คำปรึกษาด้านยา และสุขภาพ โดยเภสัชกร

สปสช. กำหนดจำนวนเข้ารับบริการเจ็บป่วยเล็กน้อยที่ร้านยา คลินิกพยาบาล คลินิกเวชกรรม หาหมอออนไลน์ผ่านแอปและตู้ห่วงใย เป็น 2...
24/08/2025

สปสช. กำหนดจำนวนเข้ารับบริการเจ็บป่วยเล็กน้อยที่ร้านยา คลินิกพยาบาล คลินิกเวชกรรม หาหมอออนไลน์ผ่านแอปและตู้ห่วงใย เป็น 2 ครั้งต่อเดือน เริ่ม 1 ก.ย. 2568 นี้ แจงเพื่อให้บริการเป็นไปตามคุณภาพมาตรฐาน มีระยะเวลาเหมาะสมชัดเจน และไม่ใช้เกินความจำเป็น ย้ำเป็นบริการทางเลือกเพิ่มความสะดวกให้ประชาชน หากเกินจากนี้หรือรักษาแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรไปรักษาได้ที่สถานพยาบาลประจำตัวหรือหน่วยบริการปฐมภูมิในเครือข่ายที่ลงทะเบียนเลือกไว้ได้ไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่จำกัดจำนวนครั้ง
------------------------------
ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ สปสช. ได้เพิ่มทางเลือกให้กับประชาชนสิทธิบัตรทอง นอกจากไปรับบริการสถานพยาบาลประจำตัวที่ได้ลงทะเบียนเลือกไว้แล้ว ยังมีทางเลือกใหม่สามารถใช้สิทธิ 30 บาทรักษาทุกที่ เข้ารับบริการที่หน่วยบริการนวัตกรรม ได้แก่ ร้านยาและคลินิกเอกชนนั้น สปสช. ได้กำหนดจำนวนการให้บริการดูแลรักษาโรคทั่วไปหรืออาการเจ็บป่วยเล็กน้อย (Common illness) สำหรับบริการปฐมภูมิ ในหน่วยบริการนวัตกรรม 4 ประเภท คือ 1.ร้านยาคุณภาพ 2.คลินิกเวชกรรม 3.คลินิกพยาบาล และ 4. บริการการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ทั้งการรับบริการผ่านแอปพลิเคชันและที่ตู้ห่วงใย เป็น 2 ครั้งต่อเดือนรวมทุกหน่วยบริการ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2568 เป็นต้นไป

“ยกตัวอย่างเช่น ผู้มีสิทธิบัตรทองมีอาการเจ็บป่วยและเข้ารับบริการที่ร้านยาคุณภาพในครั้งที่ 1 และต่อมาได้เข้ารับบริการที่คลินิกเวชกรรมเป็นครั้งที่ 2 จะถือว่าได้ใช้สิทธิในเดือนนั้นหมดแล้ว ดังนั้น หากอาการเจ็บป่วยยังไม่หายดี หากต้องการเข้ารับบริการอีกครั้ง ต้องไปรับบริการในสถานพยาบาลประจำตัวที่ได้ลงทะเบียนไว้” ทพ.อรรถพร กล่าว
------------------------------
อ่านเพิ่มเติมได้ที่คอมเมนต์
------------------------------
#ข่าวสุขภาพ #ข่าวสาธารณสุข

22/08/2025

การใช้ยาในการรักษา “รองช้ำ” (Plantar fasciitis)

ทำไมจึงยังจำเป็นต้องใช้ยา ทั้งที่รองช้ำมักหายได้เอง ?
รองช้ำ (Plantar fasciitis) เป็นภาวะปวดส้นเท้าที่เกิดจากการใช้งานพังผืดใต้ฝ่าเท้าอย่างต่อเนื่องหรือมากเกินไป (overuse injury) โดยทั่วไปอาการสามารถดีขึ้นเองได้ หากมีการปรับพฤติกรรมและทำการยืดเหยียด (stretching) และเสริมความแข็งแรง (strengthening) ของกล้ามเนื้ออย่างเหมาะสม
แม้อาการจะมีแนวโน้มดีขึ้นเอง แต่การใช้ยาในระยะที่ปวดมากยังมีความจำเป็นในฐานะเครื่องมือช่วย "พยุงอาการ" เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเดิน ยืดเหยียด และเข้าสู่โปรแกรมกายภาพบำบัดได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
แนวทางเวชปฏิบัติปี 2023 แนะนำให้การรักษาหลักเน้นไปที่การทำกายภาพบำบัด การใช้ taping หรืออุปกรณ์รองรับเท้า (orthoses) ที่เหมาะสม การใช้อุปกรณ์ดามเท้าในเวลากลางคืน (night splint) รวมถึงโปรแกรมการยืดเฉพาะพังผืดฝ่าเท้าเป็นสำคัญ

# ยาที่ใช้บ่อยและแนวทางการใช้งาน
1) ยาทากลุ่ม NSAIDs (Topical NSAIDs): ตัวเลือกแรกที่อ่อนโยนต่อระบบร่างกาย
ยาทาในกลุ่ม NSAIDs เช่น diclofenac, ketoprofen และ ibuprofen เป็นทางเลือกเบื้องต้นในการบรรเทาอาการปวดเฉพาะที่ โดยมีข้อได้เปรียบคือการดูดซึมสู่กระแสเลือดน้อยกว่ายารับประทาน จึงลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงต่อกระเพาะอาหารและไต เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดระดับน้อยถึงปานกลาง หรือผู้ที่มีข้อจำกัดในการใช้ยารับประทาน
งานวิจัยเชิงสรุปพบว่า topical NSAIDs มีประสิทธิภาพในการลดอาการปวดของระบบกล้ามเนื้อและกระดูก และมีความปลอดภัยสูง โดยเฉพาะด้านผลข้างเคียงทางเดินอาหารที่พบได้น้อย

แนวทางการใช้
ให้ทายาในปริมาณพอเหมาะบริเวณที่มีอาการปวด วันละหลายครั้งตามคำแนะนำบนฉลาก หลีกเลี่ยงการทาบนผิวหนังที่มีแผลหรือแตก หากมีอาการระคายเคือง เช่น ผื่นแดงหรือคัน ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร

2) ยาแก้ปวดชนิดรับประทาน
2.1 พาราเซตามอล (Acetaminophen)
พาราเซตามอลมักเป็นยาที่แพทย์แนะนำเป็นอันดับแรกในการบรรเทาอาการปวดจากรองช้ำ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ยังสามารถทำกายบริหารร่วมด้วยได้ ยานี้เหมาะสำหรับการใช้เป็นครั้งคราวเมื่อมีอาการปวด ทั้งนี้ แนวทางสำหรับผู้ป่วยของ American College of Obstetricians and Gynecologists (ACOG) ระบุว่าสามารถใช้พาราเซตามอลได้ในหญิงตั้งครรภ์ หากใช้ในขนาดและระยะเวลาที่เหมาะสม

2.2 ยากลุ่ม NSAIDs (เช่น ibuprofen, naproxen, diclofenac)
ยาในกลุ่ม NSAIDs มีฤทธิ์ลดอาการปวดและการอักเสบ เหมาะสำหรับการใช้ในช่วงระยะเวลาสั้น อย่างไรก็ตาม หลักฐานจากการศึกษาประเภทสุ่มมีกลุ่มควบคุม (RCT) ที่ศึกษาโดยตรงในผู้ป่วยรองช้ำยังมีจำกัด และผลลัพธ์มักแสดงว่า อาการดีขึ้นเพียงเล็กน้อยหรือไม่แตกต่างจากกลุ่มยาหลอก เมื่อประเมินในระยะติดตามหลายสัปดาห์ ดังนั้นจึงควรพิจารณาใช้เฉพาะเมื่อจำเป็นจริง ๆ และในระยะสั้น โดยต้องระมัดระวังผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร ไต และความดันโลหิต โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว

# การใช้ยาอย่างไรให้ “คุ้มค่าและปลอดภัย”
การใช้ยารักษาอาการรองช้ำควรมองว่าเป็น “ตัวช่วยชั่วคราว” ที่มีเป้าหมายเพื่อบรรเทาอาการปวดในระยะเฉียบพลัน ให้ผู้ป่วยสามารถเข้าสู่กระบวนการรักษาหลัก ได้แก่ การยืดเหยียดและเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (stretching/strengthening) และการปรับลดกิจกรรมที่เพิ่มแรงกระแทกต่อส้นเท้า เช่น การวิ่งลงส้น หรือการยืนนาน ๆ
ในกรณีที่มีอาการปวดระดับน้อยถึงปานกลาง ควรเริ่มจากยา acetaminophen หรือ ยาแก้ปวดชนิดทาในกลุ่ม NSAIDs ก่อน หากอาการปวดยังรุนแรงจึงพิจารณาใช้ยา NSAIDs ชนิดรับประทาน ในระยะสั้น โดยอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร
หากอาการไม่ดีขึ้นหลังการดูแลตนเองต่อเนื่อง 6–12 สัปดาห์ หรือเริ่มรบกวนชีวิตประจำวันมาก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาทางเลือกอื่น เช่น การฉีดยาเฉพาะที่ โดยต้องชั่งน้ำหนักระหว่าง ประโยชน์ในระยะสั้น กับ ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว อย่างรอบคอบ

ข้อควรระวังสำคัญ
ทุกครั้งที่ใช้ยา ควรอ่านฉลากอย่างละเอียด ใช้ในขนาดและระยะเวลาที่เหมาะสม และแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับโรคประจำตัวหรือยาที่ใช้อยู่กับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง เพื่อป้องกันอันตรายหรือปฏิกิริยาระหว่างยา

21/08/2025
ประกาศจาก สปสช.@@(30 บาทรักษาทุกโรค)” ผู้ป่วย1 คน สามารถใช้สิทธิ์จากร้านยาหรือคลีนิกแพทย์ พยาบาล เทเลเมดรอบเวลา 1 เดือน ...
20/08/2025

ประกาศจาก สปสช.@@(30 บาทรักษาทุกโรค)

” ผู้ป่วย1 คน สามารถใช้สิทธิ์จากร้านยาหรือ
คลีนิกแพทย์ พยาบาล เทเลเมด
รอบเวลา 1 เดือน ใช้บริการได้เพียง 2 ครั้ง เท่านั้น‘
เริ่ม 1 กย 68 นี้

จากการประชุมวันที่ 19 สิงหาคม 2568

Update ค่าบริการเภสัชกรรมด้านเภสัชกรรมปฐมภูมิ (Common illness) ปี 2569
โดยสรุปงานที่เกี่ยวข้องกับร้านยาที่ให้บริการ CI
1. ผู้รับบริการรวมกัน ไม่เกิน 2 ครั้ง ต่อคนต่อเดือน รวมกันในทุกหน่วยบริการ (ร้านยา เวชกรรม พยาบาล telemed) โดยกำหนดเงื่อนไขการ ปิดสิทธิ์ก่อนได้เบิกก่อน และหากผู้ขอเข้ารับบริการรับบริการเกินเป็นครั้งที่ 3 สามารถแจ้งเพื่อเก็บเงินเพิ่มได้ โดยผู้ป่วยต้องยินยอมพร้อมมีเอกสารยืนยันในการชำระเงินเอง
2.สำหรับกรณีรายการลำดับ 31 อาการเจ็บป่วยจากการสูบบุหรี่ ไม่นับรวมในบริการ 2 ครั้งต่อคนต่อเดือน เนื่องจากเป็นการให้บริการต่อเนื่อง จำนวม 8 ครั้งต่อคอร์สใน ระยะเวลา 6 เดือน

ประกาศนี้จะเริ่มประกาศใช้ 1 กันยายน 2568

สามารถโหลดเอกสารได้ที่ https://drive.google.com/drive/folders/1pWHo3AGRfIOWFk40fc8khlTD8-acj9Zy?usp=drive_link

#สภาเภสัชกรรม
#โครงการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย

20/08/2025
ยาคุมฉุกเฉิน ไม่ควรกินบ่อย หรือกินเป็นประจำ
20/08/2025

ยาคุมฉุกเฉิน ไม่ควรกินบ่อย หรือกินเป็นประจำ

“ยาคุมฉุกเฉิน” กินบ่อยไม่ใช่เรื่องดี
นี่คือความจริงที่ผู้หญิงควรรู้ 👩‼
การคุมกำเนิดจะมีมากมาย แต่การ “กินยาคุม” ก็เป็นวิธีที่หลายคนเลือกใช้ เพราะหาซื้อได้ง่ายและราคาไม่แพง แต่นอกจากยาคุมแบบแผงแล้ว ยังมี “ยาคุมฉุกเฉิน” ที่ให้ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ แต่สิ่งที่หลายคนไม่เคยรู้ ก็คือ… การกินยาคุมฉุกเฉินบ่อยๆและต่อเนื่องเป็นเวลานานนั้นอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงเชิงลบได้โดยที่คุณไม่รู้ตัว !!!
💊 กินยาคุมฉุกเฉินอย่างไร?
ตามหลักของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข คือ
1️⃣ กินเม็ดแรก ภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ และกินเม็ดที่สองเมื่อครบ 12 ชั่วโมง หลังจากกินยาเม็ดแรก
หรือ 2️⃣ กินพร้อมกัน 2 เม็ด ภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์
⚠️กินเฉพาะในกรณีฉุกเฉิน เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ใช่กินเพื่อคุมกำเนิดระยะยาว ไม่กินเกิน 2 กล่อง/เดือน
มีเลือดออกหลังกินยาคุมฉุกเฉิน…อันตรายหรือเปล่า?
แน่นอนว่าการที่ฮอร์โมนถูกกระตุ้นแบบฉับพลันย่อมส่งผลข้างเคียง โดยหลังการกินยาคุมฉุกเฉินมักจะพบว่า 🩸 มีอาการปวดศีรษะ ปวดท้อง มีเลือดออกกะปริบกะปรอย ประจำเดือนมาเร็วหรือช้ากว่าปกติ ซึ่งนับว่าเป็นอาการปกติ ไม่อันตราย แต่หากอาการเหล่านี้เกิดขึ้นต่อเนื่องหลายวันหรือเกินสัปดาห์ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยจะดีกว่า
กินยาคุมฉุกเฉินหลังมีเพศสัมพันธ์ ทำให้ “ไม่ท้อง” ได้จริงหรือ?
👩‍❤️‍💋‍👨 หลายคนมักเข้าใจแบบเหมารวมว่า “ยาคุมฉุกเฉิน” จะทำให้ไม่ท้องเหมือนกับยาคุมแบบปกติ แต่จริงๆ แล้ว ยาคุมฉุกเฉินมีหน้าที่รบกวนกระบวนการตกไข่และการเคลื่อนไหวของอสุจิ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเยื่อบุโพรงมดลูก เพื่อให้การฝังตัวของไข่ทำได้ยาก หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ ยาคุมฉุกเฉินมีส่วนช่วย “ลดโอกาส” ในการตั้งครรภ์ลงจากเดิมเท่านั้น!!!
อีกหนึ่งความเชื่อที่ผิด!! กินยาคุมฉุกเฉิน ไม่ได้ช่วยให้แท้ง
❌ นอกจากจะเข้าใจกันว่าการกินยาคุมฉุกเฉินจะทำให้ไม่ท้องแล้ว หลายๆ คนยังเข้าใจว่า “สามารถทำให้เกิดการแท้ง” ได้อีกด้วย ซึ่งอย่างที่บอกไปว่ายาคุมฉุกเฉินเป็นตัวช่วยลดประสิทธิภาพในการทำงานของไข่และอสุจิ ดังนั้น หากไข่ที่ผสมอสุจิได้ทำการฝังตัวที่เยื่อบุโพรงมดลูกแล้ว หรือเกิดการตั้งครรภ์แล้ว การกินยาคุมฉุกเฉินก็เท่ากับสูญเปล่า
รู้หรือไม่? กินยาคุมฉุกเฉินบ่อย ๆ กินติดต่อกันมานาน ยิ่งเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์!!
😟 ยาคุมฉุกเฉินไม่ได้มีไว้เพื่อการคุมกำเนิดระยะยาว และเมื่อกินบ่อยครั้งหรือกินติดต่อกันนานๆ ยังส่งผลให้ยาคุมฉุกเฉินมีประสิทธิภาพลดลง หรือทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้สูงขึ้น รวมถึงปริมาณฮอร์โมนเพศหญิงในยาคุมฉุกเฉินที่สูงกว่ายาคุมกำเนิดแบบปกติถึง 2 เท่า ยังอาจก่อให้เกิดอันตรายต่างๆ ได้ เช่น เพิ่มโอกาสเสี่ยงมะเร็งปากมดลูกหรือมะเร็งเต้านม เป็นต้น
เพราะ “ยาคุมฉุกเฉิน” ถูกผลิตขึ้นเพื่อช่วยลดโอกาสในการตั้งครรภ์ กรณีที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ตั้งใจ, การถูกข่มขืน หรือเกิดการฉีกขาดของถุงยางอนามัย ดังนั้น หากคู่สามีภรรยา หรือ คู่รักคู่ไหนต้องการคุมกำเนิดแบบระยะยาว ควรปรึกษาแพทย์/ เภสัชกร เพื่อเลือกวิธีคุมกำเนิดที่เหมาะสมและปลอดภัยจะดีกว่า 👩‍❤️‍💋‍👨
เรียบเรียงโดย : สุขภาพดีไม่มีในขวด
ขอบคุณข้อมูลจาก : https://bit.ly/34bYENO

น้ำยาล้างแผล / อย่าใส่แผล เลือกอย่างไรดี??
19/08/2025

น้ำยาล้างแผล / อย่าใส่แผล เลือกอย่างไรดี??

น้ำยาล้างแผล/ ยาใส่แผล...เลือกอย่างไรดี❓
ยาล้างแผลและยาที่ใช้ใส่แผลในท้องตลาด ปัจจุบันมีจำหน่ายหลายชนิด ทั้ง ยาเหลือง ยาแดง ทิงเจอร์ แอลกอฮอล์ น้ำเกลือ เป็นต้น การเลือกใช้ยาแต่และชนิดต้องคำนึงถึงลักษณะบาดแผลเป็นหลัก โดยทั่วไปการแบ่งประเภทบาดแผลมีหลายวิธี เช่น
- แบ่งตามความสะอาดของแผล แบ่งได้เป็น
1. แผลสะอาด หมายถึงแผลที่ไม่มีการติดเชื้อ เช่น แผลมีดบาด แผลผ่าตัด มีโอกาสติดเชื้อต่ำ
2. แผลสกปรก หมายถึง แผลเปิดที่มีการมีอาการปวด บวม แดง อาจมีเลือดหรือน้ำเหลืองออกมาบริเวณปากแผล มีโอกาสติดเชื้อสูง รวมถึงบาดทะยัก
- แบ่งประเภทตามระยะเวลาการเกิดแผล แบ่งได้เป็น
1. แผลสด เป็นแผลที่เกิดขึ้นใหม่ๆ เช่น มีดบาด
2. แผลเรื้อรัง เป็นแผลที่มีการติดเชื้อ มีการทำลายของเนื้อเยื่อเกิดเป็นเนื้อตาย เป็นหนอง เช่น แผลกดทับ แผลจากการฉายรังสี เป็นต้น
⚠️ หากมีการบาดเจ็บรุนแรงเลือดออกหรือแผลสกปรกปนเปื้อนมาก ควรพบแพทย์ก่อนเพื่อห้ามเลือดและทำความสะอาดแผลหรือฉีดยาป้องกันบาดทะยัก การดูแลบาดแผลจะมีการใช้น้ำยาทำความสะอาดแผลและยาใส่แผลหลายชนิดแตกต่างกันไปตามแต่ประเภทของบาดแผล ดังนี้
🌟 น้ำยาล้างแผล ใช้สำหรับทำความสะอาดแผลเบื้องต้นเพื่อชะล้างเชื้อโรคและสิ่งสกปรกให้หลุดออกไป และช่วยให้แผลอ่อนตัวลงสามารถซึมซับยาใส่แผลได้ดีขึ้น น้ำยาที่ใช้ได้แก่

1. น้ำเกลือความเข้มข้น 0.9% นิยมใช้ล้างแผลมากที่สุด ไม่ระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อ ไม่ทำให้รู้สึกปวดแสบปวดร้อน ช่วยให้เนื้อเยื่อที่ตายแล้วเกิดความชุ่มชื้นหลุดออกได้ง่าย

2. ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ความเข้มข้น 3% ใช้สำหรับชะล้างแผลสกปรก มีหนองมากหรือมีเนื้อตาย เมื่อน้ำยาสัมผัสกับแผลจะปล่อยออกซิเจนออกมาเป็นฟองฟู่และมีความร้อน ช่วยชะล้างเนื้อตายที่บาดแผลได้
🌟 น้ำยาเช็ดรอบแผล ใช้สำหรับเช็ดทำความสะอาดผิวหนังบริเวณรอบๆ แผล เพื่อลดจำนวนเชื้อโรค ❌แต่จะไม่เช็ดไปที่แผลโดยตรงเนื่องจากทำให้แสบ ระคายเคือง และแผลหายช้า ได้แก่ แอลกอฮอล์ 70% ในท้องตลาดจะมี 2 ชนิดคือ
- เอธิลแอลกอฮอล์ 70% (Ethyl alcohol)
- ไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์ 70% (Isopropyl alcohol)
ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อไม่ต่างกัน
🌟 ยาใส่แผล มีหลายชนิด ใช้หลังจากที่ทำความสะอาดบาดแผลเสร็จแล้ว โดยทั่วไปควรเลือกให้เมาะสมกับประเภทของบาดแผล ได้แก่

1. ทิงเจอร์ไอโอดีน ความเข้มข้น 2.5% ใส่แผลสดหรือแผลถลอก นิยมเช็ดรอบๆ แผล ฆ่าเชื้อโรคได้หลายชนิด
⚠️ แต่มีข้อเสียคือเมื่อทาที่ผิวหนังแล้วตัวทำละลายจะระเหยไปอย่างรวดเร็ว ตัวยามีความเข้มข้นสูง ทำให้ผิวหนังเกิดไหม้พองได้ ดังนั้น หลังจากใช้น้ำยา 1 นาที ให้เช็ดตามด้วยแอลกอฮอล์ 70%
❌ไม่นิยมใช้กับแผลบริเวณเนื้อเยื่ออ่อนๆ

2. โพวิโดน-ไอโอดีน ความเข้มข้น 10% นิยมใช้ค่อนข้างมาก ใช้เช็ดแผลสด แผลไฟไหม้ แผลถลอก มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคได้ดี ไม่ระคายเคืองต่อผิวหนัง แสบน้อยกว่าทิงเจอร์ไอโอดีน

3. ทิงเจอร์ไทเมอรอซอล ความเข้มข้น 0.1% (Thimerosal 0.1% w/v) ใช้ใส่แผลสด หรือแผลถลอก ไม่ใช้กับผิวอ่อน และเด็กอ่อน

4. ยาเหลือง (acriflavin) ใช้กับแผลเรื้อรัง แผลเปื่อย กดทับ ไม่นิยมใช้กับแผลสด

5. ยาแดง (mercurochrome) เหมาะกับแผลถลอกเล็กน้อย
⚠️ แต่ถ้าเป็นบาดแผลที่ค่อนข้างลึก ยาจะทำให้แผลด้านบนแห้งแต่ด้านล่างยังคงแฉะอยู่ แผลจะหายช้า
⚠️ และเนื่องจากยามีส่วนผสมของสารปรอทหากใช้บ่อยๆ อาจทำให้เกิดพิษจากสารปรอทได้ ปัจจุบันนี้จึงไม่นิยมมากนัก
สำหรับบาดแผลสดที่ไม่ลึกหรือกว้างมาก หากทำความสะอาดแผลอย่างถูกวิธีและปิดผ้าก๊อซเพื่อป้องกันเชื้อโรคจากภายนอกแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อโรคใดๆ เนื่องจากแผลจะค่อยๆ สมานตัวและหายได้เอง แต่หากต้องการใช้ยาควรเลือกชนิดที่ระคายเคืองต่อผิวน้อยที่สุด
กรณีแผลถูกไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวกที่ผิวหนังชั้นนอกไม่รุนแรงมาก แผลมีขนาดเล็ก ให้ล้างแผลด้วยน้ำเย็นหรือใช้ผ้าห่อน้ำแข็งประคบบาดแผล เพื่อบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนและป้องกันไม่ให้ความร้อนทำลายเนื้อเยื่อมากขึ้น
❌ไม่ควรใช้ยาสีฟัน น้ำปลา หรือยาหม่อง ทาแผล เพราะไม่ได้ช่วยบรรเทาความร้อนที่บาดแผลและอาจทำให้เนื้อเยื่อถูกทำลายมากขึ้นด้วย
อาจใช้ยาทาเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน เช่น เจลว่านหางจระเข้ น้ำมันมะกอก หรือขี้ผึ้งวาสลีน ถ้ามีตุ่มน้ำพองเล็กๆ ❌ไม่ควรเจาะออกแต่ให้ทายาฆ่าเชื้อ เช่น โพวิโดนไอโอดีนแล้วปิดด้วยผ้าก๊อซ ตุ่มจะแห้งเองใน 3-7 วัน แล้วหลุดลอกออกมา
หากแผลไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวกมีความรุนแรงมากหรือกินบริเวณกว้างจะมีอันตรายกว่าบาดแผลขนาดเล็ก เสี่ยงต่อการสูญเสียน้ำของร่างกายและติดเชื้อได้ง่ายควรรีบไปพบแพทย์เพื่อการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัยต่อไป
นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้วยังมียาใส่แผลชนิดอื่นอีกหลายรูปแบบ เช่น ยาครีม ยาขี้ผึ้ง หรือเจลทาแผล ใช้แตกต่างกันตามบริเวณที่เกิดแผลและชนิดและความรุนแรงของแผล แต่เนื่องจากยาเหล่านี้มีส่วนผสมของตัวยาปฏิชีวนะหลากหลายชนิด ซึ่งถือเป็นยาอันตราย การเลือกใช้ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกร

อาการตกขาวจากสาเหตุต่างๆ
17/08/2025

อาการตกขาวจากสาเหตุต่างๆ

ตกขาว–กลิ่นคาวช่องคลอด : เมื่อไหร่ควรใช้ metronidazole (และเมื่อไหร่ไม่ควร)

ทำความเข้าใจ ตกขาว–กลิ่นคาวช่องคลอด และสาเหตุที่พบบ่อย

1. ภาวะช่องคลอดอักเสบจากแบคทีเรีย (Bacterial Vaginosis – BV)
เกิดจากการเสียสมดุลของแบคทีเรียประจำถิ่นในช่องคลอด ทำให้มีตกขาวลักษณะใสหรือสีเทา บาง มีกลิ่นคาวคล้ายกลิ่นปลา โดยเฉพาะหลังมีเพศสัมพันธ์
2. พยาธิในช่องคลอด (Trichomoniasis)
เป็นการติดเชื้อปรสิตที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ลักษณะตกขาวจะเป็นสีเขียวหรือเหลือง มีฟอง ร่วมกับอาการ คันหรือแสบร้อนบริเวณช่องคลอด และควรรักษาคู่นอนไปพร้อมกัน
3. เชื้อราในช่องคลอด (Vulvovaginal Candidiasis)
มีอาการ คันมาก ตกขาวลักษณะ ขาวข้น คล้ายคราบนมเปรี้ยว ไม่มีกลิ่นคาวเด่น โดยทั่วไปภาวะนี้ ไม่ตอบสนองต่อยา metronidazole
4. สิ่งแปลกปลอมค้างในช่องคลอด
เช่น ผ้าอนามัยแบบสอดที่ลืมเอาออก อาจทำให้เกิดกลิ่นเหม็นผิดปกติอย่างรุนแรง หากไม่สามารถนำออกได้เอง ควรรีบพบแพทย์
หากตกขาวมีการเปลี่ยนแปลงของ กลิ่น สี หรือปริมาณอย่างชัดเจน ไม่ควรซื้อยามาใช้เอง ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม

เมื่อไหร่ “ควรใช้” metronidazole

1. ภาวะช่องคลอดอักเสบจากแบคทีเรีย (Bacterial Vaginosis – BV):
สามารถรักษาได้ทั้งแบบรับประทานและแบบใช้เฉพาะที่ โดยมักใช้
- Metronidazole 500 มก. รับประทานวันละ 2 ครั้ง นาน 7 วัน
- หรือเจลช่องคลอดความเข้มข้น 0.75% ใช้วันละครั้งติดต่อกัน 5 วัน
ผลการรักษาทั้งสองวิธีใกล้เคียงกัน ควรเลือกวิธีที่สะดวกและเหมาะสมกับแต่ละบุคคล ระหว่างการรักษาควรงดการสวนล้างช่องคลอด และหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์หรือใช้ถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
2. พยาธิในช่องคลอด (Trichomoniasis)
- Metronidazole 500 มก. รับประทานวันละ 2 ครั้ง นาน 7 วัน
- คู่นอนต้องได้รับการรักษาพร้อมกัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ และควรตรวจซ้ำประมาณ 3 เดือนหลังการรักษาเพื่อยืนยันว่าการติดเชื้อหายขาด

เมื่อไหร่ “ไม่ควรใช้” metronidazole

1. เชื้อราในช่องคลอด (Vulvovaginal Candidiasis)
มักมีอาการเด่นคือ คันหรือแสบร้อนบริเวณช่องคลอด ตกขาวสีขาวข้น คล้ายคราบนม และไม่มีกลิ่นคาวชัดเจน การรักษาคือ ยาฆ่าเชื้อราชนิดครีมหรือยาสอดช่องคลอด
2. กรณีมีสิ่งแปลกปลอมค้างในช่องคลอด
เช่น ผ้าอนามัยชนิดสอด หรือเศษถุงยางอนามัยที่ตกค้าง ควรนำออกโดยเร็ว หากไม่มีอาการอักเสบหรือติดเชื้อ ไม่จำเป็นต้องรีบใช้ยาปฏิชีวนะ
หากนำออกเองไม่ได้ หรือมีความกังวล ควรปรึกษาแพทย์
3. อาการที่อาจบ่งชี้ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease – PID)
ได้แก่ ไข้สูง ปวดท้องน้อยรุนแรง เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด หรือเจ็บมากขณะมีเพศสัมพันธ์ ภาวะนี้ต้องใช้ยาปฏิชีวนะหลายชนิดร่วมกัน ไม่ควรรักษาด้วย metronidazole เพียงชนิดเดียว ควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว

วิธีใช้ metronidazole ให้ปลอดภัยและได้ผล

- ใช้ยาให้ครบตามที่กำหนดแม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ โดยเฉพาะในการรักษาภาวะช่องคลอดอักเสบจากแบคทีเรีย (BV)
- ระหว่างรักษา BV ควรงดการสวนล้างช่องคลอด และหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์หรือใช้ถุงยางอนามัยชั่วคราว เพราะการสวนล้างอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการกลับเป็นซ้ำของโรค
- ในกรณีของ Trichomoniasis ควรให้คู่นอนได้รับการรักษาพร้อมกัน และตรวจซ้ำประมาณ 3 เดือนหลังการรักษา แม้ไม่มีอาการ เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
- ผลข้างเคียงที่อาจพบได้แก่ คลื่นไส้ รสขมในปาก หรือปวดท้องเล็กน้อย หากมีอาการผิดปกติรุนแรง เช่น ผื่นขึ้น แน่นหน้าอก เวียนศีรษะมาก ควร หยุดยาและรีบพบแพทย์ทันที เนื่องจากอาจเป็นอาการแพ้ยา

เมื่อไหร่ควรไปโรงพยาบาลหรือพบแพทย์ทันที
- มีกลิ่นคาวแรงผิดปกติร่วมกับอาการ ไข้ หนาวสั่น ปวดท้องน้อยรุนแรง หรือเจ็บมากขณะมีเพศสัมพันธ์หรือขณะตรวจภายใน อาจเป็นสัญญาณของ ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (PID) ซึ่งต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
- สงสัยว่ามีผ้าอนามัยชนิดสอดค้างอยู่ในช่องคลอด โดยไม่สามารถนำออกเองได้ หรือไม่แน่ใจ ควรไปพบแพทย์ทันที
- อาการไม่ดีขึ้นหลังใช้ยาตามคำแนะนำ หรือมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ ซ้ำบ่อย ควรเข้ารับการตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุอื่นที่อาจแฝงอยู่

เคล็ดลับป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
- หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอด และหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่รุนแรง ซึ่งอาจรบกวนสมดุลจุลชีพในช่องคลอด
- ใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังรักษาการติดเชื้อ
- ในกรณีของ Trichomoniasis ควรตรวจและรักษาคู่นอนพร้อมกัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ

15/08/2025
15/08/2025

♉การเปรียบเทียบประสิทธิภาพของยา Betahistine และ Cinnarizine ในการรักษาอาการเวียนศีรษะจากความผิดปกติของระบบการทรงตัว: การทบทวนหลักฐานเชิงประจักษ์

🤯อาการเวียนศีรษะจากความผิดปกติของระบบการทรงตัวส่วนปลาย (peripheral vestibular vertigo) เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในทางคลินิก โดยมียาหลายกลุ่มที่ใช้ในการรักษา การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หลักฐานเชิงประจักษ์จากงานวิจัยที่เปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่างยา Betahistine และ Cinnarizine ซึ่งเป็นยาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการรักษาอาการดังกล่าว

🔰วิธีการศึกษา ทบทวนงานวิจัยทางคลินิก 3 ชิ้นที่สำคัญ:
1. การศึกษาแบบ double-blind crossover (Deering et al., 1986)
2. การศึกษาเปรียบเทียบแบบสุ่มในกลุ่มเดียว (Bodla et al., 2011)
3. การศึกษาแบบสุ่ม multicenter (Scholtz et al., 2019)

✴️ผลการวิเคราะห์
1. ประสิทธิภาพในการลดอาการเวียนศีรษะ:
- Betahistine แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่ดีกว่าในการลดความถี่ของอาการเวียนศีรษะ (Deering et al., 1986)
- การศึกษาโดย Bodla et al. (2011) พบว่า Betahistine ลดความรุนแรงของอาการได้ดีกว่า Cinnarizine อย่างมีนัยสำคัญ
- อย่างไรก็ตาม การศึกษาโดย Scholtz et al. (2019) พบว่ายาผสม Cinnarizine+Dimenhydrinate ให้ผลดีกว่า Betahistine

2. ผลข้างเคียงและความทนทานต่อยา:
- Cinnarizine มีแนวโน้มทำให้เกิดอาการง่วงซึมมากกว่า Betahistine
- อัตราการหยุดยาเนื่องจากผลข้างเคียงในกลุ่ม Cinnarizine สูงกว่า (Deering et al., 1986)
- การศึกษาของ Scholtz et al. (2019) รายงานว่ายาผสม Cinnarizine+Dimenhydrinate มีผลข้างเคียงน้อยกว่า Betahistine

3. ระยะเวลาการออกฤทธิ์:
- Betahistine แสดงผลการรักษาที่เร็วกว่าในสัปดาห์แรก (Bodla et al., 2011)
- ยาผสม Cinnarizine+Dimenhydrinate ก็แสดงผลเร็วเช่นกัน (Scholtz et al., 2019)

⭕ข้อสรุปและข้อเสนอแนะ
1. Betahistine น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในกรณีที่:
- ผู้ป่วยต้องการลดความถี่ของอาการเวียนศีรษะ
- ต้องการหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงด้านอาการง่วงซึม
- ต้องการเห็นผลการรักษาเร็ว

2. Cinnarizine หรือ Cinnarizine+Dimenhydrinate อาจพิจารณาใช้เมื่อ:
- ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อ Betahistine
- ในรูปแบบยาผสม​ Cinnarizine+Dimenhydrinate แสดงประสิทธิภาพที่ดีในบางการศึกษา

3. ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม:
- ความแตกต่างของขนาดยาในแต่ละการศึกษาอาจส่งผลต่อผลลัพธ์
- ควรพิจารณาปัจจัยเฉพาะตัวผู้ป่วยในการเลือกยา
- จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อประเมินผลในระยะยาว

▶️คำแนะนำทางคลินิก
- ควรพิจารณาเลือกยาตามลักษณะอาการและความต้องการของผู้ป่วยเป็นรายบุคคล
- การติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิดใน 1-2 สัปดาห์แรกมีความสำคัญ
- ควรประเมินผลข้างเคียงโดยเฉพาะอาการง่วงซึมที่อาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและการทำงาน

✴️✴️✴️✴️

💊Cinnarizine (Stugeron®)

✅ กลไกการออกฤทธิ์
- calcium channel blocker ชนิด L-type ลดการหดตัวของหลอดเลือด
- ต้านฮิสตามีน (H1-antagonist) ลดอาการเวียนศีรษะ
- ต้านโดปามีน (D2-antagonist) ลดอาการคลื่นไส้

✅ ระยะเวลาการออกฤทธิ์:
- เริ่มออกฤทธิ์: ~1–2 ชั่วโมงหลังกินยา
- ระยะเวลาออกฤทธิ์สูงสุด (Peak effect): ~2–4 ชั่วโมง
- ระยะเวลาออกฤทธิ์ทั้งหมด: ประมาณ 6–8 ชั่วโมง

🔹 คำแนะนำการใช้:
- มักให้วันละ 3 ครั้ง (ทุก 8 ชั่วโมง) เพื่อรักษาระดับยาในเลือด
- เหมาะสำหรับป้องกันอาการเมารถ/เมาเรือ (กินล่วงหน้า 2 ชั่วโมงก่อนเดินทาง)
- ผลข้างเคียงหลัก: ง่วงซึม → ไม่แนะนำให้ขับรถหลังกินยา

💊Betahistine (SERC®)

✅ กลไกการออกฤทธิ์
- กระตุ้นตัวรับฮิสตามีน H1 เพิ่มการไหลเวียนเลือดหูชั้นใน
- ยับยั้งตัวรับ H3 เพิ่มการหลั่งสารสื่อประสาท
- ลดความดันน้ำในหูชั้นใน (โรค Ménière's)

✅ ระยะเวลาการออกฤทธิ์:
- เริ่มออกฤทธิ์: ~30 นาที–1 ชั่วโมงหลังกินยา
- ระยะเวลาออกฤทธิ์สูงสุด (Peak effect): ~1–3 ชั่วโมง
- ระยะเวลาออกฤทธิ์ทั้งหมด: ประมาณ 4–6 ชั่วโมง

🔹 คำแนะนำการใช้:
- มักให้วันละ 2–3 ครั้ง (ทุก 8–12 ชั่วโมง)
- เหมาะสำหรับโรค Ménière’s หรือเวียนศีรษะจากหูชั้นใน
- ผลข้างเคียงน้อยกว่า cinnarizine (ไม่ง่วงซึม แต่บางคนอาจปวดศีรษะหรือคลื่นไส้)

⭕คำแนะนำเพิ่มเติม
- หากต้องการผลเร็ว: Betahistine เหมาะสมกว่าเพราะออกฤทธิ์เร็ว
- หากต้องการผลยาว: Cinnarizine อาจดีกว่าเพราะออกฤทธิ์นานกว่า
- ผลข้างเคียง: Cinnarizine ทำให้ง่วงมากกว่า → ควรหลีกเลี่ยงการใช้เมื่อต้องขับรถหรือทำงานกับเครื่องจักร
- ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว เพื่อเลือกยาที่เหมาะสมกับอาการและสภาพร่างกาย รวมทั้งการตอบสนองต่อยา ที่อาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล

😀มีปัญหาเรื่องการใช้ยา เชิญปรึกษาเภสัชกรประจำร้านยา

💢Efficacy and Safety of a Fixed Combination of Cinnarizine 20 mg and Dimenhydrinate 40 mg vs Betahistine Dihydrochloride 16 mg in Patients with Peripheral Vestibular Vertigo: A Prospective, Multinational, Multicenter, Double-Blind, Randomized, Non-inferiority Clinical Trial, Clin Drug Investig. 2019 Sep 30
https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC6800407/
Comparison of efficacy and tolerability of cinnarizine with betahistine in the treatment of otogenic vertigo
December 2011
https://www.researchgate.net/publication/288559778_Comparison_of_efficacy_and_tolerability_of_cinnarizine_with_betahistine_in_the_treatment_of_otogenic_vertigo
A double-blind crossover study comparing betahistine and cinnarizine in the treatment of recurrent vertigo in patients in general practice, 1986
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/3780284/
อ่านเพิ่มเติม
Cinnarizine: A Contemporary Review, 2017
https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC6841794/
Betahistine dihydrochloride or betahistine mesilate: two sides of the same coin or two different coins, 2017
https://www.researchgate.net/publication/318644139_Betahistine_dihydrochloride_or_betahistine_mesilate_two_sides_of_the_same_coin_or_two_different_coins

15/08/2025

🚤วิธีป้องกันและรักษาอาการเมาเรือที่ได้ผลดีที่สุด

อาการเมาเรือ: พบได้บ่อยแค่ไหน?
- 90% ของนักเดินเรือเคยมีอาการเมาเรืออย่างน้อย 1 ครั้ง
- 26% ของผู้ตอบแบบสำรวจมีอาการเมาเรือ
- ผู้หญิงมีแนวโน้มเมาเรือมากกว่าผู้ชาย
- ปัจจัยอื่นๆ ที่มีผล: ความวิตกกังวล, สภาพร่างกาย, และพันธุกรรม

😵‍💫อาการที่พบบ่อย
- หน้าซีด
- เหงื่อออกเย็น
- เวียนศีรษะ
- คลื่นไส้/อาเจียน
- ปวดศีรษะ
- ง่วงซึม

วิธีป้องกันและรักษาที่ได้ผลดีที่สุด

1. ยา (วิธีที่นิยมที่สุด)
✅ Cinnarizine
ยากลุ่ม​ Antihistamine
70% บอกว่าช่วยได้มาก
อาการข้างเคียง​ ง่วงซึม, ปากแห้ง

✅ Scopolamine Patch
ยากลุ่ม​ Anticholinergic
50% บอกว่าช่วยได้มาก
อาการข้างเคียง​ ปากแห้ง, มองภาพไม่ชัด

✅ Meclizine
ยากลุ่ม Antihistamine
ได้ผลดีสำหรับบางคน
อาการข้างเคียง​ ง่วงปานกลาง

✅ Hyoscine
ยากลุ่ม​ Anticholinergic
ช่วยลดอาการคลื่นไส้
ง่วงมาก

⭕ข้อสังเกต:
- Cinnarizine เป็นยาที่ใช้บ่อยที่สุด
- Scopolamine Patch อาจทำให้ปากแห้งมาก และมีรายงานอาการถอนยา (withdrawal-type symptoms) ในบางกรณี

2. วิธีธรรมชาติ
🫚 ขิง
ช่วยลดคลื่นไส้ได้บ้าง
ยังไม่ทราบกลไกที่ชัดเจน

🍊 วิตามินซี
มีงานวิจัยแต่ยังไม่เป็นที่นิยม
อาจช่วยได้ในบางคน

🧃น้ำเกรปฟรุต
เพิ่มการดูดซึม Scopolamine
ใช้ร่วมกับการใช้ยาเท่านั้น

3. วิธีปฏิบัติตัว
- ไม่จดจ่อกับอาการ (ทำงานบนเรือ เช่น ถือพังงา, ทำอาหาร)
- มองไปที่ขอบฟ้า เพื่อปรับสมดุลการทรงตัว
- หายใจลึกๆ ช้าๆ
- หลีกเลี่ยงการอยู่ใต้ดาดฟ้าเป็นเวลานาน

☸️ สถิติที่น่าสนใจ
1. ระยะเวลาของอาการ:
- 58% มีอาการแค่ 1-2 วัน
- 7% เท่านั้นที่มีอาการนานกว่า 1 สัปดาห์

2. ผลกระทบต่อการทำงานบนเรือ:
- 60% ของผู้ที่มีอาการเมาเรือ ยังทำงานบนเรือได้ปกติ

🧖เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญ
- ทดลองหลายวิธีเพื่อหาสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง
- Meclizine เป็นยาที่พบว่าช่วยได้ดี
- หลีกเลี่ยง Cinnarizine หากต้องทำงานที่ต้องการความตื่นตัว

❗ข้อควรระวัง:
- ยาเมาเรือบางชนิดอาจทำให้ง่วงจนเป็นอันตราย
- ไม่ควรใช้ยาหลายชนิดร่วมกันโดยไม่ปรึกษาเภสัชกร
- ไม่มีวิธีรักษาที่เหมาะกับทุกคน ต้องทดลองเพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง

😀 มีปัญหา​เรื่อง​การ​ใช้​ยา​ เชิญ​ปรึกษา​เภสัชกร​ประจำ​ร้านยา​

💢What are the best remedies for seasickness? We find out in our transatlantic survey, 2016
https://www.yachtingworld.com/features/feeling-rough-take-edge-off-seasickness-survey-76032
บทความอื่น
✈️ หูอื้อ​ จากการขึ้นเครื่องบิน​ 🛬
https://www.facebook.com/100070760357127/posts/218607713841239/
JETLAG
https://www.facebook.com/100070760357127/posts/2332659050242948/
🎡ยาแก้เมารถเมาเรือ
https://www.facebook.com/100070760357127/posts/310622137973129/
เมารถ​ เมาเรือ​ motion sickness
https://www.facebook.com/100070760357127/posts/227400879628589/
😲เวียนศีรษะ
https://www.facebook.com/100070760357127/posts/237726345262709/

ยาระบาย Lactulose ชื่่ิอการค้า ดูฟาแลค (Duphalac) เฮพาแลค(Hepalac)
15/08/2025

ยาระบาย Lactulose ชื่่ิอการค้า ดูฟาแลค (Duphalac) เฮพาแลค(Hepalac)

Lactulose ไม่ใช่ Lactose เข้าใจความต่างและความปลอดภัยในผู้แพ้แลคโตส

🔍 บทคัดย่อ
Lactulose เป็นน้ำเชื่อมยาระบายที่ใช้บ่อยในผู้มีอาการท้องผูก และยังเป็นยาหลักในการรักษาภาวะ hepatic encephalopathy โดยช่วยให้ขับถ่ายวันละ 2–3 ครั้งด้วยกลไกเพิ่มแรงดันออสโมติกในลำไส้ใหญ่ แม้ชื่อจะคล้ายกับ "lactose" ซึ่งเป็นน้ำตาลที่พบในนม แต่ lactulose ไม่ใช่ lactose และไม่ต้องใช้เอนไซม์ lactase ในการย่อย ดังนั้นคนที่มีภาวะแพ้น้ำตาลแลคโตส (lactose intolerance) ส่วนใหญ่สามารถใช้ยา lactulose ได้อย่างปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม ในกระบวนการผลิตยา lactulose syrup อาจมีปริมาณเล็กน้อยของแลคโตสและน้ำตาลชนิดอื่นตกค้างอยู่ เช่น lactose และ galactose ซึ่งอาจทำให้บางคนที่ไวมากเป็นพิเศษเกิดอาการไม่สบายท้องได้

บทนำ
Lactulose เป็นยาที่มีการใช้อย่างแพร่หลายมาอย่างยาวนาน ทั้งในการรักษาภาวาท้องผูกเรื้อรัง (chronic constipation) และภาวะสมองเสื่อมจากตับ (hepatic encephalopathy; HE) อย่างไรก็ตาม ในเวชปฏิบัติทั่วไปมักพบความเข้าใจผิดว่า ผู้ที่แพ้แลคโตส (lactose intolerance) ไม่ควรใช้ lactulose ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อมูลทางชีวเคมีและข้อบ่งใช้ที่ระบุในฉลากผลิตภัณฑ์
ปัจจุบัน แนวทางเวชปฏิบัติระดับสากลยังคงแนะนำ lactulose เป็นยาหลัก (first-line therapy) สำหรับภาวะ overt HE และถือเป็นทางเลือกหนึ่งในผู้ป่วยที่มีภาวะท้องผูกชนิดไม่ทราบสาเหตุเรื้อรัง (chronic idiopathic constipation; CIC) โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่ตอบสนองหรือไม่สามารถทนต่อ polyethylene glycol (PEG) ได้

เคมีและความแตกต่างระหว่าง “Lactulose ≠ Lactose”
Lactose เป็นน้ำตาลแล็กโตสที่ประกอบด้วยกลูโคสและกาแลกโตส (glucose–galactose) ในขณะที่ lactulose เป็นน้ำตาลสังเคราะห์ที่ประกอบด้วยกาแลกโตสและฟรุกโตส (galactose–fructose) โดยมีชื่อทางเคมีว่า 4‑O‑β‑D‑galactopyranosyl‑D‑fructofuranose ซึ่งได้จากกระบวนการ isomerization ของ lactose
แม้ทั้งสองจะมีส่วนประกอบของกาแลกโตส แต่ lactulose มีโครงสร้างพันธะที่เอนไซม์ lactase ไม่สามารถย่อยได้ จึงไม่ถูกดูดซึมที่ลำไส้เล็กและไม่ถูกเปลี่ยนเป็น monosaccharides แบบเดียวกับ lactose แต่จะเดินทางไปยังลำไส้ใหญ่และถูกแบคทีเรียในลำไส้ใช้ในการหมักแทน
ผลิตภัณฑ์ lactulose syrup ตามสูตรตำรับมาตรฐาน (เช่นในสหรัฐอเมริกา) มักระบุว่ามี lactulose ปริมาณ 10 กรัมต่อ 15 มิลลิลิตร และอาจมี "น้ำตาลตกค้าง" จากกระบวนการผลิต ได้แก่ lactose ไม่เกิน 1.2 กรัม และ galactose ไม่เกิน 1.6 กรัมต่อ 15 มิลลิลิตร

กลไกการออกฤทธิ์
Lactulose ออกฤทธิ์ผ่านกลไกหลักหลายประการ ได้แก่
1. Osmotic effect : ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในลำไส้ใหญ่ ทำให้อุจจาระนุ่มและขับถ่ายได้ง่ายขึ้น
2. การหมักโดยจุลชีพในลำไส้ใหญ่ : Lactulose ถูกแบคทีเรียหมักให้กลายเป็น short-chain fatty acids ส่งผลให้ค่า pH ในลำไส้ลดลง ซึ่งจะเปลี่ยนแอมโมเนียอิสระ (NH₃) ให้เป็นแอมโมเนียมไอออน (NH₄⁺) ที่ไม่สามารถดูดซึมกลับได้ จึงช่วยลดระดับแอมโมเนียในเลือด (กลไกสำคัญใน hepatic encephalopathy)
3. การเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของจุลชีพในลำไส้ : Lactulose มีบทบาทในการลดปริมาณแบคทีเรียที่ผลิตเอนไซม์ urease ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างแอมโมเนียในลำไส้
ฤทธิ์ทางการถ่ายของ lactulose มักเริ่มภายใน 24–48 ชั่วโมงหลังได้รับยา

ข้อบ่งใช้และแนวทางเวชปฏิบัติ
1. Hepatic Encephalopathy (HE)
แนวทางเวชปฏิบัติของ European Association for the Study of the Liver (EASL, 2022) แนะนำให้ใช้ lactulose เป็นยาหลัก (first-line therapy) สำหรับการรักษาภาวะ overt hepatic encephalopathy (OHE) และแนะนำให้ใช้ร่วมกับ rifaximin ในผู้ป่วยที่เคยมีประวัติ OHE มาก่อน เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
แนวทางร่วมระหว่าง American Association for the Study of Liver Diseases และ EASL ปี 2014 ก็สนับสนุนแนวทางเดียวกัน

2. Chronic Idiopathic Constipation (CIC)
แนวทางล่าสุดโดย American Gastroenterological Association (AGA) และ American College of Gastroenterology (ACG) ปี 2023 แนะนำให้ใช้ polyethylene glycol (PEG) เป็นการรักษาหลักในระยะยาว (strong recommendation) และให้ lactulose เป็นทางเลือกแบบ conditional recommendation สำหรับกรณีที่ PEG ไม่เหมาะสมหรือผู้ป่วยไม่สามารถทนได้
ขณะเดียวกัน แนวทาง NICE CKS ก็จัดให้ lactulose เป็นทางเลือกเมื่อ macrogols (เช่น PEG) ไม่ได้ผลหรือใช้ไม่ได้

ขนาดยา (ผู้ใหญ่) ที่ใช้บ่อยในเวชปฏิบัติ
1. ภาวะท้องผูกเรื้อรัง (Constipation)
เริ่มให้ lactulose ขนาด 15–30 มิลลิลิตรต่อวัน (เทียบเท่า 10–20 กรัมของ lactulose) โดยให้ปรับขนาด (titrate) ตามการตอบสนอง เพื่อให้มีการถ่ายอุจจาระนิ่ม
หากจำเป็นสามารถเพิ่มขนาดยาได้ถึง 60 มิลลิลิตรต่อวัน ฤทธิ์การถ่ายมักเริ่มภายใน 24–48 ชั่วโมง หลังเริ่มยา
2. ภาวะ Overt Hepatic Encephalopathy (เฉียบพลัน หรือการรักษาแบบ episodic)
เริ่มต้นด้วย lactulose ขนาด 25–45 มิลลิลิตร ทุก 1–2 ชั่วโมง จนกระทั่งผู้ป่วยมีการถ่ายอุจจาระครั้งแรก จากนั้นให้ปรับขนาดเป็น 15–30 มิลลิลิตร วันละ 2–4 ครั้ง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการถ่ายอุจจาระนิ่ม วันละ 2–3 ครั้ง

ข้อควรระวังทางคลินิก
เป้าหมายการรักษาคือการถ่ายอุจจาระนิ่มวันละ 2–3 ครั้ง ไม่ใช่อาการท้องเสีย เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ และเสียสมดุลอิเล็กโทรไลต์ โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคตับ

ความปลอดภัยในผู้แพ้แลคโตส (Lactose Intolerance)
ตามหลักชีวเคมี lactulose ไม่ใช่ lactose และไม่มีโครงสร้างที่ต้องอาศัยเอนไซม์ lactase ในการย่อย จึง ไม่มีข้อห้าม ในผู้ที่มีภาวะขาดเอนไซม์ lactase (lactase deficiency)
อาการไม่พึงประสงค์ เช่น ท้องอืดหรือมีลมในท้องที่พบหลังใช้ lactulose มักเกิดจากผลของยาโดยตรง (drug-induced fermentation) เนื่องจาก lactulose ถูกแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่หมัก ไม่ใช่จากการย่อยหรือดูดซึมของ lactose
ดังนั้น การมีประวัติแพ้หรือตอบสนองต่อแลคโตสไม่ได้ ถือเป็นข้อควรระวัง แต่ไม่ใช่ข้อห้ามใช้ lactulose

สรุปเชิงปฏิบัติสำหรับการใช้ Lactulose ในผู้ป่วยที่มีภาวะแพ้แลคโตส

- อธิบายผู้ป่วยอย่างชัดเจนว่า lactulose ไม่ใช่ lactose และกลไกอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ท้องอืดหรือผายลม มักเกิดจากการหมักของยาโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ ไม่ใช่การแพ้แลคโตสโดยตรง
- ในกรณีที่ผู้ป่วยมีความกังวลเรื่องปริมาณ lactose ตกค้างในผลิตภัณฑ์ ควรเริ่มที่ขนาดต่ำและไต่ระดับอย่างช้าๆ รวมถึงแนะนำให้รับประทานพร้อมอาหารหรือน้ำ เพื่อช่วยลดผลข้างเคียงทางระบบทางเดินอาหาร
- หากจำเป็นต้องใช้ในขนาดสูง หรือในผู้ป่วยที่ไวต่อ lactose เป็นพิเศษ ควรพิจารณาใช้รูปแบบผงสำหรับละลายน้ำ (powder for solution) ซึ่งมีปริมาณ lactose และ galactose ต่ำกว่าสูตรน้ำเชื่อม (syrup) อย่างมีนัยสำคัญ
- ควร แยกความเข้าใจระหว่าง lactose intolerance และ cow’s milk protein allergy ให้ชัดเจน เนื่องจากเป็นคนละกลไกทางพยาธิสรีรวิทยาและมีแนวทางการจัดการที่แตกต่างกัน
- ติดตามอาการท้องเสีย ภาวะขาดน้ำ และความผิดปกติของอิเล็กโทรไลต์ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง

ข้อควรระวังอื่น ๆ ตามฉลากและแนวทางเวชปฏิบัติ
- Galactosaemia :
ผลิตภัณฑ์ lactulose syrup ส่วนใหญ่มีปริมาณ galactose ตกค้าง จากกระบวนการผลิต จึงห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มี galactosaemia หรือจำเป็นต้องจำกัดการรับประทาน galactose อย่างเคร่งครัด ตามข้อห้ามในหลายฉลากยา
- เบาหวาน (Diabetes Mellitus) :
เนื่องจาก syrup มีน้ำตาลตกค้าง เช่น lactose และ galactose อาจเพิ่ม glycemic load ได้ในบางราย จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ควบคุมน้ำตาลยาก ทั้งนี้รูปแบบผง (powder) มักมีปริมาณน้ำตาลตกค้างต่ำกว่า และอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่าในผู้ป่วยกลุ่มนี้
- ภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยาเกินขนาด :
การใช้ lactulose มากเกินไปอาจก่อให้เกิดอาการท้องเสีย ภาวะขาดน้ำ และ hypokalaemia ซึ่งอาจกระตุ้นภาวะ hepatic encephalopathy (HE) ได้เอง
แนวทางการให้ยาควรเน้นการไตเตรตขนาดยาเพื่อให้ถ่ายอุจจาระนิ่มวันละ 2–3 ครั้ง ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดอาการถ่ายเหลวบ่อยครั้งเกินไป

บทสรุป
“Lactulose ไม่ใช่ Lactose” ทั้งในด้านโครงสร้างโมเลกุลและกระบวนการเผาผลาญทางชีวเคมี ดังนั้น ภาวะ lactose intolerance ไม่ถือเป็นข้อห้ามในการใช้ lactulose โดยทั่วไป แม้ว่าผลิตภัณฑ์ชนิดน้ำเชื่อม (syrup) จะมี lactose และ galactose ตกค้างในปริมาณเล็กน้อยจากกระบวนการผลิตก็ตาม

การตัดสินใจใช้ lactulose ควรพิจารณาโดยอิงจาก
- ข้อบ่งใช้ที่ชัดเจน ได้แก่ chronic idiopathic constipation (CIC) และ overt hepatic encephalopathy (HE)
- แนวทางเวชปฏิบัติที่เป็นปัจจุบัน
- สูตรตำรับและรูปแบบยา (syrup vs powder)
- ขนาดยาที่เหมาะสมและการไตเตรตตามอาการ
- และที่สำคัญคือการสื่อสารกับผู้ป่วยอย่างแม่นยำเพื่อลดความเข้าใจผิด สร้างความมั่นใจ และเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์อย่างเหมาะสมในเวชปฏิบัติประจำวัน

ที่อยู่

31/128 ม.1 ถนน เอกชัย,บางขุนเทียน,จอมทอง
Bangkok
10150

เวลาทำการ

จันทร์ 07:00 - 20:00
อังคาร 07:00 - 20:00
พุธ 07:00 - 20:00
พฤหัสบดี 07:00 - 20:00
ศุกร์ 07:00 - 20:00
เสาร์ 07:00 - 20:00

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ฟาร์มาชอพ PharmaShopผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram