ครูธัญญ่า

28/09/2025

เมนูเย็นตาโฟ เม็ดแมงลัก ใครเคยทาน? บ้าง👇
🍜 เย็นตาโฟเม็ดแมงลัก : เมนูลด LDL

📌เม็ดแมงลักคือ superfood แบบไทยๆ ที่แคลต่ำมาก 👉สังกัดไฟเบอร์ ต้องรู้สังกัดอาหารนะคะ
แชร์เก็บไว้อ่านค่ะ
มาดู🔬Nutrient Profileของน้องค่ะ
•ใยอาหาร (Dietary Fiber) สูงมากโดยเฉพาะใยอาหารละลายน้ำ (Soluble Fiber: Mucilage) → สร้างเจลเหนียวหนืดเมื่อสัมผัสน้ำ
•แร่ธาตุเด่น: แคลเซียม, เหล็ก, แมกนีเซียม, โพแทสเซียม
•สารพฤกษเคมี (Phytochemicals): ฟลาโวนอยด์, ฟีนอลิก → มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบ•พลังงานต่ำ: 100 กรัม ให้ ~22–25 kcal เท่านั้น

🧪กลไกการทำงาน(Mechanisms) อันนี้ต้องเข้าใจ
1.สมดุลระดับน้ำตาลในเลือด
•เจลจากใยอาหารละลายน้ำชะลอการดูดซึมกลูโคสในลำไส้เล็ก
•ลด postprandial glucose spike (น้ำตาลพุ่งหลังอาหาร)
•ลดภาระของอินซูลิน → เหมาะกับผู้ที่มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน
2.ควบคุมความอยากอาหารและน้ำหนัก
•เจลพองตัวหลายเท่าภายในกระเพาะ → เพิ่มความอิ่มเชิงกลไก (mechanical satiety)
•ลด ghrelin (ฮอร์โมนความหิว) ทางอ้อม และช่วยคุมการกินจุกจิก
3.สมดุลลำไส้ (Gut Microbiome)
•ใยอาหารเป็น Prebiotic → กระตุ้นการเจริญของ Bifidobacteria และ Lactobacillus
•ส่งผลให้มีการสร้าง SCFAs (Short Chain Fatty Acids) เช่น butyrate → ช่วยลดการอักเสบและเสริมภูมิคุ้มกัน
4. การปกป้องหลอดเลือดและหัวใจ
•เจลดักจับ cholesterol และ bile acids → ลดการดูดซึมไขมันส่วนเกิน
•มี flavonoids → ต้านอนุมูลอิสระ, ลดการอักเสบในผนังหลอดเลือด

🔬 ต้องรู้จักกรดน้ำดี (Bile acids)สำคัญค่ะ
•ผลิตจากคอเลสเตอรอลในตับ•หน้าที่หลักคือ
ช่วยย่อยและดูดซึมไขมัน + วิตามินที่ละลายในไขมัน (A, D, E, K)
•เป็น โมเลกุลสื่อสาร (Signaling molecules) ควบคุมการทำงานของตับ ลำไส้ และเมตาบอลิซึม

⚖️ การดักจับกรดน้ำดีด้วยใยอาหารละลายน้ำ
•ในเชิงบวก → ช่วยให้ร่างกายดึงคอเลสเตอรอลจากเลือดมาใช้สร้างกรดน้ำดีใหม่ → LDL ลดลง
•ใช้ในวงการแพทย์จริง เช่น ยาลดไขมันกลุ่ม bile acid sequestrants (cholestyramine, colesevelam)

⚠️‼️ผลเสียถ้าดักจับมากเกินไปหรือใช้ต่อเนื่องโดยไม่สมดุล
1.การดูดซึมวิตามิน A, D, E, K ลดลง → เสี่ยงขาดวิตามินโดยเฉพาะในคนที่ทานไขมันต่ำอยู่แล้ว
2.อาการท้องอืด–ถ่ายเหลว → ใยอาหารมากเกิน
ทำให้เกิดการหมักในลำไส้มากขึ้น
3.อาจรบกวนการดูดซึมยา บางชนิดที่ละลายในไขมัน

👉ใดใดมี 2 ด้าน 4 มิติ เสมอค่ะ🥹ตามกฏธรรมชาติ ถ้าเราแม่นหลักจะไม่ลืม #จุดสมดุล

👇ใครอยากรู้ว่าต่างจาก เมล็ดเจียยังไง 👇คอมเม้น
จะมาสรุปเจาะลึกให้นะคะ

ูง #สมดุลสารอาหาร #สมดุลไขมัน #สมดุลลําไส้
#เม็ดแมงลัก

27/09/2025

อินซูลินต่ำเรื้อรังLow carb → อินซูลินลดลง
• อินซูลินปกติช่วย “กักเก็บ Mg ในเซลล์” เมื่ออินซูลินต่ำเกินไป → ไตขับ Mg ออกมากขึ้น #ท้องผูก #หงุดหงิดง่าย
#สมดุลฮอร์โมน Mg ต่ำสัมพันธ์กับ Homocysteine สูง

26/09/2025

ถ้าคุณไม่มีReal-time Markerคอยวัด
จะยากที่จะจับจุด(blind spot) → เพราะร่างกายเปลี่ยนตลอดเวลา
+อ่านค่าไม่เป็น → เห็นแต่ตัวเลข แต่ไม่เข้าใจเชิงระบบ+ปรับช้าเพราะยึดทำแบบเดิม → กว่าจะรู้ร่างกายแย่แล้ว

20/09/2025

นอนดีดี😍 หลับลึก ด้วยกลิ่นศาสตร์อโรมาเธอราปี
ผสานกับหลักสมดุลฮอร์โมน นอนมันส์มากๆ
#สเปร์ยหลับลึก

20/09/2025

💙MindSet💛คือจุดวางใจ❣️สำคัญมากในการพลิกสุขภาพ
❎ไม่ใช่การบังคับฝืนอดทน
✅ความเข้าใจร่างกายจิตใจคุณเอง

20/09/2025

ความรู้เรื่องการเจาะเก็บspecimen เลือด 🩸
คือ อัตราส่วน สำคัญมากๆ ในทุกๆปฏิกิริยา☺️
เหมือนไขมันดี โปรตีนดี คาร์บดี
ทุกคนก็รู้แหล่ะว่าอะไรดี แต่ถ้าต้องการผลลัพธ์ที่พอดี
ต้องคำนวณเสมอ 🤫
#สูตรลัดเฉพาะคุณ #ไขมันดีมีสูตร #สูตรรีเซ็ท #สูตรไหนดี

🩸หลอดเลือดสีฟ้าเจ้าปัญหา: เจาะเลือดไม่เต็มหลอด...แค่เรื่องเล็กน้อย หรืออันตรายถึงชีวิต? 😱

"หลอดเก็บเลือดสีฟ้า" หรือหลอด Sodium Citrate ที่มีปริมาตรเลือดไม่ถึงขีดที่กำหนด คำถามคือ...มันพอจะอนุโลมใช้ได้ไหม? คำตอบสั้นๆ และชัดเจนที่สุดคือ "ไม่ได้เด็ดขาดค่ะ!" 🚫 เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ความเข้มงวดตามกฎระเบียบ แต่เป็นเรื่องของความปลอดภัยของผู้ป่วยโดยตรงค่ะ

📌หัวใจสำคัญ: อัตราส่วนทองคำ 9:1 ที่ห้ามเพี้ยน!

ก่อนอื่นเราต้องรู้จักพระเอกในหลอดสีฟ้านี้ก่อน นั่นคือสารกันเลือดแข็งที่มีชื่อว่า โซเดียมซิเตรต (Sodium Citrate) ในรูปแบบของเหลว ซึ่งโดยมาตรฐานจะใช้ความเข้มข้น 3.2% ค่ะ

กลไกการทำงานของมันคือ เมื่อเลือดถูกเจาะเข้ามาในหลอด สารซิเตรตจะเข้าไปจับกับ แคลเซียมไอออน (Ca2+) ในพลาสมาทันที แคลเซียมนี้เป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในกระบวนการแข็งตัวของเลือด (Coagulation Cascade) เปรียบเสมือน "กาว" ที่เชื่อมให้โปรตีนแฟคเตอร์ต่างๆ ทำงานต่อกันเป็นทอดๆ ได้ เมื่อแคลเซียมถูกซิเตรตจับไปจนหมด กระบวนการแข็งตัวของเลือดจึงหยุดชะงัก ทำให้เราสามารถนำเลือดไปตรวจวิเคราะห์การทำงานของระบบการแข็งตัวของเลือดได้

ความมหัศจรรย์ของมันอยู่ตรงนี้ค่ะ! ผู้ผลิตได้คำนวณปริมาตรของโซเดียมซิเตรตมาอย่างแม่นยำเพื่อให้ได้ อัตราส่วนทองคำ คือ เลือด 9 ส่วน ต่อสารกันเลือดแข็ง 1 ส่วน (9:1) เสมอ ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่เหมาะสมที่สุดในการยับยั้งการแข็งตัวของเลือด โดยไม่เจือจางปัจจัยการแข็งตัวของเลือด (Coagulation Factors) ในพลาสมาจนเกินไป

📌เมื่ออัตราส่วนเพี้ยน: ผลกระทบลูกโซ่สู่การวินิจฉัยที่ผิดพลาด

ตามภาพคือตัวอย่างคลาสสิกของ "Short Draw" หรือการเจาะเลือดได้น้อยกว่าปริมาตรที่กำหนด เมื่อเลือดไม่เต็มหลอด จะเกิดอะไรขึ้น?

▪️ สัดส่วนสารกันเลือดแข็งสูงเกินไป: อัตราส่วน 9:1 จะเพี้ยนไปทันที กลายเป็นว่ามีปริมาณโซเดียมซิเตรต "มากเกินพอ" เมื่อเทียบกับปริมาณเลือด

▪️ ผลกระทบต่อการทดสอบ: เมื่อเรานำพลาสมาของผู้ป่วยไปทดสอบในเครื่องวิเคราะห์ เช่น การตรวจ PT (Prothrombin Time) และ aPTT (Activated Partial Thromboplastin Time) น้ำยาที่ใช้ในการทดสอบจะมีการเติมแคลเซียม (Ca2+) กลับเข้าไปในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อกระตุ้นให้กระบวนการแข็งตัวของเลือดเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

▪️ เกิดผลลบล้าง: แต่เนื่องจากในพลาสมาตัวอย่างมี "ซิเตรตส่วนเกิน" จากการเจาะเลือดไม่เต็มหลอด ซิเตรตที่เกินมานี้จะเข้าไปจับและลบล้างฤทธิ์ของแคลเซียมบางส่วนที่เราเติมเข้าไปในน้ำยา

▪️ ผลลัพธ์ที่คลาดเคลื่อน: ทำให้เลือดใช้เวลานานกว่าปกติในการแข็งตัว ผลการทดสอบที่เครื่องรายงานออกมาจึง "ยาวนานกว่าความเป็นจริง (Falsely Prolonged)"

📌ตัวอย่างผลกระทบทางคลินิก:

▪️ ผู้ป่วยที่ทานยาละลายลิ่มเลือด (Warfarin): แพทย์จะติดตามผลด้วยค่า INR ซึ่งคำนวณมาจาก PT หากผล PT ยาวนานผิดปกติ (Falsely prolonged) จะทำให้ค่า INR สูงกว่าความเป็นจริง แพทย์อาจเข้าใจผิดว่าผู้ป่วยได้รับยาเกินขนาด และสั่งลดขนาดยาลง ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดได้ 🧠💔

▪️ การวินิจฉัยภาวะเลือดออกง่าย: ในผู้ป่วยที่ยังไม่ได้วินิจฉัย ผล aPTT ที่ยาวนานผิดปกติอาจทำให้แพทย์วินิจฉัยผิดพลาดว่าผู้ป่วยมีภาวะเลือดออกง่ายจากความผิดปกติของปัจจัยการแข็งตัวของเลือด ทั้งที่จริงๆ แล้วผู้ป่วยอาจจะปกติ แต่ผลผิดพลาดเพราะการเจาะเลือด

📌สิ่งที่ต้องทำ: ปฏิเสธและเริ่มต้นใหม่ คือมาตรฐานเดียว

เมื่อเจอหลอดเลือดลักษณะนี้ สิ่งเดียวที่นักเทคนิคการแพทย์ต้องทำคือ "ปฏิเสธสิ่งส่งตรวจ (Reject Specimen)" และแจ้งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบทำการเก็บตัวอย่างเลือดใหม่ให้ถูกต้องค่ะ ไม่สามารถนำไปตรวจหรือพยายามปรับแก้ค่าใดๆ ได้เลย เพราะถือเป็นความผิดพลาดตั้งแต่ขั้นตอนก่อนการวิเคราะห์ (Pre-analytical Error) ที่ส่งผลร้ายแรงต่อผลลัพธ์

📌ข้อควรปฏิบัติในการเก็บสิ่งส่งตรวจ:

▪️ เจาะให้ถึงขีด: ต้องแน่ใจว่าเลือดไหลเข้าหลอดจนถึงขีดที่ระบุไว้ข้างหลอด
▪️ลำดับการเจาะ: หากเจาะเลือดหลายหลอด ควรเจาะหลอดสีฟ้าเป็นลำดับต้นๆ (หลังจากหลอดเพาะเชื้อ ถ้ามี) เพื่อป้องกันการปนเปื้อนสารจากหลอดอื่น
▪️กรณีใช้เข็มปีกผีเสื้อ (Butterfly Needle): ต้องใช้ "หลอดทิ้ง (Discard Tube)" ที่เป็นหลอดเปล่าหรือหลอดสีฟ้าอีกหลอดเจาะก่อนเล็กน้อย เพื่อไล่อากาศในสายออกไปก่อน จากนั้นจึงใช้หลอดจริงเจาะเป็นลำดับถัดไป เพื่อป้องกันไม่ให้อากาศในสายเข้าไปแทนที่เลือดและทำให้เกิด Short Draw
▪️ ผสมเลือดเบาๆ: หลังจากเจาะเสร็จให้พลิกหลอดกลับไปมาเบาๆ 3-4 ครั้งเพื่อให้เลือดผสมกับสารกันเลือดแข็งอย่างทั่วถึง ห้ามเขย่าแรงๆ

สรุปได้ว่า การเจาะเลือดให้เต็มหลอดสีฟ้านั้นไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงามหรือความสมบูรณ์ แต่เป็นหัวใจสำคัญของความถูกต้องแม่นยำในการวินิจฉัยและการรักษาผู้ป่วย ความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ คือสิ่งที่บ่งบอกถึงมาตรฐานและความปลอดภัยสูงสุดที่เรามอบให้กับผู้ป่วยทุกคนค่ะ ❤️‍🩹

อ้างอิง:
1. Adcock, D. M., Kressin, D. C., & Marlar, R. A. (2007). The effect of time and temperature variables on routine coagulation testing. Blood Coagulation & Fibrinolysis, 8(8), 479-484.
2. Clinical and Laboratory Standards Institute (CLSI). (2017). Collection, Transport, and Processing of Blood Specimens for Testing Plasma-Based Coagulation Assays and Molecular Hemostasis Assays; Approved Guideline—Fifth Edition. CLSI document H21-A5. Wayne, PA: Clinical and Laboratory Standards Institute.
3. Lippi, G., Salvagno, G. L., Montagnana, M., Franchini, M., & Guidi, G. C. (2006). Quality standards for sample collection in coagulation testing. Seminars in thrombosis and hemostasis, 32(06), 625-636.

#เทคนิคการแพทย์ #นักเทคนิคการแพทย์ #ห้องแล็บ #ห้องปฏิบัติการ #เจาะเลือด #หลอดเลือด #เรื่องเล่าจากห้องแล็บ #ความรู้รอบตัว #วิทยาศาสตร์การแพทย์ #สาระความรู้ #รักสุขภาพ #โรงพยาบาล #หมอแล็บ #คุณภาพห้องปฏิบัติการ

19/09/2025

เพจครูธัญญ่าสอน
การทานอาหารเชิงวิทยาศาสตร์ (Life Style Medicine)
ที่ปรับอาหารตาม ค่าเลือดจริง ไม่ใช่สูตรเดียวสำหรับทุกคน

18/09/2025

งาน Foodismรวมอาหารสุขภาพ

18/09/2025

มาเจออุปกรณ์ดูแลสุขภาพล้ำๆ
พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์
Foodism 2025 Hall 7 B15

17/09/2025

🌞Vitamin D ในเลือด = ตัวเลขที่เล่าว่าร่างกายคุณจัดการอะไรอยู่ แชร์เก็บไว้อ่านด้วยค่ะ ♥️สรุปแบบที่คุณไม่เคยเห็นแน่นอน🥰
📍“ค่าวิตามินดีต่ำคือสัญญาณเตือนว่าร่างกายคุณกำลังอักเสบ ฮอร์โมนกำลังเสียสมดุล และ Lifestyle อาจยังเดินผิดทาง” ตรวจก่อนเสริมจะได้รู้
________________________________________
🔹 100 ng/mL → สูงเกิน (Toxicity risk)
🩸 แคลเซียมในเลือดสูง → Hypercalcemia
💥 เสี่ยงนิ่วในไต, หลอดเลือดแข็ง
😖 อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ปวดหัว
________________________________________

✨วิตามินดีจะลดลงหลังอายุ40 😱
20–30 ปี → สร้างวิตามินดีได้เต็มที่
40–50 ปี → เริ่มลดลง ~40–50%
>60–70 ปี → ลดลง ~65–75%

😱ไดเอทVegan / ไขมันต่ำ มีโอกาสวิตามินดีต่ำมากกว่าคนทั่วไปถึง 20–60%
😱น้ำหนักเกิน / Obesity: วิตามินดีถูกเก็บในชั้นไขมัน → ค่ามักต่ำกว่าปกติ 20–30%
😱วิตามินดีต่ำสัมพันธ์กับ มวลกล้ามเนื้อลดลง (sarcopenia) และ ฮอร์โมนเพศลดลง

📍สรุปตัวเลขวิตามินดีบอกเล่าภาพรวมสุขภาพได้ลึก
🔎 1. วิตามินดีต่ำ = การอักเสบซ่อนอยู่
วิตามินดีทำงานร่วมกับ Vitamin D receptor (VDR) ที่อยู่เกือบทุกเซลล์ โดยเฉพาะ เซลล์ภูมิคุ้มกัน
•งานวิจัย UK Biobank(~295,000 คน) พบว่า ถ้าค่าวิตามินดีต่ำกว่า 25 nmol/L (~10 ng/mL) → มีค่า C-reactive protein (CRP) สูงขึ้นชัดเจน
•แปลว่า ร่างกายกำลังมี การอักเสบเรื้อรัง (chronic inflammation) ถึงแม้จะยังไม่แสดงอาการชัด

⚖️ 2. วิตามินดี = สมดุลฮอร์โมนวิตามินดีจริง ๆ เป็น ฮอร์โมนประเภท secosteroid
💃🏻ในผู้หญิง → เกี่ยวข้องกับการสร้าง estrogen และ progesterone → ถ้าวิตามินดีต่ำ จะเห็นรอบเดือนผิดปกติ ภาวะ PCOS แย่ลง
🕺ในผู้ชาย → มีผลต่อระดับ testosterone → ถ้าต่ำ จะเหนื่อยง่าย กล้ามเนื้อลดลง
📢ในต่อมหมวกไต → สัมพันธ์กับการคุม cortisol → ถ้าต่ำ ร่างกายจะอยู่ในโหมดเครียด ฟื้นตัวยาก

🧬 3. วิตามินดี = ภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง
•วิตามินดีต่ำกว่า 30 ng/mL พบว่ามีความเสี่ยงติดเชื้อทางเดินหายใจสูงขึ้น
•ค่าที่เหมาะสม (optimal) สำหรับระบบภูมิคุ้มกันและการลดการอักเสบคือ 40–60 ng/mL (งานวิจัย meta-analysis หลายชิ้นยืนยัน)

👉ค่าวิตามินดีต่ำ = ร่างกายอักเสบเรื้อรัง + ฮอร์โมนเสียสมดุล + ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
#วิตามินดี #สมดุลฮอร์โมน #ตรวจวิตามินดี
#ครูธัญญ่า #เทคนิคการแพทย์ #ภูมิคุ้มกัน

14/09/2025

“เวลา–ตำแหน่ง” การตากแดด ไม่ตายตัว เพราะดวงอาทิตย์เปลี่ยนมุมตลอดทั้งวันและทั้งปี → ส่งผลต่อการสร้างวิตามินดีโดยตรง 📍ถ้า“กรุงเทพฯ”หน้าร้อน:ดวงอาทิดวงอาทิตย์ขึ้นสูง → ช่วงสร้างวิตามินดีกว้าง (10:00–15:00 ยังพอมี UVB)