หมอสูติคู่มือถือคุณ

หมอสูติคู่มือถือคุณ หมอสูติคู่มือถือคุณ ทันสมัย อัพเดท เชื่อถือได้ สำหรับทุกคน

การตั้งครรภ์กับภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ: ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้ามการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในหญิงตั้ง...
20/09/2025

การตั้งครรภ์กับภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ: ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม

การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในหญิงตั้งครรภ์ ทั้งแบบมีอาการ (cystitis) หรือไม่มีอาการ (asymptomatic bacteriuria) ก็ตาม ล้วนมีอันตราย

หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา เชื้อสามารถลุกลามไปที่กรวยไต ก่อให้เกิดไตอักเสบเฉียบพลัน
หญิงตั้งครรภ์ที่มีไตอักเสบจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

การติดเชื้อยังสัมพันธ์กับภาวะแทรกซ้อนสำคัญ เช่น การเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
รวมถึงทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย และเพิ่มความเสี่ยงการเจริญเติบโตช้าในครรภ์

แม้หญิงตั้งครรภ์ไม่มีอาการ แต่หากตรวจปัสสาวะพบเชื้อ ก็ต้องได้รับการรักษาทุกครั้ง
ยาปฏิชีวนะที่เลือกใช้ต้องปลอดภัยต่อครรภ์ และให้ครบตามคำแนะนำแพทย์

นี่คือยาและขนาดยารวมถึงระยะเวลาการรักษาที่น่าสนใจ

🫙💧 Acute Cystitis (กระเพาะปัสสาวะอักเสบเฉียบพลัน)
• Nitrofurantoin 100 mg PO วันละ 2 ครั้ง × 5–7 วัน
• Cephalexin 500 mg PO วันละ 4 ครั้ง × 5–7 วัน
• Amoxicillin–clavulanate 500/125 mg PO วันละ 3 ครั้ง × 5–7 วัน
• Fosfomycin 3 g PO ครั้งเดียว (single dose; เฉพาะ lower UTI)

🧪 Asymptomatic Bacteriuria (เชื้อแบคทีเรียในปัสสาวะโดยไม่แสดงอาการ)
• Cephalexin 500 mg PO วันละ 4 ครั้ง × 5–7 วัน
• Nitrofurantoin 100 mg PO วันละ 2 ครั้ง × 5–7 วัน
• Amoxicillin–clavulanate 500/125 mg PO วันละ 3 ครั้ง × 5–7 วัน
• Fosfomycin 3 g PO ครั้งเดียว

🔄 Recurrent Bacteriuria / Cystitis (การติดเชื้อซ้ำ)
• Nitrofurantoin 50–100 mg PO ก่อนนอน หรือ หลังมีเพศสัมพันธ์
• Cephalexin 250–500 mg PO ก่อนนอน หรือ หลังมีเพศสัมพันธ์

🔥🩸 Pyelonephritis (กรวยไตอักเสบ – เริ่ม IV)
• Ceftriaxone 1 g IV วันละครั้ง
• Cefazolin 1 g IV ทุก 8 ชั่วโมง
• Ampicillin 2 g IV ทุก 6 ชั่วโมง + Gentamicin 5 mg/kg IV วันละครั้ง
• Piperacillin–tazobactam (ตามเชื้อ/ภาวะรุนแรง)
👉 รวมการรักษาทั้ง IV + oral ให้ครบ 14 วัน

⚠️ ข้อควรระวัง
• หลีกเลี่ยง Tetracyclines ทุกไตรมาส
• หลีกเลี่ยง Sulphonamides (TMP-SMX) ใน ไตรมาสที่ 3
• หลีกเลี่ยง Nitrofurantoin ใกล้ term/ระหว่างคลอด และในผู้ที่มี G6PD deficiency
• ใช้ Aminoglycosides (เช่น Gentamicin) เฉพาะเมื่อยาชนิดอื่นไม่เหมาะสม

หลายคนอาจเคยแอบสงสัยว่าทำไมหมอเริ่มนับอายุครรภ์จาก “วันแรกของประจำเดือนครั้งล่าสุด” ทั้งๆที่ตอนนั้นยังไม่ได้ท้องเลยด้วยซ...
18/09/2025

หลายคนอาจเคยแอบสงสัยว่าทำไมหมอเริ่มนับอายุครรภ์จาก “วันแรกของประจำเดือนครั้งล่าสุด” ทั้งๆที่ตอนนั้นยังไม่ได้ท้องเลยด้วยซ้ำจริงไหม ??

อยากให้เราลองนึกภาพย้อนกลับไปสมัยก่อน (สักหลายร้อยกว่าปีก่อน)

• ตอนนั้นยังไม่มีอัลตราซาวด์ ไม่มีวิธีตรวจฮอร์โมน ไม่มีแอปมือถือให้บันทึก สิ่งเดียวที่ผู้หญิงอาจพอจะจำได้ ก็คือ… “ประจำเดือนมาวันไหน” ✨

• หมอตำแยยุคนั้นเลยเลือกใช้ “วันแรกที่เลือดออก” เป็นจุดเริ่มต้นในการนับอายุครรภ์ ถึงแม้จริงๆ แล้วการตั้งครรภ์จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ (ช่วงไข่ตก) ก็ตามครับ

•••••••

จุดเปลี่ยนสำคัญทางประวัติศาสตร์

• คริสต์ศตวรรษที่ 18–19: หมอในยุโรปเริ่มสังเกตว่า วันคลอดมักจะเชื่อมโยงกับรอบเดือนครับ

• Franz Naegele (หมอชาวเยอรมัน) ค.ศ. 1830s คิดสูตรขึ้นมา (ที่เรายังใช้กันอยู่ทุกวันนี้) → “เอาวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย บวก 7 วัน ลบ 3 เดือน” = วันครบกำหนดคลอด 🍼
• จากนั้นก็ใช้เป็นมาตรฐานทั่วโลก เพราะมัน ง่าย และ จำได้จริงในชีวิตประจำวัน

ปัจจุบันถึงแม้มีอัลตราซาวด์
• หมอก็ยังถามวันแรกของประจำเดือนอยู่ เพราะเป็น ข้อมูลตั้งต้นที่สำคัญมาก
• แล้วใช้ผลอัลตราซาวด์ไตรมาสแรก (CRL) มาช่วยยืนยันอีกที

มุมมองที่อยากชวนผู้หญิงทำ
• ถ้าเราจด วันที่ประจำเดือนมา จะช่วยให้คุณหมอคำนวณอายุครรภ์ได้ใกล้เคียงความจริงมากขึ้น
• ถ้าจดเพิ่มว่า มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้คุมกำเนิดวันไหน ก็ยิ่งช่วยให้ประเมิน “วันไข่ตก/วันปฏิสนธิ” ได้แม่นขึ้นอีก 🌸
• เดี๋ยวนี้ยิ่งง่าย เพราะมีแอปฯ หรือปฏิทินเล็กๆ ก็จดได้แล้ว

กลุ่มแพทย์ที่ทำหัตถการผ่าตัด มีความเสี่ยงเสียชีวิตสูงกว่าแพทย์ทั่วไปมีงานวิจัยใหม่จาก JAMA Surgery  รายงานว่า แพทย์ที่ทำ...
17/09/2025

กลุ่มแพทย์ที่ทำหัตถการผ่าตัด มีความเสี่ยงเสียชีวิตสูงกว่าแพทย์ทั่วไป

มีงานวิจัยใหม่จาก JAMA Surgery รายงานว่า แพทย์ที่ทำหัตถการผ่าตัดมีความเสี่ยงเสียชีวิตสูงกว่าแพทย์ที่ไม่ทำหัตถการผ่าตัดถึง 56% แม้จะปรับอายุและเพศให้เปรียบเทียบกันได้ดีขึ้นแล้วก็ตาม 🩺

🔍 ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

นักวิจัยคาดว่าหลายปัจจัยอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง ได้แก่
• การนอนหลับไม่เพียงพอ: มักมีเวรดึก และหัตถการที่ใช้เวลานาน ทำให้พักผ่อนน้อย
• ความเครียดสะสม: งานที่ต้องตัดสินใจชีวิตคนไข้ภายใต้แรงกดดันสูงมากในบางเวลา
• การเดินทางบ่อยและยาวนาน: บางครั้งต้องรีบเดินทาง หรือกลับบ้านหลังเลิกงานดึก เสี่ยงอุบัติเหตุมากขึ้น โดนตามเคสฉุกเฉินที่ไม่สามารถรอได้นาน
• การสัมผัสสารก่อมะเร็ง/รังสี: เช่น ควันจากการผ่าตัดชนิดต่างๆ (surgical smoke), รังสีเอกซเรย์, หรือยาที่ใช้ในห้องผ่าตัด

⚖️ แต่อย่าลืมว่า อย่างไรก็ตามงานวิจัยนี้ก็มีข้อจำกัดอยู่

• เป็น การศึกษาแบบ cross-sectional → ไม่สามารถสรุปได้ว่าการเป็นแพทย์ที่ทำหัตถการผ่าตัดคือสาเหตุโดยตรงเพียงอย่างเดียวแน่นอน

• ใช้ข้อมูลจาก ใบมรณบัตรเพียงปีเดียว (2023) → อาจไม่สะท้อนแนวโน้มระยะยาว และเป็นการศึกษาข้อมูลในอีกทวีปของโลกซึ่งผลอาจไม่ได้ตรงกับรูปแบบของประเทศเราเสียทีเดียว ซึ่งอาจสรุปได้ยากด้วยว่าเราเองสภาพดีกว่าเขาหรือแย่กว่าเขาด้วยครับ

• จำนวนผู้เสียชีวิตในกลุ่มแพทย์ที่ทำหัตถการผ่าตัดมี ค่อนข้างน้อย ซึ่งทำให้การประมาณตัวเลขมีความไม่แน่นอนได้

• ข้อมูล “อาชีพ” มาจากผู้แจ้งในบัตรมรณกรรม → อาจมีข้อผิดพลาดหรือไม่ตรงกับความจริง

💡 แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ควรเรียนรู้จากงานนี้ที่ต้องคำนึงถึงคือ

งานวิจัยนี้สะท้อนถึง ภาระและความเสี่ยงของกลุ่มแพทย์ที่ทำหัตถการผ่าตัด ที่อาจถูกมองข้าม และชี้ถึงความจำเป็นที่ระบบสาธารณสุขควรให้ความสำคัญกับ สุขภาพกายและใจของแพทย์ มากขึ้น เช่น
• การจัดเวลางานให้เหมาะสม ทั้งงานที่หนักโดยระบบ หรือแม้แต่หนักเพราะแพทย์ตั้งใจทำงานหนักเองก็ตาม
• การดูแลสุขภาพจิตให้เข้มแข็งและทนต่อภาวะกดดันมีความสำคัญ
• มาตรการป้องกันการสัมผัสสารก่ออันตรายในห้องผ่าตัดต้องได้รับการสนใจและลงทุนหาตัวช่วย

👉 แม้งานวิจัยนี้จะมีข้อจำกัด แต่ก็เป็น สัญญาณเตือนสำคัญ ว่า “ผู้ที่ทำงานเพื่อดูแลชีวิตคนอื่น” เองก็ควรได้รับการดูแลอย่างจริงจังเช่นกันครับ

🌸 ท้องแรกครรภ์เป็นพิษ → ท้อง 2 เสี่ยงซ้ำได้🔹 โอกาสเกิดซ้ำ 15–20% (ถ้าเคยรุนแรงอาจสูงถึง 25%)🔹 ฝากครรภ์ตั้งแต่เนิ่น ๆ ตรว...
17/09/2025

🌸 ท้องแรกครรภ์เป็นพิษ → ท้อง 2 เสี่ยงซ้ำได้

🔹 โอกาสเกิดซ้ำ 15–20% (ถ้าเคยรุนแรงอาจสูงถึง 25%)
🔹 ฝากครรภ์ตั้งแต่เนิ่น ๆ ตรวจตามนัดทุกครั้ง
🔹 แอสไพรินขนาดต่ำ (ตามแพทย์สั่ง) ลดความเสี่ยงได้
🔹 ควบคุมน้ำหนัก ความดัน เบาหวาน

••••••••

🌸 แอสไพรินกับการป้องกันครรภ์เป็นพิษ

🔹 งานวิจัยพบว่า แอสไพรินขนาดต่ำ (75–150 มก./วัน) สามารถ ลดความเสี่ยงครรภ์เป็นพิษได้ราว 20–30% โดยเฉพาะในกลุ่มที่เคยมีประวัติครรภ์เป็นพิษมาก่อน หรือมีปัจจัยเสี่ยงสูง

🔹 ควรเริ่มกิน ตั้งแต่ไตรมาสแรก (ก่อน 16 สัปดาห์) ต่อเนื่องจนใกล้ครบกำหนด
ยิ่งเริ่มเร็ว ผลในการป้องกันยิ่งชัดเจน

🔹 ต้องใช้ ภายใต้คำแนะนำแพทย์เท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของแม่และลูก

🦷 การดูแลสุขภาพช่องปากและการใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร💡 ภาวะผิดปกติทางทันตกรรม เช่น เหงือกอักเสบ ฟันผุ หรือปวดฟัน ...
16/09/2025

🦷 การดูแลสุขภาพช่องปากและการใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร

💡 ภาวะผิดปกติทางทันตกรรม เช่น เหงือกอักเสบ ฟันผุ หรือปวดฟัน เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในช่วงตั้งครรภ์ จากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและภูมิคุ้มกันที่อ่อนลง 📉
• มีรายงานว่าหญิงตั้งครรภ์กว่า 60–75% อาจมีปัญหาเหงือกอักเสบ
• หากไม่ได้รับการดูแล อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อ ภาวะคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกเกิดต่ำ และการติดเชื้อในมารดา ได้

ดังนั้น หากคุณแม่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรจำเป็นต้องทำฟัน 🪥 เช่น ถอนฟัน อุดฟัน หรือรักษารากฟัน การใช้ยาต่าง ๆ ต้องเลือกอย่างระมัดระวังที่สุด

🫄 การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์ (Pregnant)

✅ ยาที่ปลอดภัย (Safe)
• ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics): Penicillin (Amoxicillin, Amoxi/Clav), Clindamycin, Macrolide (เลือก Azithromycin)
• ยาแก้ปวด (Analgesics): Paracetamol
• ยาชาเฉพาะที่ (Local anesthesia): ใช้ได้ทุกตัว แต่แนะนำให้ใช้ Lidocaine

❌ ยาที่ควรหลีกเลี่ยง (Unsafe)
• Antibiotics: Tetracycline, Doxycycline
• Analgesics: NSAIDs (เช่น Ibuprofen, Celecoxib) → ห้ามใช้ในไตรมาส 1 และ 3
• Opioid: Tramadol, Codeine

⚠️ ยาที่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง (Questionable)
• Metronidazole → หลีกเลี่ยงในไตรมาส 1
• NSAIDs → อาจใช้ได้เฉพาะไตรมาส 2

🤱 การใช้ยาในหญิงให้นมบุตร (Breastfeeding)

✅ ยาที่ปลอดภัย (Safe)
• ยาปฏิชีวนะ: Penicillin (Amoxicillin, Amoxi/Clav), Macrolide (Azithromycin)
• ยาแก้ปวด: Paracetamol, NSAIDs (Ibuprofen, Celecoxib)
• ยาชาเฉพาะที่: ใช้ได้ทุกตัว

❌ ยาที่ไม่ควรใช้ (Unsafe)
• Opioid: Tramadol, Codeine

⚠️ ยาที่ควรระวัง (Questionable)
• Antibiotics: Metronidazole, Clindamycin

✨ ข้อควรจำ
• เลือกใช้ยาที่มีข้อมูลความปลอดภัยชัดเจนที่สุด
• ใช้ในขนาดต่ำที่สุด และในช่วงเวลาสั้นที่สุด
• ปรึกษาทันตแพทย์หรือแพทย์ทุกครั้งก่อนใช้ยา

📌 สรุปสั้น ๆ:
ภาวะช่องปากผิดปกติในหญิงตั้งครรภ์พบได้บ่อย และอาจส่งผลต่อแม่และลูกได้ หากต้องทำฟัน สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัยเมื่อเลือกชนิดและขนาดที่เหมาะสม ❤️

🤰 มดลูกบางหลังผ่าตัดคลอด แล้วตั้งครรภ์ใหม่ เสี่ยงแค่ไหน?คุณแม่หลายท่านที่เคยผ่าตัดคลอด (C-section) อาจได้รับการบอกจากแพท...
16/09/2025

🤰 มดลูกบางหลังผ่าตัดคลอด แล้วตั้งครรภ์ใหม่ เสี่ยงแค่ไหน?

คุณแม่หลายท่านที่เคยผ่าตัดคลอด (C-section) อาจได้รับการบอกจากแพทย์ว่า “มดลูกบาง” โดยเฉพาะเมื่อพบในระหว่างผ่าตัดครั้งก่อน หลายคนกังวลว่า ถ้ามีการตั้งครรภ์ครั้งใหม่ โดยเฉพาะท้องที่ 3 จะมีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด และสามารถตั้งครรภ์ต่อได้หรือไม่

📌 มดลูกบาง (Thin Myometrium) คืออะไร?
• หมายถึง ผนังกล้ามเนื้อมดลูกบริเวณแผลผ่าตัดคลอดมีความหนาน้อยกว่าปกติ
• อาจเกิดจากการสมานของแผลไม่สมบูรณ์ หรือถูกยืดขยายซ้ำในการตั้งครรภ์ใหม่
• การวัดความหนามักใช้ อัลตราซาวด์ (Ultrasound) โดยเฉพาะช่วงไตรมาสที่ 3

⚠️ ความเสี่ยงที่ควรรู้
1. มดลูกแตก (Uterine rupture)
พบไม่บ่อย แต่เป็นภาวะอันตรายทั้งต่อแม่และทารก
• ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นถ้ามีประวัติผ่าตัดคลอดหลายครั้ง
• ความหนาของผนังมดลูก < 2.0–2.5 มม. โดยเฉพาะบริเวณ lower uterine segment มีความเสี่ยงสูง
2. ภาวะรกเกาะต่ำ/รกเกาะลึกผิดปกติ (Placenta previa/accreta)
โดยเฉพาะในท้องที่ 3 ขึ้นไป และเคยผ่าตัดคลอดมาก่อน
3. การคลอดก่อนกำหนดหรือเลือดออกระหว่างตั้งครรภ์
แม้ไม่ใช่ทุกคน แต่ต้องได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิด

🩺 แนวทางการดูแล
• ฝากครรภ์อย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะในโรงพยาบาลที่มีสูติแพทย์เชี่ยวชาญ
• ตรวจอัลตราซาวด์วัดความหนาของแผลผ่าตัด ช่วงไตรมาสที่ 3
• วางแผนการคลอดโดยแพทย์ ส่วนใหญ่แนะนำการผ่าตัดคลอดซ้ำตามกำหนด
• การวางแผนท้องต่อไป ควรเว้นช่วงอย่างน้อย 18–24 เดือนหลังคลอดก่อน เพื่อให้มดลูกฟื้นตัวเต็มที่

✅ สรุป
• การที่มดลูกบางไม่ได้หมายความว่า “ห้ามตั้งครรภ์” แต่มี ความเสี่ยงสูงกว่าปกติ
• จำเป็นต้องฝากครรภ์ในโรงพยาบาลที่พร้อมรับมือภาวะแทรกซ้อน
• การดูแลใกล้ชิดจากทีมแพทย์สามารถช่วยให้การตั้งครรภ์ปลอดภัยได้

👉 ข้อความนี้มีไว้เพื่อให้ความรู้ทั่วไปเท่านั้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยของแพทย์ได้ หากคุณแม่กำลังตั้งครรภ์และมีประวัติผ่าตัดคลอด ควรรีบปรึกษาสูติแพทย์เพื่อวางแผนการดูแลที่เหมาะสมกับตัวเองต่อไปครับ

📌 คำแนะนำในการดูแลความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (ตาม AHA/ACC 2025)🔹 1. กรณีความดันสูงรุนแรง • หาก BP ≥160/110 mmHg → ต้องใ...
15/09/2025

📌 คำแนะนำในการดูแลความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (ตาม AHA/ACC 2025)

🔹 1. กรณีความดันสูงรุนแรง
• หาก BP ≥160/110 mmHg → ต้องให้การรักษาอย่างเร่งด่วน
• เป้าหมายเพื่อป้องกัน maternal stroke, eclampsia และ organ damage ครับ

🔹 2. เป้าหมายการควบคุมความดันในกลุ่มคนท้องที่มีภาวะควาดันสูงเรื้อรัง
• Chronic HTN: ตั้งเป้าคุม BP

ครรภ์เป็นพิษที่มีสิ่งนี้จะ …  #ไม่รักษาแบบประคับประคอง No expectant management••••••••Ref: แนวเวชปฏิบัติราชวิทยาลัยสูติน...
14/09/2025

ครรภ์เป็นพิษที่มีสิ่งนี้จะ … #ไม่รักษาแบบประคับประคอง

No expectant management

••••••••

Ref: แนวเวชปฏิบัติราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย

ติ่งเนื้อใน  #ลำไส้ใหญ่ (colorectal polyps) มักเป็น adenomatous polyp ซึ่งเป็น precursor lesion ของมะเร็งลำไส้ใหญ่ ดังนั...
14/09/2025

ติ่งเนื้อใน #ลำไส้ใหญ่ (colorectal polyps) มักเป็น adenomatous polyp ซึ่งเป็น precursor lesion ของมะเร็งลำไส้ใหญ่ ดังนั้นจึงมีแนวทางแนะนำให้ส่องกล้องและตัดออกเพื่อป้องกันการกลายเป็นมะเร็ง

แต่สำหรับ #ติ่งเนื้อในโพรงมดลูก (endometrial polyps) ภาวะการกลายเป็นมะเร็งพบได้น้อยกว่ามากครับ 🎉

••••••••

คราวนี้เรามาเช็คความเสี่ยงของมะเร็งใน endometrial polyps หรือติ่งเนื้อในโพรงมดลูกกัน

• ส่วนใหญ่เป็น benign lesion (ไม่ใช่มะเร็ง)
• อัตราการพบเป็น precancerous หรือ malignant lesion อยู่ที่ประมาณ 0.5–4.8% (แล้วแต่กลุ่มประชากรและปัจจัยเสี่ยง)

••••••••

โดยการกลายเป็นมะเร็งมักสัมพันธ์กับสิ่งเหล่านี้ครับ

• อายุ > 50 ปี
• ภาวะ postmenopause
• การมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด (abnormal uterine bleeding)
• มีปัจจัยเสี่ยงต่อ endometrial carcinoma (เช่น obesity, hypertension, diabetes, tamoxifen use)
• ติ่งเนื้อที่มีขนาดใหญ่ (>1.5–2 ซม.) หรือมีหลายก้อน อาจเพิ่มโอกาสเจอ atypia หรือ carcinoma

•••••••

• ในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่ไม่มีอาการ ความเสี่ยงต่ำ สามารถติดตามได้

• แต่แพทย์หลายท่านมักมีคำแนะนำส่องกล้องเข้าไปในโพรงมดลูกแล้วตัดติ่งเนื้อ hysteroscopic polypectomy โดยเฉพาะในผู้หญิงที่ …

• ผู้มีอาการเลือดออกผิดปกติ
• อยู่ในวัยหมดประจำเดือน
• มีปัจจัยเสี่ยงมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

••••••••

📌 สรุป: #ติ่งเนื้อในโพรงมดลูกส่วนใหญ่ไม่กลายเป็นมะเร็งเหมือนติ่งในลำไส้ใหญ่ แต่ก็มีความเสี่ยง โดยเฉพาะในกลุ่มอายุมาก/หลังหมดประจำเดือน หรือมีเลือดออกผิดปกติ จึงควรส่งตรวจและพิจารณาตัดออกเพื่อวินิจฉัยและรักษา

FIGO ACOG RCOG : มีคำแนะนำให้หมอผู้ทำการผ่าตัดคลอดบุตร  #เปลี่ยนถุงมือ เมื่อเริ่มดำเนินการขั้นตอนเย็บปิดช่องท้องครับ••••...
13/09/2025

FIGO ACOG RCOG : มีคำแนะนำให้หมอผู้ทำการผ่าตัดคลอดบุตร #เปลี่ยนถุงมือ เมื่อเริ่มดำเนินการขั้นตอนเย็บปิดช่องท้องครับ

••••••••

เหตุผล

• ระหว่างการผ่าตัดคลอด มือสูติแพทย์และถุงมือสัมผัสกับ น้ำคร่ำ เลือด และเนื้อเยื่อรก ซึ่งมีโอกาสมีเชื้อแบคทีเรียสูง (โดยเฉพาะถ้ามีการแตกของถุงน้ำหรือมี chorioamnionitis)

• ถุงมือที่ปนเปื้อนหากยังใช้ต่อในการเย็บปิดผนังหน้าท้อง อาจเพิ่มการนำเชื้อเข้าสู่แผล → เสี่ยงติดเชื้อแผลผ่าตัด (surgical site infection, SSI) และ sepsis ได้

• การเปลี่ยนถุงมือก่อนเริ่มเย็บจึงถูกเสนอว่า เป็นมาตรการ simple, low-cost, low-risk แต่ potentially high-benefit

••••••••

ฝากพิจารณากันนะครับ 📍

🤔 ทำหมันหลังคลอด ดีจริงไหม? มีผลข้างเคียงอะไรบ้างหลายคนที่เพิ่งคลอดลูก กำลังตัดสินใจว่าจะ “ทำหมัน” ดีหรือไม่นี่คือข้อมูล...
11/09/2025

🤔 ทำหมันหลังคลอด ดีจริงไหม? มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง

หลายคนที่เพิ่งคลอดลูก กำลังตัดสินใจว่าจะ “ทำหมัน” ดีหรือไม่
นี่คือข้อมูลจากงานวิจัยและการแพทย์ที่น่าเชื่อถือ สรุปให้อ่านง่าย ๆ

🔹 การทำหมันหลังคลอดคืออะไร

การผูกหรือปิดท่อนำไข่ ป้องกันการตั้งครรภ์ถาวร
นิยมทำหลังคลอดทันที (ภายใน 48 ชม.) หรือทำพร้อมผ่าคลอด

✅ ข้อดี (งานวิจัยยืนยัน)

1️⃣ ป้องกันการตั้งครรภ์ถาวร มีประสิทธิภาพสูงมากกกก >99%
2️⃣ ไม่ต้องพึ่งฮอร์โมน → ไม่มีผลข้างเคียงแบบยาคุม/ฉีดยาคุม
3️⃣ ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
4️⃣ ทำครั้งเดียวจบ ไม่ต้องกังวลเรื่องลืมกินยาหรือฉีดยา

⚠️ ผลข้างเคียงและข้อควรระวัง

1️⃣ อาการปวดท้องน้อยเล็กน้อยช่วงแรก → แต่หายได้เอง
2️⃣ ภาวะแทรกซ้อนเล็กน้อย เช่น เลือดออก ติดเชื้อ บาดเจ็บอวัยวะ (พบน้อยกว่า 1%)
3️⃣ หากตั้งครรภ์ขึ้นมา (ถึงโอกาสน้อยมาก) → เสี่ยงท้องนอกมดลูกสูงกว่าปกติ
4️⃣ เป็นวิธีถาวร หากเปลี่ยนใจอยากมีลูกอีก → การแก้ไขซับซ้อนและค่าใช้จ่ายสูง

📊 หลักฐานวิจัย
• Cochrane Review 2020: การทำหมันหญิงปลอดภัย ไม่เพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งหรือหัวใจ
• งานวิจัยในเอเซีย: ภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่า 1% คุณภาพชีวิตหลังทำหมันไม่ต่างจากคนที่ไม่ได้ทำ

🔑 สรุป
• ไม่ทำให้อ้วน
• ไม่ทำให้หมดประจำเดือนเร็ว
• ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง
• เหมาะสำหรับผู้ที่มั่นใจแล้วว่า ไม่ต้องการมีลูกเพิ่ม

10/09/2025

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ หมอสูติคู่มือถือคุณผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram