Fixme คลินิกเวชกรรมและกายภาพบำบัด

Fixme คลินิกเวชกรรมและกายภาพบำบัด คลินิกเวชกรรมและกายภาพบำบัด
รักษาอาการปวด กล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อ และ เส้นประสาท ทุกชนิด

✨ ขอบคุณจากใจ! จบหลักสูตร "Management in Cervical Radiculopathy" อย่างเข้มข้น! ✨ #ขอขอบคุณนักกายภาพบำบัดและบุคลากรทางการ...
20/10/2025

✨ ขอบคุณจากใจ! จบหลักสูตร "Management in Cervical Radiculopathy" อย่างเข้มข้น! ✨

#ขอขอบคุณนักกายภาพบำบัดและบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านที่ให้ความสนใจเข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการ "การจัดการภาวะรากประสาทคอถูกกดทับ (Cervical Radiculopathy)" ในวันนี้ค่ะ! การเรียนรู้ที่อัดแน่นไปด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์และการฝึกปฏิบัติจริง ทำให้ทุกคนพร้อมที่จะนำความรู้ไปยกระดับการดูแลผู้ป่วยได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น!

💡 เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง? (Key Takeaways)
การตรวจวินิจฉัยที่แม่นยำ (Accurate Diagnosis):

#ทบทวนการตรวจร่างกาย 3 องค์ประกอบหลัก: Motor Strength (Myotomes), Sensory Assessment (Dermatomes), และ Deep Tendon Reflexes (DTRs).
เน้นย้ำการใช้ Spurling's Test ซึ่งมีความจำเพาะสูงในการยืนยันภาวะ CR.

#เรียนรู้การคัดกรอง Red Flags และความแตกต่างระหว่าง CR (รากประสาท) กับ Cervical Myelopathy (ไขสันหลัง) ซึ่งการจัดการต่างกันสุดขั้ว.
เทคนิคกู้ชีพเส้นประสาท (Neurodynamic Mobilization):

#ฝึกปฏิบัติเทคนิค Contra-lateral Cervical Lateral Glide (CCLG) หรือ "Elvey Glide" ซึ่งมีหลักฐานรองรับว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการอาการปวดร้าวที่เกิดจากเส้นประสาท.
เข้าใจกลไกว่า CCLG ช่วย ฟื้นฟูการเคลื่อนที่ของเส้นประสาท (Nerve Excursion) ให้กลับมาเป็นปกติ ซึ่งสัมพันธ์กับการลดลงของความปวดและการเพิ่มขึ้นของฟังก์ชันการใช้งาน.

#ออกแบบโปรแกรมฟื้นฟู (Rehabilitation Exercise):
เน้นการฟื้นฟูในระยะกึ่งเฉียบพลันและเรื้อรัง ด้วยการออกแบบการออกกำลังกายเฉพาะส่วนบุคคล (Individualized Exercise).
ให้ความสำคัญกับการฝึก Motor Control โดยเฉพาะ Craniocervical Flexion Training (CCFT) เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อคอส่วนลึก (Deep Neck Flexors).
เราหวังว่าทุกท่านจะได้รับทั้งความรู้เชิงลึกและทักษะปฏิบัติที่เป็นประโยชน์สูงสุด เพื่อนำไปต่อยอดและสร้างผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมให้กับผู้ป่วย CR ทุกรายค่ะ!
แล้วพบกันใหม่ในโอกาสหน้า! 👋

#กายภาพบำบัด #ปวดร้าวลงแขน

15/10/2025

#ประกาศด่วน !! Fixme clinic ขอภูมิใจนำเสนอ คอร์ส
🌡️Principle of in Sport and Exercise Rehabilitation
จัดในวันที่ 22 – 23 พฤศจิกายน 2568 ใครอยากรู้ว่าคอร์สของเราสอนอะไรบ้าง คลิปวิดิโอนี้มีคำตอบครับ !!
FixmeClinic ได้รวบรวมประสบการณ์การฟื้นฟูนักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บมามากกว่า 10 ปี และตกตะกอนความรู้พื้นฐาน และเทคนิคที่จำเป็น เพื่อให้เข้าใจหลักการต่าง ๆ และสามารถนำไปต่อยอดได้

Early bird sale! ลงทะเบียนคอร์สนี้ก่อนวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 รับส่วนลดพิเศษ ชำระเพียง 5,500 บาท จาก 5,900 บาท
สถานที่เรียน SPSC Physical Fitness Centre, อาคารบรมราชชนนี ศรีศตพรรษ ชั้น 2 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

#ลงทะเบียนได้ที่ลิงก์ https://forms.gle/ynccKMGqeeePZAij9 หรือสแกน QR code

สอบถามเพิ่มเติม หรือติดต่อเราได้เลย

คลินิกเวชกรรมและกายภาพบำบัด
092-4296951

 #ท่าCopenhagen Adduction! เพิ่มน้ำหนักอีกนิด ป้องกันเจ็บขาหนีบได้ดีกว่า? 🏋️‍♂️นักกีฬาหรือใครที่ออกกำลังกายหนักๆ คงคุ้นเ...
14/10/2025

#ท่าCopenhagen Adduction! เพิ่มน้ำหนักอีกนิด ป้องกันเจ็บขาหนีบได้ดีกว่า? 🏋️‍♂️
นักกีฬาหรือใครที่ออกกำลังกายหนักๆ คงคุ้นเคยกับอาการบาดเจ็บโคนขาหนีบ (Groin Injuries) กันดีใช่ไหมครับ ท่าออกกำลังกายที่นิยมใช้เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงและป้องกันปัญหานี้ก็คือ "Copenhagen Adduction"
แต่เคยสงสัยไหมครับว่า... ทำแบบธรรมดา กับทำแบบ "เพิ่มน้ำหนัก" แบบไหนจะให้ผลดีกว่ากัน?💪
วันนี้มีงานวิจัยใหม่ล่าสุด (ก.ย. 2025) จากวารสาร Physical Therapy in Sport มาไขข้อข้องใจให้ครับ‼️

🔍 งานวิจัยนี้ทำอะไร?

นักวิจัยได้ทำการทดลองในกลุ่มนักกีฬารักบี้ชายสมัครเล่นระดับซีเนียร์ (ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความแข็งแรงสูงอยู่แล้ว) เป็นเวลา 8 สัปดาห์ โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม:

1️⃣กลุ่ม CA: ทำท่า Copenhagen Adduction แบบปกติ (ใช้น้ำหนักตัว) โดยเกร็งค้างไว้
.

2️⃣กลุ่ม WCA: ทำท่าเดียวกัน แต่ "เพิ่มน้ำหนัก" เข้าไปที่สะโพก (ประมาณ 20% ของน้ำหนักตัว)

🔥 ผลลัพธ์ที่น่าสนใจ
หลังจากผ่านไป 8 สัปดาห์ ผลปรากฏว่า:

✅ กลุ่มที่เพิ่มน้ำหนัก (WCA) เห็นผลชัดเจนกว่า!
ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหนีบขา (Hip Adduction) เพิ่มขึ้น 10%

"อัตราส่วน" ความแข็งแรงระหว่างกล้ามเนื้อหนีบขาและกางขา ( : ) ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบ่งบอกถึงความสมดุลของกล้ามเนื้อรอบสะโพกที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันการบาดเจ็บ

❌ กลุ่มที่ทำแบบธรรมดา (CA) ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
น่าประหลาดใจที่กลุ่มนี้ ไม่พบการเปลี่ยนแปลงความแข็งแรงที่ชัดเจน ทั้งความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหนีบขาและอัตราส่วนความสมดุล

💡 สรุปง่ายๆ
#สำหรับนักกีฬาที่แข็งแรงอยู่แล้ว: การทำท่า Copenhagen Adduction แบบธรรมดา (Bodyweight) อาจไม่หนักพอที่จะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อพัฒนาไปได้อีก
เพิ่มน้ำหนักคือคำตอบ: การเพิ่มน้ำหนักเข้าไปในการฝึก (Progressive Overload) แม้จะเป็นโปรแกรมที่ทำไม่หนักมาก (Low-dose) ก็สามารถเพิ่มทั้งความแข็งแรงและปรับสมดุลกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
เหมาะกับช่วงแข่งขัน: งานวิจัยนี้ใช้รูปแบบการเกร็งค้าง (Isometric) ซึ่งช่วยลดอาการปวดระบมกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย (DOMS) ได้ดีกว่าการเคลื่อนไหวขึ้น-ลง จึงเหมาะสำหรับนักกีฬาที่ต้องฝึกซ้อมและแข่งขันอย่างต่อเนื่อง

คำแนะนำ:

ใครที่ทำท่า Copenhagen Adduction จนชินแล้ว รู้สึกว่ามันง่ายเกินไป ลองหาดัมเบลหรือแผ่นน้ำหนักมาถ่วงที่สะโพกดูนะครับ อาจจะเป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยยกระดับความแข็งแรงและลดความเสี่ยงการบาดเจ็บของคุณได้อีกขั้น!

งานทดลองนี้ทำในนักกีฬา ถ้าคนทั่วไปลองแบบ Bodyweight ก่อนแข็งแรงแล้วเพิ่ม weight ได้

ลองเอาเทคนิคนี้ไปปรับใช้กันดูนะครับ 💪

#กายภาพบำบัด #วิทยาศาสตร์การกีฬา #ป้องกันการบาดเจ็บ #กล้ามเนื้อหนีบขา #ฟิตเนส #ออกกำลังกาย #นักกีฬา

ที่มา: O' Connor, C., et al. (2025). Exploring the effects of a weighted vs unweighted low-dose isometric Copenhagen adduction exercise training programme... Physical Therapy in Sport

เคยสงสัยไหม? ฝึกบน BOSU ball กับพื้นธรรมดา แบบไหนดีกว่ากัน? ⚽️ งานวิจัยล่าสุดในนักเตะ LaLiga 🇪🇦 มีคำตอบ!  #เรื่องนี้ต้อง...
13/10/2025

เคยสงสัยไหม? ฝึกบน BOSU ball กับพื้นธรรมดา แบบไหนดีกว่ากัน? ⚽️ งานวิจัยล่าสุดในนักเตะ LaLiga 🇪🇦 มีคำตอบ! #เรื่องนี้ต้องรู้
เทรนด์การออกกำลังกายบนอุปกรณ์ที่ไม่มั่นคงอย่าง BOSU ball หรือแผ่นบาลานซ์ กำลังเป็นที่นิยม เพราะเชื่อกันว่าจะช่วยเรื่องการทรงตัวและสร้างความแข็งแรงได้ดี... แต่ในโลกของนักกีฬาระดับท็อป มันเป็นแบบนั้นจริงหรือ?
ล่าสุดมีงานวิจัยสุดเจ๋ง! ที่ไปทดลองกับนักฟุตบอลอาชีพจากลีกสูงสุดของสเปน (LaLiga) นานถึง 10 สัปดาห์ โดยแบ่งนักเตะเป็น 2 กลุ่ม:

🔥กลุ่มฝึกบนพื้นธรรมดา (พื้นแข็ง มั่นคง)
👣กลุ่มฝึกบนอุปกรณ์ที่ไม่มั่นคง (BOSU, Dyn air)

ทั้งสองกลุ่มฝึกโปรแกรมเสริมเหมือนกันหมด ต่างกันแค่ "พื้นผิว" ที่ใช้ฝึกเท่านั้น แล้วมาวัดผลกันว่าใครจะเจ๋งกว่า... ผลลัพธ์ที่ได้น่าสนใจมากครับ!
สรุปผลวิจัย:

🏆 ทีมพื้นแข็ง ชนะขาด!
กลุ่มที่ฝึกบนพื้นธรรมดา มีพัฒนาการด้านสมรรถภาพดีขึ้นในแทบทุกด้าน! ไม่ว่าจะเป็น:

✅ พลังกระโดดขาเดียว (ทั้งกระโดดสูงและไกล)
✅ การทรงตัวและความมั่นคง
✅ ความคล่องแคล่วว่องไว (Agility)
✅ การเคลื่อนไหวของข้อเท้า

📉 ทีม BOSU #แทบไม่เปลี่ยนแปลง

น่าแปลกใจที่กลุ่มซึ่งฝึกบนอุปกรณ์ที่ไม่มั่นคง กลับมีพัฒนาการน้อยมากจนแทบไม่เห็นความแตกต่างจากเดิม

🌟ประเด็นสำคัญที่นักกีฬาและคนออกกำลังกายต้องรู้:

💡 "ความมั่นคง" คือรากฐานของการสร้าง "พลัง": งานวิจัยนี้ชี้ชัดว่า การฝึกบนพื้นฐานที่มั่นคง ช่วยให้ร่างกายเรียนรู้การสร้างแรงและส่งแรงได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในสนามกีฬา

💡ฝึกบนพื้นไม่มั่นคง ไม่ได้แย่ แต่ต้องใช้ให้ถูกจุด:
การฝึกแบบนี้ยังมีประโยชน์ในแง่ "การฟื้นฟู" (Rehabilitation) หรือการกระตุ้นระบบรับรู้ของข้อต่อ (Proprioception) แต่ถ้าเป้าหมายคือการเพิ่ม "Performance" หรือประสิทธิภาพสูงสุด
#การฝึกบนพื้นธรรมดาอาจให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ดังนั้น ใครที่อยากวิ่งเร็วขึ้น กระโดดสูงขึ้น หรือเคลื่อนไหวได้คล่องตัวขึ้น ลองกลับมาให้ความสำคัญกับการฝึกบนพื้นฐานที่มั่นคงดูนะครับ เพราะนี่อาจเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้คุณพัฒนาไปอีกระดับ!

#ฟิตเนส #ออกกำลังกาย #เวทเทรนนิ่ง #นักฟุตบอล #วิทยาศาสตร์การกีฬา #เคล็ดลับนักกีฬา #สร้างกล้ามเนื้อ #ฟุตบอล

ชื่องานวิจัย: ผลของการฝึกระบบประสาทและกล้ามเนื้อบนพื้นผิวที่มั่นคงเทียบกับไม่มั่นคง ต่อการสร้างแรงขาข้างเดียวและความมั่นคงในนักฟุตบอลชายระดับอีลิท (Effects of Neuromuscular Training on Stable Versus Unstable Surfaces on Unilateral Force Production and Stability in Elite Male Soccer Players) 2025

แค่ "กำลังบีบมือ" ก็ทำนายอนาคตการฟิ้นตัวได้! 😲 งานวิจัยใหม่ชี้ แค่เช็กความแข็งแรงของมือ ก็อาจทำนายผลการฟื้นตัวหลัง "ผ่าต...
13/10/2025

แค่ "กำลังบีบมือ" ก็ทำนายอนาคตการฟิ้นตัวได้! 😲 งานวิจัยใหม่ชี้ แค่เช็กความแข็งแรงของมือ ก็อาจทำนายผลการฟื้นตัวหลัง "ผ่าตัดซ่อมเอ็นข้อไหล่" ได้
ใครเคยรักษาคนผ่าตัดซ่อมเอ็นข้อไหล่ (Rotator Cuff) คงรู้ดีว่าเส้นทางการฟื้นตัวนั้นสำคัญมาก บางคนหายเร็ว บางคนฟื้นตัวช้า แล้วเคยสงสัยไหมครับว่ามีปัจจัยอะไรที่ช่วยบอกได้ล่วงหน้า?
ล่าสุดมีงานวิจัยที่น่าสนใจ (ตีพิมพ์ ส.ค. 2025) ได้ศึกษาผู้ป่วย 76 คนที่เข้ารับการผ่าตัดส่องกล้องซ่อมเอ็นข้อไหล่ โดยนักวิจัยได้วัด "กำลังกล้ามเนื้อ" ของผู้ป่วยในช่วง 6 สัปดาห์หลังผ่าตัด ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของการทำกายภาพบำบัด

สิ่งที่วัดมี 4 อย่างหลักๆ คือ:
🤕กำลังบีบมือข้างที่ผ่าตัด
🫡กำลังบีบมือข้างที่ ไม่ได้ ผ่าตัด
👋ความแตกต่างของกำลังบีบมือทั้งสองข้าง
💪กำลังการหมุนของหัวไหล่ข้างที่ผ่าตัด
จากนั้นติดตามผลการฟื้นตัว (ความสามารถในการใช้งานแขนและอาการปวด) ที่ 3 เดือน และ 6 เดือน... และนี่คือสิ่งที่ค้นพบครับ!
สรุปผลวิจัยสำคัญ (เข้าใจง่ายๆ)
:
💪 กำลังบีบมือคือสำคัญ: กำลังบีบมือของ "ทั้งสองข้าง" มีความสัมพันธ์โดยตรงกับผลการฟื้นตัวที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งในระยะ 3 และ 6 เดือน
👉 มือข้างที่ดี...ก็สำคัญ: ที่ 6 เดือนหลังผ่าตัด พบว่ายิ่งมือข้างที่ "ไม่ได้ผ่าตัด" มีกำลังบีบแข็งแรงมากเท่าไหร่ คะแนนการใช้งานหัวไหล่โดยรวม (Constant-Murley score) ก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น!
📉 ความไม่สมดุลคือสัญญาณเตือน: หากกำลังบีบมือของข้างที่ผ่าตัด "อ่อนแอกว่า" ข้างที่ไม่ได้ผ่าตัดมากๆ (มีความไม่สมมาตรสูง) ผลการฟื้นตัวด้านการใช้งานมักจะ "ไม่ดีเท่าที่ควร"
😊 มือแข็งแรง = ปวดน้อยลง: กำลังบีบมือข้างที่ "ผ่าตัด" ที่แข็งแรงขึ้น สัมพันธ์กับระดับความเจ็บปวดที่ "น้อยลง" อย่างมีนัยสำคัญ
🤔 จุดน่าแปลกใจ: น่าสนใจมากที่ "กำลังการหมุนของหัวไหล่" ที่วัดในช่วง 6 สัปดาห์แรก กลับ "ไม่สัมพันธ์" กับผลการฟื้นตัวในระยะยาวเท่ากับกำลังบีบมือ
ปล.งานวิจัยนี้ไม่ได้ระบุว่าวัดแรง internal หรือ external rot. แต่ปกติส่วนใหญ่งานวิจัยจะใช้การวัดทั้งคู่
บทสรุปและสิ่งที่เราได้เรียนรู้:

การวัด "กำลังบีบมือ" ซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย ไม่ซับซ้อน และทำได้เร็ว อาจเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับแพทย์และนักกายภาพบำบัด เพื่อใช้ประเมินและวางแผนการฟื้นฟูผู้ป่วยหลังผ่าตัดเอ็นข้อไหล่ให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลมากขึ้น

เรื่องนี้ยังบอกเป็นนัยๆ ด้วยว่า "ความแข็งแรงโดยรวมของร่างกาย" (ซึ่งกำลังบีบมือเป็นตัวชี้วัดหนึ่ง) อาจมีบทบาทสำคัญต่อการฟื้นตัวหลังการผ่าตัดมากกว่าที่เราคิด

ดังนั้น การทำกายภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ไม่ใช่แค่เฉพาะส่วนที่จะผ่าตัด จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลยครับ

#ผ่าตัดเอ็นข้อไหล่ #กายภาพบำบัด #ปวดไหล่ #สุขภาพ #วิจัยการแพทย์ #ออกกำลังกาย #ฟื้นฟูร่างกาย

ที่มา: งานวิจัย "Prognostic value of baseline muscle strength for functional recovery after rotator cuff repair: an observational study" (Torreblanca-Vargas, S. et al.)2025

แถม #ค่าแรงบีบมือปกติ (เกณฑ์ปานกลาง) ของชายไทย 💪

อายุ 14-17 ปี: 0.64 - 0.81
อายุ 18-19 ปี: 0.72 - 0.84
อายุ 20-30 ปี: ไม่เกิน 0.83
อายุ 31-40 ปี: 0.61 - 0.74
อายุ 41-50 ปี: 0.57 - 0.66
อายุ 51-60 ปี: 0.53 - 0.62
อายุมากกว่า 61 ปี: 0.43 - 0.52

ค่าแรงบีบมือปกติ (เกณฑ์ปานกลาง) ของหญิงไทย👋

อายุ 17-19 ปี: 0.53 - 0.63
อายุ 20-30 ปี: 0.46 - 0.59
อายุ 31-40 ปี: 0.44 - 0.51
อายุ 41-50 ปี: 0.36 - 0.47
อายุ 51-60 ปี: 0.33 - 0.40
อายุมากกว่า 61 ปี: 0.30 - 0.34

#วิธีคำนวณ:

1.คุณสามารถประเมินสมรรถภาพของตัวเองได้โดย
ใช้เครื่องวัดแรงบีบมือ (Handgrip Dynamometer) วัดค่าแรงบีบสูงสุด (หน่วยเป็นกิโลกรัม)

2.นำค่าที่ได้มาหารด้วยน้ำหนักตัวของคุณ (หน่วยเป็นกิโลกรัม)

3.เปรียบเทียบผลลัพธ์กับตารางตามเพศและช่วงอายุของคุณ

#ตัวอย่าง: ชายอายุ 35 ปี หนัก 70 กิโลกรัม วัดแรงบีบมือได้ 45 กิโลกรัม
ค่าอัตราส่วน = 45 / 70 = 0.64
เมื่อเทียบกับเกณฑ์อายุ 31-40 ปี (0.61 - 0.74) ถือว่ามีสมรรถภาพแรงบีบมืออยู่ใน เกณฑ์ปานกลาง

 #เจ็บเอ็นร้อยหวายเรื้อรัง? มาดูไกด์ไลน์ใหม่ปี 2024 ที่จะทำให้คุณกลับมาวิ่งได้อีกครั้ง!แนวทางปฏิบัติทางคลินิกสำหรับภาวะเ...
12/10/2025

#เจ็บเอ็นร้อยหวายเรื้อรัง? มาดูไกด์ไลน์ใหม่ปี 2024 ที่จะทำให้คุณกลับมาวิ่งได้อีกครั้ง!
แนวทางปฏิบัติทางคลินิกสำหรับภาวะเอ็นร้อยหวายอักเสบ (Achilles Tendinopathy) ฉบับใหม่ปี 2024 จาก Chimenti และคณะ ที่ตีพิมพ์ในวารสาร JOSPT แนะนำให้ใช้ " #การออกกำลังกาย" เป็นการรักษาวิธีแรก ร่วมกับการให้ความรู้และปรับโปรแกรมให้เหมาะกับแต่ละบุคคล
การรักษาหลัก (ควรทำ ✅)
การออกกำลังกาย (Exercise): (หลักฐานระดับ A - แข็งแกร่งที่สุด)

✅ควรเป็นการออกกำลังกายที่เส้นเอ็นต้องรับน้ำหนัก (Tendon Loading Exercise) ซึ่งรวมถึงท่า Eccentric, Heavy-slow, Isometric หรือ Progressive loading

✅ควรทำด้วยความหนักที่ "สูงที่สุดเท่าที่ทนไหว" เพื่อให้เกิดการปรับตัวของเส้นเอ็น

✅แนะนำให้ทำอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์

✅การให้ความรู้ (Education): (หลักฐานระดับ B - ปานกลาง)

✅ให้ความรู้เกี่ยวกับภาวะที่เป็นและแนวทางการรักษา ควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย

✅สำคัญที่สุด: ไม่แนะนำให้พักการใช้งานโดยสมบูรณ์ (Complete Rest) แต่ควรทำกิจกรรมต่างๆ ในระดับความเจ็บปวดที่ทนได้

✅สามารถให้คำแนะนำได้ทั้งแบบเจอหน้า (in-person) หรือผ่านทางไกล (telehealth)

การรักษาร่วม (อาจจะช่วยได้ 🤔)

🤔การเสริมส้น (Heel Lifts): (หลักฐานระดับ C - น้อย)

อาจใช้เพื่อลดมุมกระดกข้อเท้าชั่วคราวและลดภาระเส้นเอ็นระหว่างวัน

🤔การยืด (Stretching): (หลักฐานระดับ C - น้อย)

อาจใช้ในผู้ที่มีภาวะข้อเท้าติดหรือช่วงการเคลื่อนไหวจำกัด เพื่อลดปวดและเพิ่มความยืดหยุ่น

🤔การรักษาแบบผสมผสาน (Multimodal): (หลักฐานระดับ C - น้อย)

อาจใช้การรักษาอื่นๆ เช่น Manual Therapy ร่วมด้วยเพื่อ "เสริมประสิทธิภาพของการออกกำลังกาย"

ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน ❓
กายอุปกรณ์เสริม (Orthoses): (หลักฐานระดับ D - ขัดแย้งกัน)

เนื่องจากข้อมูลการศึกษายังขัดแย้งกัน จึงยังไม่มีคำแนะนำที่ชัดเจนสำหรับการใช้อุปกรณ์เสริมอุ้งเท้า

การรักษาที่ไม่แนะนำ ❌

จากหลักฐานปัจจุบัน ไกด์ไลน์ "ไม่แนะนำ" ให้ใช้วิธีการต่อไปนี้ในการรักษาภาวะเอ็นร้อยหวายอักเสบ:

❌เลเซอร์กำลังต่ำ (Low-Level Laser Therapy)

❌อัลตราซาวนด์บำบัด (Therapeutic Ultrasound) (เมื่อใช้เป็นการรักษาเดี่ยวๆ)

❌เฝือกอ่อนตอนกลางคืน (Night Splints)

สรุปง่ายๆ: การรักษาที่มีหลักฐานดีที่สุดและควรทำเป็นอันดับแรกคือ การออกกำลังกายที่เหมาะสมและสม่ำเสมอ หากคุณมีอาการเจ็บเอ็นร้อยหวาย ควรปรึกษานักกายภาพบำบัดเพื่อรับการประเมินและออกแบบโปรแกรมการรักษาที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับคุณที่สุดครับ

#เอ็นร้อยหวายอักเสบ #กายภาพบำบัด #เจ็บเอ็นร้อยหวาย #นักวิ่ง #ออกกำลังกาย #รักษาอาการปวด

 #งานวิจัยนี้น่าสนใจ ✨✨ผู้สูงอายุลดน้ำหนักอย่างไรไม่ให้มวลกระดูกลดลง? งานวิจัยล่าสุดศึกษาการใช้ 'เสื้อกั๊กถ่วงน้ำหนัก' แ...
11/10/2025

#งานวิจัยนี้น่าสนใจ ✨✨

ผู้สูงอายุลดน้ำหนักอย่างไรไม่ให้มวลกระดูกลดลง? งานวิจัยล่าสุดศึกษาการใช้ 'เสื้อกั๊กถ่วงน้ำหนัก' และ 'เวทเทรนนิ่ง' เพื่อลดอัตราการลดลงของมวลกระดูกหลัง นน. ลดลง
ปกติการลดน้ำหนักทำให้แรงกดบนกระดูกลดลง
เมื่อคนเรามีน้ำหนักตัวมาก กระดูก โดยเฉพาะที่สะโพกและกระดูกสันหลัง จะต้องรับน้ำหนักนั้นอยู่ตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน (เวลายืน, เดิน) แรงกดดันนี้เป็นเหมือน "การฝึก" ให้กระดูกคงความหนาแน่นและความแข็งแรงไว้
แต่เมื่อเราลดน้ำหนักลง (เช่น ลดไป 10 กิโลกรัม) แรงกดที่กระดูกเคยได้รับในทุกๆ วันก็จะหายไป 10 กิโลกรัมเช่นกัน #ร่างกายมองว่า "ไม่จำเป็นต้องสร้างกระดูกให้แข็งแรงเท่าเดิมแล้ว เพราะภาระน้อยลง" จึงเริ่มกระบวนการสลายกระดูกมากกว่าการสร้าง ทำให้มวลกระดูกลดลง ซึ่งเป็นผลเสียที่มาพร้อมกับการลดน้ำหนักในผู้สูงอายุ งานวิจัยนี้เลยลองใช้เสื้อกั๊กที่มีน้ำหนักใส่แทนน้ำหนักผู้สูงอายุ ที่ลดลงไป โดยคาดหวังว่า #มวลกระดูกจะไม่เสื่อมลง ✨
ผู้สูงอายุต้องลดน้ำหนักเพื่อลดโรคเบาหวาน ความดัน
แต่รู้ไหมครับว่า...การที่น้ำหนักตัวลดลง ทำให้แรงกดที่กระดูกเคยได้รับน้อยลงตามไปด้วย ร่างกายจึงอาจตอบสนองด้วยการลดความหนาแน่นของมวลกระดูก ซึ่งเสี่ยงต่อภาวะ "กระดูกพรุน" ได้ในอนาคต 🦴

คำถามคือ...แล้วเราจะป้องกันปัญหานี้ได้อย่างไร?
งานวิจัยที่น่าสนใจมาก ได้ทดลอง 2 วิธีสุดฮิตเพื่อดูว่าจะช่วยรักษามวลกระดูกระหว่างลดน้ำหนักได้หรือไม่
ใส่เสื้อกั๊กถ่วงน้ำหนัก: เพื่อ "หลอก" ร่างกายให้รู้สึกเหมือนยังแบกน้ำหนักเท่าเดิม
ออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน (Weight Training): เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อและกระดูก
💥 และนี่คือผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจ! 💥

งานวิจัยพบว่า...ทั้งการใส่เสื้อกั๊กและการออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน (ตามโปรแกรมในงานวิจัย) ยังไม่สามารถป้องกันการสูญเสียมวลกระดูกที่สะโพกได้ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ลดน้ำหนักอย่างเดียว!
#หมายความว่า ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนมวลกระดูกก็ลดลง

💪 แต่เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งโยนดัมเบลทิ้ง!

ข่าวดีก็คือ...กลุ่มที่ออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน มี "กล้ามเนื้อที่แข็งแรงขึ้นมาก" ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้ทรงตัวได้ดี ลดความเสี่ยงการหกล้ม ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของกระดูกหักในผู้สูงอายุได้โดยตรง!

💡 สรุปให้เข้าใจง่ายๆ และนำไปใช้ได้จริง
ลดน้ำหนักยังจำเป็น: หากมีภาวะน้ำหนักเกิน การลดน้ำหนักยังคงมีประโยชน์มากกว่า แต่ต้องทำควบคู่กับการดูแลกระดูก

ออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน...ห้ามขาด: แม้อาจไม่ช่วยเรื่องมวลกระดูกโดยตรงในงานวิจัยนี้ แต่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการสร้าง "เกราะป้องกัน" คือความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเพื่อกันล้ม

เพิ่ม "แรงกระแทก" ให้กระดูก: นักวิจัยชี้ว่า...กุญแจสำคัญอาจอยู่ที่ "การออกกำลังกายที่มีแรงกระแทก" เพื่อกระตุ้นให้กระดูกสร้างตัวเองมากขึ้น เช่น
✨การเดินเร็ว ก้าวเท้ายาวๆ
✨การกระโดดเบาๆ อยู่กับที่ (หากร่างกายไหว)
✨การเต้นแอโรบิก

ปรึกษานักกายภาพบำบัดเพื่อออกแบบโปรแกรมที่เหมาะสม

ข้อคิด: การดูแลสุขภาพต้องมองให้รอบด้าน ลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพที่ดี และเสริมความแข็งแรงให้ทั้งกล้ามเนื้อและกระดูกไปพร้อมๆ กันนะครับ ❤️

#แชร์ ให้คนที่คุณรักและเป็นห่วงได้เลยครับ!
คำแนะนำ: ก่อนเริ่มโปรแกรมออกกำลังกายใหม่ๆ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ควรปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดก่อนเสมอครับ

#สุขภาพผู้สูงอายุ #ลดน้ำหนัก #กระดูกพรุน #ออกกำลังกาย #เวทเทรนนิ่ง #ความรู้สุขภาพ #ดูแลผู้สูงอายุ #สูงวัยอย่างมีคุณภาพ


Cr.Weighted vest use or resistance exercise to offset weight loss-associated bone loss in older adults: a randomized clinical trial (2025)

ฉันเพิ่งมียอดผู้ติดตามถึง 6 หมื่น คน! ขอบคุณที่ช่วยสนับสนุนฉันมาโดยตลอด ฉันคงมาถึงจุดนี้ไม่ได้หากไม่มีพวกคุณทุกคน 🙏🤗🎉
11/10/2025

ฉันเพิ่งมียอดผู้ติดตามถึง 6 หมื่น คน! ขอบคุณที่ช่วยสนับสนุนฉันมาโดยตลอด ฉันคงมาถึงจุดนี้ไม่ได้หากไม่มีพวกคุณทุกคน 🙏🤗🎉

11/10/2025

🎊🎊Fixme ครบ 60,000 follower แล้ว 🙏🙏🎊🎊

📌◼️ ทำความเข้าใจ "Modic Changes": สัญญาณสำคัญของอาการปวดหลังจากกระดูกสันหลัง (Vertebrogenic Pain)✔️ Modic Changes คืออะไ...
11/10/2025

📌◼️ ทำความเข้าใจ "Modic Changes": สัญญาณสำคัญของอาการปวดหลังจากกระดูกสันหลัง (Vertebrogenic Pain)
✔️ Modic Changes คืออะไร?
Modic Changes คือการเปลี่ยนแปลงที่ตรวจพบได้จากภาพถ่ายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการวินิจฉัยอาการปวดหลังส่วนล่างเรื้อรัง (CLBP) โดยการเปลี่ยนแปลงนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับความเสื่อมของ แผ่นปลายกระดูกสันหลัง (Vertebral Endplate) และการบวมน้ำในตัวกระดูกสันหลังที่อยู่ติดกับหมอนรองกระดูก
👉◼️ Modic Changes และอาการปวดจากกระดูกสันหลัง (Vertebrogenic Pain)
การตรวจพบ Modic Changes มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นตัวบ่งชี้ถึง อาการปวดที่มีต้นกำเนิดจากตัวกระดูกสันหลัง (Vertebrogenic Pain) ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของอาการปวดหลังส่วนล่างตามแนวแกนกลาง
▪️ ลักษณะของ Vertebrogenic Pain: เป็นอาการปวดที่เกิดจากความเสื่อมของแผ่นปลายกระดูกสันหลัง ซึ่งทำหน้าที่เป็นเยื่อกั้นที่มีรูพรุนเพื่อส่งสารอาหารระหว่างตัวกระดูกสันหลังและหมอนรองกระดูก
▪️ การส่งสัญญาณความเจ็บปวด: ความเจ็บปวดที่เกิดจากแผ่นปลายกระดูกสันหลังเสื่อมนี้ จะถูกส่งผ่านใยประสาทของ เส้นประสาทเบซิเวอร์ทิบรอล (Basivertebral Nerve - BVN)
▪️ หลักฐานจากภาพถ่าย: เมื่อตรวจหาอาการปวดหลังส่วนล่างเรื้อรัง การพบการเปลี่ยนแปลงที่แผ่นปลายกระดูกสันหลัง เช่น การยุบตัว หรือการบวมน้ำในตัวกระดูกสันหลัง (โดยเฉพาะ Modic type I–II) จะช่วยสนับสนุนการวินิจฉัยว่าเป็นอาการปวดแบบ Vertebrogenic Pain
👉◼️ การจำแนก Modic Changes บน MRI
Modic Changes ถูกแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ตามลักษณะของสัญญาณที่ปรากฏบนภาพ MRI แบบ T1 และ T2
▪️ Modic type 1: ภาพ T1 จะเห็นเป็นสีดำ และภาพ T2 จะเห็นเป็นสีสว่าง (บ่งชี้ถึงการอักเสบและบวมน้ำ)
▪️ Modic type 2: ภาพ T1 และ T2 จะเห็นเป็นสีสว่างทั้งคู่ (บ่งชี้ถึงการแทนที่ด้วยไขมัน)
▪️ Modic type 3: ภาพ T1 และ T2 จะเห็นเป็นสีดำทั้งคู่ (บ่งชี้ถึงการหนาตัวของกระดูก)
▪️ Modic type I และ II เป็นประเภทที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีอาการปวดแบบ Vertebrogenic Pain
👉◼️ การวินิจฉัยแยกจากอาการปวดหลังสาเหตุอื่น
อาการปวดแบบ Vertebrogenic Pain ซึ่งบ่งชี้โดย Modic Changes มักมีลักษณะปวดบริเวณแกนกลางลำตัวและอาจปวดร้าวไปทั่วบริเวณหลังส่วนล่าง ซึ่งจำเป็นต้องวินิจฉัยแยกจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น กลุ่มอาการข้อต่อฟาเซ็ต (Facet Joint Syndrome) และอาการปวดข้อต่อกระเบนเหน็บ (SIJ Pain)
▪️ ในผู้ป่วยที่มี อาการปวดจากหมอนรองกระดูก (Discogenic Pain) แผ่นปลายกระดูกสันหลังมักจะยังคงปกติ แต่อาจพบรอยฉีกขาดของหมอนรองกระดูก (High-Intensity Zone - HIZ) ได้
▪️ มีการประมาณการว่า อาการปวดจากกระดูกสันหลัง (Vertebrogenic) และอาการปวดจากหมอนรองกระดูก (Discogenic) รวมกันแล้ว คิดเป็น 39% ของสาเหตุอาการปวดหลังเรื้อรังทั้งหมด
👉◼️ ความสำคัญทางคลินิก: แนวทางการรักษา
การตรวจพบ Modic Changes บน MRI มีผลโดยตรงต่อการวางแผนการรักษา
▪️ หากผู้ป่วยมีอาการปวดหลังส่วนล่างตามแนวแกนกลาง โดยไม่มีอาการร้าวลงขา และได้ตัดสาเหตุจากข้อต่อฟาเซ็ตและข้อต่อกระเบนเหน็บออกไปแล้ว การพบความเสื่อมของแผ่นปลายกระดูกสันหลังบน MRI จะทำให้แพทย์พิจารณา การจี้ทำลายเส้นประสาทเบซิเวอร์ทิบรอล (Basivertebral Nerve Ablation) เป็นขั้นตอนต่อไป เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดที่รุนแรง
▪️ การจี้ทำลายเส้นประสาทเบซิเวอร์ทิบรอล เป็นหัตถการที่มุ่งเป้าไปที่ใยประสาทซึ่งทำหน้าที่ส่งสัญญาณความเจ็บปวดที่เกิดจากความเสื่อมของแผ่นปลายกระดูกสันหลัง
📌 ความสำคัญสำหรับนักกายภาพบำบัด?
Modic Changes มีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดการทางกายภาพบำบัด เพราะช่วยกำหนดแนวทางการรักษาและเป้าหมายทางคลินิกสำหรับผู้ป่วยปวดหลังเรื้อรังได้ชัดเจนขึ้น
◼️ 1. ช่วยระบุแหล่งที่มาของความเจ็บปวด

▪️ Modic Changes บ่งชี้ว่าต้นตอของความเจ็บปวดมาจาก "แผ่นปลายกระดูกสันหลัง" ไม่ใช่หมอนรองกระดูก กล้ามเนื้อ หรือข้อต่อฟาเซ็ต
▪️ ทำให้นักกายภาพบำบัดสามารถออกแบบการรักษาที่ตรงจุด โดยหลีกเลี่ยงการรักษาที่เน้นไปที่หมอนรองกระดูกหรือข้อต่อโดยไม่จำเป็น

◼️ 2. ปรับโปรแกรมการออกกำลังกาย
▪️ ในระยะแรก (Modic type I ที่มีการอักเสบและบวมน้ำ): อาจต้องเน้นการ จัดการแรงกดทับที่กระดูกสันหลัง (Load Management) การเคลื่อนไหวเบาๆ และการทำกิจกรรมอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่เพิ่มแรงกดต่อกระดูกสันหลังมากเกินไป
▪️ ในระยะหลัง (Modic type II ที่มีการแทนที่ด้วยไขมัน): สามารถเริ่มโปรแกรม การเสริมสร้างความแข็งแรงและความมั่นคง โดยเน้นความทนทานของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว การควบคุมท่าทาง และการฟื้นฟูสมรรถภาพการใช้งานในชีวิตประจำวัน

◼️ 3. การให้ความรู้และกำหนดเป้าหมายการรักษา
▪️ ผู้ป่วยที่มี Modic Changes มักมีอาการปวดหลังเรื้อรังที่แกนกลางลำตัว ซึ่งอาจไม่ตอบสนองต่อการรักษาเนื้อเยื่ออ่อนแบบดั้งเดิม
▪️ การให้ความรู้แก่ผู้ป่วยว่าอาการปวดของพวกเขามีต้นกำเนิดจากตัวกระดูกสันหลัง จะช่วยให้พวกเขามีความคาดหวังที่สมจริง และเข้าใจถึงความสำคัญของการจัดการอาการในระยะยาว

◼️ 4. การทำงานร่วมกับทีมสหวิชาชีพ
▪️ การตระหนักถึง Modic Changes เป็นสัญญาณว่าเมื่อใดที่ควรทำงานร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความปวดหรือศัลยแพทย์กระดูกสันหลัง
▪️ หากอาการปวดยังไม่ดีขึ้นหลังจากการทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยอาจเป็น кандидатом สำหรับการจี้ทำลายเส้นประสาทเบซิเวอร์ทิบรอล ในขณะที่กายภาพบำบัดยังคงมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูการควบคุมการเคลื่อนไหวและสมรรถภาพร่างกายหลังทำหัตถการ

◼️ 5. เพิ่มความเข้าใจในการแปลผลภาพถ่ายทางการแพทย์
▪️ ความเข้าใจเรื่อง Modic Changes ช่วยให้นักกายภาพบำบัดสามารถแปลผล MRI ได้อย่างมีความหมายมากขึ้น สามารถเชื่อมโยงสิ่งที่เห็นในภาพเข้ากับข้อจำกัดในการใช้งานร่างกายของผู้ป่วย และนำไปวางแผนการฟื้นฟูที่อิงตามหลักฐานได้ดียิ่งขึ้น

Cr.Physiotherapy E learning

 #ใครที่อยากให้ผู้สูงอายุออกกำลังกาย ลองอ่านงานวิจัยนี้ "อะไรทำให้ผู้สูงวัยไม่ออกกำลังกาย และอะไรคือแรงจูงใจสำคัญ?" บทสร...
11/10/2025

#ใครที่อยากให้ผู้สูงอายุออกกำลังกาย ลองอ่านงานวิจัยนี้
"อะไรทำให้ผู้สูงวัยไม่ออกกำลังกาย และอะไรคือแรงจูงใจสำคัญ?"
บทสรุปจากงานวิจัยเชิงระบบ (Systematic Review) ที่ตีพิมพ์ในวารสาร BMJ Open ซึ่งรวบรวมข้อมูลจาก 20 งานวิจัย และมีผู้เข้าร่วมกว่า 18,597 คน เพื่อค้นหาอุปสรรคและปัจจัยสนับสนุนที่ส่งผลต่อการมีกิจกรรมทางกาย (Physical Activity - PA) ของผู้สูงอายุวัย 65 ปีขึ้นไปที่ใช้ชีวิตอิสระในชุมชน
#พบว่าอุปสรรคไม่ใช่แค่ "ความขี้เกียจ" แต่มีอะไรซับซ้อนกว่านั้นเยอะเลยค่ะ
🔍 อุปสรรคที่มองไม่เห็น:
กลัวเจ็บ: กลัวล้ม กลัวปวดเข่ามากขึ้น
ขาดเพื่อน: ไม่มีใครไปออกกำลังกายด้วย เลยรู้สึกเหงาและไม่ปลอดภัย
สถานที่ไม่อำนวย: ทางเท้าพังๆ หรือสวนสาธารณะไกลบ้าน ก็ทำให้ท้อได้เหมือนกัน
รู้สึกไม่มั่นใจ: เขินอาย ไม่กล้าไปเข้าคลาสเต้นแอโรบิกกับคนอื่น
💡 แล้วอะไรคือ "แรงผลักดัน" สำคัญ?
กำลังใจจากคนรอบข้าง: แค่คำชวนง่ายๆ หรือการไปเดินเล่นเป็นเพื่อน ก็สร้างความแตกต่างได้มหาศาล
ความสนุก: หากิจกรรมที่ชอบ เช่น รำไทเก็ก เต้นลีลาศ หรือเดินเล่นในสวนสวยๆ
เพื่อนซี้สี่ขา: น้องหมานี่แหละ คือเทรนเนอร์ส่วนตัวที่ดีที่สุด!
เป้าหมายเล็กๆ: ไม่ต้องวิ่งมาราธอน แค่ขยับให้รู้สึกสดชื่น ก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว!
มาช่วยกันสร้างสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยกำลังใจ ให้ผู้สูงวัยที่เรารักได้ขยับกายอย่างมีความสุขกันนะคะ ❤️

#สูงวัยใส่ใจสุขภาพ #ออกกำลังกายผู้สูงอายุ #สุขภาพดี #ครอบครัวอบอุ่น #งานวิจัยสุขภาพ

11/10/2025

🏃‍♀️ วิ่งแล้ว “เจ็บเข่าด้านข้าง” เกิดจากอะไรได้บ้าง?

อาการ “เจ็บเข่าด้านข้าง” เป็นปัญหาที่นักวิ่งหลายคนต้องเคยเจอ บางคนเริ่มจากแค่ระคายๆ ตอนวิ่ง แต่สุดท้ายเจ็บจนต้องหยุดวิ่งเลยก็มี 😣
จริง ๆ แล้วต้นเหตุมันอาจมาจากหลายโครงสร้างรอบ ๆ เข่า ไม่ใช่แค่ “เส้นเอ็นข้างเข่า” อย่างเดียว

มาดูกันว่าเจ็บเข่าด้านข้างอาจเกิดจากอะไรได้บ้าง 👇

🔹 1. Iliotibial Band Syndrome (ITBS)

ภาวะยอดฮิตของนักวิ่ง
เกิดจากเส้นเอ็น IT band (พาดจากสะโพกถึงเข่าด้านข้าง) เสียดสีกับกระดูกบริเวณเข่าซ้ำ ๆ
ลักษณะอาการ:
• เจ็บแสบหรือปวดตื้อ ๆ ด้านนอกของเข่า โดยเฉพาะเวลาวิ่งลงทางลาด
• บางคนเจ็บตอนงอ-เหยียดเข่า

🔹 2. Lateral Collateral Ligament (LCL) Injury

เส้นเอ็นด้านข้างนอกของเข่า ทำหน้าที่พยุงข้อเข่าไม่ให้โยกออกด้านข้าง
สาเหตุ:
• บิดเข่าผิดท่า
• ลงน้ำหนักผิดจังหวะตอนวิ่งหรือเปลี่ยนทิศทางเร็ว
ลักษณะอาการ:
• เจ็บแหลม ๆ บริเวณด้านข้างเข่า
• อาจบวมเล็กน้อย หรือรู้สึกเข่าไม่มั่นคง

🔹 3. Lateral Meniscus Injury (หมอนรองเข่าด้านข้าง)

หมอนรองเข่าทำหน้าที่รองรับแรงกระแทก
ถ้ามีการบิดเข่าขณะงอ-เหยียดหรือวิ่งหนักเกินไป อาจเกิดการฉีกขาดได้
ลักษณะอาการ:
• เจ็บลึก ๆ ในข้อเข่าด้านข้าง
• อาจมีเสียง “คลิก” หรือ “ติดขัด” เวลาเคลื่อนไหว

🔹 4. Biceps Femoris Tendinopathy

กล้ามเนื้อ hamstring ส่วนข้างนอก (biceps femoris) ยึดเกาะที่กระดูกด้านข้างเข่า
ถ้ามีการใช้งานซ้ำ ๆ หรือกล้ามเนื้อตึงมาก อาจทำให้เกิดการอักเสบได้
ลักษณะอาการ:
• เจ็บตื้อ ๆ ตรงแนวพังผืดด้านข้างหลังเข่า
• มักเป็นตอนเร่งความเร็ว หรือหลังวิ่งระยะไกล

💬 สรุป:
อาการ “เจ็บเข่าด้านข้าง” อาจมาจากหลายสาเหตุ ทั้ง IT band, LCL, หมอนรองเข่า หรือกล้ามเนื้อ hamstring เป็นต้น
หากเจ็บต่อเนื่องมากกว่า 1-2 สัปดาห์ หรือลองออกกำลังกายฟื้นฟูด้วยตนเองแต่ยังไม่ดีขึ้น ควรให้ นักกายภาพบำบัด ประเมินเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงก่อนเริ่มโปรแกรมฟื้นฟู 💪

ที่อยู่

ห้อง 3A, ชั้น 3, ราชครู เมดิคอลเซนเตอร์, พหลโยธิน ซ. 5, ถ. พหลโยธิน, สามเสนใน, เขตพญาไท, กรุงเทพฯ
Bangkok
10400

เวลาทำการ

จันทร์ 10:00 - 20:00
อังคาร 10:00 - 20:00
พุธ 10:00 - 20:00
พฤหัสบดี 10:00 - 20:00
ศุกร์ 10:00 - 20:00
เสาร์ 10:00 - 20:00
อาทิตย์ 10:00 - 20:00

เบอร์โทรศัพท์

+66924296951

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Fixme คลินิกเวชกรรมและกายภาพบำบัดผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Fixme คลินิกเวชกรรมและกายภาพบำบัด:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ประเภท