หวังถั่งเฉ้า : สมุนไพรต้านเบาหวาน ลดคลอเรสเตอรอล คุมความดัน ออร์แกนิค

  • Home
  • หวังถั่งเฉ้า : สมุนไพรต้านเบาหวาน ลดคลอเรสเตอรอล คุมความดัน ออร์แกนิค

หวังถั่งเฉ้า : สมุนไพรต้านเบาหวาน ลดคลอเรสเตอรอล คุมความดัน ออร์แกนิค NUTRIBRANDPLUS หวังถั่งเฉ้า สารสกัดนำเข้าชั้นเลิศ 22 ชนิด ดูแล ฟื้นฟูสุขภาพแบบร่างกายองค์รวม

หวังถั่งเฉ้า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ภายใต้ลิขสิทธฺ์ของ Nutribrandplus การันตีคุณภาพด้วยคุณค่าแห่งสารสกัดธรรมชาติบริสุทธิ์ 100% ที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถันจากแหล่งเพาะปลูกOrganicทั่วโลก สารสกัดวิทยาการล้ำหน้าระดับโนเบล ดูแลและฟื้นฟูสุขภาพล้ำลึกตั้งแต่ระดับเซลล์ ต่อต้านอนุมูลอิสระอันเป็นสาเหตุของโรคร้ายและริ้วรอยแห่งวัย เป็นเกราะป้องกันสุขภาพที่สมบูรณ์แบบที่สุด ให้คุณได้สัมผัสกับสุขภาพที่ดีไปตลอด และดูอ่อนเยาว์ลงอย่างเห็นได้ชัด
รูปร่างดี แข็งแรง อ่อนกว่าวัย ดูดีเหนือระดับไปพร้อมๆกับสุขภาพที่ดีเหมือนใหม่ พร้อมสัมผัสกับความอ่อนเยาว์ลง 10ปี ใน 28 วัน หวังถั่งเฉ้า คำตอบที่ "ใช่" สำหรับคุณทุกคน

โรคแทรกซ้อน ที่มากับเบาหวาน ผู้เป็นเบาหวานมานานหลายปีมักพบโรคแทรกซ้อนเรื้อรัง เช่น ปัญหาด้านสายตา ไตวาย โรคหัวใจ อัมพา...
28/06/2023

โรคแทรกซ้อน ที่มากับเบาหวาน

ผู้เป็นเบาหวานมานานหลายปีมักพบโรคแทรกซ้อนเรื้อรัง เช่น ปัญหาด้านสายตา ไตวาย โรคหัวใจ อัมพาต ขาชา แผลเน่า โดยเฉพาะบริเวณเท้า ความรุนแรงของโรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เป็นเบาหวาน

และระดับน้ำตาลในเลือด ยิ่งควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงระดับปกติมากก็จะช่วยชะลอ และลดความรุนแรงของโรคแทรกซ้อนเรื้อรังได้มากเท่านั้น ที่สำคัญคือโรคแทรกซ้อนเรื้อรังนี้อาจกลับคืนสู่สภาพปกติได้ ถ้าผู้เป็นเบาหวานได้รับการตรวจพบความเปลี่ยนแปลงที่เริ่มเกิดขึ้น และได้รับการรักษาแต่เริ่มแรก

โรคแทรกซ้อนเรื้อรังที่พบได้บ่อยในผู้เป็นเบาหวาน
โรคตา จอประสาทตาเสื่อม และต้อกระจกจากเบาหวาน เมื่อระดับน้ำตาลในร่างกายมีมากขึ้น ร่างกายจะขับน้ำตาลออกมาตามส่วนต่างๆ รวมถึงบริเวณเลนส์ตา

ส่งผลให้อาจจะเกิดโรคเกี่ยวกับดวงตาหลายชนิด เช่น ต้อกระจก ต้อหิน ประสาทตาเสื่อม และอาจส่งผลให้จอรับภาพเกิดการฉีกขาดหรือแตก ทำให้มีโอกาสตาบอดได้

ดังนั้น ถ้าผู้เป็นเบาหวานเริ่มมีอาการปวดตา เห็นภาพซ้อน ตาพร่ามัว มองเห็นแสงไฟ หรือใยแมงมุมอยู่ในอากาศ ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์ แต่ถ้าเป็นไปได้เมื่อทราบแล้วว่ากำลังเป็นเบาหวาน ต้องรับการตรวจดวงตาเป็นประจำทุกปี เพื่อช่วยป้องกันดวงตาจากอาการแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน

โรคไตเสื่อม ไตวาย จากเบาหวาน ไต อวัยวะซึ่งทำหน้าที่กรองสารต่างๆ ที่อยู่ในกระแสเลือด มีหลอดเลือดขนาดเล็กจำนวนมากบริเวณไต เมื่อผนังหลอดเลือดถูกทำลายโดยน้ำตาลในเลือดที่สูงอยู่เป็นเวลานาน การทำหน้าที่กรองของไตจะเริ่มเสื่อมลง

ทำให้โปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะผู้เป็นเบาหวานมานานกว่า10 ปี มักเกิดปัญหาไตเสื่อม แต่ความรุนแรงและระยะการเกิดจะมาก หรือน้อย ขึ้นกับการควบคุมน้ำตาลในเลือด เมื่อตรวจพบว่าเป็นเบาหวานควรพยายามรักษาระดับน้ำตาลในกระแสเลือดให้เป็นปกติ รวมทั้งผู้สูบบุหรี่ควรเลิกสูบบุหรี่ หันมาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และควรตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคไต ที่มีสาเหตุมาจากโรคเบาหวานได้

โรคความดันโลหิตสูง พบค่อนข้างมากในจำนวนผู้เป็นเบาหวาน และเมื่อเริ่มเป็นโรคความดันโลหิตสูงก็มักจะมีโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาด้วย เช่น โรคหัวใจ โรคไต โรคตา และโรคทางสมอง ผู้เป็นเบาหวานควรควบคุมระดับความดันเลือดให้เป็นปกติ

โดยการพบแพทย์เพื่อตรวจวัดระดับความดันของเลือด ถ้าเป็นคนอ้วนก็ต้องควบคุมน้ำหนัก หรือลดน้ำหนัก ก็จะช่วยลดความดันโลหิตสูงได้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ งดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ และเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ก็จะช่วยควบคุมความดันโลหิตสูงให้เป็นปกติได้เช่นเดียวกัน

โรคผิวหนัง เกิดจากร่างกายขาดน้ำ ทำให้ผิวหนังแห้งและเกิดการติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะเชื้อรา ทำให้เกิดอาการคันและเกิดเป็นแผลตามผิวหนัง ทั้งนี้แผลที่เกิดขึ้นมักจะหายยากและเกิดการอักเสบ ผู้เป็นเบาหวานจึงควรหมั่นดูแลรักษาผิวให้สะอาดอยู่เสมอ ทาครีม หรือโลชั่นบำรุงผิว คอยสำรวจร่างกายอยู่เสมอว่ามีตุ่ม หรือแผลที่บริเวณใดบ้าง ถ้าเกิดมีฝีหรือแผล ควรรีบรักษาตั้งแต่เริ่มต้น

โรคหลอดเลือดหัวใจ นับเป็นโรคแทรกซ้อนที่คุกคามต่อชีวิตได้ ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก จากหลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จนกระทั่งกล้ามเนื้อหัวใจตายในที่สุด ปัจจัยส่งเสริมให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ได้แก่ ควบคุมเบาหวานไม่ดี ความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง ไม่ออกกำลังกาย อ้วน สูบบุหรี่ มีประวัติในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ และผู้ที่มีความเครียดเป็นประจำ ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยดังกล่าวข้างต้น และตรวจร่างกายเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจได้มาก

โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน เป็นโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากหลอดเลือดที่มาเลี้ยงบริเวณสมองตีบ ตัน ทำให้เกิดการพิการ หรือรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โอกาสเกิดหลอดเลือดสมองตีบ ตัน จะสูงมาก

ขึ้น ในผู้เป็นเบาหวานที่มีความดันโลหิตสูงร่วมด้วย ทำให้อวัยวะที่สมองส่วนนั้นควบคุมอยู่อ่อนแรงลงไป เกิดอัมพฤกษ์ หรืออัมพาต ซึ่งเมื่อได้รับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือด ผ่านพ้นภาวะอันตรายแล้ว การทำกายภาพบำบัด จะช่วยฟื้นฟูสภาพการทำงานของขาที่อ่อนแรงนั้นได้ดียิ่งขึ้น

ปลายประสาทเสื่อม จากเบาหวานลักษณะของโรคนี้ไม่ทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ทำให้รู้สึกรำคาญ และทุกข์ทรมาน เกิดจากเส้นเลือดฝอยที่มาเลี้ยงเส้นประสาทถูกทำลาย ไม่สามารถส่งออกซิเจนมาตามกระแสเลือดเพื่อไปเลี้ยงเส้นประสาทได้

รวมถึงการมีน้ำตาลสะสมรวมตัวกันอยู่บริเวณเส้นประสาทเองด้วย จึงทำให้การทำงานของเส้นประสาทเสื่อมลง ความรู้สึกในการรับรู้ต่างๆ ลดลง โดยเฉพาะบริเวณปลายมือ ปลายเท้า จะเกิดอาการชา เมื่อกระทบถูกความร้อน หรือเจ็บปวดจะไม่ค่อยรู้สึก

จึงเป็นอันตรายกับผู้เป็นเบาหวาน เพราะอาจทำให้เกิดแผลได้ง่ายโดยไม่รู้สึกตัว เมื่อเป็นมากอาจทำให้กล้ามเนื้อลีบ เล็กลง ทำกิจวัตรประจำวันได้น้อยลง นอกจากนี้

ยังส่งผลต่อเส้นประสาทที่มาเลี้ยงบริเวณระบบทางเดินอาหารด้วย จึงทำให้เกิดอาการท้องผูกโดยไม่ทราบสาเหตุ สำหรับผู้ชายที่เป็นเบาหวานมานานมักพบปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศร่วมด้วย การรักษาอาการปลายประสาทเสื่อมจากเบาหวาน ทำได้เพียงบำบัดตามอาการเท่านั้น ไม่สามารถรักษาให้คืนกลับสู่สภาพเดิมได้ แต่การควบคุมน้ำตาลในเลือดจะช่วยลดความรุนแรงได้

โรคในช่องปาก โรคในช่องปากมักมีสาเหตุจากร่างกายขาดน้ำ ทำให้ผลิตน้ำลายได้น้อย ปากแห้ง มีผลทำให้เกิดการติดเชื้อในช่องปาก มีอาการเหงือกอักเสบ เกิดหินปูน ฟันผุ สำหรับวิธีการป้องกัน คือผู้ป่วยควรดื่มน้ำให้มากขึ้น และควรรักษาความสะอาดบริเวณช่องปากอย่างสม่ำเสมอ แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และพบทันตแพทย์ทุกๆ 6 เดือน เพื่อตรวจรักษาช่องปาก และฟัน

ทั้งหมดนี้ เป็นโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากการเป็นเบาหวาน ส่งผลต่อการทำงาน และการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน สูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น และบางครั้งโรคแทรกซ้อนนั้นอาจอันตรายถึงแก่ชีวิต

หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที หากมีความรู้ในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันและลดความรุนแรงของโรคดังกล่าว จะช่วยให้ผู้เป็นเบาหวานมีสุขภาพ และคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงลดค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปกับการรักษาโรคแทรกซ้อน

สารสกัดระดับโลกเกรดที่ดีที่สุดนำเข้า 24 ชนิด
(มากที่สุดถึง 1,000 mg MAX )

#หวังถั่งเฉ้า
#วิถีธรรมชาติบำบัดนวัตกรรมล่าสุด 2023
#เหมาะสำหรับ
#เบาหวาน #ความดันโลหิตสูง #ไขมันในเลือดสูง
#ชามือ #ชาเท้า #น้ำตาลในเลือดสูง
#เบาหวานขึ้นตา #เบาหวานลงไต
#ตามัว #ปัสสาวะบ่อย #นอนไม่หลับ
#ภูมิแพ้ #ไซนัส #หอบหืด
#วิจัยและพัฒนาจากแลปยุโรป มาตราฐานระดับสากล
#ลูกค้าเก่าบอกต่อ สั่งซ้ำ ต่อเนื่อง
#การันตรีจากประสบการณ์ตรงจากลูกค้ามากกว่า > > > 8 ปีเต็ม

#ปรึกษาปัญหาสุขภาพผู้เชี่ยวชาญฟรี
: (อย่าลืมใส่ @นะคะ)
http://line.me/ti/p/%40nutri88
: 063-542-4556
#ให้คำปรึกษาโดยทีมผู้เชี่ยวชาญประสบการณ์ตรง

ข้อควรระวังในการใช้  #อินซูลินอินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่ตับอ่อนสร้างขึ้น และมีหน้าที่สำคัญคือนำน้ำตาลในเลือดไปยังเนื้อเยื...
08/06/2023

ข้อควรระวังในการใช้ #อินซูลิน
อินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่ตับอ่อนสร้างขึ้น และมีหน้าที่สำคัญคือนำน้ำตาลในเลือดไปยังเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกายเพื่อสร้างเป็นพลังงาน แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้เป็นพลังงานได้เต็มที่ เนื่องจากขาดฮอร์โมนอินซูลินมีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น

ข้อควรระวังของการใช้อินซูลินคือ
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ อาจเป็นผลมาจากการให้อินซูลินมากเกินไป ออกกำลังกายหรือทำงานมากกว่าปกติ รับประทานอาหารน้อยเกินไป ผิดเวลา หรือช่วงระหว่างมื้อนานเกินไป ดังนั้นก่อนที่จะฉีดอินซูลินควรเตรียมอาหารไว้ให้พร้อมก่อน ควรรับประทานอาหารหลังจากฉีดยาไปแล้วไม่เกิน 30 นาทีอาการที่เกิดมีได้หลายอย่าง เช่น ปวดหัว เหงื่อออก ตัวเย็น ใจสั่น กระสับกระส่าย หงุดหงิด หากมีอาการเหล่านี้ให้อมลูกอม ดื่มน้ำผลไม้ หรือทานของที่มีน้ำตาลผสม (ห้ามใช้น้ำตาลเทียม)

ควรฉีดอินซูลินบริเวณเดิมทุกวัน เพียงแต่ย้ายจุดฉีด โดยฉีดห่างจากจุดเดิมประมาณ 1 นิ้ว เพื่อป้องกันการเกิดก้อนเนื้อแข็งใต้ผิวหนัง บริเวณที่สามารถฉีดอินซูลินได้คือ บริเวณหน้าท้อง ต้นแขน หน้าขา และสะโพก ซึ่งตำแหน่งที่อินซูลินดูดซึมได้ดีที่สุดคือ บริเวณหน้าท้อง รองลงมาคือหน้าขา และต้นแขน ตามลำดับ
หากมีเลือดออกบริเวณที่ฉีดไม่ควรถูหรือคลึง ให้ใช้นิ้วหรือสำลีชุบแอลกอฮอล์กดลงบนจุดที่ฉีดก็พอ เพราะจะทำให้การดูดซึมของยาเร็วขึ้น

ควรเก็บรักษาอินซูลินไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดา (อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส) โดยไม่ควรวางไว้บริเวณฝาตู้เย็น เพราะมีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิค่อนข้างมาก อาจทำให้ยาเสื่อมคุณภาพได้ และก่อนฉีดควรรอให้อุณหภูมิของอินซูลินเท่ากับอุณหภูมิห้องก่อน

หากอินซูลินที่ใช้เป็นลักษณะขุ่น ให้คลึงขวดยาบนฝ่ามือทั้งสองข้างเบาๆ เพื่อให้ยาผสมกันทั่วทั้งขวด ห้ามเขย่าขวดแรง เพราะจะทำให้เกิดฟองอากาศ และขณะที่ดูดยานั้นควรระวังอย่าให้เกิดฟองอากาศ เพราะอาจทำให้มีผลต่อขนาดยาที่ได้รับด้วย

สารสกัดระดับโลกเกรดที่ดีที่สุดนำเข้า 24 ชนิด
(มากที่สุดถึง 1,000 mg MAX )

#หวังถั่งเฉ้า
#วิถีธรรมชาติบำบัดนวัตกรรมล่าสุด 2023
#เหมาะสำหรับ
#เบาหวาน #ความดันโลหิตสูง #ไขมันในเลือดสูง
#ชามือ #ชาเท้า #น้ำตาลในเลือดสูง
#เบาหวานขึ้นตา #เบาหวานลงไต
#ตามัว #ปัสสาวะบ่อย #นอนไม่หลับ
#ภูมิแพ้ #ไซนัส #หอบหืด
#วิจัยและพัฒนาจากแลปยุโรป มาตราฐานระดับสากล
#ลูกค้าเก่าบอกต่อ สั่งซ้ำ ต่อเนื่อง
#การันตรีจากประสบการณ์ตรงจากลูกค้ามากกว่า > > > 8 ปีเต็ม

#ปรึกษาปัญหาสุขภาพผู้เชี่ยวชาญฟรี
: (อย่าลืมใส่ @นะคะ)
http://line.me/ti/p/%40nutri88
: 063-542-4556
#ให้คำปรึกษาโดยทีมผู้เชี่ยวชาญประสบการณ์ตรง

 #ปวดหัวบ่อยๆ เป็น “ #ความดันโลหิตสูง” หรือไม่?ปวดศีรษะไมเกรนคืออะไร #ปวดศีรษะไมเกรน (   ) เป็นการปวดศีรษะที่รบกวนชีวิ...
07/06/2023

 #ปวดหัวบ่อยๆ เป็น “ #ความดันโลหิตสูง” หรือไม่?
ปวดศีรษะไมเกรนคืออะไร

#ปวดศีรษะไมเกรน ( ) เป็นการปวดศีรษะที่รบกวนชีวิตประจำวัน โดยมีลักษณะการปวดแบบตุบๆ เป็นจังหวะ มักจะเกิดข้างเดียวของศีรษะ แต่ก็สามารถเป็นทั้งสองข้างได้ โดยอาการปวดในช่วงแรกมักมีความรุนแรงเพียงเล็กน้อย และจะค่อยๆ เพิ่มความรุนแรงขึ้น ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนแรง และไวต่อแสง เสียง หรือกลิ่นมากขึ้น

สาเหตุของการปวดศีรษะไมเกรนคืออะไร
ปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดว่าการปวดศีรษะไมเกรนเกิดจากอะไร แต่ปัจจัยที่สามารถกระตุ้นให้เกิดการปวดศีรษะไมเกรนมีหลายประการ ได้แก่

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในผู้หญิง

ความเครียด

สภาพแวดล้อม เช่น แสงจ้าหรือแสงแฟลช เสียงดัง กลิ่นที่รุนแรง หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศแบบฉับพลัน

การใช้ยาบางชนิด

การนอนหลับไม่เพียงพอ หรือมากเกินไป

ออกกำลังกายอย่างหักโหม หรือทำกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายมากเกินไป

การสูบบุหรี่

อาการถอนคาเฟอีน

การอดอาหาร หรือการรับประทานอาหารไม่เพียงพอ


เราสามารถจัดการกับการปวดศีรษะไมเกรนได้อย่างไร
ปัจจุบันการปวดศีรษะไมเกรนยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ การรักษาจึงเน้นไปที่การบรรเทาอาการและป้องกันการปวดศีรษะไมเกรน


การใช้ยาบรรเทาอาการปวดศีรษะไมเกรน
การรับประทานยาทันทีเมื่อมีอาการปวดศีรษะไมเกรน จะช่วยให้ผลของยาในการบรรเทาอาการปวดมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น


ยาบรรเทาปวด สำหรับการปวดแบบไม่รุนแรง

ยาสามัญประจำบ้าน ได้แก่ Paracetamol

ยาลดการอักเสบที่ไม่ไช่สเตียรอด์ (NSAIDs) ได้แก่ Ibuprofen, Naproxen, Celecoxib, Etoricoxib

ยาบรรเทาปวด สำหรับการปวดที่รุนแรงมากขึ้น (จำเพาะเจาะจงกับการปวดศีรษะไมเกรน)

ยากลุ่ม Triptans ได้แก่ Sumatriptan, Eletriptan

ยาที่มีส่วนผสมของ Ergotamine ได้แก่ Ergotamine + Caffeine

ยาบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน

ได้แก่ Metoclopramide, Domperidone

การใช้ยาป้องกันอาการปวดศีรษะไมเกรน
ยาที่สามารถใช้ป้องกันอาการปวดศีรษะไมเกรน ได้แก่


กลุ่มยาลดความดัน

Propranolol, Metoprolol tartrate, Verapamil

กลุ่มยาต้านอาการซึมเศร้า

Amitriptyline

กลุ่มยากันชัก

Valproate, Topiramate

กลุ่มยา Calcitonin gene-related peptide (CGRP) monoclonal antibodies

Erenumab เป็นยากลุ่มใหม่ที่ใช้ป้องกันอาการปวดศีรษะไมเกรนทั้งแบบที่มีอาการนำ (aura) หรือไม่มีอาการนำ สามารถลดจำนวนวันที่ปวดศีรษะไมเกรนลงจากเดิมได้อย่างมีนัยสำคัญ สามารถบริหารยาเองได้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง เดือนละ 1 ครั้ง

วิธีอื่นๆ ที่สามารถช่วยบรรเทาอาการและป้องกันการปวดศีรษะไมเกรน
ทำกิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย
หลีกเลี่ยงปัจจัยที่สามารถกระตุ้นให้เกิดการปวดศีรษะไมเกรน
นอนพักในที่มืดและเงียบสงบ
ประคบเย็นบริเวณศีรษะ
ปรับพฤติกรรมการนอน และการรับประทานอาหาร
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

อาการปวดศีรษะไมเกรนสามารถบรรเทาและป้องกันได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยา อย่างไรก็ดี การเริ่มรับประทานยาบรรเทาปวดทันทีหลังจากที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรน จะช่วยให้ผลของยาในการบรรเทาอาการปวดมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการใช้ยานั้นควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และเภสัชกร เนื่องจากปัจจัยที่แตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย เช่น อายุ โรคประจำตัว และความรุนแรงของโรค จะส่งผลต่อการเลือกใช้ยาและขนาดยาที่ควรได้รับนั่นเอง

สารสกัดระดับโลกเกรดที่ดีที่สุดนำเข้า 24 ชนิด
(มากที่สุดถึง 1,000 mg MAX )

#หวังถั่งเฉ้า
#วิถีธรรมชาติบำบัดนวัตกรรมล่าสุด 2023
#เหมาะสำหรับ
#เบาหวาน #ความดันโลหิตสูง #ไขมันในเลือดสูง
#ชามือ #ชาเท้า #น้ำตาลในเลือดสูง
#เบาหวานขึ้นตา #เบาหวานลงไต
#ตามัว #ปัสสาวะบ่อย #นอนไม่หลับ
#ภูมิแพ้ #ไซนัส #หอบหืด
#วิจัยและพัฒนาจากแลปยุโรป มาตราฐานระดับสากล
#ลูกค้าเก่าบอกต่อ สั่งซ้ำ ต่อเนื่อง
#การันตรีจากประสบการณ์ตรงจากลูกค้ามากกว่า > > > 8 ปีเต็ม

#ปรึกษาปัญหาสุขภาพผู้เชี่ยวชาญฟรี
: (อย่าลืมใส่ @นะคะ)
http://line.me/ti/p/%40nutri88
: 063-542-4556
#ให้คำปรึกษาโดยทีมผู้เชี่ยวชาญประสบการณ์ตรง

🎖รู้ลึก รู้จริง “ #อินซูลิน”🌟พูดถึงอินซูลิน หากผู้ป่วยเบาหวานขาดล่ะก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต อย่าทำเล่นไป เรามีความรู้มาฝ...
16/01/2022

🎖รู้ลึก รู้จริง “ #อินซูลิน”
🌟พูดถึงอินซูลิน หากผู้ป่วยเบาหวานขาดล่ะก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต อย่าทำเล่นไป เรามีความรู้มาฝากค่ะ

#รู้จักอินซูลิน

อินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่ตับอ่อนสร้างขึ้น และมีหน้าที่ที่สำคัญคือ นำน้ำตาลในเลือดไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกายเพื่อสร้างเป็นพลังงาน แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้เป็นพลังงานได้เต็มที่ เนื่องจากขาดฮอร์โมนอินซูลิน มีผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการปวดปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย เช่น โรคติดเชื้อเป็นแผลหายยาก โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตและตา เป็นต้น

🌟เมื่อไรถึงต้องใช้อินซูลิน

• ผู้ป่วยเบาหวานที่ตับอ่อนสร้างอินซูลินไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
• ผู้ป่วยเบาหวานที่มีโรคแทรกซ้อนทางตับ ไต และรักษาโดยยาชนิดรับประทานไม่ได้ผล

🌟ชนิดของอินซูลิน

แหล่งที่มาของอินซูลิน มี 2 แหล่ง คือ ได้มาจากการสกัดจากตับอ่อนของหมูและวัว ส่วนอีกแหล่งได้มาจากการสังเคราะห์โดยวิธีพันธุวิศวกรรม ทำให้ได้อินซูลินที่เหมือนกับอินซูลินของมนุษย์ ซึ่งมีโอกาสเกิดการแพ้น้อยกว่าแบบแรก และนิยมใช้กันในปัจจุบัน

#อินซูลิน แบ่งออกเป็นหลายชนิด ตามระยะเวลาที่ออกฤทธิ์

1. ชนิดออกฤทธิ์เร็วมาก ลักษณะใส ไม่มีสี ออกฤทธิ์ในเวลา 10-15 นาที ออกฤทธิ์สูงสุดที่ 1-3 ชม. และมีฤทธิ์นานประมาณ 3-5 ชม. ใช้ฉีดเมื่อต้องการลดระดับน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหารมื้อนั้น ๆ

2. ชนิดออกฤทธิ์เร็วและสั้น ลักษณะใส ไม่มีสี ออกฤทธิ์ในเวลา 30-60 นาที ออกฤทธิ์สูงสุดที่ 2-4 ชม. และมีฤทธิ์นานประมาณ 5-7 ชม. ส่วนใหญ่ใช้ฉีดก่อนอาหารครึ่งชม. เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลหลังอาหารหรือเพื่อลดน้ำตาลในเลือดให้ลงอย่างรวดเร็วกรณีที่มีน้ำตาลในเลือดสูงมาก

3. ชนิดออกฤทธิ์ปานกลาง ลักษณะเป็นสารละลายขุ่น ต้องเขย่าขวดเบาๆให้เป็นเนื้อเดียวกันก่อนใช้ทุกครั้ง ออกฤทธิ์ในเวลา 2-4 ชม. ออกฤทธิ์สูงสุดที่ 6-12 ชม. และมีฤทธิ์นานประมาณ 18-24 ชม. ใช้เป็นอินซูลินหลักในการรักษาโรคเบาหวาน

4. ชนิดออกฤทธิ์ยาว ลักษณะใส ไม่มีสี ออกฤทธิ์ในเวลา 2 ชม. ไม่มีฤทธิ์สูงสุด และมีฤทธิ์นาน 24 ชม. ใช้สำหรับฉีดเพื่อให้ระดับอินซูลินในเลือดสูงขึ้นในปริมาณหนึ่งตลอดทั้งวัน และป้องกันไม่ให้เกิดน้ำตาลในเลือดต่ำได้

นอกจากนี้ยังมี อินซูลินชนิดผสม ซึ่งนำเอาอินซูลินชนิดออกฤทธิ์เร็วมาผสมกับชนิดออกฤทธิ์ปานกลางในอัตราส่วนต่าง ๆ สะดวกสำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้อินซูลินทั้งสองแบบ ลักษณะเป็นสารละลายขุ่น ต้องเขย่าเบา ๆ ก่อนใช้ทุกครั้ง

🎖ทำไมต้องใช้อินซูลินโดยวิธีฉีด

หากผู้ป่วยได้รับอินซูลินโดยการรับประทาน ตัวยาจะถูกทำลายโดยน้ำย่อยในระบบทางเดินอาหาร จึงต้องใช้วิธีฉีดเข้าร่างกายโดยตรง

วิธีฉีด ปกติจะฉีดใต้ผิวหนัง แต่ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำจากแพทย์อย่างเคร่งครัด

🌟การเตรียมยาในกรณีที่ใช้อินซูลินแบบขวด

ตรวจดูลักษณะยา ถ้าเป็นชนิดน้ำใส ต้องไม่หนืด ไม่มีสี ถ้าเป็นชนิดน้ำขุ่นแขวนตะกอน ให้คลึงขวดยาบนฝ่ามือทั้งสองข้างเบา ๆ เพื่อให้ยาผสมกันทั่วทั้งขวด ห้ามเขย่าขวดอย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดฟองและทำให้ได้ปริมาณยาไม่ครบตามจำนวน

ถ้าผู้ป่วยใช้อินซูลิน น้ำขุ่นและน้ำใสในเวลาเดียวกัน ให้ดูดยาชนิดน้ำใสก่อนเสมอ เพราะหากดูดน้ำขุ่นก่อนน้ำใส ยาที่เป็นน้ำขุ่นอาจเข้าไปผสม ทำให้อินซูลินน้ำใสมีลักษณะเปลี่ยนไป เมื่อดูดยาสองชนิดผสมในเข็มเดียวกันควรฉีดทันทีหรือภายใน 15 นาที เพราะหากทิ้งไว้นานจะทำให้การออกฤทธิ์ของยาเปลี่ยนไป

#ฉีดอินซูลินบริเวณไหนได้บ้าง

ฉีดได้ทั้งบริเวณ หน้าท้อง หน้าขาทั้ง 2 ข้าง สะโพก ต้นแขนทั้ง 2 ข้าง และต้องใช้แอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดบริเวณฉีด ที่สำคัญ ห้ามฉีดซ้ำที่เดิมมากกว่า 1 ครั้ง ใน 1 - 2 เดือน เนื่องจาก อาจทำให้บริเวณที่ฉีดเกิดเป็นก้อนไตแข็ง เมื่อดึงเข็มออกให้ใช้สำลีกดเบา ๆ ห้ามนวดตรงที่ฉีด เพราะทำให้ยาดูดซึมเร็วเกินไป จนอาจเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำได้ และในการฉีดครั้งต่อไปควรฉีดห่างจากจุดเดิม 1 นิ้ว
🌟นอกจากการใช้หลอดฉีดยาธรรมดา ยังมีการฉีดอินซูลินอีก 2 แบบ คือ

1. ปากกาฉีดอินซูลิน ลักษณะคล้ายกับปากกาหมึกซึมขนาดใหญ่ โดยมีอินซูลินบรรจุในหลอดแก้วขนาดเล็กใส่เข้ากับตัวปากกาพอดี ซึ่งปัจจุบันนี้นิยมใช้กันมาก เนื่องจากสะดวกในการพกพาและการใช้สอย ทำได้โดยการหมุนเกลียวไปตามตัวเลขที่ต้องการก็จะได้ปริมาณอินซูลินตามนั้น ไม่ต้องใช้วิธีดูดยาออกจากขวด แต่มีราคาค่อนข้างสูง

2. อินซูลินปัมพ์ เป็นเครื่องมือที่จะติดอยู่กับตัวผู้ป่วยตลอดเวลาโดยมีเข็มแทงเข้าใต้ผิวหนังซึ่งต่อกับตัวเครื่องซึ่งควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะตั้งโปรแกรมให้ฉีดอินซูลินขนาดต่ำ ๆ เข้าสู่ร่างกายตลอดเวลา และฉีดอินซูลินปริมาณเพิ่มขึ้นก่อนอาหาร เป็นการเลียนแบบคนปกติ

🌟อาการข้างเคียงและข้อควรปฏิบัติ

1. ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เป็นผลจากการให้อินซูลินมากเกินไป รับประทานอาหารน้อยเกินไป ผิดเวลา หรือช่วงระหว่างมื้อนานเกินไป ออกกำลังกายหรือทำงานมากกว่าปกติ อาการที่เกิดมีได้หลายอย่าง เช่นปวดหัว เหงื่อออก ตัวเย็น ใจสั่น กระสับกระส่าย อ่อนเพลีย ชาในปากหรือริมฝีปาก เดินเซ หงุดหงิด มองภาพไม่ชัด ถ้ามีอาการเหล่านี้ให้ดื่มน้ำผลไม้ หรือรับประทานของที่มีน้ำตาลผสม (ห้ามใช้น้ำตาลเทียม) และพบแพทย์ทันที
2. ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เป็นผลจากการได้รับอินซูลินไม่เพียงพอ หรือรับประทานมากเกินไป จะปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ หิว ปวดหัว อ่อนเพลีย คลื่นไส้ มึนงง ถ้าเป็นลมให้นำส่งโรงพยาบาลทันที

🌟ข้อควรระวังในการใช้

ก่อนใช้อินซูลินควรแจ้งแพทย์ หากเคยมีประวัติแพ้อินซูลิน กำลังตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร รวมทั้งผู้เป็นโรคต่อมไทรอยด์ โรคตับ โรคไต และโรคติดเชื้อ รวมทั้งผู้ที่กำลังใช้ยาอื่นอยู่ ต้องแจ้งแพทย์และเภสัชกรให้ทราบทุกครั้ง

ผู้ป่วยควรฉีดยาให้ตรงตามขนาดและเวลาที่แพทย์สั่ง ไม่ควรปรับขนาดยาเองหรือเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่าหากลืมฉีดยา หากมีปัญหาในการใช้ยาให้กลับมาปรึกษาแพทย์ และควรมาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้งเพื่อติดตามผลการรักษา และทุกครั้งที่มาตรวจควรดูว่าอินซูลินที่ใช้เป็นแบบเดิมหรือไม่ มีการเปลี่ยนเวลาหรือขนาดในการฉีดหรือไม่ เพราะบางครั้งแพทย์อาจมีการปรับเปลี่ยนตัวยา ขนาดยา หรือเวลาในการฉีด หากไม่แน่ใจควรสอบถามกับแพทย์อีกครั้ง

🌟เคล็ดลับเก็บรักษา

อินซูลินที่ยังไม่ได้เปิดใช้ หากเก็บที่อุณหภูมิ 2 – 8 องศาเซลเซียส เก็บได้นานเท่ากับอายุยาข้างขวดแต่สามารถเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง (ประมาณ 25 องศาเซลเซียส) ได้นานประมาณ 30 วัน อินซูลินที่เก็บในอุณหภูมิสูง เช่น กลางแดดจัด หรือที่อุณหภูมิต่ำมากๆ เช่น ในช่องแช่แข็งของตู้เย็น ไม่ควรใช้เป็นอย่างยิ่งเนื่องจากยาเสื่อมคุณภาพ และไม่แนะนำเก็บที่ฝาตู้เย็น เนื่องจาก อาจทำให้อุณหภูมิไม่ค่อยคงที่ จากการปิด-เปิดตู้เย็น

- อินซูลินที่เปิดใช้แล้ว และเก็บอยู่ในปากกาฉีดอินซูลิน สามารถเก็บที่อุณหภูมิห้อง(25 องศาเซลเซียส) ได้นานประมาณ 30 วัน

- อินซูลินแบบขวดที่เปิดใช้แล้วและเก็บในตู้เย็น (2-8 องศาเซลเซียส) จะเก็บได้นานประมาณ 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่เปิดขวด ถ้าเก็บที่อุณหภูมิห้อง (25 องศาเซลเซียส) ได้นานประมาณ 30 วัน

#ห่างไกลเบาหวาน

ผู้ป่วยเบาหวาน นอกจากรับอินซูลินตามแพทย์สั่งแล้ว ยังต้องระวังการติดเชื้อง่าย ด้วยการรักษาอนามัยส่วนตัวให้สะอาด โดยเฉพาะฟันและเท้า รวมทั้งบาดแผล รอยข่วน หรือแผลเปื่อยยิ่งต้องระมัดระวังความสะอาดเป็นพิเศษ รวมทั้งหมั่นออกกำลังกาย ควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด อย่าลืมทำจิตใจให้สบาย และสุดท้ายควรมีบัตรประจำตัวระบุชื่อนามสกุล ชื่อแพทย์ประจำตัว เบอร์โทรศัพท์ ชื่อชนิดและขนาดของอินซูลินที่ใช้พกติดตัวเสมอ เผื่อยามฉุกเฉินคนรอบข้างจะได้ช่วยเหลือทัน

#สุขภาพดี คุณกำหนดได้ เริ่มกันวันนี้เลยนะคะ
Cr.คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
#เบาหวาน #ความดันโลหิตสูง #ไขมันในเลือดสูง #ชามือ #ชาเท้า #น้ำตาลในเลือดสูง
#เบาหวานขึ้นตา #เบาหวานลงไต
#ตามัว #ปัสสาวะบ่อย #นอนไม่หลับ #ภูมิแพ้ #ไซนัส #หอบหืด
#หัวใจ #เก๊า #รูมาตอย #ต่อมลูกหมากโต
#วิจัยและพัฒนาจากแลปยุโรป มาตราฐานระดับสากล
#ลูกค้าเก่าบอกต่อ สั่งซ้ำ ต่อเนื่อง การันตรีจากประสบการณ์ตรงจากลูกค้ามากกว่า > > > 8 ปีเต็ม
#ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับคุณ " ห ม อ " ฟรี !
: (อย่าลืมใส่ @นะคะ)
http://line.me/ti/p/%40nutri88
: 063-542-4556
#ให้คำปรึกษาโดยทีมแพทย์และเภสัชกรโดยตรง แก้ได้ที่สาเหตุ
#ลูกค้าท่านใดอ่านถึงตรงนี้
หากความรู้นี้เป็นประโยชน์กับตัวท่านฝากช่วยกด " แชร์ " กันด้วยนะคะ
ขอให้ลูกค้าทุกท่านจงมีแต่สุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง สมบูรณ์ ปราศจากโรคร้ายทั้งมวลตลอดไปด้วยค่ะ #เบาหวานขึ้นตา #เบาหวาน #เบาหวานทานได้ #เบาหวานน้ำตาลลด #เบาหวานความดัน #เบาหวานหายได้ #เบาหวานลงไต #เบาหวานความดันทานได้ #เบาหวานหายได้

10 สัญญาณอันตราย โรค " #เบาหวาน" #โรคเบาหวาน เป็นโรคที่ใครๆ ก็รู้จัก และส่วนมากจะเข้ากันเป็นที่เรียบร้อยว่าสาเหตุมาจากพฤ...
25/11/2021

10 สัญญาณอันตราย โรค " #เบาหวาน"
#โรคเบาหวาน เป็นโรคที่ใครๆ ก็รู้จัก และส่วนมากจะเข้ากันเป็นที่เรียบร้อยว่าสาเหตุมาจากพฤติกรรมการกินอาหารที่มีรสหวาน หรือรสจัดมากเกินไป รวมไปถึงแป้งต่างๆ และมีความเสี่ยงมากยิ่งขึ้นหากครอบครัวมีประวัติเคยเป็นโรคเบาหวานมาก่อน

แต่สิ่งที่อีกหลายๆ คนไม่ทราบ คือ สัญญาณอันตรายที่จะเตือนภัยกับเราว่า เรากำลังจะเป็น โรคเบาหวาน แล้ว อาการเป็นอย่างไร มีวิธีสังเกตได้อย่างไร ทางเรามีข้อมูลมาฝากค่ะ

เริ่มทำความรู้จัก โรคเบาหวาน
โรคเบาหวาน เป็นภาวะที่ในกระแสเลือดมีระดับ #น้ำตาลสูงกว่าปกติ อันเนื่องมาจากการ ขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือประสิทธิภาพในการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินลดลง เป็นเหตุให้น้ำระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งหากปล่อยไว้เป็นเวลานานก็จะทำให้ร่างกายเกิดภาวะโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ ได้ง่าย อาทิ ตา ไต รวมไปถึงระบบประสาท ส่วนใหญ่อาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้น ร่างกายจะทำปฏิกิริยาเปลี่ยนอาหารให้เป็นน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดเพื่อใช้เป็นพลังงาน การเจาะเลือดเซลล์ในตับอ่อนที่มีชื่อว่า เบต้าเซลล์ จะเป็นตัวสร้างอินซูลิน โดยที่อินซูลินจะเป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เซลล์เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงาน

ความสำคัญของ อินซูลิน ต่อร่างกาย
อย่างที่บอกไปในตอนแรกที่เริ่มทำความรู้จักกับ โรคเบาหวาน ว่า อินซูลิน นั้นเป็นฮอร์โมนตัวหนึ่งที่สำคัญภายในร่างกาย สร้างและหลั่งออกมาจากเบต้าเซลล์ของตับอ่อน มีหน้าที่พาน้ำตากลูโคสเข้าสู่เนื้อเยื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย เพื่อเผาผลาญและเป็นพลังงานที่สำคัญต่อการดำเนินชีวิต หากร่างกายขาดอินซูลิน หรืออินซูลินนั้นออกฤทธิ์ได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ร่างกายก็จะใช้การไม่ได้ เป็นเหตุให้ระดับน้ำตาลในเลือดมีเพิ่มสูงขึ้นจนเกิดเป็นโรคเบาหวาน ซึ่งนอกจากจะมีความผิดปกติในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตแล้ว ก็ยังมีความผิดปกติในด้านอื่นๆ ด้วย เช่น มีการสลายตัวของสารไขมันและโปรตีนร่วม

โรคเบาหวานเกิดขึ้นได้อย่างไร
โดยปกติแล้ว การเกิดโรคเบาหวานนั้นจะมีความสัมพันธ์กับฮอร์โมนที่ถูกสร้างมาจากตับ คือ ฮอร์โมนอินซูลิน โดยที่ฮอร์โมนตัวนี้จะเป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสจากเลือดเข้าไปสู่เซลล์ต่างๆ ภายในอวัยวะทั่วร่างกาย อาทิ สมอง , ตับ , ไต , หัวใจ เพื่อให้เซลล์นั้นนำกลูโคสไปใช้เป็นพลังงานในการทำงาน แต่หากกระบวนการสร้างฮอร์โมนอินซูลินเกิดมีความผิดปกติ ตับสร้างอินซูลินได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น หรือเกิดความผิดปกติบางอย่างที่ทำให้เซลล์ไม่สามารถนำกลูโคสไปใช้ได้ ถึงแม้ว่าตับจะสร้างฮอร์โมนได้ในระดับปกติ หรือที่เรียกกันว่า เซลล์ดื้อต่ออินซูลิน เมื่อความผิดปกติทั้ง 2 อย่างเกิดขึ้น ก็จะทำให้น้ำตาลคั่งในเลือดในจำนวนที่มาก ทำให้ความผิดปกตินั้นเกิดขึ้นลุกลามจนกลายเป็น โรคเบาหวาน ในที่สุด

ทั้งนี้ ถึงแม้เราจะรู้ว่าโรคเบาหวานเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดความผิดปกติของกระบวนการใดในร่างกาย แต่สาเหตุของการเกิดก็ยังไม่ถูกระบุแน่ชัด แต่จากการศึกษาพบว่ามันเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างซับซ้อนที่เกิดจากทั้งพันธุกรรมและการดำเนินชีวิตของคนเรา (Lifestyle) ประกอบกัน

โรคเบาหวาน มีอาการอย่างไร ?
อาการหลักๆ ที่สื่อว่าคนๆ นั้นมีความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน อาจได้แก่ รู้สึกหิวบ่อย , กระหายน้ำ , ปัสสาวะมีปริมาณมากและบ่อย อีกทั้งก็ยังมีอาการอื่นๆ ประกอบ อาทิ

เหนื่อย อ่อนเพลีย
ผิวแห้ง เกิดอาการคันบริเวณผิว
ตาแห้ง
มีอาการชาที่เท้า หรือรู้สึกเจ็บแปลบๆ ที่ปลายเท้า หรือที่เท้า
ร่างกายซูบผอมลงผิดปกติ โดยไม่สามารถหาสาเหตุได้
เมื่อเกิดบาดแผลที่บริเวณต่างๆ ของร่างกายมักหายช้ากว่าปกติ โดยเฉพาะแผลที่เกิดกับบริเวณเท้า
สายตาพร่ามัวในแบบที่หาสาเหตุไม่ได้

10 สัญญาณอันตราย โรคเบาหวาน

อ่อนเพลียง่าย ทั้งๆ ที่พักผ่อนเพียงพอ และไม่ได้ป่วยไข้
ผอมลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ
หิวน้ำมากกว่าปกติ (เพราะร่างกายสูญเสียน้ำจากการปัสสาวะบ่อย)
ตาพร่ามัวลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ปวดขา ปวดเข่า
ผิวหนังแห้ง และมีอาการคัน อาจจะคันตามตัว หรือคันบริเวณปากช่องคลอด
เป็นฝีตามตัวบ่อยๆ
อารมณ์แปรปรวน โมโหง่าย
แผลหายช้า ไม่แห้งสนิท หรือขึ้นสะเก็ดเสียที
ใครที่มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน ?
โรคเบาหวาน นั้นเป็นโรคที่สามารถถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรมได้ ฉะนั้นผู้ที่มีญาตสายตรง อย่าง พ่อ แม่ พี่ น้อง ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานก็อาจจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหากมีทั้งพ่อและแม่ที่เป็นโรคเบาหวาน รุ่นลูกก็จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นถึงร้อยละ 50

นอกจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมแล้ว ยังมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจส่งผลให้เป็นโรคเบาหวานได้ อาทิ ผู้ที่มีน้ำเกิน หรือเรียกว่า อ้วน , ผู้ที่ไม่ชอบออกกำลังกาย , มีไขมันในเลือดสูง โดยกลุ่มคนเหล่านี้จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเป็นได้เท่าๆ กัน

ปัจจัยใดบ้างที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานนั้นมีอยู่หลายข้อ ส่วนหนึ่งก็มาจากเรื่องของพันธุกรรมที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น จนมาถึงเรื่องของการใช้ชีวิตประจำวันที่เรานั้นอาจไม่ทันได้ให้ความสำคัญ หรือหลงลืมไป มาดูกันว่ามีปัจจัยอะไรบ้าง

เรื่องของพันธุกรรม อย่างที่บอกไปในตอนแรกว่าคนที่มีครอบครัวสายตรง ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่ น้องที่เป็นท้องเดียวกันป่วยเป็นโรคเบาหวาน เราที่เป็นรุ่นต่อมาก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานได้สูงกว่าคนทั่วๆ ไป

ผู้ที่เป็นโรคอ้วนและมีน้ำหนักตัวเกิน ส่งผลให้เซลล์ต่างๆ ดื้อต่ออินซูลิน

ไม่ออกกำลังกาย หรือออกกำลังกายไม่สม่ำเสมอ เนื่องจากว่าการออกกำลังกายนั้นจะช่วยทำให้เราสามารถควบคุมน้ำหนักได้ อีกทั้งยังช่วยให้เซลล์ต่างๆ ไวต่อการนำน้ำตาลไปใช้ รวมถึงยังช่วยในเรื่องของการเผาผลาญน้ำตาลในเลือดได้ดีอีกด้วย

เรื่องของเชื้อชาติ ทั้งนี้มีข้อมูลพบว่าคนในบางเชื้อชาติเป็นเบาหวานสูงกว่าคนในชาติอื่นๆ อาทิ ในคนเอเชียและคนผิวดำมีโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคเบาหวานได้มากกว่าคนชาติอื่นๆ

เรื่องของอายุ ยิ่งอายุมากขึ้น โอกาสที่จะเป็นเบาหวานก็มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว นั่นอาจมาจากระบบการทำงานของเซลล์ตับอ่อนเสื่อมถอย หรือขาดการออกกำลังกาย

#การมีไขมันในเลือดสูง

#การมีความดันโลหิตสูง

โรคแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานนั้นถือได้ว่าเป็นโรคเรื้อรังที่จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงผนังหลอดเลือด ส่งผลให้หลอดเลือดแข็ง หรือตีบ ซึ่งหากหลอดเลือดในอวัยวะส่วนใดของร่างกายแข็ง หรือตีบ ก็จะทำให้เกิดโรคที่อวัยวะนั้นๆ ดังจะเห็นได้ว่า โรคเบาหวาน เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ทุกระบบ อันได้แก่ ระบบประสาท , ตา , ไต , ไต , หัวใจและหลอดเลือด , ผิวหนัง และช่องปาก เป็นต้น

อาการของผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
หากกล่าวถึงโดยภาพรวมอาการของผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานนั้นจะปัสสาวะบ่อย มีน้ำหนักที่ลดลง หิวบ่อย บางครั้งก็มีอาการอ่นเพลีย อันเนื่องมาจากการที่มีน้ำตาลในเลือดสูง คราวนี้ เราลองมาดูกันลึกลงไปอีกนิดว่าผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานจะมีอาการใดแสดงให้เห็นเพิ่มเติมได้อีกบ้าง

ในคนทั่วไปที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคเบาหวานก่อนที่จะรับประทานอาหารเช้าจะมีระดับน้ำตาลในเลือดเพียง 70 - 110 มก.% โดยหลังจากที่รับประทานอาหารเช้าเข้าไปแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง ก็จะมีระดับน้ำตาลในเลือดไม่เกิน 140 มก.% ซึ่งที่มีระดับน้ำตาลไม่มากก็อาจจะไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา สำหรับการวินิจฉัยโรคเบาหวานนั้นทำได้ด้วยการเจาะเลือด มีอาการที่พบได้บ่อยดังนี้

คนปกติที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคเบาหวานมักจะไม่ลุกขึ้นมาปัสสาวะในช่วงเวลากลางดึก หรือปัสสาวะเป็นอย่างมากไม่เกิน 1 ครั้ง ซึ่งเมื่อมีระดับน้ำตาลในกระแสเลือดที่เกินกว่า 180 มก.% น้ำตาลก็จะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ ทำให้มีอาการปัสสาวะบ่อยและเกิดการสูญเสียน้ำ อีกทั้งยังอาจพบได้ว่าปัสสาวะของตนเองมีมดตอม

ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานมักจะหิวน้ำบ่อย อันเนื่องมาจากต้องมีการทดแทนน้ำที่ร่างกายขับออกมาทางปัสสาวะ

มีอาการอ่อนเพลีย น้ำหนักตัวลดลงเนื่องจากร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลที่มีอยู่ได้ จึงได้ย่อยสลายส่วนที่เป็นโปรตีนและไขมันออกมา

ผู้ป่วยมักจะหิวบ่อยและกินเก่ง แต่ในทางตรงกันข้าม น้ำหนักตัวจะลดลงอย่างต่อเนื่อง เกิดเพราะร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ จึงมีการสลายพลังงานจากไขมันและโปรตีนจากกล้ามเนื้อแทน

อาการอื่นที่อาจพบได้ อาทิ การติดเชื้อ , แผลหายช้า หรือมีอาการคันตามจุดต่างๆ ของร่างกาย

เกิดการคันตามผิวหนัง มีการติดเชื้อรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณช่องคลอดของผู้หญิง ส่วนสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดการคันอาจเกิดจากผิวที่แห้งจนเกินไป หรือมีการอักเสบของผิวหนัง

การมองเห็นไม่ชัดเจน สายตาพร่ามัวจนต้องเปลี่ยนแว่นบ่อยๆ ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงทางสายตา เช่น สายตาสั้น , ต้อกระจก หรือมีน้ำตาลในเลือดสูง

เกิดอาการชาตามส่วนต่างๆ ไม่มีความรู้สึก เจ็บตามแขนขา หย่อนสมรรถภาพทางเพศ อันเนื่องมาจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงนาน ส่งผลให้เส้นประสาทเกิดการเสื่อมสภาพ เป็นแผลที่เท้าง่าย เพราะไม่มีความรู้สึก

#อาจเกิดการอาเจียน
เมื่อระดับน้ำตาลอยู่ในกระแสเลือดสูงและเป็นโรคเบาหวานได้ระยะหนึ่ง ก็อาจเกิดโรคแทรกซ้อนขึ้นกับหลอดเลือดเล็ก เรียกว่า Microvacular ซึ่งหากมีโรคแทรกซ้อนนี้เกิดขึ้นก็จะทำให้เกิดโรคไต , เบาหวานเข้าตา นอกจากนั้น หากหลอดเลือดแดงใหญ่เกิดการแข็งตัว จะเรียกว่า Macrovascular ที่จะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ , เป็นอัมพาต , หลอดเลือดแดงที่ขาตีบ อีกทั้งยังจะทำให้เกิดปลายประสาทอักเสบ ที่เรียกว่า Neuropathic ที่ทำให้ขาชา , กล้ามเนื้ออ่อนแรง และประสาทอัตโนมัติเสื่อมได้

หากมีอาการเหล่านี้ บวกกับพฤติกรรมในการทานอาหารที่ไม่ค่อยระวังเรื่องแป้ง และน้ำตาล คุณอาจสันนิษฐานได้ว่ากำลังมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานได้สูง เพราะฉะนั้นควรรีบพบแพทย์เพื่ การตรวจที่ละเอียด และทำการรักษาต่อไปค่ะ

#โรคเบาหวาน วินิจฉัยอย่างไรบ้าง ?
ในเบื้องต้น เมื่อเราเดินทางไปพบแพทย์ แพทย์ก็จะเริ่มต้นสอบถามอาการ ประวัติการเจ็บป่วย รวมไปถึงคนในครอบครัว จากนั้นก็จะมีการตรวจร่างกาย ตรวจเลือดเพื่อดูระดับน้ำตาล ซึ่งวิธีการวิเคราะห์ระดับน้ำตาลก็จะมีอยู่หลายวิธี ดังนี้

วิธีที่ 1 : การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเวลาใดก็ได้
วิธีที่ 2 : การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
วิธีที่ 3 : การทดสอบการตอบสนองของฮอร์ดมนอินซูลินที่มีต่อระดับน้ำตาลในเลือด
วิธีที่ 4 : การตรวจน้ำตาลเฉลี่ยสะสม หรือฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี
หากผู้ป่วยไม่มีอาการของโรคเบาหวานชัดเจนคือ หิวน้ำมาก ปัสสาวะบ่อยและมาก น้ำหนักตัวลดลง โดยที่ไม่มีสาเหตุ การตรวจด้วยวิธีทั้งหมดข้างต้นจำเป็นต้องมีการตรวจซ้ำอย่างน้อย 1 ครั้งด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งอีกครั้งหนึ่งเพื่อยืนยันผลการวินิจฉัย
#ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงสุขภาพ นำเข้าเกรดพรีเมียม
ระดับโลกชั้นเลิศ 22 ชนิด (1,000 mg MAX )
🎖" ห วั ง ถั่ ง เ ฉ้ า "🥇

#เบาหวาน #ความดัน #ไขมัน #ชามือ #ชาเท้า #หัวใจ #เก๊า #รูมาตอย #โรคไต #ต่อมลูกหมากโต
#มะเร็ง #ภูมิแพ้ #ไอ #หอบหืด
#วิจัยและพัฒนาจากแลปยุโรป มาตราฐานระดับสากล
#ลูกค้าเก่าบอกต่อ สั่งซ้ำ ต่อเนื่อง การันตรีจากประสบการณ์ตรงจากลูกค้ามากกว่า > > > 8 ปีเต็ม

#ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับคุณ " ห ม อ " ฟรี !
: (อย่าลืมใส่ @นะคะ)
http://line.me/ti/p/%40nutri88
: 063-542-4556
#ให้คำปรึกษาโดยทีมแพทย์และเภสัชกรโดยตรง แก้ได้ที่สาเหตุ
#ลูกค้าท่านใดอ่านถึงตรงนี้

หากความรู้นี้เป็นประโยชน์กับตัวท่านฝากช่วยกด " แชร์ " กันด้วยนะคะ
ขอให้ลูกค้าทุกท่านจงมีแต่สุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง สมบูรณ์ ปราศจากโรคร้ายทั้งมวลตลอดไปด้วยค่ะ

17/11/2021
 #โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน-เส้นเลือดในสมองแตก ( ) รู้ทันก่อนก็รอด ปลอดจากอัมพาต #โรคหลอดเลือดสมอง เส้นเลือดในสมองแตก หรือต...
17/11/2021

#โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน-เส้นเลือดในสมองแตก ( ) รู้ทันก่อนก็รอด ปลอดจากอัมพาต
#โรคหลอดเลือดสมอง เส้นเลือดในสมองแตก หรือตีบตัน อาการเฉียบพลันอันตรายถึงชีวิต อาจเปลี่ยนคนปกติให้กลายเป็นคนพิการ อัมพฤกษ์ อัมพาต ได้ในชั่วพริบตา แต่ถ้ารู้ตัวเร็วก็รอด !

#โรคหลอดเลือดสมอง
พฤติกรรมการใช้ชีวิตรวมทั้งการเผชิญกับมลภาวะรอบตัวในทุก ๆ วัน ได้สร้างโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ มาทำร้ายเรา หนึ่งในนั้นก็คือ โรคหลอดเลือดสมอง ที่หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่านิสัยที่ตัวเองทำเป็นประจำก่อให้เกิดภาวะเสี่ยงโรคนี้อยู่ ทั้งความเครียด การสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า การไม่ออกกำลังกาย สุดท้ายก็เกิดโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ นำพาต่อไปยังโรคหลอดเลือดสมองที่หากตีบ อุดตัน หรือหลอดเลือดแตกขึ้นมาในวันใด ความพิการจะมาเยือนเรา หรืออาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต

#โรคหลอดเลือดสมอง คืออะไร

โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) บางคนอาจเรียกว่า โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต เพราะในบางกรณีโรคหลอดเลือดสมองอาจไม่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต แต่ก็ทำให้ผู้ป่วยมีความพิการ เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต สร้างความทุกข์ทรมานใจให้กับทั้งตัวผู้ป่วยเองและคนในครอบครัว และยังทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นอย่างมาก ซึ่งการเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตนั้น เป็นเพราะสมองขาดเลือด หรือมีเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้เซลล์ในสมองและการทำงานของสมองหยุดชะงัก

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า "โรคหลอดเลือดสมอง" คือสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของประชากรทั่วโลก ขณะที่ในประเทศไทย โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ในประชากรเพศหญิง และเป็นอันดับ 3 ของประชากรไทยทั้งหมด จึงนับเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญมาก แต่หลายคนกลับมองข้ามโรคนี้ ทั้งที่อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด

#โรคหลอดเลือดสมอง สาเหตุเกิดจากอะไร

โรคหลอดเลือดสมอง เกิดได้จากสาเหตุ 2 ประการคือ หลอดเลือดสมองแตก (พบผู้ป่วยประมาณ 20-30%) และหลอดเลือดสมองตีบ หรืออุดตัน (พบผูป่วยประมาณ 70-80%)

1. หลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhage Stroke)

คืออาการที่หลอดเลือดในสมองฉีกขาด จึงทำให้เกิดเลือดออกในสมอง หรือที่มักได้ยินจากข่าวว่า "เส้นเลือดในสมองแตก" ซึ่งเมื่อมีอาการขึ้นมาอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ทันที หรือหากไม่เสียชีวิตก็อาจพิการ เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ซึ่งเกิดได้จากสาเหตุต่อไปนี้

- ภาวะความดันโลหิตสูง เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด เพราะความดันโลหิตสูงจะไปทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดสมองโดยเฉพาะหลอดเลือดขนาดเล็กที่อยู่ลึก ทำให้เกิดเป็นหลอดเลือดโป่งพองขนาดเล็ก เมื่อหลอดเลือดนี้แตกออกก็จะเกิดเลือดออกในสมอง

- การมีหลอดเลือดสมองโป่งพอง มักอยู่ที่บริเวณหลอดเลือดที่ฐานกะโหลกศีรษะ เมื่อแตกออกจะทำให้เกิดเลือดออกในชั้นเยื่อหุ้มสมอง

- การมีหลอดเลือดผิดปกติแต่กำเนิด

- โรคปรสิต โดยเฉพาะพยาธิตัวจี๊ด เมื่อไชเข้าไปในสมองจะทำให้เกิดเลือดออกในชั้นเยื่อหุ้มสมองหรือในเนื้อสมอง

- การเปลี่ยนแปลงของผนังหลอดเลือดโดยมีการสะสมของสารแอมเมอลอยด์ (amyloid) โดยมักพบในผู้สูงอายุที่หากมีสารสะสมที่ผนังหลอดเลือดก็จะทำให้เกิดเลือดออกในสมองหลาย ๆ ตำแหน่ง

- ความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด ทำให้เกิดเลือดออกในโพรงกะโหลกศีรษะในตำแหน่งต่าง ๆ

- หลอดเลือดอักเสบ เกิดขึ้นได้ในบางกรณี เช่น ติดเชื้อราในสมอง หรือใช้ยาแอมเฟตามีน

- การตกเลือดในก้อนเนื้องอก หรือเนื้องอกไปแทรกแซงหลอดเลือด

ทั้งนี้อาการหลอดเลือดในสมองแตก อาจแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ

- หลอดเลือดแตกในเนื้อสมอง โดยเลือดที่ออกจะไปกดเบียดเนื้อสมอง ทำให้สมองทำงานผิดปกติ และเกิดความดันในโพรงกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการผิดปกติทางระบบประสาทขึ้นมาทันที หรืออาจมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียนเป็นสัญญาณบอกเหตุ แต่หากมีเลือดออกที่ก้านสมอง ผู้ป่วยอาจหมดสติจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

- หลอดเลือดแตกในชั้นเยื่อหุ้มสมอง เกิดจากหลอดเลือดสมองบริเวณฐานกะโหลกศีรษะโป่งพอง ทำให้มีเลือดออก ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดศีรษะอย่างรุนแรงมาก อาจถึงขั้นหมดสติหรือเสียชีวิตได้เช่นกัน

🌟2. หลอดเลือดสมองตีบ อุดตัน (Ischemic Stroke)

เมื่อเกิดการอุดตันของเส้นเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนต่าง ๆ จะทำให้สมองขาดเลือด สาเหตุอาจเกิดได้จาก

- การมีภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง นับเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดของภาวะสมองขาดเลือด โดยภาวะหลอดเลือดแดงแข็งนี้อาจเกิดขึ้นที่หลอดเลือดใหญ่ที่ไปเลี้ยงสมอง ไม่ว่าจะเป็นส่วนคอหรือหลอดเลือดในสมองเอง มักพบในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น อายุมาก โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน สูบบุหรี่ และไขมันในเลือดสูง ทำให้ไขมันไปเกาะผนังหลอดเลือด

- โรคหัวใจ เป็นสาเหตุสำคัญของโรคหลอดเลือดสมองที่เกิดในผู้ป่วยอายุน้อย โดยจะทำให้มีลิ่มเลือดหลุดลอยตามกระแสเลือดไปอุดตันหลอดเลือดสมอง ซึ่งมักพบในผู้ป่วยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจโต ลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว ผนังหัวใจรั่ว หรือเกิดจากการฉีกของผนังหลอดเลือดด้านใน

- โรคของหลอดเลือดขนาดเล็กที่อยู่ลึกในสมองที่เรียกว่า Lacunar infarction เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดเล็กที่เป็นแขนงที่อยู่ลึกของหลอดเลือดสมอง มักเกิดได้จากภาวะความดันโลหิตสูงและเบาหวาน

🎖โรคหลอดเลือดสมอง อาการไหนเสี่ยง มีสัญญาณเตือนไหม

โรคหลอดเลือดสมองเป็นภัยจ้องคร่าชีวิตเราอยู่เงียบ ๆ เพราะมีหลายคนที่กว่าจะรู้ตัวว่าป่วยก็มีอาการหนักจนต้องหามส่งโรงพยาบาลแล้ว ขณะที่อีกหลายคนไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า มารู้อีกทีก็เส้นเลือดในสมองก็แตกหรือตีบไปแล้ว ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่ช่วยได้คือ หมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกายตัวเอง โดยหากมีอาการแปลก ๆ เหล่านี้เกิดขึ้น ก็ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่าอาจเกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือดสมอง

- มีอาการแขนขาอ่อนแรง หรือชา อาจเป็นที่ซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย
- มีอาการชาหรืออ่อนแรงของใบหน้าซีกใดซีกหนึ่ง ปากเบี้ยว เป็นทันทีทันใด
- ตาพร่ามัว ตาข้างใดข้างหนึ่งมืดหรือมองไม่เห็นไปชั่วครู่ หรือมองเห็นภาพซ้อน
- มีอาการวิงเวียน บ้านหมุน เดินเซ ทรงตัวไม่ได้ บางรายอาจเดินไม่ได้
- พูดลำบาก พูดไม่ออก ฟังไม่เข้าใจภาษา เป็นแบบทันทีทันใด
- กลืนอาหารลำบาก สำลักบ่อย ๆ
- รู้สึกสับสน
- ปวดศีรษะอย่างรุนแรงในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มักเกิดขึ้นขณะมีอารมณ์เคร่งเครียดหรืออยู่ในอารมณ์รุนแรง ร่วมกับอาเจียนหรือหมดสติ

หากจำไม่ได้ กระทรวงสาธารณสุขก็แนะนำให้จำ 4 ตัวอักษรง่าย ๆ คือ FAST หากพบอาการเหล่านี้ให้รีบนำส่งโรงพยาบาล คือ

F - Face ใบหน้าเบี้ยว หรืออ่อนแรง
A - Arm แขนขาชา หรืออ่อนแรง
S - Speech พูดไม่ชัด พูดไม่ได้
T - Time หากพบอาการให้รีบรักษาภายใน 270 นาที โดยสามารถโทรแจ้งที่สายด่วนกรมการแพทย์ 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง

อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน อย่างไรก็ตามในรายที่มีภาวะสมองขาดเลือดแบบชั่วคราว (transient ischemic attack: TIA) อาจมีอาการเตือนเหล่านี้เกิดขึ้นชั่วขณะแล้วหายไปเอง หรืออาจเกิดขึ้นได้หลายครั้งก่อนมีอาการแบบถาวร ดังนั้นหากมีอาการดังที่กล่าวมานี้ควรรีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

🎖ปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองอาจแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และปัจจัยเสี่ยงที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

1. ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

- อายุ : ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด โดยผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี มีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองสูงกว่าคนอายุน้อย

- เพศ : มักพบผู้ป่วยเพศชายมากกว่าเพศหญิง

- เชื้อชาติ : จากการศึกษาพบว่าคนผิวสีมีอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองมากกว่าคนผิวขาว และมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้สูงกว่า

- พันธุกรรม : ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดสมองจะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้มากกว่าคนทั่วไป

หลอดเลือดสมอง

2. ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถเปลี่ยนแปลงและป้องกันได้

พฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตของเรานี่แหละที่เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง และแน่นอนว่าเราสามารถควบคุม หลีกเลี่ยง และป้องกันได้

- ภาวะความดันโลหิตสูง ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองที่สำคัญเป็นอันดับ 2 รองจากอายุ โดยจากการศึกษาในประเทศอังกฤษพบว่า ผู้ชายที่มีความดัน systolic อยู่ระหว่าง 160-180 มิลลิเมตรปรอท มีอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองสูงเป็น 4 เท่าของผู้ที่มีความดันน้อยกว่า 160 มิลลิเมตรปรอท และหากมีความดันสูงกว่า 180 มิลลิเมตรปรอท มีอัตราเกิดโรคถึง 6 เท่า

ดังนั้นการควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหลอดเลือดสมองได้มาก

- โรคหัวใจ : เป็นสาเหตุที่สำคัญโดยตรงอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง โดยเฉพาะโรคที่เกิดกับลิ้นหัวใจ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคกล้ามเนื้อหัวใจ ฯลฯ

- โรคเบาหวาน : หากเป็นเบาหวานนาน ๆ แล้วไม่ได้รับการรักษา จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดตีบได้สูง เพราะโรคเบาหวานจะทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งได้ง่าย ซึ่งการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานจะมีโอกาสเกิดอัมพาตได้สูงกว่าผู้ป่วยปกติถึง 2-4 เท่า

ไขมันในเลือดสูง

- ไขมันในเลือดสูง : ระดับคอเลสเตอรอล และ LDL (ไขมันเลว) สูง แต่ HDL (ไขมันดี) ต่ำ รวมทั้งไตรกลีเซอไรด์สูง มีส่วนสัมพันธ์ต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และไขมันเหล่านี้ยังไปเกาะที่ผนังหลอดเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดแข็ง ทำให้เกิดอัมพาตได้ง่าย

- การสูบบุหรี่ : บุหรี่ก่อโรคร้ายได้สารพัด หนึ่งในนั้นก็คือโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งอาจทำให้มีเลือดออกในชั้นใต้เยื่อหุ้มสมอง, หลอดเลือดสมองตีบ และหลอดเลือดสมองแตกในเนื้อสมอง ซึ่งจากการศึกษาพบผู้ที่สูบบุหรี่จัดมากกว่า 40 มวนต่อวันมีความเสี่ยงเกิดโรคหลอดเลือดสมองสูงถึง 2 เท่าของผู้ที่สูบบุหรี่น้อยกว่า 10 มวนต่อวัน ดังนั้นจึงควรเลิกบุหรี่

- การดื่มสุรา : การศึกษาในระยะหลังพบว่าอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองขึ้นอยู่กับปริมาณของแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป โดยพบว่าผู้ที่ดื่มปานกลางจนถึงดื่มจัดมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองสูงกว่าคนปกติ

- ไม่ออกกกำลังกาย : ผู้ที่ออกกำลังกายมากมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองน้อยกว่าผู้ที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย

- ความผิดปกติด้านการนอน : คนที่นอนกรนจะมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองสูงกว่าคนที่ไม่นอนกรน

- ยาคุมกำเนิด : ผู้หญิงที่ใช้ยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองสูงกว่าคนที่ไม่ใช้ยาคุมกำเนิด
CR.- มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ
- คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
🌟ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงสุขภาพ นำเข้าเกรดพรีเมียม
ระดับโลกชั้นยอด 22 ชนิด (1,000 mg MAX ) 􀁳" ห วั ง ถั่ ง เ ฉ้ า "􀁳

#เบาหวาน #ความดัน #ไขมัน #ชามือ #ชาเท้า #หัวใจ #เก๊า #รูมาตอย #โรคไต #ต่อมลูกหมากโต
#มะเร็ง #ภูมิแพ้ #ไอ #หอบหืด
#วิจัยและพัฒนาจากแลปยุโรป มาตราฐานระดับสากล
#ลูกค้าเก่าบอกต่อ สั่งซ้ำ ต่อเนื่อง การันตรีจากประสบการณ์ตรงจากลูกค้ามากกว่า > > > 8 ปีเต็ม

#ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับคุณ " ห ม อ " ฟรี !
: (อย่าลืมใส่ @นะคะ)
http://line.me/ti/p/%40nutri88
: 063-542-4556
#ให้คำปรึกษาโดยทีมแพทย์และเภสัชกรโดยตรง แก้ได้ที่สาเหตุ
#ลูกค้าท่านใดอ่านถึงตรงนี้

หากความรู้นี้เป็นประโยชน์กับตัวท่านฝากช่วยกด " แชร์ " กันด้วยนะคะ
ขอให้ลูกค้าทุกท่านจงมีแต่สุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง สมบูรณ์ ปราศจากโรคร้ายทั้งมวลตลอดไปด้วยค่ะ

Address


Alerts

Be the first to know and let us send you an email when หวังถั่งเฉ้า : สมุนไพรต้านเบาหวาน ลดคลอเรสเตอรอล คุมความดัน ออร์แกนิค posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Contact The Practice

Send a message to หวังถั่งเฉ้า : สมุนไพรต้านเบาหวาน ลดคลอเรสเตอรอล คุมความดัน ออร์แกนิค:

  • Want your practice to be the top-listed Clinic?

Share

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram