HMDA ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก HMDA, การแพทย์และสุขภาพ, เลขที่ 1768 ไทยซัมมิท ทาวเวอร์ ห้อง 405 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวง บางกะปิ เขตห้วยขวาง, Bangkok.

Healthmedic Academy (HMDA) เป็นศูนย์การเรียนรู้ของบริษัทเฮลธ์เมดิคจำกัด ที่ให้การสนับสนุนวิชาการและนวัตกรรมทางการแพทย์ในงานห้องผ่าตัด งานควบคุมโรคติดเชื้อ งานจ่ายกลาง และงานอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
HMDA Professional Education & Training สถาบันการเรียนรู้และนวัตกรรมทางการแพทย์บริษัทเฮลธ์เมดิคจำกัด Healthmedic Innovation Academy (HMIA) เป็นหน่วยงานที่สนับสนุนวิชาการและนวัตกรรมทางการแพทย์ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศไทย

🎉 ขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จครั้งสำคัญ 🎉ดร.วิทยา ชาญชัย กับการได้รับ ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบค...
08/08/2025

🎉 ขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จครั้งสำคัญ 🎉
ดร.วิทยา ชาญชัย กับการได้รับ ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุม
📌 ระดับชำนาญการ สาขาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
👏 ความมุ่งมั่น ทุ่มเท และความเชี่ยวชาญ คือก้าวสำคัญสู่ความเป็นมืออาชีพที่แท้จริง
ขอเป็นกำลังใจให้ก้าวต่อไป สร้างมาตรฐานความปลอดภัยให้วงการอย่างยั่งยืน 💪✨

#ความสำเร็จ #ความภาคภูมิใจ #อาชีวอนามัยและความปลอดภัย #ชำนาญการ

#ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ #วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุม #อาชีวอนามัยและความปลอดภัย #ชำนาญการ #เฮลธ์เมดิค #ความภาคภูมิใจ #ความสำเร็จ #ผู้นำด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย

Low Back Pain (อาการปวดหลังส่วนล่าง) ในงานจ่ายกลาง (CSSD: Central Sterile Supply Department)สามารถเกิดจากหลายปัจจัยทั้งท...
07/08/2025

Low Back Pain (อาการปวดหลังส่วนล่าง) ในงานจ่ายกลาง (CSSD: Central Sterile Supply Department)
สามารถเกิดจากหลายปัจจัยทั้งทางกายภาพ (physical factors) และการทำงาน (work-related tasks) ที่เกี่ยวข้องกับลักษณะงานเฉพาะในหน่วยงานจ่ายกลางของโรงพยาบาล ดังนี้:

🔹 1. การยกของหนักอย่างไม่ถูกท่า
• เช่น การยกตะกร้าหรือถาดเครื่องมือผ่าตัดที่มีน้ำหนักมาก โดยไม่งอเข่า หรือยกในท่าก้มหลัง
• มักเกิดในช่วงการขนส่งเครื่องมือเข้า-ออกจากเครื่องนึ่ง การเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ หรือการจัดเก็บ

🔹 2. ท่าทางการทำงานที่ไม่เหมาะสม (Poor Posture)
• ยืนหรือนั่งในท่าเดิมนานเกินไป เช่น ก้มล้างเครื่องมือในอ่างที่เตี้ยเกินไป
• ก้มหลังขณะแพ็คเครื่องมือบนโต๊ะที่ไม่สูงระดับเอว
• ยืนบิดตัวหรือเอี้ยวลำตัวซ้ำ ๆ ขณะจัดวางอุปกรณ์

🔹 3. โต๊ะทำงานหรืออุปกรณ์ไม่เหมาะกับสรีระ
• ความสูงของโต๊ะหรืออ่างล้างไม่สัมพันธ์กับส่วนสูงของผู้ปฏิบัติงาน
• ไม่มีการปรับระดับพื้นที่ทำงานตามหลักยศาสตร์ (Ergonomics)

🔹 4. การยกหรือเคลื่อนย้ายซ้ำบ่อยเกินไป (Repetitive Lifting/Handling)
• การยก-วางถาดเครื่องมือหรือภาชนะฆ่าเชื้อหลายครั้งต่อวัน
• การหมุนตัวบ่อยโดยไม่มีการพักกล้ามเนื้อหรือสลับหน้าที่

🔹 5. พื้นที่แคบหรือเคลื่อนไหวจำกัด
• ทำงานในพื้นที่แคบ อาจทำให้ต้องบิดตัว ก้ม หรือเคลื่อนไหวผิดธรรมชาติ
• การเข้าถึงชั้นวางอุปกรณ์ที่อยู่ในตำแหน่งสูงหรือต่ำมาก

🔹 6. การขาดการอบอุ่นร่างกายหรือการยืดเหยียด
• ไม่ได้เตรียมความพร้อมของกล้ามเนื้อก่อนเริ่มงาน เช่น ขาดการยืดกล้ามเนื้อหลังหรือขา
• ไม่มีการพักหรือผ่อนคลายกล้ามเนื้อระหว่างทำงานนาน ๆ

🔹 7. สภาพร่างกายของผู้ปฏิบัติงาน
• น้ำหนักเกิน กล้ามเนื้อหลังไม่แข็งแรง
• อายุที่เพิ่มขึ้น หรือมีประวัติปวดหลังเรื้อรัง



✅ แนวทางป้องกันอาการปวดหลังใน CSSD
• จัดสถานีล้างหรือแพ็คเครื่องมือให้อยู่ในระดับสรีระที่เหมาะสม
• สลับงานเป็นรอบ เพื่อไม่ให้เกิดการใช้กล้ามเนื้อกลุ่มเดิมซ้ำ
• ใช้อุปกรณ์ช่วยยก เช่น รถเข็นยกถาดเครื่องมือแทนการใช้แรงคน
• อบรมเรื่องการยกของอย่างถูกวิธีและการยืนทำงานตามหลักยศาสตร์
• ส่งเสริมการออกกำลังกายเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้อง

#เรียบเรียงเนื้อหาโดย Dr.Withaya Chanchai, CRCST
Scientific Committees of ICOH for OH for Health Workers

#ศูนย์การเรียนรู้เฮลธ์เมดิค #ศูนย์การเรียนรู้ทางการแพทย์เฮลธ์เมดิค &
#ศูนย์การเรียนรู้เฮลธ์เมดิค #ศูนย์การเรียนรู้ทางการแพทย์เฮลธ์เมดิค &
#ปวดหลังในงานจ่ายกลาง
#โรคจากการทำงาน
#สุขภาพหลังในโรงพยาบาล
#การยศาสตร์ในงานจ่ายกลาง
#ป้องกันอาการปวดหลัง
#ยกของอย่างถูกวิธี
#สุขภาพพนักงานCSSD
#อาชีวอนามัยโรงพยาบาล
#ยืดเหยียดป้องกันปวดหลัง
#การยศาสตร์เพื่อสุขภาพ
#ทำงานอย่างปลอดภัย

📍ATP ในบริบทของเครื่องมือแพทย์ 📍ATP (Adenosine Triphosphate) สำหรับการตรวจความสะอาดของเครื่องมือแพทย์🌟 หลักการทำงาน:การท...
05/08/2025

📍ATP ในบริบทของเครื่องมือแพทย์ 📍
ATP (Adenosine Triphosphate) สำหรับการตรวจความสะอาดของเครื่องมือแพทย์
🌟 หลักการทำงาน:
การทดสอบโดยใช้วิธี ไบโอลูมิเนสเซนซ์ของ ATP (ATP bioluminescence assay) เป็นการตรวจวัดปริมาณ ATP ที่ตกค้างบนพื้นผิวของเครื่องมือหรืออุปกรณ์ ซึ่ง ATP เป็นเอนไซม์ที่พบในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด การมีอยู่ของ ATP บ่งชี้ถึงการปนเปื้อนของสารอินทรีย์และอาจมีจุลชีพหลงเหลืออยู่

🌟การประยุกต์ใช้:
โรงพยาบาลและสถานพยาบาลใช้ระบบตรวจสอบ ATP เพื่อประเมินประสิทธิภาพของกระบวนการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อของเครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์ และพื้นผิวโดยรอบ เช่น บนโต๊ะ ผนัง หรือพื้นห้องผ่าตัด

🌟ประโยชน์:
ระบุพื้นที่ที่ยังทำความสะอาดไม่เพียงพอ เพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมการติดเชื้อ ลดอัตราการติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับการรับบริการทางการแพทย์ (HAIs)

⛔️ข้อจำกัด:
ไม่สามารถระบุแหล่งของการปนเปื้อนโดยเฉพาะเจาะจงได้ และไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นจุลชีพมีชีวิตหรือจุลชีพตายแล้ว

🧬ตัวอย่าง:
มีงานวิจัยที่แสดงการใช้การตรวจ ATP เพื่อตรวจสอบความสะอาดของวัสดุที่ผลิตโดยเครื่องพิมพ์สามมิติ (Additive Manufacturing) สำหรับใช้ในการแพทย์ ซึ่งเน้นความปลอดภัยของพื้นผิวก่อนใช้งานจริง

#ศูนย์การเรียนรู้เฮลธ์เมดิค #ศูนย์การเรียนรู้ทางการแพทย์เฮลธ์เมดิค &

 #การทำให้ปราศจากเชื้อและการนำเครื่องมือแพทย์กลับมาใช้ใหม่ในสถานพยาบาล ตามแนวทาง WHO(Decontamination and reprocessing of...
01/08/2025

#การทำให้ปราศจากเชื้อและการนำเครื่องมือแพทย์กลับมาใช้ใหม่ในสถานพยาบาล ตามแนวทาง WHO

(Decontamination and reprocessing of medical devices for health-care facilities)

กระบวนการทำให้เครื่องมือแพทย์ที่ใช้ซ้ำได้มีความปลอดภัยต่อการใช้งานกับผู้ป่วยคนถัดไปนั้นจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบตามหลักการควบคุมการติดเชื้อ ซึ่งประกอบด้วยหลายขั้นตอนต่อเนื่องกัน เรียกว่า “วงจรของการทำให้ปราศจากเชื้อ” (Decontamination Lifecycle) ดังนี้

1. การจัดหา (Acquisition)
การได้มาซึ่งเครื่องมือแพทย์ซึ่งอาจเกิดจากการจัดซื้อ หรือการยืมใช้จากแหล่งภายนอก ซึ่งต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเครื่องมือดังกล่าวเป็นชนิดที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ และมีคำแนะนำการทำให้ปราศเชื้อจากผู้ผลิตอย่างชัดเจน

2. การใช้งาน (Use)
เครื่องมือแพทย์ถูกนำไปใช้ในการให้บริการผู้ป่วย เช่น การผ่าตัด การตรวจวินิจฉัย หรือการทำหัตถการต่าง ๆ หลังใช้งานแล้ว ต้องมีการจัดการทันทีเพื่อเตรียมส่งไปยังพื้นที่ทำความสะอาด

3. การตรวจสอบ (Inspection)
หลังจากล้างทำความสะอาดแล้ว เครื่องมือจะต้องถูกตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อประเมินว่า
💉 มีคราบเลือดหรือสิ่งสกปรกตกค้างหรือไม่
🕵️ ชิ้นส่วนของเครื่องมือยังอยู่ครบ และสามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง
👉ไม่มีความเสียหายที่อาจส่งผลต่อการทำให้ปราศจากเชื้อหรือความปลอดภัยของผู้ป่วย

4. การบรรจุหีบห่อ (Packaging)
อุปกรณ์ที่ผ่านการทำความสะอาดและตรวจสอบแล้วจะต้องถูกจัดเรียงและบรรจุในวัสดุที่เหมาะสม เพื่อให้
👨‍⚕️ไอน้ำหรือสารทำลายเชื้อสามารถแทรกซึมเข้าไปได้อย่างทั่วถึง
👨‍⚕️คงสภาพความปราศจากเชื้อไว้จนกว่าจะถูกใช้งาน
👨‍⚕️สะดวกในการหยิบใช้งานโดยไม่ปนเปื้อน

หมายเหตุ: ถ้ากระบวนการต่อไปเป็นการทำลายเชื้อระดับสูง (High-Level Disinfection: HLD) ขั้นตอนการบรรจุอาจไม่จำเป็น

5. การทำให้ปราศจากเชื้อ (Sterilization)
การทำลายจุลชีพทุกชนิดรวมถึงสปอร์ เช่น โดยการใช้
❄️ระบบไอน้ำ (Steam sterilization) สำหรับเครื่องมือที่ทนความร้อนได้
❄️ระบบอุณหภูมิต่ำ เช่น ก๊าซเอธิลีนออกไซด์ (EO), พลาสมาก๊าซไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ สำหรับอุปกรณ์ที่ไวต่อความร้อน
❄️ต้องควบคุมและตรวจสอบพารามิเตอร์สำคัญ เช่น เวลา อุณหภูมิ ความดัน และใช้ ตัวชี้วัดทางเคมีและชีวภาพ เพื่อยืนยันประสิทธิภาพของกระบวนการทำให้ปราศจากเชื้อ

หมายเหตุ: ถ้าใช้การทำลายเชื้อระดับสูงแทน ขั้นตอนนี้อาจไม่จำเป็น

6. การจัดเก็บ (Storage)
หลังจากผ่านการทำให้ปราศจากเชื้อแล้ว เครื่องมือจะต้องถูกเก็บใน
🤷‍♂️พื้นที่แห้ง สะอาด ปราศจากฝุ่น
🤷‍♂️อุณหภูมิที่เหมาะสม (15–25°C) และความชื้นสัมพัทธ์ (40–50%)
🤷‍♂️หลีกเลี่ยงการวางเครื่องมือสัมผัสกับพื้น ผนัง หรือเพดาน

ต้องมีการหมุนเวียนและตรวจสอบวันหมดอายุอย่างสม่ำเสมอ

7. การกำจัด (Disposal)
สำหรับเครื่องมือที่
⏳หมดอายุ
⏳ชำรุดเสียหาย
⏳หรือเป็นชนิดใช้ครั้งเดียว (Single-use device)
ให้ดำเนินการกำจัดอย่างปลอดภัยตามแนวทางของสถานพยาบาล เช่น การส่งคืนผู้ให้ยืม หรือการทำลายอย่างถูกวิธี

8. ข้อควรปฏิบัติร่วมในทุกขั้นตอน
ต้องมี นโยบายและขั้นตอนปฏิบัติงานมาตรฐาน (SOPs) สำหรับทุกขั้นตอน
☂️จัดให้มี การอบรมและประเมินสมรรถนะ บุคลากรอย่างสม่ำเสมอ
☂️ตรวจสอบและควบคุมคุณภาพทุกขั้นตอน (เช่น การตรวจสอบประสิทธิภาพเครื่องนึ่ง ฯลฯ)

สถานที่และอุปกรณ์ต้องแยกพื้นที่สะอาดและสกปรกอย่างชัดเจน โดยมี “ทิศทางการไหลงานทางเดียว” (one-way workflow)

#เรียบเรียงเนื้อหาโดย Dr.Withaya Chanchai, CRCST
Scientific Committees of ICOH for OH for Health Workers

#ศูนย์การเรียนรู้เฮลธ์เมดิค #ศูนย์การเรียนรู้ทางการแพทย์เฮลธ์เมดิค &
#ศูนย์การเรียนรู้เฮลธ์เมดิค #ศูนย์การเรียนรู้ทางการแพทย์เฮลธ์เมดิค &

  11138-8 เป็นมาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้องกับ ตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ (Biological Indicators - BIs) สำหรับกระบวนการทำให้ปราศจากเช...
30/07/2025

11138-8 เป็นมาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้องกับ ตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ (Biological Indicators - BIs) สำหรับกระบวนการทำให้ปราศจากเชื้อในผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์

ISO 11138-8 คืออะไร?
พูดง่ายๆ คือ ISO 11138-8:2021 เป็นมาตรฐานที่กำหนด วิธีการตรวจสอบความถูกต้องของระยะเวลาการบ่มที่ลดลง (Reduced Incubation Time - RIT) สำหรับตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ

ทำความเข้าใจกับคำศัพท์
ตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ (BIs): คือชุดเตรียมจุลินทรีย์มาตรฐานที่มีความทนทานสูง (โดยทั่วไปคือสปอร์ของแบคทีเรีย) ใช้เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของกระบวนการทำให้ปราศจากเชื้อ หาก BIs ถูกทำลาย แสดงว่ากระบวนการฆ่าเชื้อมีประสิทธิภาพ

ระยะเวลาการบ่ม (Incubation Time): หลังจากสัมผัสกับกระบวนการทำให้ปราศจากเชื้อแล้ว BIs จะถูกนำไปบ่มในอาหารเลี้ยงเชื้อที่เหมาะสม เพื่อดูว่ามีจุลินทรีย์รอดชีวิตหรือไม่ ระยะเวลาการบ่มคือช่วงเวลาที่จำเป็นในการระบุได้อย่างมั่นใจว่าไม่มีการเจริญเติบโต (ซึ่งหมายถึงการฆ่าเชื้อสำเร็จ)

ระยะเวลาการบ่มที่ลดลง (Reduced Incubation Time - RIT): โดยทั่วไปแล้ว การบ่ม 7 วันมักเป็นมาตรฐาน อย่างไรก็ตาม มีการพัฒนา BIs ที่สามารถอ่านผลได้เร็วขึ้น ISO 11138-8 จึงให้วิธีการที่เป็นมาตรฐานสำหรับผู้ผลิตและผู้ใช้งานในการตรวจสอบว่าระยะเวลาการบ่มที่สั้นลงของ BI นั้นมีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้เท่ากับระยะเวลาการบ่มอ้างอิงที่ยาวกว่า ซึ่งช่วยให้สามารถปล่อยผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการฆ่าเชื้อได้เร็วขึ้น อย่างเช่นสามารถอ่านผลได้เร็วใน 5 นาที 20 นาที และ 24 นาที สำหรับกระบวนการทำให้ปราศจากเชื้อด้วยไอน้ำ (Steam sterilization) และ 90 นาที สำหรับ Ethylene Oxide - EO Sterilization หรือ 4 ชั่วโมง เป็นต้น

#สาระสำคัญของ ISO 11138-8
ขอบเขต: มาตรฐานนี้ระบุข้อกำหนดสำหรับวิธีการทดสอบเพื่อสร้างหรือยืนยัน RIT ที่สั้นกว่าระยะเวลาการบ่มอ้างอิง 7 วันสำหรับ BIs ที่ใช้ใน กระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนชื้น (Moist Heat Sterilization) และ กระบวนการฆ่าเชื้อด้วยเอทิลีนออกไซด์ (Ethylene Oxide - EO Sterilization) และระยะเวลาที่สั้นลงกว่า 7 วัน

การประยุกต์ใช้: ใช้ได้ทั้งกับผู้ผลิต BIs และผู้ใช้งานที่ต้องการสร้าง ตรวจสอบ หรือยืนยัน RIT สำหรับระบบคุณภาพของตน เช่นสามารถอ่านผลได้เร็วใน 5 นาที 20 นาที และ 24 นาที สำหรับกระบวนการทำให้ปราศจากเชื้อด้วยไอน้ำ (Steam sterilization) และ 90 นาที สำหรับ Ethylene Oxide - EO Sterilization หรือ 4 ชั่วโมง

#โดยสรุปแล้ว ISO 11138-8 ช่วยให้มั่นใจได้ว่าเมื่อมีการอ้างว่าตัวบ่งชี้ทางชีวภาพมีระยะเวลาการบ่มที่สั้นลง การอ้างสิทธิ์นั้นได้รับการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์และเชื่อถือได้ ซึ่งมีส่วนช่วยในเรื่องความปลอดภัยของผู้ป่วยในการดูแลสุขภาพ ดังนั้นความรวดเร็วในการอ่านผลใน 5 นาที สำหรับกระบวนการทำให้ปราศจากเชื้อด้วยไอน้ำ และ 90 นาที สำหรับ Ethylene Oxide - EO Sterilization จึงช่วยทำให้สามารถลดระยะเวลารอคอยและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเครื่องมือที่ทำให้ปราศจากเชื้อ

#เรียบเรียงเนื้อหาโดย Dr.Withaya Chanchai, CRCST
Scientific Committees of ICOH for OH for Health Workers

#ศูนย์การเรียนรู้เฮลธ์เมดิค #ศูนย์การเรียนรู้ทางการแพทย์เฮลธ์เมดิค &

#ศูนย์การเรียนรู้เฮลธ์เมดิค #ศูนย์การเรียนรู้ทางการแพทย์เฮลธ์เมดิค &

#ระบบฆ่าเชื้อคุณภาพสูง #ห้องนึ่งฆ่าเชื้อ #เครื่องนึ่งฆ่าเชื้ออัตโนมัติ #เครื่องมือปลอดเชื้อ #โรงพยาบาลปลอดภัย #นวัตกรรมฆ่าเชื้อ #ระบบฆ่าเชื้อครบวงจร ั่นใจทุกขั้นตอน

#นวัตกรรมฆ่าเชื้อ2025 #ศูนย์จ่ายกลางอัจฉริยะ #เครื่องฆ่าเชื้อมาตรฐานโรงพยาบาล

 #การฝึกอบรมพนักงานจ่ายกลางใหม่อย่างมีประสิทธิภาพการทำงานเบื้องหลังในแผนก CSSD (Central Sterile Services Department) ต้อ...
29/07/2025

#การฝึกอบรมพนักงานจ่ายกลางใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ

การทำงานเบื้องหลังในแผนก CSSD (Central Sterile Services Department) ต้องการทีมงานมืออาชีพที่ได้รับการฝึกฝนอย่างถูกต้องและมีเป้าหมายร่วมกันในการรักษาความปลอดภัยของผู้ป่วย

ภาพประกอบโดย: Dr. Withaya Chanchai

🟩 กลยุทธ์ที่ช่วยส่งเสริมความสำเร็จในการฝึกอบรม:

✅ 1. สร้างบรรยากาศที่อบอุ่น

ต้อนรับเจ้าหน้าที่ใหม่ด้วยป้ายต้อนรับ หรือข้อความที่สร้างแรงบันดาลใจ เพื่อให้พวกเขารู้สึกมีคุณค่าและเป็นส่วนหนึ่งของทีมตั้งแต่วันแรก



✅ 2. ให้ข้อมูลครบถ้วนก่อนเริ่มงาน

ส่งอีเมลหรือเอกสารต้อนรับ พร้อมข้อมูล เช่น เวลาทำงาน ตารางการฝึก แนะนำทีม และวิธีเข้าสู่ระบบงาน เพื่อสร้างความมั่นใจ



✅ 3. มอบหมายพี่เลี้ยง (Mentor)

ให้เจ้าหน้าที่ใหม่มีพี่เลี้ยงที่ให้คำแนะนำ เป็นที่ปรึกษา และสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับงานและวัฒนธรรมองค์กรได้



✅ 4. เพิ่มความใกล้ชิดแบบส่วนบุคคล

ผู้จัดการหรือหัวหน้าควรมีการพบปะหรือพูดคุยอย่างเป็นกันเอง เช่น ทานอาหารกลางวันร่วมกัน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี



✅ 5. ตรวจเยี่ยมทุกวัน (Daily Check-ins)

ติดตามความรู้สึก ความคืบหน้า และตอบข้อสงสัยรายวัน เพื่อประเมินว่าการฝึกอบรมเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่



✅ 6. เปิดโอกาสให้ดูการปฏิบัติงานจริง

ให้พนักงานใหม่ได้เข้าสังเกตการณ์ในห้องผ่าตัด เพื่อให้เห็นภาพรวมของการใช้อุปกรณ์จริงและเข้าใจระบบงานมากขึ้น



✅ 7. ให้ “การบ้าน” ที่มีเป้าหมาย

มอบหมายงานอ่านหรือฝึกจำ เช่น ชื่อเครื่องมือ หรือกระบวนการต่างๆ เพื่อช่วยให้จดจำและเข้าใจงานได้ลึกซึ้งขึ้น



✅ 8. ลดเวลาในการสังเกตอย่างเดียว

ไม่ควรให้ผู้เข้าอบรมดูงานเฉย ๆ นานเกินไป เพราะอาจทำให้เบื่อ ควรมีการมีส่วนร่วมและลงมือปฏิบัติเพิ่มขึ้น



✅ 9. ตรวจเยี่ยมทดสอบการเรียนรู้ (ประเมินแบบไม่เป็นทางการ)

พูดคุยหรือทดสอบความเข้าใจแบบกันเอง เช่น ให้ตอบคำถาม หรือให้เล่าขั้นตอนการทำงาน เพื่อประเมินความพร้อม



✅ 10. สร้างบรรยากาศที่สนุกสนานและมีชีวิตชีวา

ใช้กิจกรรมกลุ่ม การเล่นเกม หรือกิจกรรมสร้างทีม เพื่อให้การเรียนรู้มีความสุขและมีความร่วมมือระหว่างเพื่อนร่วมงาน



✅ 11. ตั้งความคาดหวังที่ชัดเจนตั้งแต่ต้น

เช่น “ภายใน 30 วันต้องรู้จักประเภทของกรรไกร 4 แบบ” หรือ “ต้องทำความสะอาดเครื่องมือครบ 5 ขั้นตอน” เพื่อใช้เป็นเป้าหมายวัดผล

#เรียบเรียงเนื้อหาโดย Dr.Withaya Chanchai, CRCST
Scientific Committees of ICOH for OH for Health Workers

#ศูนย์การเรียนรู้เฮลธ์เมดิค #ศูนย์การเรียนรู้ทางการแพทย์เฮลธ์เมดิค &

#ศูนย์การเรียนรู้เฮลธ์เมดิค #ศูนย์การเรียนรู้ทางการแพทย์เฮลธ์เมดิค &

 #การป้องกันการบาดเจ็บจากของมีคม (Sharp Injury Prevention)การป้องกันการบาดเจ็บจากของมีคมมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดความเสี่ยงจา...
28/07/2025

#การป้องกันการบาดเจ็บจากของมีคม (Sharp Injury Prevention)

การป้องกันการบาดเจ็บจากของมีคมมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกบาด แทง หรือบาดเจ็บรูปแบบอื่น ๆ ที่เกิดจากวัตถุมีคม โดยเฉพาะในสถานพยาบาลและสภาพแวดล้อมที่มีการใช้อุปกรณ์แหลมคม เช่น เข็ม ฉลาก และมีดผ่าตัด ซึ่งแนวทางนี้ต้องอาศัยวิธีการแบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้งการลดการใช้ของมีคมที่ไม่จำเป็น การเลือกใช้อุปกรณ์ที่ปลอดภัยกว่า การใช้แนวปฏิบัติในการทำงานที่ปลอดภัย และการฝึกอบรมที่เหมาะสม รวมถึงการจัดการระบบการกำจัดของมีคมอย่างถูกต้อง

#กลยุทธ์สำคัญในการป้องกันการบาดเจ็บจากของมีคม
1. การขจัดและการใช้สิ่งทดแทน (Elimination and Substitution)
พิจารณาว่าสามารถดำเนินการทางการแพทย์บางอย่างโดยไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์มีคมหรือไม่ เช่น ใช้เข็มปลายทู่ (blunt-tipped needles) แทนเข็มปลายแหลม

2. การควบคุมด้วยวิศวกรรม (Engineering Controls)
ใช้อุปกรณ์ที่มีระบบป้องกัน เช่น เข็มที่มีฝาครอบนิรภัย เข็มที่สามารถหดกลับได้ หรือเข็มแบบซ่อนปลาย เพื่อช่วยลดการสัมผัสโดยตรงกับของมีคม

3. การควบคุมด้านการบริหารจัดการ (Administrative Controls)
กำหนดแนวทางการทำงานที่ปลอดภัย เช่น

การใช้ “โซนกลาง” (neutral zone) ในการส่งของมีคมระหว่างเจ้าหน้าที่

#ห้ามการสวมฝาครอบเข็มซ้ำ
#กำหนดขั้นตอนชัดเจนสำหรับการใช้และการกำจัดของมีคม

4. อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE)
ใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่เหมาะสม เช่น ถุงมือกันของมีคมเจาะทะลุได้ (puncture-resistant gloves) อย่างไรก็ตาม PPE ควรถูกใช้เป็น แนวป้องกันสุดท้าย เท่านั้น ไม่ใช่วิธีป้องกันหลัก

5. ภาชนะสำหรับของมีคม (Sharps Containers)
ควรจัดวางภาชนะสำหรับทิ้งของมีคมที่ทนต่อการเจาะทะลุที่ผ่านมาตราฐานในการทดสอบคือ ISO23907 ไว้ให้พร้อมใช้งาน โดยต้องมีการระบุฉลากชัดเจน เข้าถึงง่าย และต้องไม่ปล่อยให้เต็มล้น

6. การฝึกอบรมและให้ความรู้ (Training and Education)
ฝึกอบรมบุคลากรทุกคนให้เข้าใจวิธีการใช้งาน การจัดการ และการกำจัดของมีคมอย่างถูกต้อง รวมถึงการรับรู้ความเสี่ยงและวิธีปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุการณ์บาดเจ็บ

7. ระบบรายงานและสอบสวนอุบัติเหตุ (Incident Reporting and Investigation)
จัดให้มีระบบการรายงานและตรวจสอบทุกกรณีที่เกิดอุบัติเหตุจากของมีคม เพื่อให้สามารถวิเคราะห์แนวโน้ม และปรับปรุงมาตรการป้องกันได้ตรงจุด

8. การจัดการหลังการสัมผัส (Post-Exposure Management)
จัดทำขั้นตอนที่ชัดเจนในการดูแลหลังการสัมผัส เช่น การล้างบาดแผลทันที การประเมินทางการแพทย์ และการติดตามอาการอย่างเหมาะสม

9. การออกแบบอุปกรณ์ (Device Design)
สถานพยาบาลควรเลือกใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีคุณสมบัติป้องกันการบาดเจ็บจากของมีคมในตัว ตามคำแนะนำขององค์การอาหารและยา (FDA)

10. ส่งเสริมวัฒนธรรมด้านความปลอดภัย (Promote a Culture of Safety)
สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมให้มีการรายงานอุบัติเหตุอย่างเปิดเผย โดยไม่ลงโทษ และส่งเสริมให้บุคลากรกล้าแสดงความเห็นและข้อกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัย

#บทสรุป
การใช้กลยุทธ์เหล่านี้ร่วมกันอย่างเป็นระบบ จะช่วยลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บด้วยของมีคมได้อย่างมีนัยสำคัญ และสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับทั้งเจ้าหน้าที่และผู้ป่วย

หากต้องการกล่องทิ้งเข็มที่มีคุณภาพตามมาตราฐานISO23907 สามารถสอบถามจากผู้แทนเฮลธ์เมดิคได้ทุกเขต

#เรียบเรียงโดย Dr.Withaya Chanchai, CRCST
Scientific Committees of ICOH for OH for Health Workers
#ศูนย์การเรียนรู้เฮลธ์เมดิค #ศูนย์การเรียนรู้ทางการแพทย์เฮลธ์เมดิค &
#ศูนย์การเรียนรู้เฮลธ์เมดิค #ศูนย์การเรียนรู้ทางการแพทย์เฮลธ์เมดิค &

🔍       ( ) คืออะไรในงานจ่ายกลางเป็นวิธีการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบเพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาไม่ใช่แค่แก้ปัญหาชั่ว...
28/07/2025

🔍 ( ) คืออะไรในงานจ่ายกลาง
เป็นวิธีการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบเพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา
ไม่ใช่แค่แก้ปัญหาชั่วคราว แต่ขุดลึกไปถึงต้นตอของปัญหานั้น

💡 #ทำไมจึงสำคัญ?
ช่วยวิเคราะห์ปัญหาลึกกว่าระดับรากของปัญหาเพื่อป้องกันปัญหาเดิมไม่ให้เกิดซ้ำอีก

เป็นหัวใจของการจัดการปัญหา การจัดการข้อร้องเรียน และการตรวจประเมิน (Audit)

📆 ควรใช้ RCA ในกรณีใดในหน่วยจ่ายกลาง
1. มีความไม่สอดคล้องซ้ำซ้อนของงานต่างๆ หรือพบผลตรวจประเมินปัญหาที่พบซ้ำๆ
2. แนวโน้มของปัญหาที่พบหลังออกแก้ปัญหาไปแล้ว
3. ความเบี่ยงเบนที่เกิดซ้ำในกระบวนการผลิตหรือระบบคุณภาพ (QMS)
4. ปัญหาที่มีความเสี่ยงสูงหรือผู้ใช้ร้องเรียนมาก

✅ RCA ที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร
1. มุ่งเน้นไปที่ระบบ ไม่ใช่แค่คน
2. รวบรวมความคิดเห็นจากทีมที่ทำงานจริง
3. มีหลักฐานสนับสนุนการแก้ปัญหา
4. ระบุแนวทางป้องกันอย่างเฉพาะเจาะจง
5. มีเอกสารรองรับที่ตรวจสอบย้อนกลับได้

❌ หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเหล่านี้
1. แก้ปัญหาที่อาการ ไม่ใช่ที่สาเหตุ
2. เลือกใช้เครื่องมือไม่ตรงกับปัญหา เช่น ใช้ Fishbone กับปัญหาเล็ก
3. ไม่รับฟังผู้ที่อยู่หน้างาน ซึ่งมักจะรู้ข้อมูลสำคัญ
4. ไม่มีการติดตามผลของแผนปฏิบัติการ

🧰 วิธีการวิเคราะห์ที่นิยม
1. 5 Whys (5 ทำไม) ถามคำถามว่า “ทำไม?” อย่างต่อเนื่อง (5 ครั้งหรือลึกจนกว่าจะถึงรากของปัญหา)
2. แผนภาพก้างปลา (Ishikawa หรือ Fishbone Diagram)
ช่วยจัดหมวดหมู่ปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของปัญหา เช่น
- คน (Manpower)
- เครื่องจักร (Machinery)
- วัสดุ (Materials)
- วิธีการ (Methods)
- สภาพแวดล้อม (Environment)
- การวัดผล (Measurement)
3. Fault Tree Analysis (FTA)
การวิเคราะห์ย้อนรอยสาเหตุด้วยการแตกกิ่งแบบแผนผัง ใช้หาเส้นทางตรรกะที่นำไปสู่เหตุการณ์ล้มเหลว

📊 หลักการพาเรโต (Pareto Principle)
ระบุปัญหาสำคัญด้วยข้อมูลจากข้อร้องเรียนหรือความถี่ของเหตุการณ์
1. สร้างแผนภูมิพาเรโต (Pareto Chart) เพื่อดูผลกระทบ
2. เน้นทำ RCA กับปัญหาที่เกิดบ่อย (80% ของผลมักเกิดจาก 20% ของสาเหตุ)

📌 สรุป
RCA เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมาก ในการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน การวางแผน RCA ที่ดีไม่ใช่แค่การใช้เครื่องมือ แต่คือการเข้าใจกระบวนการทั้งหมด การฟังเสียงจากคนหน้างาน และลงมือแก้ที่รากของปัญหาจริง ๆ

#เรียบเรียงโดย Dr.Withaya Chanchai, CRCST
Scientific Committees of ICOH for OH for Health Workers
#ศูนย์การเรียนรู้เฮลธ์เมดิค #ศูนย์การเรียนรู้ทางการแพทย์เฮลธ์เมดิค &

#ศูนย์การเรียนรู้เฮลธ์เมดิค #ศูนย์การเรียนรู้ทางการแพทย์เฮลธ์เมดิค &

 #จากบทความ “Deep Cleaning” ในเอกสาร Hot Topics May/June 2025 มีเนื้อหาสำคัญเกี่ยวกับบทบาทของการทำความสะอาดเชิงลึกในแผนก...
27/07/2025

#จากบทความ “Deep Cleaning” ในเอกสาร Hot Topics May/June 2025 มีเนื้อหาสำคัญเกี่ยวกับบทบาทของการทำความสะอาดเชิงลึกในแผนกล้างเครื่องมือ (Sterile Processing Department: CSSD)

จากเรื่อง Ofstead ‘Lumens 2.0’ Study
Participants Shed Light
on Experience, Outcomes
จากผู้แต่ง JULIE E. WILLIAMSON, BA,
DIRECTOR OF COMMUNICATIONS
AND EDITOR-IN-CHIEF—HSPA

#การทำความสะอาดเชิงลึก (Deep Cleaning)

ในแต่ละวัน แผนก SPD ต้องเผชิญกับความเร่งรีบในการทำความสะอาด การเตรียมและการฆ่าเชื้อเครื่องมือทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง แต่นอกเหนือจากกิจวัตรประจำวันแล้ว การทำความสะอาดเชิงลึกคือสิ่งสำคัญที่มักถูกละเลย ทั้งที่มีบทบาทในการรักษาสุขอนามัยโดยรวมและความปลอดภัยของผู้ป่วย

#นิยามของ “Deep Cleaning”

การทำความสะอาดเชิงลึกหมายถึงกระบวนการทำความสะอาดพื้นที่และอุปกรณ์ต่างๆ ในระดับลึกกว่าการทำความสะอาดตามปกติ เช่น การขัดล้างคราบฝังแน่นภายในเครื่องนึ่งฆ่าเชื้อ การรื้อและล้างท่อระบายน้ำ การขจัดคราบฝุ่นบนตู้เก็บเครื่องมือ การล้างพัดลมดูดอากาศ และการฆ่าเชื้อพื้นผิวที่เข้าถึงยาก

#ความสำคัญของ Deep Cleaning
1. ลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อนข้าม (Cross Contamination)
คราบโปรตีนที่สะสมและซ่อนอยู่ตามจุดต่างๆ เช่น ขอบพื้นหรือผนังสามารถเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค ซึ่งอาจปนเปื้อนเครื่องมือที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อ

2. ยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์
คราบสกปรกและการสะสมของตะกรันในเครื่องจักรอาจนำไปสู่การสึกหรอและลดประสิทธิภาพของอุปกรณ์ เช่น เครื่องซักล้างอัตโนมัติ (washer-disinfectors)

3. เพิ่มความเชื่อมั่นด้านคุณภาพและการตรวจสอบ
การทำความสะอาดเชิงลึกอย่างสม่ำเสมอเป็นหนึ่งในตัวบ่งชี้ที่ผู้ตรวจสอบคุณภาพหรือหน่วยงานรับรองให้ความสำคัญ เพราะแสดงถึงความใส่ใจในการควบคุมกระบวนการฆ่าเชื้อ

#องค์ประกอบของแผนการทำความสะอาดเชิงลึกที่มีประสิทธิภาพ
• กำหนดความถี่ ควรมีตารางการทำความสะอาดเชิงลึก เช่น รายเดือนหรือรายไตรมาส และเน้นช่วงเวลาที่ภาระงานต่ำ
• กำหนดผู้รับผิดชอบ อาจใช้บุคลากรประจำหรือทีมภายนอก แต่ต้องมีการฝึกอบรมเฉพาะด้าน
• ใช้สารทำความสะอาดที่เหมาะสม ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและไม่ทำลายพื้นผิวหรือเครื่องมือ
• มีระบบตรวจสอบหลังทำความสะอาด เช่น การใช้ ATP testing ตรวจหาความสะอาดเชิงจุลชีววิทยา

#ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติ
• จัดเก็บบันทึกทุกครั้งหลังทำความสะอาดเชิงลึก เพื่อใช้ในการตรวจสอบย้อนหลัง
• ติดป้าย “Cleaning in Progress” ชัดเจนในพื้นที่ที่กำลังทำความสะอาด
• แบ่งพื้นที่ตามระดับความเสี่ยง เพื่อจัดลำดับความสำคัญในการทำความสะอาด
• ฝึกอบรมทีม CSSD เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างการทำความสะอาดประจำวันกับ Deep Cleaning

#สรุป

การทำความสะอาดเชิงลึกไม่ใช่แค่การทำให้พื้นที่ดูสะอาด แต่เป็นการจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการติดเชื้อ และรักษาคุณภาพการให้บริการในระดับสูงสุด ดังนั้นโรงพยาบาลควรบูรณาการการทำความสะอาดเชิงลึกเข้ากับระบบการจัดการคุณภาพอย่างจริงจัง

#เรียบเรียงโดย Dr.Withaya Chanchai, CRCST
Scientific Committees of ICOH for OH for Health Workers

#ศูนย์การเรียนรู้เฮลธ์เมดิค #ศูนย์การเรียนรู้ทางการแพทย์เฮลธ์เมดิค &

 #การทดสอบความคมของอุปกรณ์ทางการแพทย์การทดสอบความคมของอุปกรณ์ เช่น เข็ม มีดผ่าตัด กรรไกร และเครื่องมือศัลยกรรมต่าง ๆ มีค...
26/07/2025

#การทดสอบความคมของอุปกรณ์ทางการแพทย์

การทดสอบความคมของอุปกรณ์ เช่น เข็ม มีดผ่าตัด กรรไกร และเครื่องมือศัลยกรรมต่าง ๆ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยของผู้ป่วยและประสิทธิภาพของอุปกรณ์

✅ 1. ความปลอดภัยของผู้ป่วย (Patient Safety)
🔹 ลดความเจ็บปวดและความเสียหายของเนื้อเยื่อ:
อุปกรณ์ที่คมต้องใช้แรงน้อยลงในการเจาะหรือแทงทะลุเนื้อเยื่อ ทำให้ลดความเจ็บปวดของผู้ป่วยและลดการบาดเจ็บจากขั้นตอนทางการแพทย์

🔹 ลดการบาดเจ็บจากการใช้อุปกรณ์ทื่อ:
หากอุปกรณ์ไม่คม อาจทำให้เกิดการฉีกขาดของเนื้อเยื่อมากเกินไป ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ การสมานแผลล่าช้า และภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ

⚙️ 2. ประสิทธิภาพของอุปกรณ์ (Device Performance)
🔹 ประสิทธิภาพที่สม่ำเสมอ:
การทดสอบความคมช่วยให้อุปกรณ์มีประสิทธิภาพสม่ำเสมอในการใช้งานทุกชิ้น มีความแม่นยำ และเชื่อถือได้

🔹 ความน่าเชื่อถือ:
อุปกรณ์ที่คมมักทำงานได้ตามวัตถุประสงค์ ลดความเสี่ยงที่อุปกรณ์จะล้มเหลวระหว่างใช้งาน

🔹 ยืดอายุการใช้งาน:
ความคมที่เหมาะสมช่วยให้อุปกรณ์ใช้งานได้ยาวนานขึ้น ลดความเสียหายจากการใช้งานบ่อยครั้ง

🧾 3. การปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Regulatory Compliance)
🔹 เป็นไปตามข้อกำหนดมาตรฐาน:
อุปกรณ์ทางการแพทย์จำนวนมากต้องผ่านการทดสอบความคมตามข้อกำหนดของหน่วยงานกำกับดูแล เช่น FDA

🔹 การรับรองจาก FDA:
การทดสอบความคมอย่างครอบคลุมช่วยให้ผู้ผลิตได้รับการอนุมัติจากหน่วยงาน เช่น องค์การอาหารและยา (FDA)

💰 4. ประสิทธิภาพด้านต้นทุน (Cost Efficiency)
🔹 ลดของเสียจากการผลิต:
การตรวจสอบความคมตั้งแต่ต้นกระบวนการผลิต ช่วยลดจำนวนสินค้าที่ต้องทิ้ง และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

🔹 ลดการเรียกคืนสินค้า:
การทดสอบความคมเชิงรุกสามารถป้องกันการเรียกคืนสินค้าอันเนื่องมาจากความล้มเหลวของอุปกรณ์ ซึ่งมักมีค่าใช้จ่ายสูงและส่งผลต่อชื่อเสียงของบริษัท

⚖️ 5. การลดความเสี่ยง (Risk Mitigation)
🔹 ลดความเสี่ยงทางกฎหมาย:
การจัดการความคมของอุปกรณ์อย่างรัดกุม ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกฟ้องร้องกรณีที่เกิดเหตุจากอุปกรณ์ไม่คม

🔹 รักษาชื่อเสียงองค์กร:
อุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานในด้านความคม สร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งผู้ใช้ (แพทย์/พยาบาล) และผู้ป่วย ส่งผลต่อชื่อเสียงของทั้งผู้ผลิตและสถานพยาบาล

📌 สรุป
การทดสอบความคมของอุปกรณ์ทางการแพทย์จึงเป็นกระบวนการที่ สำคัญอย่างยิ่ง ต่อ:
ความปลอดภัยของผู้ป่วย
ประสิทธิภาพของอุปกรณ์
การปฏิบัติตามกฎหมาย
ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์
การบริหารความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ขององค์กร

#เรียบเรียงโดย Dr.Withaya Chanchai, CRCST
Scientific Committees of ICOH for OH for Health Workers

#สถาบันเรียนรู้ทางการแพทย์เฮลธ์เมดิค #ศูนย์การเรียนรู้ทางการแพทย์เฮลธ์เมดิค &

 #แผ่นใยขัดทางการแพทย์ (Scrub Pad ชนิด Medical Grade) ผลิตภัณฑ์ “BATRIK” ในบริบทของอุปกรณ์ทางการแพทย์ กับมาตรฐานการทำควา...
25/07/2025

#แผ่นใยขัดทางการแพทย์ (Scrub Pad ชนิด Medical Grade) ผลิตภัณฑ์ “BATRIK” ในบริบทของอุปกรณ์ทางการแพทย์ กับมาตรฐานการทำความสะอาดและการทำให้ปราศจากเชื้อของอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยหลักการทั่วไปก็คือ แผ่นใยขัดที่ใช้กับอุปกรณ์ทางการแพทย์จะต้องไม่ทำให้วัสดุของอุปกรณ์เสียหาย ไม่ก่อให้เกิดการปนเปื้อน และสามารถทำความสะอาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

#ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณา

1. ความเข้ากันได้กับวัสดุ (Material Compatibility)
วัสดุที่ใช้ทำแผ่นใยขัดต้องเข้ากันได้กับวัสดุที่ใช้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายหรือเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ในระหว่างการทำความสะอาด

2. ความทนต่อกระบวนการทำให้ปราศจากเชื้อ (Sterilization Compatibility):
แผ่นใยขัดสามารถทนต่อกระบวนการทำให้ปราศจากเชื้อที่ใช้กับอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น การนึ่งฆ่าเชื้อด้วยไอน้ำ (autoclave) หรือการใช้สารเคมีฆ่าเชื้อ โดยวัสดุบางชนิดอาจหลอมละลายหรือเสื่อมสภาพได้ภายใต้เงื่อนไขบางประการของกระบวนการฆ่าเชื้อ

3. ความเสี่ยงต่อการปนเปื้อน (Contamination Risk)
แผ่นใยขัดไม่ปล่อยอนุภาค เส้นใย หรือสารเคมีใด ๆ ที่อาจปนเปื้อนกับอุปกรณ์ หรือก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้ป่วย

4. ประสิทธิภาพในการทำความสะอาด (Cleaning Efficacy)
แผ่นใยขัดควรสามารถขจัดสิ่งสกปรก คราบโปรตีน หรือเชื้อจุลชีพที่สะสมอยู่บนพื้นผิวของอุปกรณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. การปฏิบัติตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง (Standard Compliance):
แผ่นใยขัดรวมถึงกระบวนการทำความสะอาดที่เกี่ยวข้องต้องสอดคล้องกับมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น มาตรฐาน ISO, ASTM หรือข้อกำหนดจากหน่วยงานกำกับดูแล

#มาตรฐานที่เกี่ยวข้อง

1. ISO 11607-1 และ ISO 11607-2
มาตรฐานเหล่านี้ว่าด้วยบรรจุภัณฑ์สำหรับอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ผ่านกระบวนการทำให้ปราศจากเชื้อ ซึ่งเกี่ยวข้องโดยอ้อมกับขั้นตอนการทำความสะอาด เนื่องจากส่งผลต่อความปลอดเชื้อของผลิตภัณฑ์สุดท้าย

2. ISO 10993 series
ชุดมาตรฐานนี้เกี่ยวข้องกับการประเมินความเข้ากันได้ทางชีวภาพ (biocompatibility) ของอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับวัสดุที่ใช้ทำแผ่นใยขัด

3. ASTM F1886
มาตรฐานนี้ว่าด้วยความสมบูรณ์ของซีลในบรรจุภัณฑ์ทางการแพทย์ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากกระบวนการทำความสะอาด

4. มาตรฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ขึ้นอยู่กับชนิดของอุปกรณ์ทางการแพทย์และวิธีการทำความสะอาด อาจมีมาตรฐานเฉพาะด้านเพิ่มเติม เช่น มาตรฐานการทดสอบประสิทธิภาพการทำความสะอาด หรือมาตรฐานเฉพาะสำหรับวัสดุบางประเภท

#สรุป

แผ่นใยขัดที่ใช้กับอุปกรณ์ทางการแพทย์จะต้องได้รับการคัดเลือกอย่างระมัดระวัง เพื่อให้มั่นใจว่าสอดคล้องกับข้อกำหนดของวัสดุและกระบวนการทำให้ปราศจากเชื้อ รวมถึงไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการปนเปื้อน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการทำความสะอาดและการทำให้ปราศจากเชื้อของอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อให้มั่นใจว่าวัสดุที่ใช้และกระบวนการที่เกี่ยวข้องสอดคล้องกับมาตรฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

#เรียบเรียงโดย Dr.Withaya Chanchai, CRCST
Scientific Committees of ICOH for OH for Health Workers

#ศูนย์การเรียนรู้เฮลธ์เมดิค #ศูนย์การเรียนรู้ทางการแพทย์เฮลธ์เมดิค &

ที่อยู่

เลขที่ 1768 ไทยซัมมิท ทาวเวอร์ ห้อง 405 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวง บางกะปิ เขตห้วยขวาง
Bangkok
10310

เบอร์โทรศัพท์

+6620966333

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ HMDAผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง HMDA:

แชร์