ศูนย์ดีบูนให้คำปรึกษากระดูก กล้ามเนื้อ ไขข้อ By 087 4004996

ศูนย์ดีบูนให้คำปรึกษากระดูก กล้ามเนื้อ ไขข้อ By 087 4004996 ศูนย์

หมอนรองกระดูก กระดูกเสื่อม ข้อเสื่อม ปวดคอ ปวดเส้น ข้ออักเสบ กระดูกพรุน กระดูกทับเส้น กระดูกทับเส้นประสาท ปวดหลัง ปวดบ่า ปวดเข่า ปวดในข้อ กระดูกสันหลัง ไขสันหลัง โรคเก๊าต์ ยินดีให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ

05/04/2019
รู้ก่อน ! ป้องกัน !และฟื้นฟูได้ !(ปวดคอบ่าไหล่ สามารถฟื้นฟูได้)โรคกระดูกคอเสื่อม เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป...
03/01/2018

รู้ก่อน ! ป้องกัน !และฟื้นฟูได้ !(ปวดคอบ่าไหล่ สามารถฟื้นฟูได้)

โรคกระดูกคอเสื่อม เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยเกิดจากการเสื่อมตามวัย หรือในบางรายก็เกิดจากวิถีชีวิตในการทำงาน เช่น งานที่ต้องเงยหน้าอยู่ตลอดเวลา ช่างไฟ ช่างทาสี หรือในคนที่ชอบนำของหนักๆมาแบกไว้ที่ศีรษะก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดโรคกระดูกคอเสื่อมได้เร็วขึ้น บางรายอายุ 35 ปีก็พบว่ามีสัญญาณของโรคกระดูกคอเสื่อมแล้วละครับ

สาเหตุ ของโรคกระดูกคอเสื่อม

- อายุมากกว่า 40 ปี
- ช้งานศีรษะในท่าก้ม เงย หรือหมุนคอบ่อยๆ
- อยู่ในอิริยาบทที่ไม่เหมาะสมเป้นเวลานานๆ เช่น ทำงานที่ต้องเงยหน้าต้างไว้นานๆเป้นประจำ

- เกิดอุบัติเหตุ เกิดการกระแทกที่กระดูกสันหลังโดยตรง
- การเล่นกีฬาที่มีการกระแทก การปะทะกันบ่อยๆ เช่น อเมริกันฟุตบอล หรือการเล่นโยคะในท่าหัวโหม่งพื้นนานๆ

อาการ ของโรคกระดูกคอเสื่อม

- โดยส่วนใหญ่แล้วมักไม่มีอาการปวดใดๆที่บ่งชี้ได้ว่าเป็นกระดูกคอเสื่อม แต่จะมีอาการเมื่อยคอ เป็นๆหายๆมากกว่า
- ปวดคอเรื้อรัง ทานยาก็หายปวด เมื่อหมดฤทธิ์ยาก็กลับมาปวดใหม่ซํ้าแล้วซํ้าเล่า

- เมื่อเงยหน้าค้างไว้นานๆจะทำให้เกิดอาการปวดเพิ่มมากขึ้น บางรายมีอาการปวดร้าวลงสะบัก หรือมีอาการชาร้าวลงแขนร่วมด้วย

- รู้สึกแขนอ่อนแรง เมื่อเทียบกับข้างปกติ กำมือได้ไม่สุด ยกของหนักไม่ได้ เมื่อยกแล้วรู้สึกปวดตึงคอเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากกระดูกงอกทับเส้นประสาท ทำให้การส่งสัญญาณประสาทไปยังกล้ามเนื้อมัดนั้นๆทำได้ไม่เต็มที่ และหากยังปล่อยทิ้งไว้จะพบว่าแขนข้างนั้นฟ่อลีบจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเลยละครับ (แต่ส่วนใหญ่ผู้ป่วยก็ไม่ยอมให้ถึงขั้นฟ่อลีบหรอกครับ)

- ในรายที่กระดูกงอกทับเส้นประสาทนั้น จะทำงานที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนได้ไม่ดีดังเดิม เช่น การเขียนหนังสือ การเย็บผ้า การติดกระดุมเสื้อ เป็นต้น

- กล้ามเนื้อรอบๆคอ บ่า และสะบักเกิดการตึงตัว ในรายที่เป็นโรคคอเสื่อมมาระยะเวลานานแล้วไม่ได้เข้ารับการรักษาจะสังเกตุเห็นว่ากล้ามเนื้อบ่าตึงแข็งเป็นลำ เมื่อให้ยืนส่องกระจกจะพบว่าหัวไหล่ทั้ง 2 ข้างสูงตํ่าไม่เท่ากัน. ปรึกษาโทร คุณยุ้ย 087-4004996

 #รู้ก่อนป้องกันและฟื้นฟูได้ (มารู้จักโรคกระดูกสันหลังคอปวดอักเสบคืออะไร)? มีอาการปวดคอ บ่าไหล่มากกลางคืนนอนไม่ค่อยได้ ต...
13/12/2017

#รู้ก่อนป้องกันและฟื้นฟูได้ (มารู้จักโรคกระดูกสันหลังคอปวดอักเสบคืออะไร)?

มีอาการปวดคอ บ่าไหล่มากกลางคืนนอนไม่ค่อยได้ ตื่นเช้ามาปวดและมีการชาปลายนิ้วมือ มีปวดหัวมึนหัว

อ่านเพิ่มเติมด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ....ฝากกดแชร์..ให้เพื่อนได้อ่านนะคะ

โรคกระดูกสันหลังคอสื่อมคือ กระดูกสันหลังหดตัวเปลี่ยนรูปร่างและเป็นบ่อเกิดทำให้ท่อกระดูกสันหลังคอ เปลี่ยนรูปร่าง แคบลง ทำให้เกิดการกระตุ้นและกดทับบริเวณ....เส้นประสาทจึงทำให้เกิดโรคขึ้น

โรคกระดูกสันหลังคอมีอาการบ่งบอด คือ ปวดไหล่คอ มึนหัวปวดหัว แขนทั้งสองข้างชา เกร็งกล้ามเนื้อ ขาทั้งสองมีการกดทับและทำให้เดินไม่สะดวก รวมถึงแขนขาทั้งสี่มีอาการชา ปัสสาวะอุจจาระไม่เป็นปกติ ............

โรคกระดูกสันหลังคอมักพบในวัยกลางคนและผู้สูงอายุแต่เกิดขึ้นในบุคคลปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตและการขาดการดูแลป้องกัน บางครั้งตรวจพบเจ็บในวัยรุ่นและให้กลางคน และอัตราการพบโรคในเพศชายจะมากกว่าเพศหญิง

ประเภทของโรคกระดูกสันหลังคอมีอะไรบ้าง

โรคกระดูกสันหลังคอมีอาการบ่งบอกถึงบริเวณที่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งการถูกเยื่อกดทับและน้ำหนักการกดทับนั้นมีความแตกต่างกัน อาการโรคกระดูกสันหลังคอสามารถแบ่งออกเป็นเช่นชนิดกดทับรากเส้นเส้นประสาท

ชนิดกดทับไขสันหลัง ชนิดกดทับเส้นประสาทสันหลัง และชนิดประสาทซิมพาเทติก ผู้ป่วยโรคกระดูกสันหลังคอสามารถพบลักษณะอาการตามประเภทและลักษณะแต่ละประเภทผสมกัน

โรคกระดูกสันหลังคอคืออะไร

1.อาการปวดเมื่อยเรื้อรัง: ศีรษะและลำคออยู่ในลักษณะท่าเดียวเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการต่อตัวของกระดูกเพิ่มมากขึ้น ส่งผลต่อเส้นประสาทและหลอดเลือดส่วนหนึ่ง ซึ่งบ่อเกิดโรคกระดูกสันหลังคอ

2.แผลบาดเจ็บ ก่อนได้รับแผลบาดเจ็บ หากมีระดับกระดูกสันหลังคอที่ผิดปกติ จะส่งผลทำให้แผลบาดเจ็บนั้น ชักนำอาการของโรคกระดูกสันหลังคอได้อย่างชัดเจน

3.ลักษณะท่าทางไม่ดี ก้มหัวทำงาน ดูโทรทัศน์บนที่นอน หรืออ่านหนังสือในลักษณะท่าทางไม่ดีเป็นเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อคอมีอาการปวดเมื่อยเรื้อรังซึ่งง่ายต่อการได้รับความบาดเจ็บที่สันคอ

4.โครงสร้างกระดูกสันหลังคอพัฒนาการไม่เต็มที่ ต้นกำเนิดกระดูกสันหลังตีบและมีการเปลี่ยนแปลงหดตัวเป็นอาการเริ่มต้นของโรคกระดูกสันหลังคอเสื่อม ซึ่งผู้ป่วยเป็นโรคกระดูกสันหลังคอเสื่อมจากอาการนี้มากกว่าคนปกติประมาณหนึ่งเท่าตัว

อาการบ่งบอกโรคกระดูกสันหลังคอเสื่อม

1.คอและไหล่มีอาการปวดร้าว และลามไปยังศีรษะ ลำคอและแขนช่วงบน
2.ตะแคงข้างมีอาการหนักหน่วง แขนไม่มีแรง นิ้วมือมีอาการชา

3.ผิวแขนขาเหี่ยว ไม่มีแรงกำมือ
4.ขาไม่มีแรง เดินไม่ปกติ เท้าทั้งสองข้างมีอาการชา

5.ไม่สามารถควบคุมการปัสสาวะอุจจาระได้ ระบบทำงานไม่เป็นปกติ รวมถึงแขนขาอาจเป็นอัมพาตได้

6.ผู้ป่วยโรคกระดูกสันหลังคอสื่อมบางรายมีอาการเวียนหัว อาการหนักก็อาเจียน

7.เมื่อผู้ป่วยโรคกระดูกสันหลังคอเสื่อมมีอาการหนัก กดทับเส้นประสาท จะพบอาการปวดหัว ตาทั้งสองข้างบวมและแห้ง สายตาพร่ามัวสองบวมหรือแห้งหูอื้อและใจสั่น รวมถึงอาการท้องอืดและอาการอื่น ๆเป็นต้น

เป็นยังไงบ้างค่ะเมื่อได้อ่านแล้ว ตรงกับอาการของเราไหมค่ะ ถ้ามีอาการคล้ายๆแบบนี้แล้ว ปรึกษากับทางศูนย์เราได้เลยนะคะ เรามีทางออกด้วยการดูแลด้วยธรรมชาติ ปลอดภัยกับร่างกายค่ะ

ปรึกษา ฟรี..!! โทรเลย!!
💢สนใจติดต่อคุณ ยุ้ย 087-4004996

รู้ก่อน !ป้องกัน !และฟื้นฟูได้  !(3 สัญญาณอันตรายเสี่ยง)) “ออฟฟิศซินโดรม”)ฝากกดแชร์ ด้วยนะคะโรคออฟฟิศซินโดรม (Office Syn...
07/12/2017

รู้ก่อน !ป้องกัน !และฟื้นฟูได้ !(3 สัญญาณอันตรายเสี่ยง)) “ออฟฟิศซินโดรม”)

ฝากกดแชร์ ด้วยนะคะ

โรคออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) คืออะไร ?

เป็นภาวะที่มักพบมากในวัยทำงาน เนื่องจากการนั่งทำงานนานหลายชั่วโมง ไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายมากนัก รวมทั้งเคลื่อนไหวไม่ถูกลักษณะ เช่น นั่งหลังงอ เดินห่อไหล่ ไม่ยืดตัว เป็นระยะเวลานาน ทำให้เริ่มมีอาการเมื่อยตาม ไหล่ บ่า หลังและข้อมือ จนอาจกลายเป็นเรื้อรังได้

นอกจากนี้สภาพแวดล้อมในที่ทำงาน พวกโต๊ะ เก้าอี้ ก็มีผลต่อการเป็นโรคออฟฟิศซินโดรมเช่นกัน เพราะบางทีความสูงของเก้าอี้และโต๊ะไม่เหมาะสมกัน โต๊ะสูงกว่าเก้าอี้นิดเดียว ทำให้ต้องนั่งก้มหลังงอทำงาน แค่คิดก็รู้สึกเมื่อยแล้ว ยิ่งต้องทำงานทุกวันล่ะก็ ไม่น่าแปลกใจเลยที่จะเป็นโรคออฟฟิศซินโดรม



3 สัญญาณเสี่ยงเป็นโรคออฟฟิศซินโดรม :



1. มือชา นิ้วล็อค เอ็นอักเสบ

เกิดจากการที่มือและนิ้วของเราอยู่ในลักษณะเดิมเป็นเวลานาน นั่นก็คือ การจับเมาส์ ในการทำงานหน้าจอแต่ละวันเราต้องนั่งทำอยู่หลายชั่วโมงกว่าจะถึงพักเที่ยงหรือเลิกงาน ติดต่อกันทุกๆ วัน ทำให้กล้ามเนื้อกดทับเส้นประสาทและเส้นเอ็นจนอักเสบ จึงเกิดอาการมือชา นิ้วล็อค เอ็นอักเสบขึ้นได้



2. ปวดหัวเรื้อรัง (ไมเกรน)

ชีวิตการทำงานย่อมไม่ได้ราบรื่นอยู่ตลอดเวลา อาจมีความเครียดเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจากงานหรือสภาพแวดล้อมความเครียดมีผลต่อไมเกรนอย่างมาก รวมทั้งเรื่องการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ความร้อน แสงแดดและการขาดฮอร์โมนบางชนิด หากรู้สึกมีอาการปวดขมับด้านหน้าศีรษะแล้วละก็ รู้ไว้เลยว่าคุณมีความเสี่ยงที่จะเป็นไมเกรนแล้วล่ะ



3. ปวดหลังเรื้อรัง

ถือเป็นปัญหาที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้มากกว่าข้ออื่นๆ เพราะการนั่งทำงานนานๆ ย่อมทำให้เกิดอาการล้า เมื่อย จากตอนแรกที่นั่งตัวตรง หลังตรง เมื่อเวลาผ่านไป คุณอาจเริ่มงอหลังลงมาโดยไม่รู้ตัว และเมื่อนั่งหลังงอหลังค่อมเป็นเวลานานๆ ติดต่อกันวันแล้ววันเล่า จะส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณคอ สะบัก เกร็งอยู่ตลอดเวลา จึงเกิดอาการปวดหลังเรื้อรัง



อ่านจบแล้ว ใครที่มีอาการดังกล่าวควรรีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เร็วเลยนะ ไม่งั้นคงต้องทนทรมานกับเจ้าโรคออฟฟิศซินโดรมนี้ไปอีกนาน พยายามอย่าเครียด จัดที่นั่งให้เหมาะสม ลุกออกไปเคลื่อนไหวร่างกายทุกๆ 1-2 ชั่วโมง หากทำได้ตามนี้น่าจะพอช่วยเลี่ยงไม่ให้เจ้าโรคนี้มากล้ำกรายได้มากเลยทีเดียว
:ยินดีให้คำปรึกษาฟรีค่ะ
ลูกค้าสามารถเพิ่มเพื่อน Line @ คลิ๊กลิ้งค์นี้ได้ทันที https://line.me/R/ti/p/%40ghg4648j
เพื่อรับข้อมูล
คุณประภาพันธ์ ( ยุ้ย )
โทร 087 4004996

รู้ก่อน !ป้องกัน! และฟื้นฟูได้ ! ( อาการไทรอยด์ มาเยือน )เช็คด่วน10 สัญญาณเตือน อาการไทรอยด์ผิดปกติ1. อ่อนเพลีย เหนื่อยง...
15/11/2017

รู้ก่อน !ป้องกัน! และฟื้นฟูได้ ! ( อาการไทรอยด์ มาเยือน )

เช็คด่วน
10 สัญญาณเตือน อาการไทรอยด์ผิดปกติ

1. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ใจสั่น

2. ผมร่วง

3. นอนไม่หลับ

4. รู้สึกง่วงตลอดเวลา

5. อ้วนขึ้นหรือผอมลงเร็วผิดปกติ

6. หิวบ่อยหรือไม่หิวกินไม่ลง

7. รู้สึกหนาวตลอดหรือร้อนมากขึ้น

8. ขับถ่ายไม่ผิดปกติ

9. ใจสั่น

10. ผิวแห้ง

รู้ตัวว่ามีอาการเหล่านี้รีบปรึกษาดูแลและฟื้นฟูอาการเหล่านี้
ปรึกษาโทร.087-4004996คุณยุ้ย :https://line.me/R/ti/p/%40ghg4648j

รู้ก่อน. ! ป้องกัน ! และฟื้นฟูได้ !(ทำไมเป็นกันจัง โรคนี้ปวดนั่น ปวดนี่ ปวดเรื้อรังอยู่ได้ ใครมีอาการนี้ อ่านเพิ่มเติมได...
04/11/2017

รู้ก่อน. ! ป้องกัน ! และฟื้นฟูได้ !(ทำไมเป็นกันจัง โรคนี้ปวดนั่น ปวดนี่ ปวดเรื้อรังอยู่ได้ ใครมีอาการนี้ อ่านเพิ่มเติมได้เลยค่ะ

กดแชร์ได้เลยค่ะ

ปวดคอ ไหล่ติด สะบักจม สัญญาณเตือน “โรคกล้ามเนื้อหดเกร็ง”

เคยสังเกตกันไหมว่า ในหนึ่งวัน เรา “สะบัดคอ” เพราะรู้สึกหนัก เมื่อย เกร็ง กันกี่หน ร้อยทั้งร้อย เชื่อว่าไม่เคยนับ เพราะคิดว่าเป็นอาการเมื่อยล้าจากการทำงาน เป็นเรื่องปกติ แต่รู้ไหมว่า ที่จริงแล้วมันไม่ปกติ อาการปวดคอ บ่า ไหล่ ไหล่ติด ยกแขนลำบาก สะบักจม เป็นสัญญาณเตือนจากร่างกาย หากไม่หาทางแก้ไข ในอนาคตอาจต้องเตรียมรับมือกับโรคไมเกรน กล้ามเนื้อเสื่อม หมอนรองกระดูกเสื่อม โรคหลอดเลือด (อัมพฤกษ์-อัมพาต และโรคหัวใจ)

ลำคอของเรา เป็นอวัยวะที่ต้องแบกรับน้ำหนักของศีรษะไว้ทั้งวันและต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะก้ม เงย เอี้ยว หมุน แม้กระทั่งตอนหลับ นับเป็นหนึ่งในอวัยวะภายนอกที่ต้องทำงานหนักที่สุด และจำเป็นต้องได้รับการดูแล บำรุงรักษา อย่างสม่ำเสมอ แต่คนส่วนใหญ่มักละเลย ไม่ค่อยให้ความสำคัญ และยังทำพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเจ็บป่วยกันอยู่เป็นประจำ
โรคกล้ามเนื้อหดเกร็ง ปล่อยนานอันตราย!

โดยปกติแล้วกล้ามเนื้อร่างกายคนเราจะหด และคลายตัวสลับกันเป็นจังหวะ ทำให้หลอดเลือดที่ทอดผ่านในมัดกล้ามเนื้อ สามารถส่งเลือดให้ไหลเวียนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้อย่างราบรื่น แต่ถ้าเรามีพฤติกรรมที่ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดเกร็งนานเกินไปบ่อยๆ หลอดเลือดถูกบีบรัดนานๆ เป็นประจำ

การไหลเวียนของเลือดก็จะติดขัด มีของเสียคั่งค้างอยู่ในกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดการอักเสบ และมีอาการปวดกล้ามเนื้อขึ้น และหากไม่ได้รักษาอย่างถูกต้อง กล้ามเนื้อก็จะเคยชินกับการหดเกร็งอยู่ตลอด ไม่มีการคลายตัว กลายเป็นอาการปวดอย่างเรื้อรัง แพทย์แผนปัจจุบันเรียกว่า Chronic Myofascial Pain Syndrome (MFPS) หรือ “โรคกล้ามเนื้อหดเกร็ง”

กล้ามเนื้อส่วนที่พบปัญหา Chronic Myofascial Pain Syndrome มากที่สุด ได้แก่ กล้ามเนื้อบริเวณ ต้นคอ บ่า และหลังเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากกิจกรรมประจำวันของเราแทบทุกคน มักต้องใช้กล้ามเนื้อส่วนนี้กันตลอดเวลา

ทั้งในการทำงาน การออกกำลังกาย การเล่นดนตรี ไปจนถึงการเล่นโทรศัพท์มือถือ อ่านหนังสือ แม้แต่การนั่งอยู่เฉยๆ หรือในขณะหลับ

ในรายที่เป็นไม่มาก อาจจะมีแค่อาการปวดตึงๆ เมื่อยๆ เท่านั้น ซึ่งเมื่อรู้สึกตัว และรีบผ่อนคลาย ยืดเหยียด หรือนวดคลายกล้ามเนื้อสม่ำเสมอ อาการก็ทุเลาหายไปได้

แต่บางรายที่ละเลยต่ออาการ และมักมีพฤติกรรมทำร้ายกล้ามเนื้อซ้ำ เช่น การสะบัดหรือ จับคอบิดแรงๆ เป็นประจำ โดยไม่ยืดเหยียด ผ่อนคลาย อาจมีอาการปวดรุนแรงจนไม่สามารถทำงานหรือนอนหลับอย่างเป็นปกติได้

สาเหตุของอาการปวดคอ ไหล่ติด สะบักจม

มักจะเกิดจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น
นอนหมอนที่ไม่รองรับต่อสรีระบริเวณคอและบ่า เช่น หมอนสูง หรือต่ำ เกินไป

สลัดคอแรงๆ บ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาเมื่อยมากๆ ยิ่งเมื่อย ยิ่งสะบัดแรง

ใช้คอและไหล่หนีบโทรศัพท์เป็นนิสัย หรือก้มหน้าเล่นโทรศัพท์เป็นเวลานานๆ

การทำงานที่จำเป็นต้องเกร็งศีรษะ ค่า บ่า ไหล่ ตลอดเวลา เช่น นั่งพิมพ์งาน ยกของหนัก ขับรถ สะพายกระเป๋าที่มีน้ำหนักมากเกินไป โดยไม่มีการเตรียมพร้อม-ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ และพักระหว่างวันเท่าที่ควร

การออกกำลังกายเกินกำลัง หรือออกกำลังกายโดยไม่ยืดหยียดกล้ามเนื้อให้มีความพร้อมก่อนออกกำลัง และไม่ยืดเหยียดผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลังออกกำลัง

ชอบนั่งหลับ สัปหงก ทำให้เกิดการกระตุก เกร็งกล้ามเนื้อคอบ่อยๆ

อุบัติเหตุที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวรุนแรง เช่น รถชนท้าย คอกระชากไปหน้า-สะบัดไปหลัง

พฤติกรรมต้นเหตุที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ซึ่งเรามักทำเป็นนิสัยโดยไม่รู้ตัว คือ “ความเครียด” (บางคนนั่งทำงานขมวดคิ้ว ย่นหน้าผาก เกร็งใบหน้า ทั้งวัน ไม่ยอมผ่อนคลาย จนเกิดริ้วรอยก่อนวัย)

เนื่องจาก ความเครียดเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้กล้ามเนื้อ และหลอดเลือดหดเกร็ง นอกจากจะทำให้เกิดอาการเมื่อยล้า ไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่าแล้ว ความเครียดยังเป็นตัวการสร้างอนุมูลอิสระภายในร่างกาย เป็นบ่อเกิดของโรคแห่งความเสื่อมทั้งหลาย อย่างเช่น โรคความดันโลหิต เบาหวาน หลอดเลือดสมองและหลอดเลือดหัวใจอีกด้วย

เรื่องการป้องกัน เราส่วนใหญ่ทราบกันดีอยู่แล้ว เช่น ไม่นั่งทำงานในท่าเดียวนานเกินไป ขยับร่างกายเปลี่ยนอิริยาบทบ่อยๆ หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเครียด ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เป็นต้น แต่ในการดำเนินชีวิตประจำวันนั้น เราอาจไม่สามารถรู้ตัวหรือป้องกันได้ตลอดเวลา บางครั้งกว่าจะรู้ตัวอีกที ก็เกิดอาการขึ้นเสียแล้ว

ในทางการแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์มักจ่ายยาแก้ปวด คลายกล้ามเนื้อ แกอักเสบ รวมถึงยาคลายเครียดให้ และในรายที่เป็นมานาน มีอาการมาก แพทย์อาจพิจารณาให้ฉีดสเตียรอยด์หรือยาชาเข้ากล้ามเนื้อเพื่อระงับอาการปวดชั่วคราว ซึ่งต้องฉีดอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ และมักพบว่า เมื่อฉีดไปได้สักระยะ อาการจะไม่ค่อยทุเลาลง หรือกลับเป้นมากขึ้นจนสุดท้ายอาจจบลงที่การผ่าตัด และกลับมาเป็นซ้ำในไม่กี่ปีต่อมา

เนื่องจากพฤติกรรมก่อโรคของเรายังคงดำเนินต่อไป เราได้รับการบรรเทาเพียงแค่อาการปวด แต่เรายังไม่ได้ลงมือรักษาเจ้าของร่างกายที่เจ็บปวดกันอย่างจริงจัง

ดังนั้น ในบทความนี้เราจึงเน้นนำการเสนอวิธีการแก้ไข สำหรับผู้ที่มีอาการ ไม่ว่าจะเป็นในระยะเริ่มต้นหรือเรื้อรังมากนาน ซึ่งหากปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างสม่ำเสมอ ก็จะสามารถช่วยให้อาการดีขึ้นหรือหายเป็นปกติได้

ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ
ลูกค้าสามารถเพิ่มเพื่อน Line @ คลิ๊กลิ้งค์นี้ได้ทันที :

 #รู้ก่อนป้องกันและฟื้นฟูได้    (อาการโรคเบาหวาน 10 สัญญาณควรระวัง เช็กได้ง่ายนิดเดียว) โรคเบาหวาน อยากรู้ว่าตัวเองกำลัง...
25/10/2017

#รู้ก่อนป้องกันและฟื้นฟูได้ (อาการโรคเบาหวาน 10 สัญญาณควรระวัง เช็กได้ง่ายนิดเดียว)

โรคเบาหวาน อยากรู้ว่าตัวเองกำลังกลายเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือไม่ ต้องเช็กอาการเหล่านี้ อย่ามัวแต่ละเลยจนสายเกินแก้

โรคเบาหวาน เป็นโรคภัยไข้เจ็บที่คนสมัยนี้ตรวจพบกันมากขึ้น เนื่องจากสภาวะสังคมที่เปลี่ยนไป ทำให้ต้องเร่งรีบอยู่ตลอดเวลา และลืมเอาใจใส่สุขภาพของตัวเอง ซึ่งส่วนใหญ่ก็แทบจะไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นนอกเสียจากว่าจะไปตร­­­­วจสุขภาพแล้วจึงจะพบ

แต่กว่าจะพบว่าตัวเองเป็นเบาหวาน ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงก็ส่งผลมากมายต่อสุขภาพแล้ว แถมพอเป็นแล้วก็ยังไม่รู้อีกว่าตัวเองเป็นเบาหวานประเภทไหน เพราะโรคเบาหวานนั้นก็ยังถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท

โรคเบาหวาน เป็นความผิดปกติทางร่างกายที่เกิดจากการที่ตับอ่อนสร้าง "ฮอร์โมนอินซูลิน" ได้ น้อยหรือไม่สามารถสร้างได้เลย ซึ่งฮอร์โมนอินซูลินที่ว่าจะคอยช่วยให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาลมาใ­­­­ช้เป็นพลังงาน และเมื่อฮอร์โมนอินซูลินในร่างกายไม่เพียงพอก็จะทำให้เกิดการสะ­­­­สมของน้ำตาลในอวัยวะต่าง ๆ เมื่อน้ำตาลสะสมในเลือดมาก ๆ ก็จะถูกกรองออกมาผ่านทางปัสสาวะนั่นเอง

โดยโรคเบาหวานเป็นโรคที่เรื้อรังและไม่หายขาด รวมทั้งยังเป็นโรคทางพันธุกรรมอีกด้วย นอกจากนี้โรคเบาหวานยังสามารถเกิดขึ้นได้แม้คนในครอบครัวไม่มี­ปร­ะวัติโรคเบาหวาน เพราะปัจจัยต่าง ๆ ในการใช้ชีวิต อย่างเช่น อาหารการกิน สิ่งแวดล้อม การออกกำลังกาย หรือแม้แต่การใช้ยาบางชนิด ก็ทำให้เกิดโรคเบาหวานได้เช่นกัน

โรคเบาหวานแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ประเภทที่พึ่งอินซูลินและประเภทที่ไม่พึ่งอินซูลิน โดยชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือ ประเภทที่ 2 หรือประเภทที่ไม่พึ่งอินซูลิน ซึ่งมีความรุนแรงน้อย และมักพบในกลุ่มคนอายุ 40 ปีขึ้นไป แต่ก็อาจจะพบในวัยเด็กหรือวัยหนุ่มสาวได้

โดยประเภทนี้ตับอ่อนจะสามารถสร้างอินซูลินได้แต่ก็สร้างได้น้อย­­­­ ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ทำให้ร่างกายจำเป็นต้องได้รับอินซูลินบ้างเป็นครั้งคราว ทั้งนี้อาการของผู้ป่วยโรคเบาหวานมักจะสังเกตได้ดังนี้ค่ะ

ปัสสาวะบ่อยขึ้น หิวน้ำบ่อยขึ้น

หากคุณเริ่มรู้สึกว่าพักหลัง ๆ คุณลุกไปเข้าห้องน้ำบ่อยกว่าปกติ โดยเฉพาะในตอนกลางคืน และกระหายน้ำมากกว่าเดิม ขอบอกเลยว่านั่นเป็นสัญญาณของโรคเบาหวานค่ะ นั่นก็เป็นเพราะร่างกายจะต้องขับปริมาณน้ำตาลในเลือดที่สูงกว่า­­­­ปกติออก มาทางปัสสาวะ และร่างกายก็ต้องการน้ำเพื่อทดแทนของเหลวที่ขับออกไปพร้อมกับน้ำตาล แต่ก็จะเป็นเฉพาะเวลาที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเท่านั้น หากสามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้ปกติได้ อาการเหล่านี้ก็จะเบาบางล­งค่ะ

น้ำหนักลด

การที่น้ำหนักลดผิดปกติไม่ใช่เรื่องที่ควรละเลยค่ะ เพราะนั่นอาจจะเป็นสัญญาณเตือนของโรคบางชนิดได้ โดยเฉพาะโรคเบาหวาน การที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงจะส่งผลให้น้ำหนักดิ่งลงอย่างรวด­­­­เร็วประมาณ 5-10 กิโลกรัม ภายในเวลา 2-3 เดือนเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ผลดีกับร่างกายเลยค่ะ

ส่วนสาเหตุของการที่น้ำหนักลดอย่างรวดเร็วนั้นก็เนื่องมาจากร่า­­งกาย­­ไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ ทำให้ร่างกายเหมือนอยู่ในสภาวะขาดอาหารและเริ่มดึงโปรตีนจากกล้­­­­ามเนื้อ มาใช้เป็นพลังงานแทน นอกจากนี้การที่ไตทำงานอย่างหนักยังส่งผลให้ร่างกายเผาผลาญแคลอ­­­­รีมากเกินไป แถมยังอันตรายต่อไตอีกด้วย

หิวบ่อย กินจุบจิบ

ถ้าเกิดอยู่ดี ๆ คุณกลายเป็นคนชอบกินจุบจิบหรือหิวบ่อยแบบไม่มีสาเหตุละก็ สันนิฐานได้เลยค่ะว่า คุณอาจจะกำลังเป็นโรคเบาหวาน เพราะเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ร่างกายก็จะต้องการอาหารเพื่อเ­พิ่มระดับน้ำตาลในเลือด และจะส่งสัญญาณออกมาเป็นความรู้สึกหิวนั่นเอง แต่ถ้าอยากให้แน่ใจว่าป่วยเป็นเบาหวานหรือไม่ก็ควรไปตรวจจะดีกว­­­­่าค่ะ

มีปัญหาที่ผิวหนัง

ผิวแห้งแตก หรืออาการคันบนผิวหนัง เป็นสัญญาณพื้นฐานของผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยผู้ป่วยเบาหวานบางรายอาจจะมีรอยดำคล้ำที่บริเวณคอหรือใต้รัก­­­­แร้ ซึ่งมีสาเหตุมาจากภาวการณ์ดื้ออินซูลินในร่างกาย ดังนั้นหากพบว่ามีปัญหาผิวหนังดังกล่าว ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดค่ะ

บาดแผลหายช้า

หากบาดแผลที่เกิดจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น การติดเชื้อ แผลถูกของมีคมบาด หรือแม้แต่รอยฟกช้ำนั้นหายได้ช้านั่นเป็นสัญญาณที่เห็นได้ชัดว่­าคุณกำลังเผชิญกับโรคเบาหวานค่ะ เพราะระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเกินกว่าปกติของผู้ป่วยเบาหวานจะ­­­­ไปขัดขวางการทำงานของหลอดเลือด

โดยจะไปสร้างความเสียหายในหลอดเลือด ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณที่มีบาดแผลได้น้อย หากไม่ระมัดระวังหรือรักษาความสะอาดให้ดี ก็อาจจะกลายเป็นแผลติดเชื้อ และเกิดเนื้อตายได้ค่ะ

ติดเชื้อราง่าย

โรคเบาหวานเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ภูมิคุ้มกันของเราอ่อนแอลง ทำให้ร่างกายจะไวต่อการติดเชื้อ และเชื้อราที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานพบบ่อยที่สุดก็คือเชื้อราแคนดิด­า (Candida) เพราะส่วนใหญ่แล้วเชื้อราชนิดต่าง ๆ มักจะเติบโตได้ดีในสภาวะที่อุดมไปด้วยน้ำตาล โดยเฉพาะคุณผู้หญิงอาจติดเชื้อราแคนดิดาได้­บ่อ­­­ยในบริเวณช่องคลอด วิธีการรักษาก็คือ การใช้ยาฆ่าเชื้อและควบคุมระดับน้ำตาลค่ะ

อ่อนเพลีย อารมณ์ฉุนเฉียว

อาการอ่อนเพลียและอารมณ์ฉุนเฉียวเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานจะต้­องเจอเมื่อระดั­­­บน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดจะส่งผลกับทุกระบบการทำงานในร่างกา­­­­ย แม้แต่กับภาวะทางอารมณ์ แต่ก็ไม่ต้องกังวลจนมากไป เพราะเมื่อร่างกายขับน้ำตาลออกมาทางปัสสาวะจนระดับน้ำตาลในเลือ­­­­ดเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ระบบต่าง ๆ ในร่างกายก็จะกลับมาทำงานได้ดีขึ้น อาการอ่อนเพลียและอารมณ์ที่แปรปรวนก็จะหายไปค่ะ

มองไม่ชัด

อาการมองเห็นไม่ชัด เห็นแสงวูบวาบ หรือเห็นอะไรลอยไปมาในดวงตา เป็นผลมาจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเกินไป โดยระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงจะไปทำปฏิกิริยาภายในดวงตา ทำให้เกิดความผิดปกติ แต่ไม่ต้องกังวลค่ะ เพราะอาการนี้จะไม่เป็นตลอดไปหากสามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู­­­­่ในระดับปกติได้ แต่ก็ควรที่จะหมั่นตรวจเลือดเพื่อเช็กระดับน้ำตาลในเลือดอย่างส­­­­ม่ำเสมอ เพราะถ้าหากไม่ตรวจเช็กและควบคุมให้ดี ก็อาจจะทำให้มีสิทธิ์ตาบอดได้ค่ะ

รู้สึกชาตามปลายมือปลายเท้า

อาการชาตามปลายมือปลายเท้า เป็นอาการที่แสดงให้เห็นว่าระดับน้ำตาลในเลือดได้เข้าไปทำลายระ­­­­บบการทำ งานของประสาท มักจะเป็นอาการที่เกิดกับคนที่เป็นโรคเบาหวานและมีระดับน้ำตาลส­­­­ูงติดต่อกันเป็นเวลานาน วิธีการป้องกันก็คือ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับ­ที่เหมาะสม และควรรับประทานวิตามินบีเพื่อบำรุงประสาทอีกด้วย

น้ำตาลในเลือดสูง

จริงอยู่ที่การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดจะสามารถระบุได้ชัดที่สุด­­­­ว่าคุณกำลังเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ แต่เราก็ไม่สามารถเชื่อผลการตรวจเลือดในครั้งแรกได้ค่ะ เพราะการตรวจเลือดในครั้งแรก ระดับน้ำตาลที่สูงอาจจะเกิดจากการร­ับประทานอาหารก็ได้ จึงควรได้รับการตรวจเลือดซ้ำ โดยงดอาหารและน้ำก่อนการตรวจเลือดอย่างน้อย 8 ชั่วโมง

ทั้งนี้ระดับน้ำตาลของคนปกติจะอยู่ที่ประมาณ 99 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หากระดับน้ำตาลอยู่ที่ประมาณ 100 - 125 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรก็ควรระมัดระวัง แต่ถ้าระดับน้ำตาลสูงกกว่า 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แม้จะตรวจซ้ำแล้วก็แปลว่าคุณกำลังเป็นโรคเบาหวานค่ะ

อาการเหล่านี้เป็นอาการโรคเบาหวานที่สังเกตได้ชัดเจนที่สุด ดังนั้นใครที่กลัวว่าตัวเองจะเป็นโรคเบาหวานละก็ ควรสังเกตให้ดีเลยล่ะค่ะว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่ และอาการเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นประจำหรือเปล่า หากใช่ รีบไปพบแพทย์จะดีกว่าค่ะ หากทิ้งเอาไว้จนระดับน้ำตาลสูงเกินไปอาจทำให้เกิดอาการช็อกได้ ซึ่งอันตรายไม่ใช่เล่น ๆ เลย

 #รู้ก่อนรอดก่อน.  อาหารกับโรค๑. คนที่เป็นไข้หวัด ไข้สูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่สุก อาหารที่เย็นมาก หรืออาหารทอด อาหารม...
11/10/2017

#รู้ก่อนรอดก่อน. อาหารกับโรค

๑. คนที่เป็นไข้หวัด ไข้สูง
ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่สุก อาหารที่เย็นมาก หรืออาหารทอด อาหารมัน ซึ่งล้วนแต่ทำให้ย่อยยาก ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนสะสม เปรียบเสมือน “อาหารเชื้อเพลิง” หรือการเติมน้ำมันเข้าไปในกองไฟ

๒. คนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ
กระเพาะอาหารเป็นแผล หรือระบบการย่อยไม่ดี ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชาแก่ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมัน เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดการสะสมความร้อนในร่างกายทำให้โรคหายยาก แนะนำให้กินอาหารปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง กินอาหารตามเวลา และเป็นอาหารอ่อนย่อยง่าย

๓. คนที่เป็นโรคความดันเลือดสูง
โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาหลอดเลือดแข็งตัว (ตามภาวะความเสื่อมของร่างกาย) ทำให้หลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น ควรหลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น ตับ สมอง ถั่ว น้ำมันหมู ไขกระดูก ไข่ปลา โกโก้ น้ำมันเนย รวมทั้งเหล้า เพราะอาหารเหล่านี้จะทำให้เกิดความร้อนชื้นสะสมในร่างกาย(ความชื้นมีผลให้เกิดความหนืดของการไหลเวียนต่อร่างกายทุกระบบ ความร้อนทำให้ภาวะร่างกายถูกกระตุ้น ทำให้ความดันสูง) นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด (ฤทธิ์กระตุ้น) หรืออาหารหวานมาก เช่น ลำไย ขนุน ทุเรียน ฯลฯ (คุณสมบัติร้อน) เราคงได้ยินบ่อยๆว่า มีคนที่เป็นโรคความดันสูง แล้วไปกินทุเรียนร่วมกับเหล้า แล้วหมดสติ เสียชีวิต จากภาวะเส้นเลือดในสมองแตกก็สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลดังกล่าว

๔. คนที่เป็นโรคตับหรือโรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี
ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกเหล้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอดๆ มันๆ อาหารหวานจัด เพราะแผนแพทย์จีนถือว่าตับ ถุงน้ำดี มีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร ซึ่งเป็นระบบพื้นฐานของการรับสารอาหารเพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกาย ให้เกิดเลือด พลัง การได้อาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไปจะทำให้เกิดความร้อนความชื้น ทำให้สมรรถภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอ ซึ่งจะทำให้เกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง

๕. คนที่เป็นโรคหัวใจ โรคไต
หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด เพราะรสเค็มทำให้มีการเก็บกักน้ำ การไหลเวียนเลือดจะช้า เป็นภาระต่อหัวใจในการทำงานหนักเพิ่มขึ้น ทำให้ไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ขณะเดียวกัน อาหารที่มีรสเผ็ดก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนทำให้ต้องสูญพลังงานมาก และหัวใจก็ต้องทำงานหนักขึ้น โดยสรุปคือ ต้องลดการทำงานของหัวใจและไต โดยไม่เพิ่มปัจจัยต่างๆที่เป็นโทษเข้าไป

๖. คนที่เป็นโรคเบาหวาน
ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวาน หรืออาหารประเภทแป้งที่มีแคลอรีสูง เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ฯลฯ แนะนำอาหารพวกถั่ว เช่น เต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสด ฯลฯ

๗. คนที่นอนหลับไม่สนิท
ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกชา กาแฟ หรือการสูบบุหรี่ โดยเฉพาะเวลาก่อนนอน เพราอาหารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน หรือทำให้หลับไม่สนิท

๘. คนที่เป็นโรคริดสีดวงทวารหรือท้องผูก
ต้องหลีกเลี่ยงอาหารประเภท กระเทียม หอม ขิงสด พริกไทย พริก ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้มีความร้อนในตัวสะสมมาก ทำให้ท้องผูก ทำให้เส้นเลือดแตกและอาการริดสีดวงทวารกำเริบ

๙. คนที่มีอาการลมพิษ
ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง หรือเป็นโรคหอบหืด ควรเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ ผลิตภัณฑ์นมหรือสิ่งกระตุ้นอื่นๆ รวมทั้งรสเผ็ด เพราะสารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นและทำให้มีอาการผื่น ผิวหนังกำเริบ

๑๐. คนที่เป็นสิว
หรือมีการอักเสบของต่อมไขมัน ควรงดอาหารเผ็ดและอาหารมัน เพราะทำให้สะสมความร้อนชื้นของกระเพาะอาหาร ม้าม มีผลต่อความร้อนชื้นไปอุดตันพลังของปอด (ควบคุมผิวหนัง ขนตามร่างกาย) ทำให้เกิดสิว

ประโยชน์ของน้ำผึ้ง

ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย
มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอวัย

ช่วยลดและป้องกันการเกิดริ้วรอยแห่งวัย
ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ดูมีน้ำมีนวลเป็นธรรมชาติ
พอกหน้าด้วยน้ำผึ้งช่วยบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ ชุ่มชื่นและนุ่มนวล หลังล้างหน้าเสร็จให้นำกล้วยหอมครึ่งลูก นำมาบดผสมรวมกับน้ำผึ้งแล้วยำมาทาหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก

ช่วยบำรุงรักษาผิวหน้าที่แห้งแตกลอกเป็นขุย ด้วยการนำไข่แดง 1 ฟองผสมกับน้ำผึ้งผสม 1 ช้อน คนให้เข้ากันแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างออก

ช่วยบำรุงสมอง ช่วยในเรื่องของความจำ
ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV และช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวหนัง

ช่วยบำรุงเส้นผมให้นุ่มสวยเงางาม หลังสระผมเสร็จให้นำน้ำผึ้งผสมกับน้ำมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ นำมาชโลมให้ทั่วศีรษะทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีแล้วล้างออก

ช่วยบำรุงเสียงให้ใส ลดอาการเจ็บคอ
ช่วยลดสิวเสี้ยน สิวอุดตันบนใบหน้า หลังล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นเสร็จแล้ว ให้นำกล้วยหอมครึ่งลูก นำมาบดผสมรวมกับน้ำผึ้งแล้วยำมาทาหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก
นิยมนำมาใช้ผสมในเครื่องต่าง ๆ เช่น นม ชา กาแฟ โยเกิร์ต น้ำมะนาว หรือแม้กระทั่งเบียร์หรือไวน์
นำมาใช้เป็นส่วนผสมในขนมหวานต่าง ๆ หรือผลิตภัณฑ์ธัญญพืชต่าง ๆ

ใช้น้ำผึ้งแทนสารกันบูดในน้ำสลัด ซึ่งจะทำให้น้ำสลัดไม่เสียและเก็บได้นานถึง 9 เดือน

น้ำผึ้งสามารถนำแปรรูปทำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆได้อย่างหลากหลายเช่น มาส์กหน้า สบู่ เจลล้างหน้า สครับ เป็นต้น

น้ำผึ้งเป็นยาอายุวัฒนะ
ช่วยให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงต้านทานโรคต่าง ๆได้ดี

ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตในวัยเด็ก
ช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย

ช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียจากการทำงานหรือเล่นกีฬา

ช่วยเสริมสร้างสุขภาพของผู้ป่วยในระยะพักฟื้น หรือผู้สูงอายุ

ช่วยบรรเทาอาการของโรคต่าง ๆให้ดีขึ้น

ช่วยในควบคุมน้ำหนักและลดความอ้วน

ช่วยบำรุงเลือดในร่างกาย ด้วยการใช้น้ำผึ้งครึ่งช้อนโต๊ะใส่แก้ว แล้วบีบมะนาว ๅ ซีก ใส่เกลือเล็กน้อย แล้วเติมน้ำร้อนดื่ม

ช่วยรักษาอาการหวัดให้หายเร็วขึ้น
น้ำผึ้งสามารถบรรเทาอาการไอจากหวัดในเด็กได้ดีกว่ายาแก้ไอ

ช่วยรักษาอาการเมาค้าง

ช่วยปรับสมดุลในร่างกายให้คงที่
น้ำผึ้งมีฤทธิ์ยาระงับประสาทอ่อน ๆ จึงช่วยลดอาการหงุดหงิด ความกังวลได้

ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ และช่วยทำให้หลับสบายยิ่งขึ้น

ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง ด้วยการใช้น้ำผึ้งและงาดำอย่างละ 50 กรัม โดยนำงาดำมาตำให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำผึ้ง ชงกับน้ำร้อนดื่ม

ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้สาลี่หอมจำนวน 5 ลูก น้ำผึ้ง 250 กรัม โดยปอกลูกสาลี่แล้วนำมาตำให้ละเอียด นำไปคลุกกับน้ำผึ้งแล้วต้มจนเหนียว แล้วนำมาผสมกับน้ำกิน

ช่วยรักษาโรคโลหิตจาง เพราะน้ำผึ้งมีส่วนผสมของธาตุเหล็กซึ่ง
ช่วยในการเพิ่มเม็ดเลือดแดง
ช่วยบำรุงหัวใจ ขับชีพจร และป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ

ช่วยบำรุงและรักษาโรคตับ
ช่วยระงับความร้อนในร่างกาย

ช่วยรักษาอาการตาอักเสบจากการติดเชื้อ เช่น กระจกตาอักเสบ เยื่อตาอักเสบ เป็นต้น

ช่วยบรรเทาอาการไอ หลอดลมอักเสบมีเสมหะ ด้วยการชงดื่มกับน้ำมะนาว
น้ำผึ้งช่วยลดกรดในกระเพาะ ช่วยในการย่อยอาหาร เพราะน้ำผึ้งจะถูกดูดซึมทันทีเมื่อถึงลำไส้ ซึ่งต่างจากน้ำตาลชนิดอื่น

ช่วยรักษาโรคกระเพาะ
ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือท้องเสียอย่างรุนแรง

ช่วยแก้อาการท้องเดิน และช่วยบำรุงลำไส้ที่อักเสบให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น
ช่วยแก้ปัญหาช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแคนดิดา (Candida) ได้ดีพอ ๆกับยาฆ่าเชื้อแผนปัจจุบัน

ช่วยแก้อาการเด็กปัสสาวะรดที่นอนเป็นประจำ เพราะช่วยดูดความชื้นและช่วยอุ้มน้ำไว้

ช่วยบรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวาร ด้วยการนำกระเทียมผสมกับน้ำผึ้ง รับประทานวันละ 3 ครั้ง

ช่วยป้องกันการเกิดโรคข้ออักเสบ ด้วยการใช้น้ำส้มนำมาผสมกับแอปเปิ้ลไซเดอร์ 2 ช้อนชาลงในน้ำร้อน แล้วเติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ชงดื่มวันละสองครั้ง

ช่วยแก้อาการตะคริว หรือป้องกันการเป็นตะคริว

ช่วยแก้อาการท้องผูก ด้วยการรับประทานกล้วยน้ำว้าสุกจิ้มกับน้ำผึ้ง ช่วยลดอาการท้องผูกลงได้

ช่วยลดการอักเสบของบาดแผล

ช่วยป้องกันการติดเชื้อของบาดแผลและช่วยให้แผลหายเร็ว

ช่วยรักษาโรคฮ่องกงฟุต และกลาก เกลื้อน
ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและต่อต้านจุลินทรีย์

ช่วยแก้ปัญหาเด็กแหวะนม โดยใช้น้ำผึ้งผสมกับนมดื่ม
ใช้เป็นน้ำกระสายยา

 #รู้ก่อนป้องกันได้   อาการปวดท้องข้างซ้าย ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเมื่อขึ้นชื่อว่ามีอาการปวดท้องแล้ว คงไม่มีครั้งไหนที่เราจะสา...
09/10/2017

#รู้ก่อนป้องกันได้ อาการปวดท้องข้างซ้าย ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

เมื่อขึ้นชื่อว่ามีอาการปวดท้องแล้ว คงไม่มีครั้งไหนที่เราจะสามารถระบุชัดเจนได้ว่าอาการปวดที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร

อนึ่ง เป็นเพราะว่าภายในช่องท้องนั้นประกอบด้วยอวัยวะหลายส่วน มีการทำงานและปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งแตกต่างกัน

โดยอาการปวดอาจแบ่งออกได้เป็น 2 อย่าง ได้แก่ อาการปวดท้องข้างซ้าย

และอาการปวดท้องข้างขวา ซึ่งอาการปวดเหล่านี้เกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ จากหลายโรค ไม่ว่าจะเป็น โรคไต โรคมะเร็ง โรคลำไส้อักเสบ หรือแม้แต่ท้องผูก เป็นต้น

หากว่าเรารับรู้ได้ถึงอาการปวดท้องที่เกิดในแต่ละข้าง ก็จะยิ่งทำให้เรารู้ได้ถึงสาเหตุของอาการปวดนั้นชัดเจนขึ้น

วันนี้ เราจะมาเรียนรู้อาการปวดท้องข้างซ้ายกันก่อน จะได้รู้ว่าอาการที่เกิดจะบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพอะไรได้บ้าง

อาการปวดท้องข้างซ้ายบน

ภายในช่องท้องบริเวณด้านซ้ายบนประกอบด้วยอวัยวะสำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็น กระเพาะอาหาร ตับ ตับอ่อน ม้าม ลำไส้ และไตซ้าย ที่สำคัญยังอยู่ใกล้กับหัวใจอีกด้วย

ฉะนั้น คนที่มีอาการปวดท้องข้างซ้ายบน หรือปวดท้องข้างซ้านบริเวณใต้ซี่โครง อาจเกิดได้จากสาเหตุเหล่านี้

โรคหัวใจ

อาจจะดูแปลกไปสักหน่อย เพราะว่าการเป็นโรคหัวใจอาจไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับอาการปวดท้องที่เกิดขึ้น

แต่การปวดท้องข้างซ้ายบนก็นับเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่สื่อถึงการเริ่มต้นที่จะเป็นโรคหัวใจได

้ ซึ่งการปวดท้องเป็นเพียงขั้นแรกที่จะนำไปสู่การเป็นภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ประกอบกับอาการอื่นๆ ที่จะเกิดตามมา ไม่ว่าจะเป็น

อาการปวดที่รอบสะดือ อาการปวดที่บริเวณลิ้นปี่ หรืออาการปวดที่บริเวณใต้ชายโครงและท้องน้อย โดยลักษณะของการปวดที่เป็นขั้นต้นนั้นจะเป็นการปวดแบบเสียดๆ หรือปวดตื้อๆ แล้วค่อยเพิ่มความรุนแรงของอาการปวดขึ้นจนทำให้ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ ไปจนถึงนอนไม่หลับ อาจมีอาการอาเจียนบ่อยครั้ง ถ้าหากมีทั้งสองอาการนี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน 3 - 4 ครั้ง

แนะนำให้รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจอย่างละเอียดจะดีที่สุด

ท้องผูก

เนื่องด้วยบริเวณช่องท้องส่วนบนเป็นที่อยู่ของอวัยวะสำคัญ อย่าง ลำไส้ใหญ่ จึงอาจทำให้ผู้มีอาการท้องผูกรู้สึกปวดท้องข้างซ้ายบนได้ โดยอาการท้องผูกนั้นเกิดขึ้นจากการที่อุจจาระตกค้างอยู่ภายในลำไส้ใหญ่ ไม่สามารถเคลื่อนตัวไปได้ตามปกติ ซึ่งผู้ที่มีอาการนี้อาจเกิดความรู้สึกอึดอัด

อีกทั้งยังส่งผลให้เกิดกลิ่นปาก และกลิ่นตัวที่ไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วย

แก๊สในกระเพาะอาหาร

ในเครื่องดื่ม หรือในอาหารบางชนิด เมื่อเรารับประทานเข้าไปแล้วอาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารได้ บางกรณีอาจส่งผลให้เกิดอาการปวดท้องข้างซ้ายบน

ไปจนถึงเกิดอาการจุกเสียด แน่นท้อง จนทำให้อึดอัด ซึ่งการรักษาก็ทำได้ด้วยการรับประทานยาลดกรด หรือยาขับลม

กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ

การรับประทานอาหารที่ไม่สดสะอาด หรือเป็นอาหารที่มีสารปนเปื้อน มีเชื้อไวรัส

ตลอดจนเชื้อแบคทีเรียก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดโรคกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง มีอุจจาระร่วงแบบเฉียบพลัน

ร่วมด้วยอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ไปจนกระทั่งถึงภาวะขาดน้ำด้วย ซึ่งการรักษาอาการอักเสบนี้ จะต้องใช้ยาปฏิชีวนะ

ร่วมกับการใช้ยาเพื่อรักษาตามอาการ อาทิ ยาช่วยย่อย หรือยาลดกรดในกระเพาะอาหาร

ลำไส้แปรปรวน

อาการปวดท้องข้างซ้ายบน อาจเกิดมาจากการทำงานที่ผิดปกติของลำไส้

ซึ่งเป็นอาการเรื้อรังของโรคลำไส้แปรปรวน หรือโรคดังกล่าวนั้นอาจเกิดจากการติดเชื้อภายในลำไส้ ที่นอกจากจะเกิดอาการปวดท้องแล้ว

ยังมีอาการท้องเสียเรื้อรัง รวมถึงมีอาการท้องผูกอยู่เป็นประจำ ต้องบอกเลยว่าโรคนี้เป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาด

แต่สามารถควบคุมให้อยู่ภาวะที่เป็นปกติได้

ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน

การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาจเป็นจุดกำเนิดของอาการตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน เพราะปริมาณแอลกอฮอล์ที่เข้าสู่ร่างกายนั้นมีมากจนเกินไป

ส่งผลให้มีอาการปวดท้องข้างซ้ายบน ซึ่งนอกจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้ว อาการตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันอาจเกิดได้จากการใช้ยาบางชนิด ตลอดจนได้รับการ กระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุ

ซึ่งอาการในระยะเริ่มต้นอื่นๆ ก็ยังมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย รวมถึงมีไข้ตามมาอีกด้วย

อาหารเป็นพิษ

อาการอาหารเป็นพิษ หรืออาจเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่า ภาวะอาหารเป็นพิษ เกี่ยวข้องกับอาการปวดท้องข้างซ้ายบน

เพราะเป็นหนึ่งในอาการของภาวะนี้ มีสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อที่มาจากอาหารอย่างเฉียบพลัน ลักษณะอาการที่เกิดขึ้นอื่นๆ ได้แก่ คลื่นไส้ ปวดศีรษะ อาเจียน ปวดเนื้อปวดตัว รวมถึงมีไข้สูง

ซึ่งผู้ป่วยที่เป็นภาวะอาหารเป็นพิษจะเริ่มแสดงอาการภายใน 48 ชั่วโมง หลังจากการรับประทานที่มีเชื้อโรคปะปนอยู่

ต้องรีบไปปรึกษาแพทย์ หรือเข้ารับการตรวจในอย่างละเอียดและทำการรักษาในทันที

อาการปอดบวม

อีกหนึ่งอวัยวะที่แม้จะไม่ได้อยู่ในบริเวณช่องท้อง แต่ก็อาจส่งผลข้างเคียงต่ออาการปวดท้องได้เช่นกัน อย่าง ปอด

หากมองไปที่อาการปอดบวมที่เกิดจากการติดเชื้อแล้ว ปอดนั้นจะขยายตัวและไปกดทับอวัยวะสำคัญที่อยู่ใกล้เคียงในบริเวณซีกซ้ายของร่างกาย

ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดท้องข้างซ้ายบนได้ ส่งผลให้การหายใจนั้นทำได้ลำบาก เจ็บหน้าอก มีไข้สูง ตัวหนาวสั้น รวมถึงมีอาการไออย่างรุนแรงเกิดขึ้นด้วย

อาการม้ามโต

อาการม้ามโต อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งในที่นี้อาจเกิดขึ้นจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัส ไปจนกระทั่งผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากโรคตับแข็ง หรือโรคลูคีเมีย

โดยอาการที่สังเกตเห็นได้ชัด คือ ม้ามจะขยายใหญ่ขึ้น และไปกดทับอวัยวะสำคัญต่างๆ ทำให้มีอาการปวดท้องข้างซ้ายบน อีกทั้งยังมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็น อาการอึดอัด แน่นท้อง แขนขาอ่อนแรง หายใจไม่สะดวก ติดเชื้อง่าย เหนื่อยง่าย และเพื่อให้แน่ใจถ้าหากสงสัยว่าตัวเรา

หรือคนใกล้ตัวอาจมีอาการม้ามโต ให้สังเกตอาการที่ขึ้นร่วมด้วย

อาการปวดท้องข้างซ้ายล่าง

ไส้เลื่อน

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งอาการที่น่าวิตก เพราะอาการไส้เลื่อนนั้นเป็นอาการที่ลำไส้จะไหลผ่านผนังช่องท้องไปกระจุกรวมตัวกันอยู่ที่บริเวณใดบริเวณหนึ่ง

ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเกิดขึ้นกับผู้ชายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่อาการนี้ยังอาจเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงเช่นกัน ซึ่งเมื่อเกิดอาการไส้เลื่อนแล้ว จะทำให้เกิดการปวดท้องอย่างรุนแรง และหากอาการนี้เกิดขึ้นบริเวณขาหนีบก็จะยิ่งอันตรายที่นอกเหนือจากอาการปวด ก็ยังทำให้สังเกตเห็นว่ามีก้อนตุงๆ

อยู่ที่บริเวณหน้าท้อง อันเป็นเหตุมาจากไส้ที่เลื่อนออกมาอยู่ที่ผนังหน้าท้องนั่นเอง

โรคไต

เมื่อเกิดการติดเชื้อขึ้นที่บริเวณไต หรือเกิดมีนิ่วขึ้นในไต จะทำให้เกิดอาการปวดท้องข้างซ้ายล่าง ซึ่งสามารถแยกทั้ง 2 ได้จากอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้น โดยอาการไตอักเสบ จะมาพร้อมกับอาการปวดท้องข้างซ้ายล่างแบบเฉียบพลัน ปวดปัสสาวะตลอดเวลา มีอาการปวดแสบปวดร้อนขณะที่ปัสสาวะ หรืออาจปัสสาวะเป็นเลือดร่วมด้วย ในขณะที่อาการนิ่วในไตนั้นจะมาพร้อมกับไข้สูง มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ร่วมกับอาการปวดหน่วงๆ ที่บริเวณต้นขา

โรคถุงผนังลำไส้อีกเสบ

โรคนี้เป็นโรคที่พบได้ในผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากว่าเมื่อเรามีอายุที่มากขึ้น เนื้อเยื่อที่บริเวณผนังลำไส้ก็จะเสื่อมไปตามลำดับ

ซึ่งอาจทำให้เกิดความดันในบริเวณลำไส้ใหญ่ อีกทั้งยังทำให้ผนังลำไส้เกิดการโป่งพอง โดยในส่วนที่โป่งพองนี้ก็จะกลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค

ทำให้เกิดการอักเสบในเวลาต่อมา ผู้ป่วยที่มีอาการนี้ก็จะปวดท้องข้างซ้ายล่าง หรือต่ำกว่าสะดือลงมา จะมีอาการปวดอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา อาจทำให้อุจจาระเป็นเลือด มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน รวมถึงเบื่ออาหารร่วมด้วย

ท้องนอกมดลูก

ในผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ หากเกิดอาการปวดท้องข้างซ้ายล่าง นั่นอาจเป็นสัญญาณไม่ดีของสุขภาพที่กำลังจะบอกตัวเราอยู่

เพราะอาการปวดนี้นั้นบ่งบอกถึงภาวะการตั้งท้องนอกมดลูกที่จะส่งผลเสียและเป็นอันตรายต่อทั้งตัวแม่และเด็กที่อยู่ในครรภ์

ซึ่งหากคุณผู้หญิงคนไหนที่เกิดภาวะการท้องนอกมดลูก จะทำให้เกิดอาการปวดอันเนื่องมาจากเส้นเอ็นยึดมดลูก เกิดซีสต์ในรังไข่

อีกทั้ง การที่ปวดท้องข้างซ่ายล่างเป็นเพราะกระเพาะปัสสาวะมีการขยายตัว โดยหากเกิดอาการดังกล่าวก็ไม่ควรเพิกเฉย ต้องรีบไปพบแพทย์โดยทันที

เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

อาการนี้อาจพบได้บ่อยในผู้หญิง โดยอาจทำให้เกิดการปวดประจำเดือนมากขึ้น อีกทั้งยังมีอาการปวดท้องข้างซ้ายล่างตามมา นอกจากนั้นก็ยังอาจเกิดอาการอื่นๆ ร่วมด้วย อาทิ ท้องเสีย ท้องผูก รู้สึกเจ็บเวลาที่ปัสสาวะ หรืออาจมีประจำเดือนที่มาผิดปกติ ที่แย่ไปกว่านั้น ยังอาจเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งรังไข่ได้อีกด้วย

การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ รวมถึงกรวยไตอักเสบ อาจเกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ที่ส่งผลให้เกิดการปวดท้องข้างซ้ายล่าง ปัสสาวะติดขัด รวมถึงเกิดความรู้สึกปวดท้องน้อยในขณะที่ปัสสาวะ

ถ้าหากปล่อยไว้อาจทำให้เกิดการติดเชื้อลุกลามไปยังไตได้ และกลายเป็นโรคไตในที่สุด

ซีสต์ในรังไข่

การเกิดซีสต์ในรังไข่ เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการปวดท้องข้างซ้ายล่างได้เช่นกัน โดยจะมีอาการปวดหน่วงๆ ทำให้ปัสสาวะบ่อย ประจำเดือนมาผิดปกติ โดยการเกิดซีสต์ในรังไข่นี้ไม่ใช่อาการที่ร้ายแรงถึงขนาดที่จะกลายไปเป็นมะเร็งรังไข่ได้ ผู้ที่มีความเสี่ยงว่าจะเป็น หรือเป็นแล้วแต่ยังมีขนาดของซีสต์ที่ไม่ใหญ่มาก จำเป็นต้องทำการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด เพราะหากทิ้งเอาไว้ก็จะยิ่งทำให้อาการปวดท้องมีเพิ่มมากขึ้น

นอกจากโรคและอาการต่างๆ ที่กล่าวไปแล้ว อาการปวดท้องข้างซ้ายทั้งส่วนบนและส่วนล่าง ก็ยังเป็นอาการเริ่มต้นและสัญญาณอันตรายที่บ่งชี้ว่าเราอาจจะกำลังเป็นโรคอีกหลายชนิดได้ ไม่ว่าจะเป็น โรคมะเร็งในช่องท้อง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคงูสวัส เกิดไส้ติ่งอักเสบ หรือแม้แต่ลำไส้ฉีกขาด เป็นต้น ทางที่ดี หากเกิดอาการปวดท้องข้างซ้าย กินยาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาอาการที่เป็นอยู่ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจอย่างละเอียด ไม่ควรปล่อยปละละเลย ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้

ที่อยู่

บริษัท ดีเน็ทเวิร์คเวิลด์ไวด์ จำกัด เลขที่ 242 ถนน สุวินทวงศ์ แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี
Bangkok
10510

เบอร์โทรศัพท์

0874004996

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ศูนย์ดีบูนให้คำปรึกษากระดูก กล้ามเนื้อ ไขข้อ By 087 4004996ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง ศูนย์ดีบูนให้คำปรึกษากระดูก กล้ามเนื้อ ไขข้อ By 087 4004996:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ประเภท