โลกสดใส หัวใจเบิกบาน

โลกสดใส หัวใจเบิกบาน สินค้านวัตกรรม ของแท้ 100% จากบริษัท ด? สินค้านวัตกรรม ของแท้ 100% จากบริษัท ดีเน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ ดูแลฟื้นฟูทุกระบบของสุขภาพคุณ

06/12/2017

15ผลไม้ลดท้องผูก
อาการท้องผูก นับว่าพบได้มากในผู้คนยุคปัจจุบัน แม้ว่าจะไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร แต่ก็มักสร้างปัญหาในชีวิตประจำวัน ทั้งการถ่ายอุจจาระไม่ออก ก็อาจนำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บมากมายโดยจะทำให้รู้สึกอึดอัด อ่อนแรง หงุดหงิดง่าย แล้วหากว่าปล่อยให้อาการท้องผูกเป็นเรื้อรังนานๆ ก็มีโอกาสเป็นริดสีดวงและอาจร้ายแรงถึงขั้นมะเร็งลำไส้ได้ สาเหตุสำคัญของอาการท้องผูกคือการรับประทานอาหารที่มีกากใยไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงควรเลือกรับประทานอาหารที่มีกากใยมากๆ และมีฤทธิ์ช่วยให้ระบาย อย่างที่ Kaijeaw.com มีมาแนะนำกันในวันนี้ค่ะ ได้แก
1. มะขามเปียก นอกจากมะขามเปียกจะมีกากใยอาหารแล้วด้วยรสเปรี้ยวมีฤทธิ์ทำให้ระบายอ่อนๆหากมีอาการท้องผูกรุนแรงแนะนำให้นำมาขยำกับน้ำสุกประมาณ 3 แก้ว จะได้น้ำมะขามข้นๆ เติมเกลือลงไป 1 ช้อนกาแฟแล้วดื่มให้หมดก่อนนอนประมาณ 1-2 ชั่วโมง จะช่วยทำให้ถ่ายง่าย
2. มะขามแขก มีฤทธิ์เป็นยาระบายเช่นกัน ใช้ใบแห้ง 1-2 หยิบมือ หรือ ใช้ฝัก 4-5 ฝัก หักเป็นชิ้นเล็กๆ ต้มกับน้ำ 1 ถ้วย นาน 15 นาทีดื่มก่อนนอนถ้ามีอาการแน่นจุกเสียดให้ใช้ร่วมกับยาขับถ่าย เช่น ขิงแก่ กระวาน หรือ กานพูล มีข้อควรระวังคือ อย่ารับประทานมะขามติดต่อกันนานเกินไปควรใช้รักษาอาการท้องผูกเป็นครั้งคราวเท่านั้น เพราะจะทำให้ขาดธาตุโปแตสเซียม และทำลายระบบประสาทที่ควบคุมการบีบตัวของลำไส้ได้
3. พรุน รับประทานได้ทั้งแบบผล และน้ำลูกพรุนที่มีวางขายทั่วไป เพื่อจะได้กากอาหาร ควรรับประทานทานตอนกลางคืนก่อนเข้านอน ควรระวังปริมาณน้ำตาลที่สูงมาก ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยง
4. แอปเปิลเขียว ใน 1 ผล ให้ใยอาหารมากถึง 4.4 กรัม ที่สำคัญยังมีน้ำตาลน้อยอีกด้วย และไม่ควรปอกเปลือกนะคะ เพราะเปลือกแอปเปิลมีกากใยมากยิ่งกว่า สามารถกินทั้งผลหรือปั่นทั้งกากก็ได้
5. ถั่วดำ ถือเป็นธัญพืชที่มีใยอาหารสูงมาก โดยถั่วดำต้มหรือนึ่ง 1 ถ้วย มีใยอาหารมากถึง 15 กรัม
6. สับปะรด มีกากใยอาหารอาหารมากซึ่งมีความสำคัญกับการย่อยอาหาร
ในสับปะรดมีเอนไซม์ตามธรรมชาติที่มีชื่อว่า “บรอมีเลน” สามารถช่วยย่อยอาหารได้ทั้งใสภาวะเป็นกรดและด่าง จึงเหมาะมากที่จะพาไปช่วยย่อยในกระเพาะซึ่งเป็นกรด หากกินสัปปะรดหลังอาหารเป็นประจำจะช่วยในเรื่องของระบบขับถ่ายได้ดี
7. มะละกอ ทานได้ทั้งแบบสุกและแบบดิบ มีสรรพคุณที่ช่วยในการขับปัสสาวะ และมะละกอยังเป็นยาระบายอ่อนๆ สำหรับผู้ที่ขับถ่ายไม่ค่อยสะดวกอีกด้วย ลองนำมะละกอสุกไปแช่เย็น จะช่วยให้ทานง่ายและมีรสชาติดีขึ้น แต่ก็ไม่ควรทานบ่อยและติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะอาจจะทำให้ผิวดูเหลืองขึ้นไ
8. เม็ดแมงลัก เมื่อนำไปแช่น้ำจะทำให้มีเมือกหล่อลื่น ช่วยให้อุจจาระอ่อนตัว จะช่วยให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น ใช้เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา แช่ในน้ำเปล่า 1 แก้ว (250 ซีซี) รอให้พองตัวเต็มที่ แล้วค่อยดื่มก่อนนอน โดยต้องรอให้แมงลักพองตัวเต็มที่ก่อนจึงจะทานได้ไม่เช่นนั้นเม็ดแมงลักจะไปดูดน้ำจากกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้อุจจาระแข็งและอุดตันเกิดอาการท้องผูกมากยิ่งขึ้น
9. ขี้เหล็ก สมุนไพรที่มีฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ ช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น รับประทานอาหารไม่ได้ และมีอาการท้องผูก ให้นำใบอ่อนหรือดอกตูมมาประกอบอาหารรับประทาน หรือจะนำใบขี้เหล็ก 4-5 กำมือ มาต้มกับน้ำพอท่วม แล้วดื่มก่อนนอน ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการนอนไม่หลับได้อีกด้วย
10. กล้วยน้ำว้าสุก เป็นผลไม้ที่มีสารเพ็กตินสูง ช่วยเพิ่มกากอาหาร และยังมีเมือกลื่นทำให้ขับถ่ายได้สะดวกขึ้น ทานตอนเช้าขณะท้องว่าง 2-4 ผล แล้วดื่มน้ำตามให้มาก ควรทานเป็นประจำทุกวัน
11. มะเฟือง ผลไม้รสเปรี้ยวชนิดนี้สามารถบรรเทาอาการท้องผูกได้เช่นกัน เพราะมีฤทธิ์เป็นยาระบาย และยังช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารด้วย โดยทานมะเฟือง 2-3 ลูก
12. เมล็ดแฟล็กซ์ (flaxseed) อาจโรยลงในซีเรียล หรือสลัด เมื่อทานแล้วจะไปพองตัวในร่างกาย ช่วยดูดซึมของเหลว และไปเพิ่มกากอาหารให้กับอุจจาระ
13. ชุมเห็ดเทศ เป็นสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์เป็นยาระบายได้ผลดี โดยให้ใช้ดอกสดมาต้มจิ้มกินกับน้ำพริก หรือนำใบสดไปหั่นตากแห้ง แล้วนำไปต้มดื่มเป็นน้ำชาก็ได้
14. น้ำผึ้ง นำน้ำผึ้งผสมน้ำดื่มเป็นอาหารคลายท้องผูกชั้นเยี่ยม เพราะน้ำผึ้งมีฤทธิ์ช่วยระบายอยู่แล้ว จากอณูน้ำตาลสุขภาพที่มีอยู่แล้วจากอณูน้ำตาลสุขภาพที่มีอยู่มาก หากได้น้ำสะอาดเพิ่มเข้าไปด้วยก็จะช่วยให้กากอาหารอ่อนนุ่มลงแบบธรรมชาต
15. ว่านหางจระเข้ นำมาปอกเปลือกล้างให้สะอาดเอาเฉพาะวุ้นใสๆ ของว่านหางจระเข้ มีส่วนช่วยลำไส้ได้มากอย่างมาก เพราะมันมีเส้นใยที่ดีต่อสุขภาพอยู่ หรือจะนำมาปั่นทำเป็น “น้ำว่านหางจระเข้” ดื่มก็จะสะดวกยิ่งขึ้น

5 วิธีการดูแล"ดวงตา"ให้สดใส ปิ๊งวั๊บ💫💫🌟🌟✨✨👀👀👀👀✨✨✨💫💫
22/11/2017

5 วิธีการดูแล"ดวงตา"ให้สดใส ปิ๊งวั๊บ💫💫🌟🌟✨✨👀👀👀👀✨✨✨💫💫

7 วิธีดูแลดวงตาขอิงคุณ1. ทานอาหารมีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะพืชผักผลไม้ที่มีวิตามินเอ เช่น ผักบุ้ง แครอท ตำลึง ผักค...
22/11/2017

7 วิธีดูแลดวงตาขอิงคุณ

1. ทานอาหารมีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะพืชผักผลไม้ที่มีวิตามินเอ เช่น ผักบุ้ง แครอท ตำลึง ผักคะน้า ฟักทอง มะม่วงสุก มะละกอ

2. หลับตาเพื่อพักสายตา ทุก 1 ชั่วโมง เมื่อใช้สายตามากๆ หรือนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ

3.สวมแว่นกันแดดทุกครั้งเมื่อต้องเจอแสงแดด
4.การดูโทรทัศน์ควรปรับความสว่างของจอให้พอควร และควรนั่งห่างจากโทรทัศน์ประมาณ 5 เท่าของขนาดจอ

5. เมื่อมีฝุ่นละอองหรือเศษผงเข้าตา ห้ามใช้มือขยี้ตาให้ใช้น้ำสะอาดหรือน้ำยาล้างตา

6. ควรบริหารดวงตา ทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง การบริหารง่ายๆ คือหน้าตั้งคอตรงกรอกลูกตาหมุนเป็นวงกลม ตามเข็มนาฬิกา และ ทวนเข็มนาฬิกา ทำต่อเนื่องกัน 10 ครั้ง

7. ควรตรวจสุขภาพตา จากจักษุแพทย์ปีละครั้ง เพื่อรักษาสุขภาพดวงตาให้ดีอยู่เสมอ

สรรพคุณของตะไคร้ ประโยชน์ดี ๆ ของสมุนไพรใกล้ตัวอุดมไปด้วยวิตามิน     อย่าคิดว่าตะไคร้มีประโยชน์แค่ใช้ปรุงอาหารเท่านั้น เ...
17/11/2017

สรรพคุณของตะไคร้ ประโยชน์ดี ๆ ของสมุนไพรใกล้ตัว

อุดมไปด้วยวิตามิน
อย่าคิดว่าตะไคร้มีประโยชน์แค่ใช้ปรุงอาหารเท่านั้น เพราะที่จริงแล้วตะไคร้นั้นอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุมากมาย ทั้งวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินบี นอกจากนี้ยังมีโฟเลต แมกนีเซียม สังกะสี ทองแดง ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แคลเซียม แมงกานีส โอ้โห้ ... วิตามินเยอะขนาดนี้คราวหน้าเจอตะไคร้ในอาหารก็อย่าเขี่ยทิ้งนะ

ช่วยไล่แมลง
นอกจากจะนำมาทำอาหารแล้ว ตะไคร้ยังมีประโยชน์ในการไล่แมลงอีกด้วย เพราะในตะไคร้มีน้ำมันหอมระเหยอยู่ทั้งในใบและในลำต้น ซึ่งน้ำมันหอมระเหยเหล่านี้มีคุณสมบัติในการไล่แมลงได้อย่างดี จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะได้เห็นผลิตภัณฑ์สบู่ ผลิตภัณฑ์ไล่แมลงที่มีส่วนผสมของตะไคร้วางขายอยู่ในท้องตลาดมากมาย ใครที่ชอบกลิ่นตะไคร้ละก็ลองหามาใช้ได้นะคะ

ล้างสารพิษ
สำหรับคนที่รักสุขภาพและชอบล้างพิษในร่างกายบ่อย ๆ ไม่ควรพลาดเจ้าตะไคร้เลยค่ะ เพราะว่ามันมีคุณสมบัติในการล้างสารพิษในร่างกายด้วยการทำให้คุณปัสสาวะบ่อยขึ้น เนื่องจากสารเคมีที่อยู่ในตะไคร้จะช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร อย่างเช่น ตับ ตับอ่อน ไต และกระเพาะปัสสาวะ ขับสารพิษและกรดยูริกออกจากร่างกาย ทำให้ระบบย่อยอาหารของคุณสะอาดขึ้น และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ

ช่วยย่อยอาหาร
ตะไคร้ช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นค่ะ เพราะมีการศึกษาหนึ่งพบว่าการดื่มชาตะไคร้จะช่วยในการย่อย ลดอาการปวดท้อง แก้หวัด ลดอาการตะคริวในลำไส้ และท้องเสียได้ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันและลดแก๊สในลำไส้ได้อีกด้วย

ช่วยซ่อมแซมและบำรุงระบบประสาท
มีการศึกษาจำนวนไม่น้อยพบว่าตะไคร้สามารถช่วยซ่อมแซมและเสริมความแข็งแรงให้กับระบบประสาทได้ พิสูจน์ได้ง่าย ๆ ด้วยการนำน้ำมันหอมระเหยตะไคร้มาหยดลงบนผิว คุณจะรู้สึกได้ว่ามันอุ่น ๆ ซึ่งมันจะทำให้กล้ามเนื้อของคุณผ่อนคลายมากและลดอาการตะคริวได้ แต่ก็อย่าลืมว่าทุกครั้งที่จะใช้น้ำมันหอมระเหยตะไคร้คุณควรที่จะผสมมันกับน้ำมันตัวพา (Carrier oil) และห้ามใช้น้ำมันหอมระเหยโดยตรงกับผิวเด็ดขาดค่ะ

ช่วยรักษาอาการอักเสบ
ตะไคร้สามารถช่วยทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและบรรเทาอาการปวดต่าง ๆ ได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการอักเสบซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดต่าง ๆ เช่น ปวดฟัน ปวดกล้ามเนื้อ หรือการปวดตามข้อได้อีกด้วย ดังนั้นถ้าหากคุณรู้สึกปวดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ลองหาน้ำมันที่ผสมน้ำมันหอมระเหยตะไคร้มานวดดูนะคะรับรองว่าหายแน่นอน

ประโยชน์ของมะเขือผล : ผลมะเขือเปราะช่วยลดไข้ ลดการอักเสบ ลดความดันเลือด ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรี...
17/11/2017

ประโยชน์ของมะเขือ

ผล : ผลมะเขือเปราะช่วยลดไข้ ลดการอักเสบ ลดความดันเลือด ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบ กระตุ้นการเผาผลาญกระตุ้นการขับถ่าย ช่วยขับพยาธิ รักษาเบาหวาน ต้านมะเร็ง และช่วยบำรุงหัวใจได้

ใบ : นำมาขยำแล้วพอกบริเวณแผล จะช่วยห้ามเลือดและรักษาแผลให้หายไวขึ้น และหากนำใบสดมาเคี้ยวจะช่วยบรรเทาอาการเหงือกอักเสบได้ นอกจากนี้การนำใบมะเขือเปราะมาต้มแล้วดื่มยังช่วยแก้อาการร้อนในและช่วยขับปัสสาวะได้ดี แถมยังนำมาต้มอาบแก้บรรเทาอาการคันตามผิวหนังได้ด้วย

ราก : นำรากมะเขือเปราะมาต้มดื่มช่วยขับปัสสาวะ บรรเทาอาการไอ แก้อาการอักเสบในลำคอ และแก้โรคหอบหืดได้ หรือหากนำมาเคี้ยวยังช่วยบรรเทาอาการเหงือกบวม เหงือกอักเสบ และลดอาการปวดฟันได้อีกด้วย

10 สรรพคุณของผักกูด ประโยชน์ในการรักษาโรค1. ผักกูดมีธาตุเหล็กซึ่งเป็นสารอาหารที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ มีประโยชน์ต่อการช่...
14/11/2017

10 สรรพคุณของผักกูด ประโยชน์ในการรักษาโรค

1. ผักกูดมีธาตุเหล็กซึ่งเป็นสารอาหารที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ มีประโยชน์ต่อการช่วยดูดซึมสารอาหารและเอนไซม์บางชนิดจากโปรตีนเข้าสู่ร่างกายได้ดี ธาตุเหล็กยังมีหน้าที่สำคัญคือการเป็นองค์ประกอบของเม็ดเลือดแดง

2. ผักกูดอุดมด้วยเบต้าแคโรทีนสูงซึ่งจะช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณ เมื่อถูกย่อยสลายที่ตับแล้วจะได้วิตามินเอ ป้องกันการเสื่อมของดวงตาและลดความเสี่ยงการเป็นต้อกระจกลงได้

3. ผักกูดเมื่อนำส่วนของใบมาต้มหรือกินสดจะมีสรรพคุณช่วยแก้พิษไข้ ลดอาการไข้ตัวร้อน รักษาพิษอักเสบ ช่วยบำรุงเลือด ป้องกันโรคโลหิตจาง เลือดออกตามไรฟัน และช่วยขับปัสสาวะ

4. ประโยชน์ของผักกูดช่วยลดระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดลง ซึ่งจะเป็นผลดีในการลดโอกาสการเกิดโรคเรื้อรังได้หลายชนิด อาทิ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน หรือภาวะหัวใจขาดเลือด

5. ผักกูดจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายมีความแข็งแรง มีประสิทธิภาพในการช่วยป้องกันและต่อต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย

6. ผักกูดมีสรรพคุณช่วยบำรุงร่างกายไม่ให้อ่อนเพลียหรือซีดง่าย ทำให้ระบบการทำงานภายในต่างๆ เกิดความสมดุลและทำงานดีขึ้น เพราะอุดมด้วยสารอาหารอย่างวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นมากมาย

7. ผักกูดเป็นผักที่ใบมีรสเย็นจึงมีคุณสมบัติช่วยดับร้อนในร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถปรับระดับของอุณหภูมิภายในเข้ากับสภาพอากาศร้อนๆ ได้ดีมาก

8. ผักกูดยังมีประโยชน์เป็นแหล่งของเส้นใยอาหารและแคลเซียมสูงในปริมาณที่กินแทนนมตามหลักโภชนาการแนะนำได้เลยทีเดียว

9. สรรพคุณผักกูดมีฤทธิ์ในการเป็นอาหารและยาช่วยระบาย หากนำใบผักกูดมาตำพอแหลกแล้วพอกบริเวณผิวหนังที่มีอาการคันจะช่วยบรรเทาและทำให้ผิวหนังรู้สึกสบายขึ้น

10. ผักกูดมีธาตุฟอสฟอรัสซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญต่อร่างกายพอๆ กับแคลเซียม จะช่วยในการบำรุงกระดูกและฟัน เป็นองค์ประกอบของเนื้อเยื่อเซลล์ ช่วยในการทำงานของเซลล์ การดูดซึมและระบบการขับถ่ายด้วย

หากคุณเองก็ยังไม่รู้จักผักกูดหรืออาจจะรู้จักแต่ไม่เคยกินสักครั้ง เห็นที่คราวนี้คงต้องหันกลับมาสนใจทำความรู้จักกับผักพื้นบ้านชนิดนี้กันมากขึ้นแล้ว เพราะผักกูดมีสรรพคุณและประโยชน์ทางสารอาหารมากมายซึ่งร่างกายต้องการ และเป็นยาสมุนไพรใกล้ตัวที่จะช่วยรักษาและป้องกันโรค ทำให้ร่างกายแข็งแรง สุขภาพดี โดยปลอดภัยจากสารเคมีโดยเฉพาะผักกูดที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ

4 สมุนไพรช่วยบำรุงตับ1. ขมิ้นชัน (สมุนไพรช่วยบำรุงตับ) ถ้าต้องการขับพิษออกจากตับ ขมิ้นชันคือคำตอบที่ตรงใจที่สุด นอกจากช่...
14/11/2017

4 สมุนไพรช่วยบำรุงตับ

1. ขมิ้นชัน (สมุนไพรช่วยบำรุงตับ) ถ้าต้องการขับพิษออกจากตับ ขมิ้นชันคือคำตอบที่ตรงใจที่สุด นอกจากช่วยขับพิษสะสมในตับแล้วสรรพคุณของขมิ้นชันบังช่วยบำรุงฟื้นฟู และล้างสารพิษออกจากตับได้ เราสามารถเลือกรับประทานขมิ้นชันแบบแคปซูลก่อนนอน เพื่อบำรุงตับ และควรกินวันละ 5,000-8,000 มิลลิกรัมต่อวัน

2. เก๋ากี้ (สมุนไพรช่วยบำรุงตับ) ขึ้นชื่อว่าเป็นสุดยอดของแหล่งสารอาหาร ประโยชน์ของเก๋ากี้ไม่สามารถบรรยายตรงนี้ได้คบ เอาเป็นว่าช่วยป้องกันไขมันพอกตับ ช่วยให้ตับทำงานได้ดีขึ้น สามารถรับประทานได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น ต้มชาดื่ม ปรุงเป็นโจ้ก หรือนำไปเป็นส่วนผสมของแกง ต้มจืด เครื่องตุ๋นยาจีนเป็นต้น (สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในบทความประโยชน์ของเก๋ากี้

3. กระเทียม (สมุนไพรช่วยบำรุงตับ) เนื่องจากกระเทียมมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นให้ตับผลิตเอนไซม์ตัวที่ช่วยขับสารพิษออกไป อีกทั้งกระเทียมยังมีสารอัลลิซิน และ ซีลีเนียม สององค์ประกอบนี้เป็นส่วนสำคัญจากธรรมชาติที่ช่วยดีท็อกซ์พิษตับออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ

4. มะขามป้อม (สมุนไพรช่วยบำรุงตับ) รู้หรือไม่ว่ามะขามป้อมมีวิตามินซีมากกว่าแอปเปิลถึง 160 เท่า วึ่งวิตามินซีในมะขามป้อมจะช่วยรักษาอาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ป้องกันการเกิดพิษโลหะหนักในตับ และลดความเสี่ยงโรคมะเร็งตับได้

4 ผักช่วยบำรุงตับ1. กะหล่ำปลี (ผักช่วยบำรุงตับ) สำหรับคนที่ต้องรับประทานยารักษาโรคเป็นประจำ แถมยังต้องเผชิญมลภาวะตามท้อง...
14/11/2017

4 ผักช่วยบำรุงตับ

1. กะหล่ำปลี (ผักช่วยบำรุงตับ) สำหรับคนที่ต้องรับประทานยารักษาโรคเป็นประจำ แถมยังต้องเผชิญมลภาวะตามท้องถนนที่แออัดเร่งรีบ จนอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคตับพิการ รู้หรือไม่ว่ากะหล่ำปลีช่วยเพิ่มสารกลูต้าไธโอนที่มีคุณสมบัติช่วยล้างควันพิษและสารเคมีจากยาที่สะสมในตับได้ด้วยนะ

2. ผักใบเขียว (ผักช่วยบำรุงตับ) ไม่ว่าจะเป็นผักโขม ผักกาดหอม รวมถึงผักใบเขียวชนิดอื่นๆ มีคุณสมบัติป้องกันการเกิดโลหะหนักในตับและชะล้างสารเคมีที่สะสมในตับ โดยเฉพาะสารเคมีประเภทยาฆ่าแมลงที่ร่างกายมักจะได้รับจากการบรอโภคอาหารที่ไม่สะอาด คำแนะนำคือควรบริโภคผักปลอดสารหรือผัวริมรั้วที่ปลูกได้เอง

3. ชาเขียว (ผักช่วยบำรุงตับ) ชาเขียวถือว่าเป็นมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างดีเยี่ยม และแน่นอนว่ามันย่อมช่วยในเรื่องของการบำรุงตับด้วย แถมยังมีสรรพคุณช่วยป้องกันมะเร็งตับได้เป็นอย่างดี (สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในบทความเรื่องประโยชน์ของชาเขียว)

4. ผักประเภทหัว (ผักช่วยบำรุงตับ) นอกจากกะหล่ำปลียังมีบล็อกโคลี มันเทศ ที่มีกลูโคโซโนเลต สารอาหารที่หาได้จากพืชผัก แต่มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการผลิตเอนไซมน์ในตับอ่อนเพื่อช่วยต่อต้านสารพิษ และยังมีเอนไซม์ที่ช่วยย่อย รู้มั้ยว่าการย่อยเกี่ยวอะไร? เมื่อระบบย่อยทำงานได้เป็นปกติก็ถือว่าตับได้ล้างสารพิษออกจากตัวเองด้วยเช่นกัน

5 ผลไม้บำรุงตับ1. ลิ้นจี่ (ผลไม้บำรุงตับ) รู้หรือไม่ว่าลิ้นจี่อุดมไปด้วยโปรตีน ไขมัน กลูโคส ซูโครส วิตามิน เอ, บี, และกร...
14/11/2017

5 ผลไม้บำรุงตับ

1. ลิ้นจี่ (ผลไม้บำรุงตับ) รู้หรือไม่ว่าลิ้นจี่อุดมไปด้วยโปรตีน ไขมัน กลูโคส ซูโครส วิตามิน เอ, บี, และกรดซิตริก โดยตามศาสตร์การแพทย์แผนจีน ลิ้นจี่ถือเป็นผลไม้ทีมีฤทธิ์อุ่น ช่วยบำรุงตับและบรรเทาอาการตับอักเสบได้คำแนะนำคือ ผู้ที่มีอาการคอแห้ง เจ็บคอ ปวดฟัน หรือท้องผูกไม่ควรรับประทานลิ้นจี่ในปริมาณที่มาก เพราะลิ้นจี่มีฤทธิ์อุ่น ซึ่งอาจส่งผลให้อาหารเหล่านี้ทาวีคูณนั่นเอง

2. แครอท (ผลไม้บำรุงตับ) รู้หรือไม่ว่าแครอทไม่ได้ช่วยแค่เรื่อง ผิวพรรณ หรือดวงตาเท่านั้นนะ แต่ยังช่วยในเรื่องของตับด้วย เพราะแครอทอุดมไปด้วยวิตามินหลากชนิด ไม่ว่าจะเป็น วิตามินเอ, บี1, บี2, ซี, ดี และวิตามินเค รวมทั้งยังมีกรดโฟลิก ฟอสฟอรัส โซเดียม โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก สังกะสี และทองแดง ในด้านการแพทย์แผนจีนนับว่าแครอทเป็นผักที่มีฤทธิ์อุ่น จึงช่วยบำรุงตับ บำรุงเลือด ได้ดี และช่วยแก้อาการอาหารไม่ย่อยได้อีกด้วย

3. เกรปฟรุต (ผลไม้บำรุงตับ) ผลไม้ชนิดนี้อุดมไปทั้งวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็น 2 ตัวช่วยที่สำคัญในการล้างพิษตับ และช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งตับ โดยเราสามารถรับประทานแบบสดๆ หรือจะนำไปคั้นน้ำดื่มก็ได้

4. อะโวคาโด (ผลไม้บำรุงตับ) นอกจากกรดไขมัน โอเมก้า3 และ6 ที่อุดมอยู่ในอะโวคาโดแล้ว กลูต้าไธโอนยังเป็นจุดเด่นของอะโวคาโดอีกด้วย สิ่งนี้คือสิ่งที่ช่วยดูแลตับได้เป็นอย่างดี เจ้าอะโวคาโดช่วยล้างพิษที่สะสมในตับและช่วยลดโอกาสเกิดโลหะหนักสะสมในตับได้อีกด้วยนะ

5. วอลนัท (ผลไม้บำรุงตับ) สิ่งที่ตับต้องการจากวอลนัทก็คือ กรดไขมันโอเมก้า3 และกลูค้าไธโอน ตัวช่วยสำคัญในกระบวนการขับสารพิษออกจากตับ ช่วยบำรุงการทำงานของตับให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

การล้างพิษ หรือดีท็อกซ์ (Detox) สามารถทำได้หลายวิธี แต่ที่สะดวกและง่ายที่สุดก็คือ “การกิน” โดยอาศัยหลักการรับสารต้านอนุม...
13/11/2017

การล้างพิษ หรือดีท็อกซ์ (Detox) สามารถทำได้หลายวิธี แต่ที่สะดวกและง่ายที่สุดก็คือ “การกิน” โดยอาศัยหลักการรับสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นส่วนประกอบอยู่ในอาหารเพื่อเข้าไปดักจับ กำจัด และขับสารพิษที่สะสมอยู่ออกไปจากร่างกายนั่นเอง
ดังนั้น การเลือกบริโภคอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ก็ย่อมจะทำให้กระบวนการดังกล่าวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ผักพื้นบ้านของไทยซึ่งเป็นผักใกล้ตัวที่สามารถหาซื้อได้ง่าย และมีราคาไม่แพงนั้น มีหลายชนิดที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง จึงสามารถนำมาใช้เป็นทางเลือกในการกินเพื่อล้างพิษให้กับร่างกาย ดังนี้

ตำลึง
ผักใกล้ตัวชนิดติดริมรั้ว แต่อุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีน (Beta-Carotene) ซึ่งเป็นไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient) ชนิดหนึ่งที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง การรับประทานโดยนำมาลวกหรือต้มเป็นแกงจืด จะช่วยในการผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้สามารถขับสารพิษออกจากร่างกายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งยังมีส่วนช่วยป้องกันความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ช่วยบำรุงผิว รวมทั้งช่วยซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อในร่างกาย และช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งต่าง ๆ ได้ด้วย

ผักตระกูลกะหล่ำ
กระหล่ำ
ทั้งกะหล่ำปลี กะหล่ำดอก และบรอกโคลี ล้วนอุดมไปด้วยสารซัลโฟราเฟน (Sulforaphane) ซึ่งเป็นไฟโตนิวเทรียนท์อีกชนิดที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยให้ตับสามารถผลิตเอนไซม์ให้เพียงพอต่อการกำจัดของเสีย โดยเฉพาะสารพิษจากสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ควันบุหรี่ ควันไฟ และควันจากท่อไอเสียได้ดี นอกจากนี้ ยังมีส่วนช่วยให้ตับขับฮอร์โมนความเครียดออกไปจากร่างกายได้ง่ายขึ้น ทั้งยังมีส่วนช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร รวมทั้งช่วยป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียและไวรัสต่าง ๆ ในกระเพราะอาหารได้ดีอีกด้วย

มะเขือพวง
มะเขือพวง
เป็นผักที่อุดมไปด้วยเพกติน (Pectin) สูงจึงช่วยในการซึมไขมันในอาหาร รวมทั้งช่วยดักจับไขมันอิ่มตัวที่เป็นอันตราย และขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่าย ทั้งยังมีสารโซลาโซดีน (Solasodine) และวิตามินซีสูง ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง รวมทั้งช่วยกำจัดของเสียออกไปจากระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้น จึงช่วยลดการสะสมของเสียในร่างกายได้อีกทางหนึ่ง

ขึ้นฉ่าย
ขึ้นช่าย
ผักกลิ่นหอมที่นิยมนำมาดับกลิ่นคาวของอาหาร และมีคุณสมบัติในการทำความสะอาดเลือดรวมทั้งช่วยทำให้อวัยวะภายในร่างกายสะอาดขึ้น เพราะมีประสิทธิภาพในการขับสารพิษประเภทควันบุหรี่ทั้งในคนที่สูบและผู้ที่ได้รับควันบุหรี่มือสองออกจากร่างกายได้ดี ทั้งยังมีสารอะปิอิน (Apiin) ที่มีคุณสมบัติช่วยลดและควบคุมความดันโลหิตให้คงที่ ช่วยลดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด รวมทั้งมีส่วนช่วยในการปรับสมดุลของกรดและด่างในกระแสเลือดด้วย

ประโยชน์ของการกินกล้วย1.ช่วยลดกลิ่นปากได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ทั้งนี้ควรรับประทานหลังตื่นนอนตอนเช้าทันทีแล้วค่อยแปรงฟัน และ...
11/11/2017

ประโยชน์ของการกินกล้วย
1.ช่วยลดกลิ่นปากได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ทั้งนี้ควรรับประทานหลังตื่นนอนตอนเช้าทันทีแล้วค่อยแปรงฟัน และถ้าเป็นกล้วยน้ำว้าจะยิ่งช่วยลดกลิ่นปากได้ดีขึ้น

2.กล้วยช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้เป็นปกติ

3.กล้วยอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย เช่น ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม คาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 และวิตามินซี

4.ช่วยเพิ่มพลังให้แก่สมองของคุณ เพราะมีสารที่ช่วยทำให้มีเกิดสมาธิและมีการตื่นตัวตลอดเวลา

5.กล้วยก็มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระเหมือนกันนะ ที่ช่วยในการชะลอความแก่ตัวของร่างกายนั่นเอง

6.กล้วยมีส่วนช่วยในการลดความอ้วนได้ เพราะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด

7.ช่วยให้ลดอาการอยากกินของจุกจิกลงได้พอสมควร

8.สำหรับผู้ที่มีอาการนอนไม่หลับ กล้วยคือคำตอบสำหรับคุณ

9.อาการหงุดหงิดยามเช้า กล้วยก็ช่วยคุณได้เหมือนกัน

10.ช่วยลดอาการหงุดหงิดของผู้หญิงในช่วงประจำเดือนมา

11.ช่วยลดอาการเมาค้างได้ดีระดับหนึ่ง เพราะจะช่วยชดเชยน้ำตาลที่ร่างกายขาดไปในขณะดื่มแอลกอฮอล์

12.เป็นตัวช่วยสำหรับผู้ที่ต้องการเลิกสูบบุหรี่ เพราะในกล้วยมีวิตามินเอ ซี บี 6 บี 12 โพรแทสเซียม และแมกนีเซียมที่ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้นจากการเลิกนิโคติน

13.ช่วยรักษาอาการท้องผูก เพราะกล้วยมีเส้นใยและกากอาหารซึ่งจะ
ช่วยให้ขับถ่ายได้อย่างปกติ

14.ช่วยบรรเทาอาการของริดสีดวงทวารหรือในขณะขับถ่ายจะมีเลือดออกมา

15.ช่วยลดอาการเสียดท้อง ลดกรดในกระเพาะ

16.การกินกล้วยจะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายจากอาการนี้ได้

17.ช่วยรักษาโรคโลหิตจางได้ เพราะในกล้วยมีธาตุเหล็กสูง ซึ่งจะช่วยในการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด เพื่อรักษาภาวะโลหิตจางหรือผู้ที่อยู่ในสภาวะขาดกำลัง

18.ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูงหรือเส้นเลือดฝอยแตกได้
ช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดเส้นโลหิตแตกได้

19.สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะหรือกระเพาะอักเสบ การรับประทานกล้วยบ่อย ๆ ถือเป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะกล้วยมีสภาพเป็นกลาง มีความนิ่มและเส้นใยสูง
ช่วยรักษาแผลในลำไส้เรื้อรัง เพราะกล้วยมีสภาพเป็นกลาง ทำให้ไม่เกิดการระคายเคืองในผนังลำไส้และกระเพาะอาหารด้วย

20.ช่วยรักษาโรคซึมเศร้า ภาวะความเครียด เพราะกล้วยมีโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Tryptophan ซึ่งช่วยในการผลิตสาร Serotonin หรือฮอร์โมนแห่งความสุข จึงมีส่วนช่วยในการผ่อนคลายอารมณ์ได้ดียิ่งขึ้น

21.ช่วยลดอัตราการเกิดตะคริวบริเวณมือ เท้า และน่องได้

22.ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องของมารดาลงได้

23.กล้วยมีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการนิ่วใน
ไตได้ในระดับหนึ่ง

สรรพคุณของขมิ้น1.ขมิ้นมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยในการชะลอวัยและชะลอการเกิดริ้วรอย2.ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร...
11/11/2017

สรรพคุณของขมิ้น

1.ขมิ้นมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยในการชะลอวัยและชะลอการเกิดริ้วรอย

2.ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย

3.ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ผิวหนังมีสุขภาพดีแข็งแรง

4.ขมิ้นชันอาจมีบทบาทช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง เช่น โรคมะเร็งลำไส้ มะเร็งปากมดลูก

5.ขมิ้นสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายได้

6.ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย

7.ช่วยบรรเทาอาการของโรคเบาหวาน

8.มีส่วนช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง

9.ช่วยลดอาการของโรคเกาต์

10.ช่วยขับน้ำนมของมารดาหลังคลอดบุตร

11.ช่วยรักษาระบบทางเดินหายใจที่มีอาการผิดปกติ

12.ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันโรคความจำเสื่อม

13.อาจมีส่วนช่วยในการรักษาโรครูมาตอยด์ (ยังไม่ได้รับการยืนยัน)

14.ช่วยลดการอักเสบ

15.ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ

16.ช่วยรักษาอาการแพ้และไข้หวัด

17.ช่วยบรรเทาอาการไอ

18.ช่วยรักษาอาการภูมิแพ้ หายใจไม่สะดวกให้มีอาการดีขึ้น

19.ช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด

20.ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในเม็ดเลือดแดงของผู้ป่วยธาลัสซีเมียฮีโมโกบิลอี

21.ช่วยรักษาแผลที่ปาก

22.ช่วยบำรุงปอดให้มีสุขภาพดีและแข็งแรง

23.น้ำมันหอมระเหยในขมิ้นมีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง

24.ช่วยรักษาอาการท้องเสีย อุจจาระร่วง โดยนำผงขมิ้นชันผสมน้ำผึ้ง ปั้นเป็นลูกกลอนแล้วนำมารับประทานครั้งละ 3 เม็ด 3 เวลา

25.ช่วยแก้อาการจุดเสียด แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ

26.ช่วยรักษาโรคลำไส้อักเสบ

27.ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้

28.ช่วยรักษาอาการลำไส้ใหญ่บวม

29.ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร

30.ช่วยในการขับลม

31.ช่วยบรรเทาอาการนิ่วในถุงน้ำดี
มีฤทธิ์ในการช่วยขับน้ำดี

32.ช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหาร และทำความสะอาดลำไส้

33.ช่วยบำรุงตับ ป้องกันตับอักเสบ ตับอ่อนอักเสบ และป้องกันตับจากการถูกทำลายของยาพาราเซตามอล

34.ช่วยบำรุงหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง

35.ช่วยป้องกันการเกิดโรคริดสีดวงทวาร

36.ช่วยแก้อาการตกเลือด ด้วยการนำขมิ้นสดมาตำให้ละเอียด แล้วคั้นเอาน้ำมาผสมกับน้ำปูนใสแล้วรับประทาน

37.ช่วยแก้อาการตกขาว

38.ช่วยรักษาอาการปวดหรืออักเสบเนื่องจากไขข้ออักเสบ

39.ช่วยแก้อาการน้ำเหลืองเสีย

40.ช่วยแก้ผื่นคันตามร่างกายขมิ้นชันสรรพคุณ

41.ช่วยรักษาโรคผิวหนัง ผดผื่นคัน

42.ช่วยรักษากลาก เกลื้อน ด้วยการใช้ผงขมิ้นผสมกับน้ำ นำมาทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อนทุกวัน วันละ 2 ครั้ง

43.ช่วยรักษาโรคผิวหนังพุพอง ตุ่มหนองให้หายเร็วยิ่งขึ้น

44.ช่วยรักษาแผลจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ ด้วยการนำขมิ้นมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วตำจนละเอียด คั้นเอาแต่น้ำมาทาบริเวณดังกล่าว
มีฤทธิ์ในการต่อต้านและฆ่าเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนัง และต่อต้านยีสต์ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำ

45.ช่วยต่อต้านปรสิตหรือเชื้ออะมีบาที่เป็นต้นเหตุของโรคบิดได้

46.ช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส เช่น แบคทีเรียที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร แบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคท้องเสีย แบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง เป็นต้น

47.มีฤทธิ์ในการต่อต้านการกลายพันธุ์ ต้านสารก่อมะเร็งที่มีความเกี่ยวข้องกับโรคที่เกิดจากการเสื่อมของร่างกาย และโรคเบาหวาน

48.ช่วยสมานแผลตามร่างกายให้หายเร็วยิ่งขึ้น ด้วยการนำผงขมิ้นมาผสมกับน้ำแล้วทาลงบนบาดแผล และยังช่วยให้บาดแผลไม่ให้ติดเชื้อของกระต่ายและหนูขาวได้ และสามารถเร่งให้แผลที่ติดเชื้อหายได้

49.ขมิ้นยังมีสรรพคุณช่วยในการป้องกันการงอกของขนอีกด้วย โดยผู้หญิงชาวอินเดียมักนำขมิ้นมาทาผิวเพื่อป้องกันไม่ให้ขนงอก

50.ขมิ้นชันขัดผิว ใช้ทำทรีตเมนต์พอกผิวขัดผิวด้วยขมิ้น ช่วยให้ผิวพรรณนุ่มนวล ขาวผ่องใส เต่งตึง ด้วยการนำขมิ้นสดมาล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำไปปั่นรวมกับดินสอพอง 2-3 เม็ด แล้วผสมกับมะนาว 1 ลูก ปั่นจนเข้ากัน นำมาพอกหน้าหรือผิวทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
ขมิ้นเป็นส่วนประกอบของทรีตเม้นต์รักษาสิวเสี้ยน สิวผด สิวอุดตัน
51.ขมิ้นเป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่งในเครื่องสำอางบำรุงผิวต่าง ๆ
นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันแมลงศัตรูพืชได้อีกด้วย

ที่อยู่

242 ถนนสุวินทวงค์ แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี
Phra Nakhon
10200

เบอร์โทรศัพท์

089-6671882

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ โลกสดใส หัวใจเบิกบานผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง โลกสดใส หัวใจเบิกบาน:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram