Fixme คลินิกเวชกรรมและกายภาพบำบัด

Fixme คลินิกเวชกรรมและกายภาพบำบัด คลินิกเวชกรรมและกายภาพบำบัด
รักษาอาการปวด กล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อ และ เส้นประสาท ทุกชนิด

มีงานวิจัยใหม่ล่าสุด (ส.ค. 2024)  จากวารสาร Frontiers in Sports and Active Livin เรื่องเจ็บ ITB เจ็บเข่าด้านนอกเวลาวิ่ง?...
27/07/2025

มีงานวิจัยใหม่ล่าสุด (ส.ค. 2024) จากวารสาร
Frontiers in Sports and Active Livin เรื่องเจ็บ ITB

เจ็บเข่าด้านนอกเวลาวิ่ง? 🏃‍♀️💥 ปวดแปล๊บๆ จนต้องหยุดวิ่งบ่อยๆ ใช่ไหม? คุณอาจกำลังเจอกับ หรือ #เอ็นข้างเข่าอักเสบ หนึ่งในอาการบาดเจ็บสุดฮิตของชาวนักวิ่ง!

แต่ไม่ต้องกังวล!

มาสรุป "วิธีพิชิต ITBS" ที่ได้ผลจริง! เพื่อไม่ให้หลงทางรักษาผิดๆ

📌 สรุป 4 คีย์สำคัญที่นักวิ่งต้องรู้:

🏋️‍♂️ ออกกำลังกายสะโพกด้านข้างคือ "พระเอก" ตัวจริง!

งานวิจัยเกือบทั้งหมดชี้ตรงกันว่า การเสริมความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อสะโพกส่วนข้าง (Hip Abductor Strengthening) คือหัวใจของการรักษา เพราะมันช่วยให้สะโพกนิ่งขึ้น ลดการบิดของขาที่ทำให้ IT Band ไปกด หรือ เสียดสีกับกระดูกเข่า ท่าง่ายๆ เช่น Side-lying leg raises, Clamshells, Single-leg squats คือสิ่งที่ต้องทำ!

🤝 ยิ่งทำหลายอย่างยิ่งดี! (Combined Approach)
การรักษาแบบ "จัดเต็ม" หลายๆ อย่างพร้อมกัน เช่น ออกกำลังกาย + ทำกายภาพบำบัดด้วยเครื่องมือ ให้ผลดีกว่าทำแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง งานวิจัยพบว่าวิธีผสมผสานช่วยลดปวดได้ถึง 71% เลยทีเดียว!

⚡️ "ตัวช่วย" เสริมทัพสุดเวิร์ค

Shockwave Therapy: คลื่นกระแทกที่ช่วยลดปวดและซ่อมแซมเนื้อเยื่อได้ดีเมื่อทำคู่กับออกกำลังกาย

Manual Therapy: การคลายกล้ามเนื้อและพังผืดโดยนักกายภาพก็ช่วยได้มาก

Gait Retraining (ปรับท่าวิ่ง): แนวทางใหม่ที่น่าจับตา อาจช่วยแก้ปัญหาที่ต้นตอได้เลย

🤔 แล้ว "ยืดกล้ามเนื้อ" ล่ะ?
แม้จะฮิต แต่การยืดกล้ามเนื้ออย่างเดียวอาจไม่เห็นผลชัดเจนเท่าไรนัก ควรทำควบคู่ไปกับการออกกำลังกายสร้างความแข็งแรงจะดีที่สุดครับ

ข้อแนะนำ: อาการบาดเจ็บของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทางที่ดีที่สุดคือปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเพื่อประเมินและวางแผนการรักษาที่เหมาะกับเราที่สุดนะครับ!

#วิ่ง #นักวิ่ง #อาการบาดเจ็บ #เจ็บเข่า #กายภาพบำบัด #ออกกำลังกาย #รักสุขภาพ #วิ่งน้อยแต่วิ่งนะ

FixmeClinic
คลินิกเวชกรรมและกายภาพบำบัด
ใกล้ BTS Ari
www.fixmeclinic.com
092-429-6951

งานวิจัยใหม่พบว่าผู้ที่มีอาการปวดหลังส่วนล่างเรื้อรังมีการส่งผ่านแรงของกล้ามเนื้อระหว่างแผ่นหลัง (Latissimus Dorsi) และก...
14/07/2025

งานวิจัยใหม่พบว่าผู้ที่มีอาการปวดหลังส่วนล่างเรื้อรังมีการส่งผ่านแรงของกล้ามเนื้อระหว่างแผ่นหลัง (Latissimus Dorsi) และกล้ามเนื้อก้น (Gluteus Maximus) ในฝั่งตรงข้ามลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับคนที่มีสุขภาพดี ในขณะที่กลุ่มคนปกติแสดงให้เห็นการเชื่อมโยงของแรงที่ชัดเจน แต่ในผู้ป่วยกลับแทบไม่พบการส่งผ่านแรงนี้ สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าอาการปวดหลังเรื้อรังอาจรบกวนการทำงานของแนวพังผืดที่สำคัญนี้ ซึ่งอาจส่งผลต่อการถ่ายเทแรงและความมั่นคงของลำตัว อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าภาวะนี้เป็นสาเหตุหรือเป็นผลมาจากอาการปวดหลัง

📢 Just published

Individuals with Chronic Low Back Pain Have Reduced Myofascial Force Transmission Between Latissimus Dorsi and Contralateral Gluteus Maximus Muscles

🔃 The human body's myofascial system consists of connective tissues that enable mechanical force transmission not only within but also between muscles across joints and anatomical regions. Anatomical studies and cadaveric dissections have indicated potential myofascial continuity between the latissimus dorsi (LD) and contralateral gluteus maximus (GM) muscles via the thoracolumbar fascia (TLF), forming part of the so-called posterior oblique sling system [11,12].

📘 Previous research suggested this interconnected system may facilitate force transmission across the trunk and pelvis and contribute to load transfer during gait and dynamic movement [1,7]. However, whether these transmission pathways are functionally relevant in vivo—particularly in pathological populations—remained unclear. Chronic low back pain (CLBP), which affects approximately 23% of the global population at some point in life [2], has been associated with impaired neuromuscular control and myofascial alterations [3,4,8]. Therefore, a brand-new study by Procópio and colleagues investigated whether myofascial force transmission between the LD and contralateral GM differs between individuals with CLBP and healthy controls (https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/40616971/).

🧪 Methods

A total of 40 participants were included: 20 with clinically diagnosed chronic low back pain (CLBP group) and 20 age- and sex-matched healthy controls. Using ultrasound-based shear wave elastography (SWE), the researchers assessed passive tissue stiffness in the contralateral GM muscle during an isometric contraction of the LD muscle.

Each subject lay prone while performing submaximal shoulder extension (activating the LD), and SWE was used to detect changes in the stiffness of the contralateral GM muscle, representing a proxy for myofascial force transmission (s. figure in comments). The primary outcome was the percent change in stiffness of the contralateral GM during LD contraction, compared between groups.

📊 Results

▶️ In healthy controls, contraction of the LD muscle led to a significant increase in stiffness of the contralateral GM (mean increase: 12.7%, p < 0.001), indicating effective force transmission through the thoracolumbar fascial chain.

▶️ In contrast, CLBP patients showed no significant change in contralateral GM stiffness (mean increase: 1.5%, p = 0.421).

▶️ The between-group comparison revealed a statistically significant reduction in stiffness increase in the CLBP group compared to controls (p < 0.001).

💬 Discussion

The results support the functional existence of a myofascial connection between the LD and contralateral GM via the TLF in healthy individuals, consistent with prior anatomical and modeling studies [5,11]. The observed impairment in the CLBP group aligns with research showing altered neuromuscular coordination, reduced fascial mobility, and increased connective tissue stiffness in individuals with chronic back pain [3,4,8].

These findings suggest that CLBP may disrupt long-range myofascial force chains, which could have implications for trunk and pelvic force transfer and locomotion efficiency. Such dysfunction may contribute to persistent motor control deficits and compensatory strategies commonly reported in CLBP populations [7,9,10].

Importantly, this study provides the first in vivo functional evidence—using shear wave elastography—of altered intermuscular force transmission in a chronic pain population. It strengthens the notion that the thoracolumbar fascia acts not just as a passive structure but as an active participant in force modulation and transmission across regions.

However, we do not know whether this reduced myofascial force transmission is a cause, a consequence or an epiphenomenon of CLBP. Furthermore, there is no data to show which intervention is best suited to rehabilitate this reduced force transmission.

✅ Conclusion

This study demonstrates that chronic low back pain is associated with reduced myofascial force transmission between the latissimus dorsi and contralateral gluteus maximus muscles. Thus, potential factors such as greater weakness [12], and decreased GM cross-sectional area [13] commonly observed in this population, reduced fascial gliding (3), the presence of fibrosis and adhesions in the thoracolumbar fascia, and alterations in neuromuscular control (3,4,11) may all contribute to impaired MFT in the pathway investigated.

📘 Illustration: https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/30616942/

📚 Key References (as cited in the study)

1. Barker, P. J., et al. (2007). Clinical Biomechanics, 22, 939–945.

2. Balagué, F., et al. (2012). Lancet, 379(9814), 482–491.

3. Langevin, H. M., et al. (2011). Spine, 36(13), E868–E876.

4. Langevin, H. M., & Sherman, K. J. (2007). Medical Hypotheses, 68(1), 74–80.

5. Vleeming, A., et al. (1995). Spine, 20(7), 753–760.

6. Willard, F. H., et al. (2012). Journal of Bodywork and Movement Therapies, 16(1), 66–73.

7. Wilke, J., et al. (2017). Journal of Anatomy, 231(6), 947–956.

8. Hodges, P. W., & Moseley, G. L. (2003). Manual Therapy, 8(4), 200–206.

9. Van Dieën, J. H., et al. (2003). Clinical Biomechanics, 18(7), 637–655.

10. Carvalhais, V. O. C., et al. (2013). Journal of Biomechanics 46 (5): 1003–7.

11. Huijing, P. A. (2009). European Journal of Applied Physiology, 108(3), 389–404.

12. Nadler, S.F., et al. (2000). Clin. J. Sport Med. 10, 89–97.

13. Amabile, A.H., et al. (2017). PLoS One 12 (7).

👩‍👦❤️ ทุกครั้งที่ "แม่จูบลูก"... ไม่ใช่แค่การแสดงความรัก แต่มันคือ "วิทยาศาสตร์" ที่กำลังสร้างเกราะป้องกันให้ลูกไปตลอดชี...
05/07/2025

👩‍👦❤️ ทุกครั้งที่ "แม่จูบลูก"... ไม่ใช่แค่การแสดงความรัก แต่มันคือ "วิทยาศาสตร์" ที่กำลังสร้างเกราะป้องกันให้ลูกไปตลอดชีวิต

ในวินาทีที่ริมฝีปากของแม่สัมผัสผิวของลูกน้อย... ไม่ใช่แค่ความอบอุ่นที่รู้สึกได้ แต่มีปฏิกิริยามหัศจรรย์เกิดขึ้นลึกถึงในสมองของทั้งคู่

จะพาไปดูความลับที่ซ่อนอยู่ในการจูบของแม่ครับ 🧠✨เมื่อแม่จูบลูกน้อย...

💡 สมองส่วนที่สร้างความสุข (Nucleus Accumbens) และสารแห่งความสุข (โดพามีน) จะถูกกระตุ้นขึ้นมา สร้างสายใยและความผูกพันให้แข็งแกร่ง
💡 สมองส่วนควบคุมอารมณ์ (Amygdala & Hypothalamus) จะทำงานเต็มที่ เพื่อสร้างความรู้สึกปลอดภัยและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง
💡 ฮอร์โมนแห่งความรัก (Oxytocin) จะหลั่งออกมาทั้งในตัวแม่และลูก ช่วยลดความเครียด สร้างความไว้วางใจ และทำให้สายสัมพันธ์ยิ่งลึกซึ้ง
สำหรับลูกน้อย การจูบนั้นมีพลังมากกว่าแค่การปลอบโยน...

มันช่วยลดวงจรความเครียดในสมอง ควบคุมฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) บรรเทาความกลัว และที่สำคัญคือการ "สร้างความแข็งแกร่งทางอารมณ์ (Emotional Resilience)" ให้กับเขา

การจูบของแม่จึงไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่มันคือชีววิทยาตั้งแต่สมัยโบราณ คือคำสัญญาแห่งการปกป้องที่ส่งผ่านกันอย่างเงียบๆ

ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง... "เกราะกำบังทางใจ" กำลังถูกสร้างขึ้นในสมองของลูก และรากฐานของความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยไปตลอดชีวิตก็ได้เริ่มเติบโตขึ้นแล้วครับ
ความรักคือสิ่งที่วิทยาศาสตร์เริ่มมองเห็นร่องรอยได้... แต่คือสิ่งที่ลูกน้อยรู้สึกได้ก่อนที่เขาจะเข้าใจมันเสียอีก

#ด้วยความห่วงใยจาก
FixmeClinic ❤️
#แม่และเด็ก #ความรักของแม่ #สุขภาพเด็ก #จิตวิทยาเด็ก #สมอง #ฮอร์โมน #พัฒนาการเด็ก #ครอบครัวอบอุ่น

🦵 ลูกขาโก่ง... ต้องดัดขาไหม? | FixmeClinic ไขทุกข้อสงสัยที่คุณแม่กังวลด้วยความรักและความปรารถนาดี คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอา...
05/07/2025

🦵 ลูกขาโก่ง... ต้องดัดขาไหม? | FixmeClinic ไขทุกข้อสงสัยที่คุณแม่กังวล

ด้วยความรักและความปรารถนาดี คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจเคยได้ยินความเชื่อที่ว่า "ต้องดัดขาลูกให้ตรง" ตั้งแต่ยังเป็นทารก เพราะกลัวว่าโตขึ้นขาจะไม่สวย
FixmeClinic ขอยืนยันด้วยข้อมูลทางการแพทย์ที่ชัดเจนว่า การดัดขา ไม่เพียงแต่ไม่จำเป็น แต่ยังอันตรายอย่างยิ่ง และห้ามทำเด็ดขาด! 🚫
โพสต์นี้จะเปลี่ยนความเชื่อเดิมๆ ให้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ดูแลลูกน้อยได้อย่างมั่นใจครับ

1. ข่าวดี! "ขาโก่ง" ในทารกคือเรื่องปกติ 👶
ขาที่ดูโก่งของเบบี๋เป็น "ภาวะขาโก่งตามธรรมชาติ" (Physiologic Genu Varum) ที่เกิดจากการขดตัวอยู่ในครรภ์มานาน ไม่ใช่ความผิดปกติ และเป็นเหมือนกันในเด็กทั่วโลกครับ โดยขาของน้องจะมีพัฒนาการตามลำดับเวลาที่ชัดเจน:
* แรกเกิด - 2 ปี: ขาจะโก่งเป็นรูปตัว O (จะเห็นชัดสุดช่วง 6-12 เดือน)
* 2 - 4 ปี: ขาจะค่อยๆ ตรงขึ้น แล้วเปลี่ยนเป็นขาชิด (เข่าชนกัน) รูปตัว X
* 4 - 7 ปีขึ้นไป: ขาจะกลับมาตรงสวยงามเข้าที่เหมือนผู้ใหญ่เองตามธรรมชาติ

#สรุป: ปล่อยให้เป็นไปตามพัฒนาการ ไม่ต้องทำอะไรเลยครับ!

2. 🚨 อันตรายร้ายแรง! ของการ "ฝืนดัดขา"
กระดูกและข้อต่อของทารกยังบอบบางมาก การใช้แรงของผู้ใหญ่เข้าไปฝืนดัดขา เสี่ยงให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรงได้:
* 💥 กระดูกหัก: คือความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ทันที
* 📈 แผ่นการเจริญเติบโต (Growth Plate) บาดเจ็บ: เป็นส่วนที่สร้างความยาวให้กระดูก หากเสียหายอาจทำให้ขาของลูกสั้นยาวไม่เท่ากัน หรือโก่งผิดรูปอย่างถาวรในอนาคต
* 🆘 ภาวะข้อสะโพกเจริญผิดปกติ (DDH): นี่คือความเสี่ยงที่ร้ายแรงที่สุด! การฝืนดึงขาให้ตรงและชิดกัน อาจทำให้หัวกระดูกสะโพกหลุดออกจากเบ้าที่ยังตื้นอยู่ ส่งผลให้ลูกเดินขากะเผลกไปตลอดชีวิต และเกิดข้อสะโพกเสื่อมก่อนวัย

3. ✅ เช็กลิสต์ "สัญญาณอันตราย" ที่ควรมาพบแพทย์
แม้ขาโก่งส่วนใหญ่จะปกติ แต่คุณพ่อคุณควรพาน้องมาพบ "ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์สำหรับเด็ก" ทันที หากพบอาการเหล่านี้:
* อายุเกิน 2-3 ปี แล้วขายังโก่งอยู่ หรือโก่งมากขึ้น
* ขาโก่งไม่เท่ากันทั้งสองข้างอย่างชัดเจน
* ลูกมีอาการเจ็บปวด เดินขากะเผลก หรือล้มบ่อยผิดปกติ
* สังเกตเห็นว่าลูกตัวเตี้ยกว่าเกณฑ์อายุมาก
* สงสัยภาวะอื่นร่วมด้วย เช่น โรคเบล้าท์ (Blount's Disease) หรือ โรคกระดูกอ่อน (Rickets)

4. 🧐 ไขความเชื่อยอดฮิต
* ความเชื่อ: ใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปทำให้ขาโก่ง
* ความจริง: ไม่จริง! ขาโก่งมาจากท่าในครรภ์ การใส่ผ้าอ้อมกลับช่วยจัดท่าให้สะโพกอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม (ท่างอและกางออก) ซึ่งเป็นผลดีต่อพัฒนาการข้อสะโพกด้วยซ้ำ
* ความเชื่อ: อุ้มลูกเข้าเอวทำให้ขาโก่ง
* ความจริง: ไม่จริง! การอุ้มลูกเข้าเอวโดยให้ขาลูกโอบรอบเอวผู้ใหญ่ (ท่าตัว M) เป็นท่าที่เหมาะสมและดีต่อสุขภาพข้อสะโพกอย่างยิ่ง

FixmeClinic
คลินิกเวชกรรมและกายภาพบำบัด
ใกล้ BTS Ari
www.fixmeclinic.com
0924296951

#คลินิกกระดูกและข้อ
#เพราะเราห่วงใยทุกการเคลื่อนไหว
#ขาโก่ง #ขาโก่งในเด็ก #ดัดขาทารก #พัฒนาการเด็ก #ศัลยกรรมกระดูกเด็ก #เลี้ยงลูก #แม่และเด็ก #ความเชื่อผิดๆ #เตือนภัย #สุขภาพเด็ก #ข้อสะโพกเคลื่อน

 #เมื่อใดที่หลังแข็งแรงและยืดหยุ่นเราก็มักจะทำในสิ่งที่สะดวกและมีประสิทธิภาพกว่าเสมอ🚨 ยกของแล้วปวดหลัง? สิ่งที่เคยเชื่อว...
04/07/2025

#เมื่อใดที่หลังแข็งแรงและยืดหยุ่นเราก็มักจะทำในสิ่งที่สะดวกและมีประสิทธิภาพกว่าเสมอ

🚨 ยกของแล้วปวดหลัง? สิ่งที่เคยเชื่อว่า 'ถูก' อาจไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกคน! 🤯

ใครที่ปวดหลังเรื้อรัง โดยเฉพาะเวลาต้องยกของ คงจะท่องกันมาตลอดว่า "จะยกของให้ย่อเข่า หลังตรง" หรือท่าสควอท (Squat) คือท่าที่ปลอดภัยที่สุด...จริงไหม?
แต่วันนี้มี งานวิจัยใหม่ล่าสุด 🔥 ที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ มาท้าทายความเชื่อนี้ และอาจเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการยกของไปเลย!

📘 สรุปสั้นๆ จากงานวิจัย:
นักวิจัยได้ศึกษาผู้ที่มีอาการปวดหลังเรื้อรังจากการยกของ 5 คนอย่างใกล้ชิด โดยติดตามการเปลี่ยนแปลงท่าทางการยกของเทียบกับอาการปวดและข้อจำกัดต่างๆ

💡 และนี่คือผลลัพธ์ที่น่าทึ่งมาก!
ผู้เข้าร่วมวิจัยที่มีอาการดีขึ้น ส่วนใหญ่ ไม่ได้ ยกของแบบ 'สควอท' เป๊ะๆ แต่กลับเปลี่ยนไปใช้ท่าที่ 'คล้ายการก้มตัวยก' (Stoop-like) มากขึ้น! ซึ่งมีลักษณะคือ:
✅ ลำตัวมีการเคลื่อนไหวมากขึ้น (งอตัวได้อย่างผ่อนคลาย)
✅ เข่าขยับน้อยลง (ย่อเข่าน้อยลง)
✅ ใช้เวลายกเร็วขึ้นและเป็นธรรมชาติขึ้น
การเปลี่ยนแปลงนี้ สัมพันธ์โดยตรงกับการที่ร่างกายใช้งานได้ดีขึ้น (ข้อจำกัดลดลง) และอาการปวดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

📌 ข้อสรุปสำคัญที่อยากให้ทุกคนเข้าใจ:
1️⃣ ไม่มีท่าที่ "ดีที่สุด" ท่าเดียว (One-Size-Fits-All): การบังคับให้ทุกคนต้องยกของแบบสควอทอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดเสมอไป เพราะร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน
2️⃣ การเคลื่อนไหวที่ผ่อนคลายเป็นหัวใจสำคัญ: งานวิจัยชี้ว่า การเปลี่ยนจากท่าที่แข็งเกร็งไปสู่การเคลื่อนไหวที่ผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติมากขึ้น คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้อาการดีขึ้น
3️⃣ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญดีที่สุด: ร่างกายของเราซับซ้อนกว่าที่คิด หากคุณมีปัญหาปวดหลังจากการยกของ การปรึกษานักกายภาพบำบัดเพื่อประเมินและหาแนวทางการเคลื่อนไหวที่เหมาะสมกับ "คุณ" โดยเฉพาะ คือคำตอบที่ดีที่สุดครับ

ใครเคยโดนสอนให้ยกของแบบสควอทมาตลอดบ้าง? หรือใครมีเทคนิคส่วนตัวเวลายกของหนักๆ ลองคอมเมนต์มาแชร์กันหน่อยครับ! 👇
#ปวดหลัง #ปวดหลังเรื้อรัง #ยกของ #กายภาพบำบัด #ความรู้สุขภาพ #งานวิจัย #ออฟฟิศซินโดรม #ออกกำลังกาย #สุขภาพดี

FixmeClinic
คลินิกแพทย์และกายภาพบำบัด
092-429-6951
www.fixmeclinic.com

ผ่าเอ็นไขว้หน้าแบบเอ็นตั้งตรง หรือ แนวเฉียง แล้วเข่ามั่นคงกว่ากัน ? หลายคนคิดว่าแค่ผ่าตัดใส่เส้นเอ็นใหม่เข้าไปก็จบ แต่คว...
25/06/2025

ผ่าเอ็นไขว้หน้าแบบเอ็นตั้งตรง หรือ แนวเฉียง แล้วเข่ามั่นคงกว่ากัน ?

หลายคนคิดว่าแค่ผ่าตัดใส่เส้นเอ็นใหม่เข้าไปก็จบ แต่ความจริงแล้ว "ตำแหน่ง" และ "องศา" ของเส้นเอ็นที่ใส่เข้าไปใหม่ สำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของเข่าในระยะยาวครับ

วันนี้ FixmeClinic จะมาไขข้อข้องใจระหว่างการผ่าตัดสองแบบที่ให้ผลลัพธ์ต่างกันชัดเจนครับ

#แบบที่ 1: กราฟแนวตั้งชัน (เทคนิคดั้งเดิม) 📐

เปรียบเหมือนการตั้งเสาบ้านตรงๆ ดิ่งๆ เลยครับ

ข้อดี: ช่วยยึดเข่าไม่ให้เลื่อนไปข้างหน้า-หลังได้ดี (ตรวจด้วยท่า Lachman test มักจะให้ผลดี)

ข้อเสีย (จุดสำคัญ!): ไม่สามารถ "กันบิด" หรือ "กันหมุน" ได้ดีเท่าที่ควร เพราะตำแหน่งไม่ตรงตามกายวิภาคเดิมของร่างกาย เวลามีการเคลื่อนไหวที่ต้องบิดหมุนตัวเร็วๆ (เช่น เล่นกีฬา, วิ่งซิกแซก) อาจจะยังรู้สึกเข่าไม่มั่นคง หรือมีอาการเข่าทรุด (ตรวจด้วยท่า Pivot shift test ยังพบปัญหา)

#แบบที่ 2: กราฟแนวเฉียง/แนวราบ (เทคนิคที่พัฒนาแล้ว) 📏

เปรียบเหมือนการวางเสาหลักของเข่าให้ " เฉียง" ตามธรรมชาติมากที่สุด

จุดเด่น: เทคนิคนี้จะวางเส้นเอ็นในตำแหน่งและองศาที่เลียนแบบเส้นเอ็นเดิมตามธรรมชาติ ทำให้สามารถให้ "ความมั่นคงต่อการบิดหมุน" ได้ดีเยี่ยม!

ผลลัพธ์: เข่าจะกลับมามั่นคงอย่างแท้จริง ทั้งการเคลื่อนที่แนวหน้า-หลัง และที่สำคัญคือ "การบิดหมุน" ผู้ป่วยจะสามารถกลับไปเคลื่อนไหวอย่างมั่นใจได้มากกว่า ลดความรู้สึกเข่าหลวมหรือจะทรุดเวลาเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน

สรุปง่ายๆ:

กราฟตั้งตรง: กันเข่าเลื่อนหน้า-หลังได้ แต่กันบิดหมุนไม่ดี 👎
กราฟเฉียง (ตามกายวิภาค): กันได้ทั้งเลื่อนหน้า-หลัง และ "กันบิดหมุนได้ดีเยี่ยม" 👍

ดังนั้น สำหรับใครที่กำลังจะผ่าตัด หรือเคยผ่าตัดมาแล้วแต่ยังมีปัญหา
อาจเกิดจากตำแหน่งการวางเส้นเอ็นแบบเก่าที่ตรงไป ยังไงก็ตามมาแก้ด้วย #โปรแกรมการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความมั่นคงข้อเข่า

เพราะนี่คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้คุณกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นคงและเต็มศักยภาพอีกครั้ง!

Fixmeclinic
คลินิกเวชกรรมและกายภาพบำบัด
ใกล้ BTS ARI
www.fixmeclinic.com

#ผ่าตัดเอ็นไขว้หน้า #เอ็นไขว้หน้าขาด #เข่าหลวม #เข่าไม่มั่นคง #กายภาพบำบัด #เวชศาสตร์ฟื้นฟู #ความรู้สุขภาพ #ผ่าตัดเข่า

22/06/2025

“นอนท่าไหนช่วยลดอาการปวดหลัง จากการที่หมอนรองกระดูกปลิ้นทับเส้นประสาท”❗️😱มีงานวิจัยล่าสุดของทางRaffet และคณะ ศึกษาและหาคำตอบว่าท่านอน ท่าไหนช่วยลดปวดและเพิ่มช่องว่างระหว่างข้อต่อกระดูกสันหลังได้บ้าง โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งสิ้น 90 คนในการทดลอง ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ในคลิปนี้มีคำตอบครับ!!! #หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท #ปวดหลัง #ปวดหลังร้าวลงขา

18/06/2025

#พันเทปข้อเท้า...ช่วยให้วิ่งเร็วขึ้น หรือเสี่ยงเจ็บกว่าเดิม? 🧐

พึ่งได้ Discuss กับโค้ชวิ่งท่านนึงว่า ช่วงนี้นักวิ่งนิยม lock ข้อเท้าเพื่อ"จัดท่า"ในท่ากระดกปลายเท้า (Dorsiflexion) เพื่อหวังผลให้เวลาเท้าแตะพื้นสั้นลง (Ground Contact Time) และวิ่งเร็วขึ้น แต่...มันเป็นแบบนั้นจริงๆ หรือ?

วันนี้ Fixme มีบทความเชิงวิชาการมาฝาก บอกเลยว่าอาจมีเรื่องที่เข้าใจผิดกันอยู่! 👟💨 สิ่งที่ต้องเข้าใจ 3 อย่าง ที่ 🏃‍♂️ นักวิ่งต้องรู้!

💡 1. การกระดกปลายเท้า (Dorsiflexion) สำคัญต่อการวิ่งจริง
การกระดกข้อเท้าคือ การเคลื่อนไหวที่ปลายเท้ากระดกขึ้นเข้าหาหน้าแข้ง การเคลื่อนไหวนี้ควบคุมโดยกล้ามเนื้อหน้าแข้งของเรา (Tibialis Anterior)

✅ แล้วมันสำคัญกับการวิ่งยังไง?

เป็นโช้คอัพธรรมชาติ: ช่วยดูดซับแรงกระแทกตอนที่เราลงเท้า ทำให้เข่าและสะโพกไม่ต้องรับภาระหนักเกินไป

เป็นสปริงส่งตัว: ช่วยให้เรามีพลังในการถีบตัวไปข้างหน้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

เป็นจุดเริ่มต้นของท่าวิ่งที่ถูกต้อง: ร่างกายเราทำงานเชื่อมกันเป็นทอดๆ เหมือนลูกโซ่ ถ้าข้อเท้าติดขัด (กระดกได้น้อย) มันจะส่งผลเสียต่อเนื่องไปยังเข่า สะโพก หรือบางรายงานอาจไปถึงหลังส่วนล่าง ทำให้เสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้ง่ายขึ้น

📌 รู้หรือไม่? มุมการกระดกข้อเท้าของนักวิ่ง ควรมีอย่างน้อย 15-20 องศา เพื่อให้วิ่งได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

💡2.อยากวิ่งเร็วขึ้น? กุญแจสำคัญอาจอยู่แค่ "เสี้ยววินาที" ที่เท้าสัมผัสพื้น! 🏃💨 "เวลาที่เท้าสัมผัสพื้น" หรือ Ground Contact Time (GCT) คือ
"ระยะเวลาที่เท้าของเราเหยียบอยู่บนพื้น" ในแต่ละก้าว ตั้งแต่ส้นเท้า (หรือส่วนอื่น) แตะพื้น จนถึงปลายเท้าดีดตัวออกไป ยิ่งใช้เวลานี้น้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีเท่านั้น!

⚡️ ยิ่งสั้น ยิ่งเทพ!

นักวิ่ง GCT สั้น (

💪🤸‍♂️ นักยิมนาสติก vs นักวิ่งเร็ว ใครใช้ "พลังสปริง" ของร่างกายได้เจ๋งกว่ากัน?  ผมเคยสงสัย? 🤔 ทำไมนักยิมนาสติกที่ตัวอ่อน...
17/06/2025

💪🤸‍♂️ นักยิมนาสติก vs นักวิ่งเร็ว ใครใช้ "พลังสปริง" ของร่างกายได้เจ๋งกว่ากัน?

ผมเคยสงสัย? 🤔 ทำไมนักยิมนาสติกที่ตัวอ่อนสุดๆ ฉีกขาได้ 180 องศา ถึงได้มีพลังระเบิดมหาศาล กระโดดตีลังกาสูงๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ? ในขณะที่นักวิ่งเร็วที่ดูแข็งแรงทรงพลัง กลับไม่ได้ตัวอ่อนขนาดนั้น... มันดูขัดๆ กันใช่ไหมครับ? แล้ว"พลังสปริง" หรือ SSC มันเกี่ยวข้องกับความยืดหยุ่นรึเปล่า

#หลักการ "สปริง" ของร่างกาย(Stretch-Shortening Cycle หรือ SSC) ทำงานยังไง?

นึกภาพตามง่ายๆ ครับ: เหมือนเราดึงหนังสติ๊ก Eccentric (ยืดกล้ามเนื้อ) -> ค้างไว้แป๊บนึงเรียก ระยะเปลี่ยนผ่าน (Amortization Phase) สะสมพลัง
-> แล้วปล่อย! Concentric (หดกล้ามเนื้อ) พลังที่ได้จะแรงกว่าการดีดเฉยๆ เยอะเลย! การกระโดด การวิ่ง การขว้าง ทุกอย่างใช้หลักการนี้หมด

#การจำแนกประเภทของ SSC: ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างวงจรแบบเร็วและแบบช้า

SSC (Stretch-Shortening Cycle) หรือวงจรการยืด-หดของกล้ามเนื้อ สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทตามระยะเวลาที่ใช้ในการเคลื่อนไหว ซึ่งส่งผลต่อคุณสมบัติทางชีวกลศาสตร์ที่แตกต่างกัน:

SSC แบบเร็ว (Fast SSC): ใช้เวลาเคลื่อนไหว250 มิลลิวินาที สัมผัสพื้นนานกว่า และมีการเปลี่ยนแปลงมุมของข้อต่อมากกว่า เช่น การกระโดดแบบย่อ-เหยียด (CMJ) การเคลื่อนไหวนี้มีเวลาสร้างแรงมากกว่าและอาศัยการเก็บและปล่อยพลังงานในโครงสร้างที่ยืดหยุ่น (Compliance)

#ข้อดีของความตึงสูง: เพิ่มอัตราการสร้างแรงและประสิทธิภาพใน SSC แบบเร็วในกิจกรรมที่ต้องอาศัย SSC แบบเร็ว ความตึงของ MTU ที่สูงนั้นมีข้อได้เปรียบอย่างชัดเจน:

การส่งผ่านแรงที่รวดเร็ว: MTU ที่ตึงจะสามารถส่งผ่านแรงที่สร้างจากกล้ามเนื้อไปยังกระดูกได้อย่างรวดเร็ว ลดช่วงเวลาหน่วง (Electromechanical Delay) ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเคลื่อนไหวที่ต้องการอัตราการสร้างแรง (Rate of Force Development หรือ RFD) สูง.

การดีดตัวที่ทรงพลัง: ใน SSC แบบเร็ว เช่น การวิ่งหรือการกระโดดแบบดีดตัว ความตึงที่สูงช่วยลดระยะเวลาสัมผัสพื้น (Ground Contact Time) ทำให้เกิดการดีดตัวกลับที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพเหมือนสปริงที่แข็ง.

สภาวะการทำงานที่เหมาะสมของกล้ามเนื้อ: เมื่อเอ็นกล้ามเนื้อมีความตึงสูง มันจะทำหน้าที่ยืดและหดเป็นหลัก ทำให้ตัวใยกล้ามเนื้อ (Muscle Fascicles) สามารถทำงานในสภาวะที่เกือบจะคงที่ (Quasi-isometric) ซึ่งเป็นสภาวะที่กล้ามเนื้อสามารถสร้างแรงได้สูงสุด.

#งานวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างความตึงของกล้ามเนื้อส่วนล่างของร่างกายกับประสิทธิภาพในการวิ่งเร็วการกระโดดและความคล่องแคล่ว.

#ข้อดีของความยืดสูง: เพิ่มการเก็บสะสมพลังงานยืดหยุ่นสำหรับ SSC แบบช้าในทางกลับกัน MTU ที่มีความยืดหยุ่นมากกว่าก็มีข้อได้เปรียบในสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป:

การเก็บสะสมพลังงานที่มากกว่า: ตามสมการพลังงานศักย์ยืดหยุ่น (U=½kx 2) MTU ที่มีความนิ่มมากกว่า (ค่า k ต่ำ) จะสามารถยืดตัวออกได้มากกว่า (ค่า x สูง) เมื่อได้รับแรงเท่ากัน ทำให้สามารถเก็บสะสมพลังงานได้ในปริมาณที่มากกว่า.

ประโยชน์ใน SSC แบบช้า: ข้อได้เปรียบนี้จะเห็นผลชัดเจนในการเคลื่อนไหวแบบ SSC แบบช้า ซึ่งมีเวลาเพียงพอในระยะ Eccentric ที่จะยืด MTU ให้สุดและเก็บสะสมพลังงานได้อย่างเต็มที่.

หลักฐานเชิงประจักษ์: งานวิจัยที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งศึกษาในนักยกน้ำหนัก (Powerlifters) ที่ทำการฝึกท่า Rebound Bench Press (ซึ่งเป็น SSC แบบช้า) พบว่าการฝึกความยืดหยุ่นซึ่งส่งผลให้ ความตึงของ MTU ลดลง (มีความนิ่มเพิ่มขึ้น) กลับทำให้พวกเขาสามารถยกน้ำหนักได้มากขึ้น การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่าความนิ่มที่เพิ่มขึ้นช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากพลังงานยืดหยุ่นที่เก็บสะสมไว้ได้ดียิ่งขึ้น.

อย่างไรก็ตาม ความนิ่มที่มากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อ SSC แบบเร็วได้ เนื่องจากจะทำให้การส่งผ่านแรงช้าลงและอาจทำให้พลังงานที่เก็บไว้สูญเสียไปในรูปของความร้อน.

ความแตกต่างนี้อธิบายได้ว่า ทำไมนักกีฬาแต่ละประเภทจึงมีการปรับตัวของกล้ามเนื้อและเอ็นที่แตกต่างกันไปตามลักษณะการเคลื่อนไหวที่ใช้ฝึกฝนเป็นประจำ

ทีนี้ มาดู 2 กีฬาที่ใช้ "สปริง" ที่แตกต่างกันสุดขั้วกันครับ:

🏃‍♂️ Team Sprinter: เทพแห่ง "ความตึงเหนียว" (Stiffness)

ร่างกายของนักวิ่งเร็วเปรียบเหมือน "สปริงที่แข็งโป๊ก" โดยเฉพาะเอ็นร้อยหวายของพวกเขาจะมีความ "ตึง" สูงมาก นี่คือการปรับตัวของร่างกายเพื่อให้...

✅ ส่งผ่านพลังได้เร็ว: พอเท้าแตะพื้นปุ๊บ พลังจะถูกส่งต่อทันที ไม่มีการยุบตัวเสียพลังงาน
✅ ดีดตัวได้แรง: เหมือนสปริงแข็งๆ ที่ดีดกลับได้รุนแรง ทำให้พุ่งไปข้างหน้าได้เร็วสุดๆ

พูดง่ายๆ คือ ร่างกายของนักวิ่งเร็วถูกสร้างมาให้เป็น "ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง" เพื่อภารกิจเดียวเท่านั้น นั่นคือ "ความเร็วสูงสุด" ครับ!

🤸‍♀️ Team Gymnast: เทพแห่ง "ความยืดหยุ่น และ พลัง"

ดูเผินๆ เหมือนร่างกายของพวกเขาจะเป็น "สปริงที่นุ่มนิ่ม" เพราะตัวอ่อนมาก ซึ่งน่าจะทำให้เสียพลังงานไปกับการยืด... แต่ทำไมพวกเขายังทรงพลัง?

✨ นี่คือเฉลย! ความสามารถขั้นเทพของนักยิมนาสติก! ✨

นักยิมนาสติกอาจจะมีเนื้อเยื่อที่ "นุ่ม" และ "ยืดหยุ่น" ในภาวะปกติ ทำให้ทำท่าสวยงามต่างๆ ได้

แต่! ความลับสุดยอดของพวกเขาคือ "ระบบประสาทสั่งการขั้นเทพ" ที่สามารถสั่งให้กล้ามเนื้อ "เกร็งจนตึงสุดขีด" (Dynamic Stiffness) ได้ในเสี้ยววินาทีที่ต้องการ!

พวกเขาสามารถ "เปิด-ปิด" สวิตช์ความตึงของร่างกายได้ตามใจนึก!

จังหวะจะตีลังกา: สั่งร่างกายให้ "แข็งเป็นสปริง" เพื่อดีดตัวขึ้นฟ้า
จังหวะจะทำท่าสวยงาม: "คลาย" ความตึงออก เพื่อโชว์ความอ่อนช้อย
มันคือ "ทักษะ" การควบคุมร่างกายระดับสูง ที่ทำให้พวกเขาเป็นเหมือน "ผู้เชี่ยวชาญสารพัดประโยชน์" ที่ทำได้ทั้งทรงพลังและอ่อนช้อยในคนๆ เดียวกัน

#รูปแบบการฝึกของ ​2 กีฬานี้จึงต่างกัน

ยิมนาสติก เน้น การฝึกแบบผสมผสาน (ทักษะ, ความแข็งแรง, พลัยโอเมตริก, ความยืดหยุ่น)

นักวิ่ง Sprinter เน้น การฝึกพลัยโอเมตริก, การฝึกวิ่งเร็ว, เวทเทรนนิ่งแบบหนัก

#สรุป SSC ของนักยิมนาสติก "ดีกว่า" หรือ "แย่กว่า" นักวิ่ง Sprinter?

คำตอบโดยตรงสำหรับคำถามนี้คือ #ไม่มีใครดีกว่าหรือแย่กว่าในเชิงสมบูรณ์ แต่เป็นสองรูปแบบของการปรับตัวมาเพื่อรูปแบบการเคลื่อนไหวที่ต่างกัน

SSC ของนักยิมนาสติกจะ "แย่กว่า" สำหรับการวิ่งเร็วระดับอีลิท เพราะระบบของพวกเขาไม่ได้ถูกปรับจูนมาเพื่อสร้างความเร็วในแนวราบสูงสุดเพียงอย่างเดียว พวกเขามีภาระหน้าที่อื่นที่ต้องตอบสนอง เช่น การทรงตัวและการแสดงท่าทาง

SSC ของนักวิ่งเร็วจะ "แย่กว่า" สำหรับการเล่นยิมนาสติกระดับอีลิท การขาดความยืดหยุ่นอย่างสุดขั้วจะทำให้ทักษะส่วนใหญ่เป็นไปไม่ได้ และระบบที่ Stiff ตึงมากของพวกเขาอาจเสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้ง่ายจากแรงกระแทกที่มากและหลากหลายของการลงพื้นในกีฬายิมนาสติก

นักวิ่งเร็ว: มี "สปริงที่แข็งถาวร" เหมาะกับงานเร็วโดยเฉพาะ
นักยิมนาสติก: มี "สปริงที่ปรับความแข็งได้" ใช้งานได้หลากหลาย เพราะฝึกมาต่างกัน

#นักยิมนาสติกจึงไม่ใช่ "นักวิ่งเร็วที่ตัวอ่อน"
#นักวิ่งจึงไม่ใช่ "นักยิมนาสติกกระโดดสูงเอ็นแข็งกล้ามแน่น"

ความมหัศจรรย์ของร่างกายมนุษย์

FixmeClinic
คลินิกเวชกรรมและกายภาพบำบัด
ใกล้ BTS Ari
092-429-6951
www.fixmeclinic.com

ที่อยู่

ห้อง 3A, ชั้น 3, ราชครู เมดิคอลเซนเตอร์, พหลโยธิน ซ. 5, ถ. พหลโยธิน, สามเสนใน, เขตพญาไท, กรุงเทพฯ
Bangkok
10400

เวลาทำการ

จันทร์ 10:00 - 20:00
อังคาร 10:00 - 20:00
พุธ 10:00 - 20:00
พฤหัสบดี 10:00 - 20:00
ศุกร์ 10:00 - 20:00
เสาร์ 10:00 - 20:00
อาทิตย์ 10:00 - 20:00

เบอร์โทรศัพท์

+66924296951

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Fixme คลินิกเวชกรรมและกายภาพบำบัดผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Fixme คลินิกเวชกรรมและกายภาพบำบัด:

แชร์

ประเภท