ยาสมุนไพรรักษาอาการ เวียนหัว บ้านหมุน น้ำในหูไม่เท่ากัน เพจหลักบริษัท

ยาสมุนไพรรักษาอาการ เวียนหัว บ้านหมุน น้ำในหูไม่เท่ากัน เพจหลักบริษัท สมุนไพร 13 ชนิด รักษาอาการบ้านหมุน น้ำในหูไม่เท่ากัน เสียสมดุลในร่างกาย แค่ทานวันละ 1-2 เม็ด ปลอดภัยมี อย นะจ๊ะ

https://youtu.be/Na-gxUlM43A?si=SmYDOIAIhaXYRkCx
30/09/2024

https://youtu.be/Na-gxUlM43A?si=SmYDOIAIhaXYRkCx

มาดูว่าเฮียยุทธทานสมุนไพรตัวนี้ไปแล้วอาการบ้านหมุนที่เป็นหายได้อย่างไร ไปฟังเลยจร้า

https://youtu.be/pBV_P96kb1I?si=UcC-RGTmRg8a33T8
18/08/2024

https://youtu.be/pBV_P96kb1I?si=UcC-RGTmRg8a33T8

มาฟังจากปากพี่ต่ายที่ทานตัวนี้ไปแค่ 3 วัน รู้สึกว่าอาการที่เป็นมานานหายไปอย่างรวดเร็วและน่าทึ่ง

โปรโมชั่นสำหรับคนที่อยากหายจากโรคนี้ แค่เปิดใจลองทาน UCore คุณก็หายจากโรคนี้ได้ ซื้อ 1 กระปุกราคา 990 บาท ปกติ 1290 บาท ...
25/04/2024

โปรโมชั่นสำหรับคนที่อยากหายจากโรคนี้

แค่เปิดใจลองทาน UCore คุณก็หายจากโรคนี้ได้

ซื้อ 1 กระปุกราคา 990 บาท
ปกติ 1290 บาท (ชุดบรรเทาอาการ)

ซื้อ 2 แถม 1 ราคา 1888 บาท
ปกติ 3870 บาท (ชุดเห็นผลชัดเจน)

ซื้อ 3 แถม 3 ราคา 3888 บาท
ปกติ 5160 บาท (ชุดหายขาดถาวร)

โอนส่งฟรี / เก็บปลายทางเพิ่ม 50 บาท

สนใจทักแชทหรือสั่งด่วน
โทร 0932223951 (คุณบอล)

----------------------------------------------

#แก้อาการบ้านหมุน
#แก้เวียนศรีษะ
#ยารักษาบ้านหมุน
#ยารักษาเวียนศรีษะ
#ยารักษาน้ำในหูไม่เท่ากัน
#น้ำในหูไม่เท่ากัน
#หูอื้อ
#คลื่นไส้
#อาเจียน
#ยาแก้หูอื้อ
#ยารักษาหูอื้อ
#ยาบ้านหมุน
#แก้อาการมึนศรีษะ
#ยารักษามึนศรีษะ
#เวียนหัวบ้านหมุน
#วิธีการรักษาน้ำในหูไม่เท่ากัน
#เวียนหัว
#บ้านหมุน
#สมองตื้อ
#ยาแก้บ้านหมุน
#ยาแก้หูอื้อ
#ได้ยินไม่ชัด

วิธีดูแลคน 4 วัยในครอบครัว ห่างไกลจากโรคเบาหวาน ทราบหรือไม่ว่าโรคเบาหวาน ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้สูงอายุหรือวัยทำงานเท่...
24/04/2024

วิธีดูแลคน 4 วัยในครอบครัว ห่างไกลจากโรคเบาหวาน

ทราบหรือไม่ว่าโรคเบาหวาน ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้สูงอายุหรือวัยทำงานเท่านั้น แต่กลับเป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนและทุกวัย ดังนั้นจึงควรให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพของสมาชิกภายในครอบครัวเป็นอย่างดี โดยวันนี้เราได้รวบรวมวิธีการดูแลสุขภาพของคนทั้ง 4 วัยในครอบครัวให้ห่างไกลจากการเป็นโรคเบาหวานมาบอกกันค่ะ เอาเป็นว่ามาติดตามอ่านพร้อมๆ กันเลยดีกว่า

1.วัยเด็กเล็กไปจนถึงวัยประถม
ครอบครัวที่มีสมาชิกในครอบครัวอยู่ในวัยเด็กเล็กไปจนถึงวัยประถม จำเป็นที่จะต้องใส่ใจดูแลสุขภาพพวกเขาเหล่านั้นให้ห่างไกลจากการเป็นโรคเบาหวานดังนี้

-ให้เด็กๆ ได้กินอาหารในแต่ละวันให้ครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม

-จำเป็นที่จะต้องระมัดระวังในเรื่องการกินน้ำตาล ไขมัน และแป้ง

-พยายามให้ดื่มน้ำเปล่าให้มากๆ

-หมั่นให้ดื่มนมรสจืดแทนรสหวาน

-ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

-หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำหวานหรือน้ำอัดลม

-สำหรับเด็กที่มีอายุมากกว่า 10 ปี ที่มีภาวะอ้วนควรได้รับการตรวจระดับน้ำตาลและรับการวินิจฉัยโรคเบาหวาน

2.วัยรุ่น
สำหรับสมาชิกในครอบครัวที่อยู่ในช่วงของการเป็นวัยรุ่น ควรดูแลสุขภาพของตัวเองให้ห่างไกลจากการเป็นโรคเบาหวานดังนี้

-เน้นกินอาหารประเภทโปรตีน

-ปลูกฝังการกินผักผลไม้ให้เพียงพอ

-ลดการกินอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และไขมัน

-ออกกำลังกายเป็นประจำ โดยเน้นให้เล่นกีฬาที่สนใจ

-ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินเกณฑ์

-หากมีพฤติกรรมติดเกม โซเชียล หรือชอบนอนดูทีวี ควรให้คำแนะนำในการทำกิจกรรมโดยใช้เวลาอย่างเหมาะสม

3.วัยทำงาน
วัยทำงานถือเป็นวัยที่ควรใส่ใจในการดูแลสุขภาพเพื่อให้ห่างไกลจากการเป็นโรคเบาหวานอย่างมาก ซึ่งวิธีการดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากการเป็นโรคเบาหวานในช่วงวัยทำงานมีดังนี้

-ควบคุมปริมาณอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลที่กินในแต่ละวันอย่างเหมาะสม

-ควบคุมปริมาณอาหารที่กินในแต่ละวันให้เพียงพอ

-ระมัดระวังในเรื่องของน้ำหนักเกินเกณฑ์

-ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อาทิตย์ละ 5 วัน วันละไม่น้อยกว่า 30 นาที

-ให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพและเช็กเบาหวานเป็นประจำ

-หากต้องการมีบุตร ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางอย่างละเอียด เนื่องจากผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ อีกทั้งผู้ที่เคยเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการเป็นโรคเบาหวานในอนาคตได้ ดังนั้นผู้ที่ต้องการมีบุตรจึงต้องใส่ใจดูแลสุขภาพร่างกายมากกว่าผู้หญิงทั่วไป

4.วัยสูงอายุ
สำหรับวัยสูงอายุควรดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองให้ห่างไกลจากการเป็นโรคเบาหวานดังนี้

-ควรระวังในเรื่องการกินอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล

-ควรควบคุมปริมาณน้ำตาลที่กินในแต่ละวันอย่างเคร่งครัด

-เน้นการกินผักผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง เพราะมีส่วนช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด

-ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม

-ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเน้นการเล่นกีฬาประเภทโยคะ ยกเวท เป็นต้น

-ตรวจเช็กโรคเบาหวานทุกปี

-หากผู้สูงอายุป่วยเป็นโรคเบาหวาน จำเป็นที่จะต้องดูแลตัวเองและกินยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด

จะเห็นได้ว่าการดูแลสุขภาพร่างกายให้ห่างไกลจากการเป็นโรคเบาหวานในแต่ละช่วงวัยนั้นจะมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่มีสิ่งที่เหมือนกันก็คือ การควบคุมการกินอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล หรือไขมัน รวมทั้งการออกกำลังกายเป็นประจำนั่นเอง

------------------------------------------

#แก้อาการบ้านหมุน
#แก้เวียนศรีษะ
#ยารักษาบ้านหมุน
#ยารักษาเวียนศรีษะ
#ยารักษาน้ำในหูไม่เท่ากัน
#น้ำในหูไม่เท่ากัน
#หูอื้อ
#คลื่นไส้
#อาเจียน
#ยาแก้หูอื้อ
#ยารักษาหูอื้อ
#ยาบ้านหมุน
#แก้อาการมึนศรีษะ
#ยารักษามึนศรีษะ
#เวียนหัวบ้านหมุน
#วิธีการรักษาน้ำในหูไม่เท่ากัน
#เวียนหัว
#บ้านหมุน
#สมองตื้อ
#ยาแก้บ้านหมุน
#ยาแก้หูอื้อ
#ได้ยินไม่ชัด

7 หลักการกินเพื่อสุขภาพดี กินแบบนี้ปลอดภัย ไกลโรคชัวร์ แม้ว่าการกินอาหารที่มีรสชาติหวานมันเค็ม จะช่วยให้คนเราสามารถกินอา...
23/04/2024

7 หลักการกินเพื่อสุขภาพดี กินแบบนี้ปลอดภัย ไกลโรคชัวร์

แม้ว่าการกินอาหารที่มีรสชาติหวานมันเค็ม จะช่วยให้คนเราสามารถกินอาหารได้ในปริมาณมาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าอาหารประเภทนี้ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายอย่างหนัก เช่น ทำให้เป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เป็นต้น ซึ่งโรคดังกล่าวนี้ก็ล้วนทำให้คุณภาพชีวิตของคนเราลดลงไปด้วย ดังนั้นเราจึงอยากเชิญชวนให้ทุกคนหันมาให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตนในการกินอาหารเพื่อการมีสุขภาพที่ดีกันค่ะ จะมีอะไรบ้างนั้นไปติดตามอ่านกันเลย

1.หมั่นกินอาหารรสจืด
การฝึกกินอาหารรสจืดและหมั่นกินเป็นประจำ ถือเป็นวิธีการกินอาหารที่ช่วยให้สุขภาพดีได้ ดังนั้นนอกจากผู้ใหญ่จะต้องให้ความสำคัญกับการกินอาหารรสจืดเป็นประจำแล้ว สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกลูกให้กินอาหารรสจืดตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อเป็นการฝึกนิสัยการกินอาหารเพื่อการมีสุขภาพที่ดีตั้งแต่ยังเด็ก

2.พยายามลดรสเค็มทีละน้อย
สำหรับใครที่มีพฤติกรรมการกินเค็มอยู่แต่เดิม และไม่สามารถกินอาหารที่ปราศจากรสเค็มได้เลย แนะนำให้พยายามลดรสเค็มทีละน้อย เพื่อให้ร่างกายสามารถปรับตัวได้ ซึ่งการปรับทีละนิดทีละน้อย โดยค่อยๆ ลดรสเค็มลงจากเดิม จะช่วยให้ร่างกายไม่รู้สึกตัวว่ากินอาหารรสเค็มน้อยลง ซึ่งถือเป็นวิธีที่ช่วยให้ร่างกายค่อยๆ ชินไปเอง โดยที่ไม่ต้องเลิกกินเค็มเด็ดขาดแต่อย่างใด

3.หลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูป
เนื่องจากอาหารสำเร็จรูป เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โจ๊กกึ่งสำเร็จรูป หรือแม้แต่ขนมขบเคี้ยว รวมทั้งอาหารจานด่วนประเภทอื่นๆ ล้วนมีปริมาณโซเดียมสูง ดังนั้นการหลีกเลี่ยงอาหารประเภทนี้จะช่วยให้สุขภาพร่างกายดีได้

4.หลีกเลี่ยงการเติมน้ำจิ้ม
อาหารชนิดต่างๆ ที่ต้องกินคู่กับน้ำจิ้มหรือซอส เช่น ลูกชิ้น ไส้กรอก ซูชิ หรือเกี๊ยวซ่า เป็นต้น หากต้องการกินโดยที่ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายมากมายนัก ควรหลีกเลี่ยงการกินคู่น้ำจิ้มหรือซอสจะดีที่สุด เพราะอย่างน้อยจะช่วยลดรสเค็มได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว

5.หลีกเลี่ยงการปรุงรสจัด
การปรุงอาหารรสจัด โดยเฉพาะการกินก๋วยเตี๋ยว หากต้องการกินอาหารประเภทนี้โดยไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายมากจนเกินไป ควรหลีกเลี่ยงการปรุงรสเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นการเติมพริก น้ำตาล เกลือ หรือน้ำปลาก็ตาม เนื่องจากเครื่องปรุงรสเหล่านี้จะทำให้รสชาติอาหารเข้มข้น ซึ่งมีส่วนทำให้สุขภาพร่างกายแย่ลงได้

6.หลีกเลี่ยงของทอดและติดมัน
หากต้องการมีสุขภาพร่างกายที่ดีจากการกินอาหารในแต่ละวัน ควรอย่างยิ่งที่จะต้องหลีกเลี่ยงการกินอาหารประเภทของทอดหรือของมัน อีกทั้งควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีเนื้อสัตว์ติดมัน แล้วหันมาให้ความสำคัญกับการกินอาหารประเภทนึ่งหรือต้มแทน หรือแม้แต่อาหารที่มีส่วนผสมของกะทิหากหลีกเลี่ยงได้ก็ย่อมดีต่อสุขภาพร่างกายเช่นกัน

7.หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มรสชาติหวาน
แน่นอนว่าเครื่องดื่มรสชาติหวาน ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลม น้ำหวาน ชา กาแฟ เป็นต้น โดยปกติแล้วจะมีปริมาณของน้ำตาลสูง ซึ่งถือเป็นตัวการสำคัญของการทำให้เกิดโรคเบาหวานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

จะเห็นได้ว่าการปฏิบัติตนในการกินอาหารเพื่อการมีสุขภาพร่างกายที่ดีนั้นมีข้อปฏิบัติที่สามารถทำตามได้ง่ายๆ โดยส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินในแต่ละวันของเราเอง โดยเฉพาะการกินอาหารรสจัด ของทอดมัน หรือเครื่องดื่มรสหวาน หากสามารถหลีกเลี่ยงหรือลดปริมาณการบริโภคลงได้เรื่อยๆ ก็จะช่วยให้สุขภาพร่างกายดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

----------------------------------------

#แก้อาการบ้านหมุน
#แก้เวียนศรีษะ
#ยารักษาบ้านหมุน
#ยารักษาเวียนศรีษะ
#ยารักษาน้ำในหูไม่เท่ากัน
#น้ำในหูไม่เท่ากัน
#หูอื้อ
#คลื่นไส้
#อาเจียน
#ยาแก้หูอื้อ
#ยารักษาหูอื้อ
#ยาบ้านหมุน
#แก้อาการมึนศรีษะ
#ยารักษามึนศรีษะ
#เวียนหัวบ้านหมุน
#วิธีการรักษาน้ำในหูไม่เท่ากัน
#เวียนหัว
#บ้านหมุน
#สมองตื้อ
#ยาแก้บ้านหมุน
#ยาแก้หูอื้อ
#ได้ยินไม่ชัด

5 วิธีเปลี่ยนรูปแบบการกินอาหารเพื่อลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย สาวๆ ย่อมทราบกันดีอยู่แล้วว่าเมื่อใดที่ร่างกายมีปริมาณคอเลสเตอ...
22/04/2024

5 วิธีเปลี่ยนรูปแบบการกินอาหารเพื่อลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย

สาวๆ ย่อมทราบกันดีอยู่แล้วว่าเมื่อใดที่ร่างกายมีปริมาณคอเลสเตอรอลสูง มีโอกาสที่จะเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิต เนื่องจากปัญหาคอเลสเตอรอลสูงถือเป็นบ่อเกิดของโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด และที่สำคัญคือ ภาวะคอเลสเตอรอลสูงมักจะไม่มีอาการ นั่นจึงทำให้สาวๆ หลายคนไม่มีทางรู้ถึงสถานะของสุขภาพตัวเองว่ากำลังเจอกับปัญหาใดอยู่บ้าง โดยวันนี้เราได้เอา 5 วิธีเปลี่ยนรูปแบบการกินอาหารที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกายมาแชร์ให้สาวๆ ได้ทำตามกันค่ะ

1.จำกัดการกินเนยและน้ำมัน
มาเริ่มที่การจำกัดการกินเนยและน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นเนย เนยเทียม น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม หรือน้ำมันจากสัตว์ ล้วนเป็นแหล่งของไขมันอิ่มตัว และสาวๆ จะต้องกินในปริมาณที่จำเป็นเท่านั้น ทั้งนี้แนะนำให้ลองมาเปลี่ยนใช้น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันมะกอก และน้ำมันอะโวคาโดแทน ซึ่งเป็นน้ำมันที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว และยังส่งผลดีต่อสุขภาพหัวใจ สำหรับการบริโภคน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันมะกอก และน้ำมันอะโวคาโดนั้น จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ พร้อมทั้งช่วยเพิ่มปริมาณไขมันดีในร่างกายแทน

2.ลดการกินเนื้อและนมที่มีไขมัน
เนื้อสัตว์และนมที่มีไขมัน มักจะมีไขมันอิ่มตัว ซึ่งไขมันชนิดนี้ล้วนเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง โดยเฉพาะคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้ ดังนั้นถ้าสาวๆ ชอบกินเนื้อสัตว์หรือนมที่มีไขมัน แนะนำให้ลดปริมาณการกินให้น้อยลงจากเดิม จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดลงได้

3.กินผักและผลไม้หลากหลายสี
การกินผักและผลไม้หลากหลายสี มีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ ทั้งนี้แนะนำให้สาวๆ หันมาให้ความสำคัญกับการกินผักและผลไม้ให้ได้อย่างน้อย 5 สีต่อวัน โดยเฉพาะผักจะมีไฟโตสเตอรอลที่มีรูปแบบการทำงานเหมือนกับไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ อีกทั้งยังมีสาร Plant Stanol ที่ช่วยป้องกันการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากอาหารได้เป็นอย่างดี โดยที่คอเลสเตอรอลจะถูกขับออกมาในรูปแบบของของเสียนั่นเอง

4.เพิ่มการกินกรดไขมันโอเมก้า3
กรดไขมันโอเมก้า3 พบได้ในอาหารจำพวกถั่ว เมล็ดพืช และอาหารทะเล โดยกรดไขมันชนิดนี้มีส่วนช่วยต่อสู้กับการอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักๆ ของการเป็นโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด สำหรับสาวๆ ที่ต้องการกินอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า3 แนะนำให้กินปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า ปลาเทราห์ ปลาแองโชวี ปลาซาร์ดีน สาหร่ายทะเล เมล็ดแฟลกซ์ และเมล็ดเชีย

5.เพิ่มการกินอาหารประเภทไฟเบอร์ที่ละลายน้ำ
ไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำมีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้เป็นอย่างดี โดยไฟเบอร์ชนิดนี้จะจับกับคอเลสเตอรอลและช่วยขับออกจากร่างกาย ก่อนที่คอเลสเตอรอลจะถูกย่อยและถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย สำหรับการกินอาหารที่ช่วยเพิ่มไฟเบอร์ละลายน้ำ สาวๆ ทำได้ด้วยการกินผักใบเขียว ส้ม แอปเปิล ลูกพรุน ถั่ว ธัญพืช และบร็อคโคลี่ ในส่วนของการกินผลไม้นั้น แนะนำให้กินทั้งเปลือก จะเป็นการเพิ่มใยอาหารได้ดีเลยทีเดียว

สำหรับสาวๆ ที่เป็นกังวลในเรื่องของคอเลสเตอรอลสูง แนะนำให้ลองเปลี่ยนรูปแบบการกินอาหารกันค่ะ โดยสามารถทำตามวิธีต่างๆ ที่เราได้เอามาแชร์ข้างต้นกันได้เลย เพราะล้วนเป็นวิธีที่สามารถลดคอเลสเตอรอลในร่างกายได้อย่างปลอดภัยและทำตามได้ง่ายมากๆ

-------------------------------------------

#แก้อาการบ้านหมุน
#แก้เวียนศรีษะ
#ยารักษาบ้านหมุน
#ยารักษาเวียนศรีษะ
#ยารักษาน้ำในหูไม่เท่ากัน
#น้ำในหูไม่เท่ากัน
#หูอื้อ
#คลื่นไส้
#อาเจียน
#ยาแก้หูอื้อ
#ยารักษาหูอื้อ
#ยาบ้านหมุน
#แก้อาการมึนศรีษะ
#ยารักษามึนศรีษะ
#เวียนหัวบ้านหมุน
#วิธีการรักษาน้ำในหูไม่เท่ากัน
#เวียนหัว
#บ้านหมุน
#สมองตื้อ
#ยาแก้บ้านหมุน
#ยาแก้หูอื้อ
#ได้ยินไม่ชัด

ไปดู ผลเสียที่เกิดจากการกินมังสวิรัติที่คุณ (อาจ) ยังไม่รู้ ในส่วนของการทานมังสวิรัตินั้น ร่างกายมักสูญเสียวิตามินบี12 แ...
21/04/2024

ไปดู ผลเสียที่เกิดจากการกินมังสวิรัติที่คุณ (อาจ) ยังไม่รู้

ในส่วนของการทานมังสวิรัตินั้น ร่างกายมักสูญเสียวิตามินบี12 และโปรตีน ซึ่งล้วนส่งผลเสียต่อร่างกาย ทำให้เผชิญกับโรคต่างๆ ได้ดังนี้

1.กล้ามเนื้อเหี่ยว
การกินมังสวิรัตินั้นมักเสี่ยงต่อการขาดโปรตีน จึงทำให้ร่างกายสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ จึงทำให้กล้ามเนื้อเหี่ยว ดังนั้นจึงแนะนำให้เปลี่ยนจากการทานข้าวขาวเป็นข้าวกล้อง และเพิ่มโปรตีนในร่างกายด้วยการทานเต้าหู้ งา และผักหลายชนิด พร้อมทั้งออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอก็ช่วยป้องกันกล้ามเนื้อเหี่ยวได้

2.มีลูกยาก
การมีลูกยากเป็นหนึ่งในผลเสียที่เกิดจากการกินมังสวิรัติ เนื่องจากทานถั่วเหลืองมากจนเกินไป เพราะสารเจนิสทินในถั่วเหลืองส่งผลให้ความสามารถของอสุจิหรือสเปิร์มในการดำน้ำขึ้นไปผสมกับไข่ลดน้อยลง

3.โรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าที่เกิดจากการกินมังสวิรัติเป็นเวลานานๆ ทำให้ร่างกายเสี่ยงขาดวิตามินบี12 ซึ่งวิตามินชนิดนี้มีส่วนช่วยในการสร้างการเจริญเติบโตของเซลล์ประสาท หากขาดวิตามินชนิดนี้เป็นเวลานาน ย่อมทำให้ร่างกายเผชิญกับอาการระบบประสาทอ่อนๆ เช่น อ่อนเพลีย อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ หรือซึมเศร้า จึงขอแนะนำให้ทานวิตามินบีหรือวิตามินรวมเสริม รวมทั้งทานเนื้อบ้างในบางคราวจะช่วยให้ห่างไกลจากโรคซึมเศร้าได้

จะเห็นได้ว่าการทานอาหารไม่ว่าจะในรูปแบบใดๆ ก็ล้วนส่งผลต่อร่างกายด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งการทานในรูปแบบใดที่มากเกินไปก็ย่อมทำให้ร่างกายได้รับผลเสียได้เช่นกัน เนื่องจากร่างกายสูญเสียสารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งไปนั่นเอง ดังนั้นเพื่อให้เกิดผลดีต่อร่างกายและไม่เสี่ยงต่อการส่งผลเสียใดๆ จึงจำเป็นต้องปรับการทานอาหารให้สมดุลและครบทั้ง 5 หมู่จะดีที่สุด

--------------------------------------

#แก้อาการบ้านหมุน
#แก้เวียนศรีษะ
#ยารักษาบ้านหมุน
#ยารักษาเวียนศรีษะ
#ยารักษาน้ำในหูไม่เท่ากัน
#น้ำในหูไม่เท่ากัน
#หูอื้อ
#คลื่นไส้
#อาเจียน
#ยาแก้หูอื้อ
#ยารักษาหูอื้อ
#ยาบ้านหมุน
#แก้อาการมึนศรีษะ
#ยารักษามึนศรีษะ
#เวียนหัวบ้านหมุน
#วิธีการรักษาน้ำในหูไม่เท่ากัน
#เวียนหัว
#บ้านหมุน
#สมองตื้อ
#ยาแก้บ้านหมุน
#ยาแก้หูอื้อ
#ได้ยินไม่ชัด

ไปดู ผลเสียที่เกิดจากการกินเนื้อสัตว์ที่คุณ (อาจ) ยังไม่รู้ สำหรับสาวๆ ที่ชื่นชอบการกินเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะในกลุ่มของเนื้...
19/04/2024

ไปดู ผลเสียที่เกิดจากการกินเนื้อสัตว์ที่คุณ (อาจ) ยังไม่รู้

สำหรับสาวๆ ที่ชื่นชอบการกินเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะในกลุ่มของเนื้อแดงและเนื้อสัตว์ใหญ่ในสัดส่วนที่มากกว่า 5 จากปริมาณของอาหารที่ทานเข้าไปต่อสัปดาห์มีความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดโรคต่างๆ ดังนี้

1.โรคข้ออักเสบ
เนื่องจากโปรตีนและคอลลาเจนในเนื้อมีส่วนไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย เสี่ยงทำให้ข้อต่อเกิดอาการอักเสบได้ ที่สำคัญเนื้อมีปริมาณของธาตุเหล็กสูงและอาจไปสะสมอยู่ในข้อต่อ ทำให้อนุมูลอิสระเพิ่มขึ้นได้

2.โรคนิ่วในถุงน้ำดี
เราอาจเคยทราบมาก่อนว่าเนื้อมีปริมาณของไขมันอิ่มตัวสูง และมีส่วนเพิ่มคอเลสเตอรอลในเลือด จึงมีโอกาสทำให้เป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีได้

3.กระดูกพรุน
โรคกระดูกพรุนที่เกิดจากการที่ร่างกายได้รับโปรตีน เนื่องจากการทานเนื้อแดงที่มากเกินไปนั้น เกิดขึ้นเพราะการย่อยโปรตีนทำให้เกิดภาวะกรดที่มากเกินไปจนต้องขับออกทางไต ซึ่งก่อนขับออกนั้นร่างกายมีการดึงด่างและแคลเซียมจากกระดูกไปช่วยขับกรดออก จึงทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียม

4.สมองเสื่อม
โรคนี้เกิดขึ้นเพราะร่างกายสร้างโปรตีนในสมองผิดปกติ จึงทำให้เกิดปัญหาในเรื่องความจำ ซึ่งแนะนำให้ทานผักพร้อมทั้งทานเนื้อ เพราะวิตามินจากพืชผักต่างๆ รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเช่น โพลีฟีนอลส์ มีส่วนช่วยป้องกันการสร้างโปรตีนในสมองผิดปกติได้

------------------------------------------

#แก้อาการบ้านหมุน
#แก้เวียนศรีษะ
#ยารักษาบ้านหมุน
#ยารักษาเวียนศรีษะ
#ยารักษาน้ำในหูไม่เท่ากัน
#น้ำในหูไม่เท่ากัน
#หูอื้อ
#คลื่นไส้
#อาเจียน
#ยาแก้หูอื้อ
#ยารักษาหูอื้อ
#ยาบ้านหมุน
#แก้อาการมึนศรีษะ
#ยารักษามึนศรีษะ
#เวียนหัวบ้านหมุน
#วิธีการรักษาน้ำในหูไม่เท่ากัน
#เวียนหัว
#บ้านหมุน
#สมองตื้อ
#ยาแก้บ้านหมุน
#ยาแก้หูอื้อ
#ได้ยินไม่ชัด

ดูแลสุขภาพวัยทองยังไงไม่ให้บกพร่อง! 4 วิตามินตัวนี้ย้ำเลยว่าห้ามพลาด ในช่วงหมดประจำเดือน ผู้หญิงจะเริ่มรู้ตัวเองแล้วว่าก...
18/04/2024

ดูแลสุขภาพวัยทองยังไงไม่ให้บกพร่อง! 4 วิตามินตัวนี้ย้ำเลยว่าห้ามพลาด

ในช่วงหมดประจำเดือน ผู้หญิงจะเริ่มรู้ตัวเองแล้วว่ากำลังเข้าสู่วัยทอง ซึ่งในช่วงนี้ ร่างกายจะมีการผลิตเอสโตรเจนน้อยลง จึงทำให้เกิดอาการต่างๆ ตามมา เช่น นอนไม่หลับ ร้อนวูบวาบ อารมณ์แปรปรวน น้ำหนักขึ้น เหงื่อออกตอนกลางคืน ช่องคลอดแห้ง กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ความใคร่เปลี่ยนแปลง เป็นโรคกระดูกพรุน และโรคหัวใจ ดังนั้นเพื่อบรรเทาอาการดังกล่าว ผู้หญิงในช่วงหมดประจำเดือนจึงต้องเลือกกินวิตามินต่างๆ เพื่อลดอาการที่เกิดขึ้นดังนี้

1.วิตามินบี 6
วิตามินบี 6 เป็นวิตามินที่ช่วยสร้างเซโรโทนิน หรือสร้างสารสื่อประสาทที่มีบทบาทในการทำงานของสมองและระบบประสาท ทั้งนี้เมื่อผู้หญิงเริ่มมีอายุมากขึ้น หรือเข้าสู่ช่วงหมดประจำเดือน เซโรโทนินจะลดต่ำลง ซึ่งมีโอกาสที่จะทำให้เกิดอารมณ์แปรปรวน รวมทั้งมีภาวะซึมเศร้า ดังนั้นจึงแนะนำให้เลือกกินอาหารที่มีวิตามินบี 6 หรือจะกินในรูปแบบของอาหารเสริมก็ได้เช่นกัน โดยวิตามินบี 6 จะช่วยป้องกันอาการที่เกิดจากการที่เซโรโทนินต่ำ รวมทั้งช่วยลดการสูญเสียพลังงานและลดการเกิดภาวะซึมเศร้าด้วย

2.วิตามินบี 12
วิตามินบี 12 เป็นวิตามินที่ส่งผลดีต่อสุขภาพของกระดูก การทำงานของระบบประสาท และมีส่วนช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง ทั้งนี้เมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ร่างกายจะสูญเสียความสามารถในการดูดซึมวิตามินบี 12 จึงทำให้ร่างกายเสี่ยงขาดวิตามินชนิดนี้ไป ตลอดจนทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น เหนื่อยล้า อ่อนแอ เบื่ออาหาร ท้องผูก โลหิตจาง มีอาการชาที่มือและเท้า สับสน มีภาวะซึมเศร้า และเกิดอาการสมองเสื่อม โดยอาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นและมักพบได้บ่อยเมื่อผู้หญิงมีอายุมากขึ้นหรือหลังจากหมดประจำเดือน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเสริมวิตามินบี 12 ในช่วงหมดประจำเดือน

3.วิตามินดี
ร่างกายที่มีอายุมากขึ้นหรืออยู่ในช่วงหลังหมดประจำเดือน โดยเฉพาะร่างกายที่ไม่ค่อยได้ออกไปสัมผัสแสงแดด จะยิ่งเพิ่มอัตราการขาดวิตามินดีในร่างกายมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เมื่อใดที่ร่างกายของคนเราขาดวิตามินดี จะเพิ่มความเสี่ยงต่อกระดูกหักง่าย รวมทั้งเพิ่มโอกาสให้เกิดอาการปวดกระดูก และเป็นโรคกระดูกพรุนได้ง่าย จะเห็นได้ว่าวิตามินดี ถือเป็นวิตามินที่วัยทองหรือวัยที่หมดประจำเดือนไม่ควรละเลยเด็ดขาด

4.วิตามินอี
วิตามินอีเป็นวิตามินที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ รวมทั้งช่วยป้องกันเซลล์ในร่างกายถูกทำลาย ทั้งนี้ความเครียดที่เกิดขึ้นบ่อยในช่วงวัยทองหรือวัยหมดประจำเดือน ส่วนหนึ่งเกิดจากปัจจัยที่เซลล์ในร่างกายถูกทำลายนั่นเอง เมื่อใดที่เซลล์ในร่างกายถูกทำลายก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้า น้ำหนักขึ้น และอาจทำให้เป็นโรคหัวใจ ดังนั้นการเติมวิตามินอีให้แก่ร่างกายในช่วงนี้ จึงช่วยบรรเทาความเครียด ลดความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า และช่วยลดภาวะเครียดออกซิเดชัน หรือภาวะที่เกิดความไม่สมดุลกันระหว่างอนุมูลอิสระกับระบบต้านออกซิเดชันในร่างกายนั่นเอง

สำหรับใครที่เริ่มรู้ว่าตัวเองใกล้เข้าสู่วัยทอง อย่าเพิ่งเป็นกังวลกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น แต่ควรเตรียมพร้อมรับมือกับอาการต่างๆ ตั้งแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า เพราะอาการที่เกิดขึ้นในช่วงวัยหมดประจำเดือนหรือวัยทอง ถือเป็นอาการธรรมชาติที่ต้องเกิดขึ้นกับร่างกายของผู้หญิงทุกคน แต่การบรรเทาอาการต่างๆ ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ทำได้ ด้วยการเติมวิตามินต่างๆ ที่ร่างกายในช่วงนี้ขาดไปนั่นเอง

------------------------------------------

#แก้อาการบ้านหมุน
#แก้เวียนศรีษะ
#ยารักษาบ้านหมุน
#ยารักษาเวียนศรีษะ
#ยารักษาน้ำในหูไม่เท่ากัน
#น้ำในหูไม่เท่ากัน
#หูอื้อ
#คลื่นไส้
#อาเจียน
#ยาแก้หูอื้อ
#ยารักษาหูอื้อ
#ยาบ้านหมุน
#แก้อาการมึนศรีษะ
#ยารักษามึนศรีษะ
#เวียนหัวบ้านหมุน
#วิธีการรักษาน้ำในหูไม่เท่ากัน
#เวียนหัว
#บ้านหมุน
#สมองตื้อ
#ยาแก้บ้านหมุน
#ยาแก้หูอื้อ
#ได้ยินไม่ชัด

4 วิตามินที่ผู้หญิงหมดประจำเดือนควรกิน ช่วยลดอาการวัยทองได้ดี สำหรับผู้หญิงที่เข้าสู่ช่วงวัยหมดประจำเดือน แน่นอนว่าร่างก...
17/04/2024

4 วิตามินที่ผู้หญิงหมดประจำเดือนควรกิน ช่วยลดอาการวัยทองได้ดี

สำหรับผู้หญิงที่เข้าสู่ช่วงวัยหมดประจำเดือน แน่นอนว่าร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนน้อยลง ซึ่งจะทำให้เกิดอาการต่างๆ ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอาการนอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน ร้อนวูบวาบ น้ำหนักขึ้น เหงื่อออกตอนกลางคืน ช่องคลอดแห้ง ความใคร่เกิดความเปลี่ยนแปลง รวมทั้งไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ วันนี้เราจึงรวมเอา 4 วิตามินที่แนะนำให้ผู้หญิงหมดประจำเดือนกินเพื่อลดอาการวัยทองมาแชร์ให้ได้ทราบกันค่ะ มาดูกันว่าในช่วงวัยหมดประจำเดือน ผู้หญิงควรกินวิตามินอะไรบ้าง

1.วิตามินบี6
วิตามินบี6 เป็นวิตามินที่ช่วยสร้างสารเซโรโทนิน หรือสารสื่อประสาทที่มีความสำคัญในการทำงานของสมองและระบบประสาท ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเข้าสู่วัยทอง สารเซโรโทนินก็จะลดต่ำลงไปด้วย จึงส่งผลให้เกิดอารมณ์แปรปรวนได้ แถมยังเสี่ยงทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้อีกด้วย ดังนั้นจึงแนะนำให้กินวิตามินบี6 เพื่อป้องกันอาการต่างๆ ที่เกิดจากการที่ระดับสารเซโรโทนินต่ำลงนั่นเอง

2.วิตามินบี12
วิตามินบี12 เป็นวิตามินที่ส่งผลดีต่อกระดูก ต่อการทำงานของระบบประสาท และมีส่วนช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งเมื่อเข้าสู่วัยทอง ร่างกายจะเริ่มสูญเสียความสามารถในการดูดซึมวิตามินบี12 ดังนั้นจึงควรกินวิตามินบี12 เพื่อลดความเสี่ยงในการที่ร่างกายอาจขาดวิตามินชนิดนี้ไปจนส่งผลให้เกิดอาการเหนื่อยล้า ร่างกายอ่อนแอ เบื่ออาหาร เกิดอาการท้องผูกง่าย มีภาวะโลหิตจาง สับสน ซึมเศร้า ชาที่มือและที่เท้า รวมทั้งมีอาการสมองเสื่อมด้วย

3.วิตามินดี
โดยปกติแล้วเมื่อผู้หญิงมีอายุมากขึ้น หรือเริ่มเข้าสู่วัยทอง มักจะไม่ค่อยมีความรู้สึกอยากออกไปนอกบ้าน หลายคนชื่นชอบการอยู่ติดบ้าน นั่นจึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ร่างกายขาดวิตามินดี สำหรับภาวะที่เกิดจากการที่ร่างกายขาดวิตามินดีนั้นก็คือ มันจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการที่กระดูกจะหักง่าย และยังทำให้เกิดอาการปวดกระดูกและเป็นโรคกระดูกพรุนได้จนในที่สุด ดังนั้นเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนหรือเข้าสู่วัยทอง แนะนำให้กินวิตามินดี จะช่วยลดอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงวัยนี้ได้เป็นอย่างดี

4.วิตามินอี
วิตามินอี คือวิตามินที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ มีหน้าที่ช่วยป้องกันเซลล์ในร่างกายถูกทำลาย โดยความเครียดที่เกิดขึ้นบ่อยในช่วงวัยทองนั้นก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เซลล์ในร่างกายถูกทำลายลงได้เช่นกัน อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้า มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ตลอดจนเสี่ยงทำให้เกิดโรคหัวใจ โดยอาการเหล่านี้มักพบได้บ่อยในผู้หญิงวัยทองหรือช่วงวัยหมดประจำเดือน ดังนั้นการลดความเสี่ยงต่างๆ เหล่านี้จึงทำได้ด้วยการเติมวิตามินอีแก่ร่างกายอย่างเพียงพอ

แม้ว่าวัยทองจะเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่อาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถควบคุมความรุนแรงได้ เพราะความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับอาการต่างๆ สามารถบรรเทาได้ด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์ การพักผ่อนที่เพียงพอ การออกกำลังกาย รวมทั้งการเติมวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายในช่วงวัยนั้นๆ อย่างเพียงพอนั่นเอง

------------------------------------

#แก้อาการบ้านหมุน
#แก้เวียนศรีษะ
#ยารักษาบ้านหมุน
#ยารักษาเวียนศรีษะ
#ยารักษาน้ำในหูไม่เท่ากัน
#น้ำในหูไม่เท่ากัน
#หูอื้อ
#คลื่นไส้
#อาเจียน
#ยาแก้หูอื้อ
#ยารักษาหูอื้อ
#ยาบ้านหมุน
#แก้อาการมึนศรีษะ
#ยารักษามึนศรีษะ
#เวียนหัวบ้านหมุน
#วิธีการรักษาน้ำในหูไม่เท่ากัน
#เวียนหัว
#บ้านหมุน
#สมองตื้อ
#ยาแก้บ้านหมุน
#ยาแก้หูอื้อ
#ได้ยินไม่ชัด

5 วิตามินที่ทำให้นอนหลับยาก ไม่แนะนำให้กินก่อนนอน แม้ว่าการกินวิตามินเสริมจะส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย โดยเฉพาะเมื่อร่างกาย...
16/04/2024

5 วิตามินที่ทำให้นอนหลับยาก ไม่แนะนำให้กินก่อนนอน

แม้ว่าการกินวิตามินเสริมจะส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย โดยเฉพาะเมื่อร่างกายของสาวๆ ขาดวิตามินชนิดใดไป การกินวิตามินเสริมก็ถือเป็นตัวช่วยที่จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินชนิดนั้นได้อย่างเพียงพอ แต่ทราบหรือไม่ว่าวิตามินทุกตัวใช่ว่าจะสามารถกินช่วงเวลาไหนตามแต่ใจตัวเองก็ได้ เพราะวิตามินบางชนิดไม่แนะนำให้กินก่อนนอน เพราะจะส่งผลทำให้นอนหลับยาก สำหรับวิตามินที่ทำให้นอนหลับยาก และไม่แนะนำให้กินก่อนนอนมี 5 ชนิดดังนี้

1.วิตามินรวม
วิตามินรวม จะมีทั้งวิตามินบี วิตามินซี วิตามินดี แคลเซียม และสารอาหารอื่นๆ ที่อาจรวมอยู่ในวิตามินเสริม ไม่ว่าจะเป็นสารสกัดจากชาเขียว คาเฟอีน หรือโคเอนไซม์ Q10 ซึ่งวิตามินและสารอาหารเหล่านี้ล้วนถูกจัดอยู่ในกลุ่มวิตามินที่ทำให้นอนหลับยาก จึงไม่แนะนำให้กินก่อนนอน เพราะจะส่งผลต่อคุณภาพของการนอนหลับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

2.วิตามินบี
วิตามินบี เช่น วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินบี5 วิตามินบี6 วิตามินบี7 วิตามินบี9 และวิตามินบี12 คือวิตามินที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับระบบประสาท โดยวิตามินกลุ่มนี้จะช่วยผลิตฮอร์โมนที่ทำงานในสมอง ดังนั้นถ้าสาวๆ กินวิตามินบีก่อนนอน ก็จะเป็นการไปกระตุ้นสมองและระบบประสาทมากขึ้น จึงส่งผลให้นอนหลับได้ยาก ทั้งนี้วิตามินบีควรกินในตอนเช้า เพื่อจะสามารถให้พลังงานแก่ร่างกายในระหว่างวันได้ อีกทั้งวิตามินบียังมีความสามารถเปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงานได้อีกด้วย

3.วิตามินซี
เนื่องจากวิตามินซีเป็นวิตามินที่ควรกินพร้อมกับอาหาร ไม่สามารถกินในขณะที่ท้องว่างได้ โดยเฉพาะถ้าสาวๆ กินในช่วงกลางคืนหรือก่อนนอน แน่นอนว่าเป็นช่วงที่ท้องว่าง หากกินวิตามินซีในช่วงเวลานี้ก็อาจทำให้เกิดปัญหากรดไหลย้อน และส่งผลให้เกิดอาการปวดท้องได้ ทั้งนี้แนะนำให้กินวิตามินซีพร้อมกับอาหารในช่วงเช้าหรือช่วงกลางวันจะดีที่สุด

4.วิตามินดี
หากสาวๆ กินวิตามินดีในช่วงกลางคืน นั่นก็เท่ากับว่าเป็นการไปหยุดหรือไปชะลอการผลิตเมลาโทนินตามธรรมชาติ ซึ่งเมลาโทนินคือฮอร์โมนเกี่ยวกับการนอนหลับ หากกินวิตามินดีก่อนนอน ก็จะเป็นการไปรบกวนการนอนหลับนั่นเอง ทั้งนี้ในช่วงกลางคืนควรจะเป็นช่วงเวลาที่ระดับสารเมลาโทนินจะต้องเพิ่มขึ้น หากสารชนิดนี้มีปริมาณลดลงก็ย่อมส่งผลต่อการนอนหลับได้

5.แคลเซียม
แคลเซียมคือวิตามินที่มีส่วนชะลอการผลิตแมกนีเซียมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งแมกนีเซียมคือสารที่ช่วยทำให้ร่างกายเกิดการผ่อนคลาย และยังช่วยให้นอนหลับง่ายในตอนกลางคืน ซึ่งแมกนีเซียมจัดเป็นวิตามินที่แนะนำให้กินในช่วงกลางคืน แต่หากสาวๆ กินแคลเซียมร่วมกับแมกนีเซียม ก็จะส่งผลต่อการดูดซึมแมกนีเซียมได้ ในขณะที่วิตามินดีช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมได้ดี จึงแนะนำให้กินวิตามินดีและแคลเซียมในตอนเช้าจะส่งผลดีต่อร่างกายอย่างมากเลยทีเดียว

อย่าลืมนะคะว่าวิตามินแต่ละชนิดสามารถส่งผลดีต่อร่างกายของสาวๆ ได้ ซึ่งมันสามารถทดแทนวิตามินที่ร่างกายมีไม่พอ แต่ทั้งนี้ก็ต้องกินให้ถูกเวลา เพื่อที่จะสัมพันธ์กับการทำงานของระบบต่างๆ ภายในร่างกายด้วยเช่นกัน หากให้ความสำคัญกับการกินวิตามินอย่างถูกต้อง ก็ย่อมส่งผลดีมากกว่าผลเสียต่อร่างกายได้อย่างแน่นอน

------------------------------------------

#แก้อาการบ้านหมุน
#แก้เวียนศรีษะ
#ยารักษาบ้านหมุน
#ยารักษาเวียนศรีษะ
#ยารักษาน้ำในหูไม่เท่ากัน
#น้ำในหูไม่เท่ากัน
#หูอื้อ
#คลื่นไส้
#อาเจียน
#ยาแก้หูอื้อ
#ยารักษาหูอื้อ
#ยาบ้านหมุน
#แก้อาการมึนศรีษะ
#ยารักษามึนศรีษะ
#เวียนหัวบ้านหมุน
#วิธีการรักษาน้ำในหูไม่เท่ากัน
#เวียนหัว
#บ้านหมุน
#สมองตื้อ
#ยาแก้บ้านหมุน
#ยาแก้หูอื้อ
#ได้ยินไม่ชัด

ที่อยู่

920 ถนนเทอดไท แขวง/เขต บางแค
Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ยาสมุนไพรรักษาอาการ เวียนหัว บ้านหมุน น้ำในหูไม่เท่ากัน เพจหลักบริษัทผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram