ปรึกษาสุขภาพจิตออนไลน์ The Mind Talk

ปรึกษาสุขภาพจิตออนไลน์ The Mind Talk เครียด ปัญหาชีวิต..ปรึกษาออนไลน์กับ? กรุณาโทรนัดหมายล่วงหน้า
Please make appointment at
064-9945499
Line ID : (มี@ด้วยค่ะ)

การคบหากับใครสักคนควรทำให้ชีวิตเราดีขึ้น แต่ถ้าความสัมพันธ์กลับทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า เครียด หรือเสียความมั่นใจ อาจเป็นเพ...
29/09/2025

การคบหากับใครสักคนควรทำให้ชีวิตเราดีขึ้น แต่ถ้าความสัมพันธ์กลับทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า เครียด หรือเสียความมั่นใจ อาจเป็นเพราะคุณกำลังคบกับ คน Toxic โดยไม่รู้ตัว มาดูสัญญาณเตือนสำคัญ เพื่อปกป้องหัวใจและสุขภาพจิตของคุณ

⭐️คน Toxic คืออะไร
คน Toxic คือคนที่มีพฤติกรรมหรือวิธีคิดที่ทำร้ายจิตใจและบั่นทอนพลังของคนรอบข้าง มักใช้คำพูดหรือการกระทำที่บั่นทอนความมั่นใจ เช่น การวิจารณ์ในทางลบ การควบคุม การดูถูก หรือการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง คนประเภทนี้อาจไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเราเสมอไป แต่การอยู่ใกล้จะทำให้รู้สึกเครียด เหนื่อย หรือรู้สึกแย่กับตัวเอง

⭐️สัญญาณที่บอกว่าคุณกำลังคบกับคน Toxic

1.คุณรู้สึกเหนื่อยและเครียดหลังคุยกัน
ทุกครั้งที่คุยกัน คุณจะรู้สึกหมดแรง เหนื่อยล้า หรือรู้สึกว่าต้องปกป้องตัวเองตลอดเวลา ไม่รู้สึกปลอดภัยที่จะพูดคุยหรือแสดงความเป็นตัวเอง

2.มักโดนบั่นทอนความมั่นใจ
คน Toxic มักพูดในลักษณะที่ทำให้คุณรู้สึกไม่ดี เช่น พูดดูถูกความสามารถ วิจารณ์รูปลักษณ์ หรือพูดจาเสียดสีบ่อยๆ ทำให้คุณเริ่มไม่มั่นใจในตัวเอง

3.ควบคุมทุกอย่างและไม่เคารพเสรีภาพของคุณ
พวกเขามักพยายามควบคุมชีวิต เช่น ห้ามแต่งตัวแบบนั้น ห้ามเจอเพื่อน หรือบังคับให้ทำตามที่ตัวเองต้องการเสมอ

4.ชอบโยนความผิดให้คนอื่น
เวลามีปัญหา คน Toxic มักไม่ยอมรับผิด และจะโทษคุณหรือคนรอบข้างเสมอ เช่น "ถ้าเธอไม่พูดแบบนี้ ฉันคงไม่โกรธ" หรือ "เพราะเธอไม่ดีพอ ฉันเลยต้องทำแบบนี้"

5.ไม่ฟังและไม่ให้ค่าความรู้สึกของคุณ
เมื่อคุณพูดถึงความรู้สึกของตนเอง คน Toxic จะไม่สนใจ หรือพูดขัดขึ้นมาเพื่อให้เรื่องจบแบบเร็วๆ โดยไม่แคร์ว่าคุณรู้สึกอย่างไร

6.ทำให้คุณรู้สึกผิดตลอดเวลา
แม้ว่าคุณจะไม่ได้ทำอะไรผิด แต่พวกเขามักทำให้คุณรู้สึกผิด เช่น "ฉันเหนื่อยเพราะเธอ" หรือ "ฉันไม่มีความสุขเพราะเธอไม่รักฉันมากพอ"

7.ความสัมพันธ์เต็มไปด้วยดราม่า
ความรักควรเป็นพื้นที่ปลอดภัย แต่ถ้าความสัมพันธ์ของคุณมีแต่ความวุ่นวาย ทะเลาะบ่อย ไม่มีความสงบใจ อาจเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังคบกับคน Toxic

⭐️วิธีป้องกันตัวเองเมื่อเจอคน Toxic

▪︎สังเกตพฤติกรรมซ้ำๆ อย่ามองข้ามความรู้สึกตัวเอง ถ้ารู้สึกไม่ปลอดภัยหรือเหนื่อยใจบ่อยๆ ให้ทบทวนความสัมพันธ์
▪︎อย่ารู้สึกผิดที่จะปกป้องตัวเอง คุณมีสิทธิ์ที่จะรักษาพลังบวกและเลือกสิ่งที่ดีต่อใจ
▪︎ตั้งขอบเขตให้ชัดเจน บอกอีกฝ่ายตรงๆ เมื่อพฤติกรรมนั้นทำให้คุณไม่สบายใจ และถ้าเขาไม่ยอมเปลี่ยน ควรพิจารณาออกมาจากความสัมพันธ์นั้น
▪︎ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือคนที่ไว้ใจได้ การพูดคุยกับคนที่เข้าใจจะช่วยให้คุณมองเห็นปัญหาชัดเจนขึ้น

การอยู่กับคน Toxic อาจทำร้ายหัวใจและสุขภาพจิตโดยไม่รู้ตัว การรู้ทันสัญญาณเตือนและกล้าที่จะปกป้องตัวเอง คือก้าวแรกของการรักตัวเองอย่างแท้จริง อย่าลืมว่าความรักที่ดีต้องทำให้คุณเติบโตและรู้สึกมีค่า ไม่ใช่เจ็บปวดและเหนื่อยใจ

ที่มา: เช็กสัญญาณที่บอกว่าคุณกำลังคบกับคน Toxic https://share.google/wMTTqlV12UzarQyiW

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช #สุขภาพจิต

หลายคนอาจไม่รู้ตัวว่า ตัวเองกำลังเผชิญกับ “บาดแผลทางใจ” หรือ Trauma ที่สะสมอยู่ในจิตใจ ซึ่งสามารถส่งผลต่อพฤติกรรม อารมณ์...
24/09/2025

หลายคนอาจไม่รู้ตัวว่า ตัวเองกำลังเผชิญกับ “บาดแผลทางใจ” หรือ Trauma ที่สะสมอยู่ในจิตใจ ซึ่งสามารถส่งผลต่อพฤติกรรม อารมณ์ และร่างกายได้อย่างลึกซึ้ง โดยรูปแบบที่พบบ่อย ที่หลายคนไม่เคยรู้ มีอะไรบ้างมาดูกัน....

⭐️บาดแผลทางใจ Trauma ที่มักแสดงออกมาในชีวิตประจำวัน

1.ขอโทษตลอดเวลา: มักพูดคำว่า “ขอโทษ” บ่อยครั้ง แม้ในเรื่องเล็กน้อยที่ไม่จำเป็นต้องรับผิด กลายเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ

2.รู้สึกผิดเวลาพักผ่อน: เมื่อได้หยุดหรือผ่อนคลาย กลับรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ขี้เกียจ หรือกำลังละเลยหน้าที่
อธิบายตัวเองเกินความจำเป็น: ต้องรีบอธิบายเหตุผลหรือแก้ต่าง แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย เพื่อพิสูจน์ตัวเองให้คนเชื่อ

3.อธิบายตัวเองเกินความจำเป็น: ต้องรีบอธิบายเหตุผลหรือแก้ต่าง แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย เพื่อพิสูจน์ตัวเองให้คนเชื่อ

4.ตัดสินใจลำบาก: การเลือกอะไรสักอย่างดูเป็นเรื่องยากมาก กังวลว่าจะตัดสินใจผิดพลาดจนไม่กล้าทำอะไร

5.กลัวความสุข: ไม่กล้าใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มองว่าความสุขเป็นของชั่วคราวที่ไม่ปลอดภัย

6.ชอบหาความวุ่นวาย: รู้สึกไม่ชินเมื่ออยู่กับความสงบ อาจรู้สึกไม่ปลอดภัยจนต้องหาสิ่งมากวนใจเสมอ

7.พยายามเอาใจคนอื่นมากเกินไป: ยอมทุกอย่างเพียงเพื่อไม่ให้ใครไม่พอใจ

8.สะดุ้งง่าย: ตกใจหรือระแวงมากกว่าปกติ ไวต่อเสียง น้ำเสียง และการสัมผัส

9.ไม่ไว้ใจความหวังดีของคนอื่น: มักสงสัยว่าเบื้องหลังความช่วยเหลือ หรือความหวังดีของผู้อื่น ว่ามีอะไรแอบแฝง

10.เหนื่อยล้าง่าย และเหนื่อยเรื้อรัง: รู้สึกเหนื่อยอยู่ตลอด แม้นอนหรือพักผ่อนเพียงพอ

11.เกาะติด: กลัวการถูกทิ้ง เลยมักจะยึดติด เกาะติดกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด

12.บ้างาน: สู้ทำงานหนักเพื่อทำให้ตัวเองมีคุณค่า
กลัวความสำเร็จ: กลัวการเปลี่ยนแปลง ไม่กล้าที่จะต้องการมากไปกว่านี้

13.พึ่งพาตัวเอง: ไม่ขอความช่วยเหลือจากใคร

14.กลัวความสำเร็จ: กลัวการเปลี่ยนแปลง ไม่กล้าที่จะต้องการมากไปกว่านี้

15.เฉยชาทางอารมณ์: มักปิดกั้น และไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองให้คนอื่นเห็น ไม่อยากให้ใครเห็นด้านอ่อนแอ

16.ยืดติดกับความสมบูรณ์แบบ: กลัวความผิดพลาดจึงพยายามทำให้ดีที่สุดเสมอ ถ้าหากผิดพลาดจะรู้สึกแย่ รับไม่ได้

17.รู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควร: มีความรู้สึกด้อยค่า รู้สึกว่าตนเองไม่สมควรได้รับสิ่งดี ๆ แม้มีหลักฐานความสำเร็จ

18ชอบหนีความจริง: เมื่อพบปัญหามักใช้สิ่งอื่นช่วยเบี่ยงเบน แทนที่จะเผชิญหน้า

19.ระแวดระวังร่างกายมากเกินไป: ไหล่ตึง เกร็งท้องเป็นก้อน ไหล่ตึง ระแวงว่าจะถูกทำร้าย ซ้ำเดิม

20.ทำลายตัวเอง: มักเลือกทำลายสิ่งดี ๆ ในชีวิตไปเสียก่อน เพราะกลัวว่าสุดท้ายสิ่งนั้นจะย้อนกลับมาทำร้ายใจเรา

⭐️สัญญาณเหล่านี้กำลังบอกอะไร?
หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีพฤติกรรมเหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณของบาดแผลทางใจที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา ซึ่งการรับรู้และเข้าใจตนเองถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ

การขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เช่น นักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ จะช่วยให้คุณสามารถจัดการและฟื้นฟูจิตใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

อาการเหล่านี้คือสัญญาณที่สะท้อนว่า บาดแผลทางใจยังคงส่งผลต่อชีวิตประจำวัน การตระหนักรู้และทำความเข้าใจจึงเป็นก้าวแรกสำคัญของการดูแลตัวเอง และอาจต้องการความช่วยเหลือจากคนรอบข้างหรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อค่อย ๆ ฟื้นฟูหัวใจให้กลับมาเข้มแข็งขึ้นอีกครั้ง

ที่มา: รู้ทัน 20 สัญญาณอาการบาดแผลทางใจ ที่คุณอาจแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว! https://share.google/DrbSUcwbQ1GXyfRCN

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช #สุขภาพจิต

เมื่อพูดถึงการคลายเครียด คนส่วนใหญ่อาจนึกถึงการออกกำลังกาย นั่งสมาธิ หรือพักผ่อน แต่แร่ธาตุหนึ่งที่ถูกพูดถึงอย่างมากในแว...
19/09/2025

เมื่อพูดถึงการคลายเครียด คนส่วนใหญ่อาจนึกถึงการออกกำลังกาย นั่งสมาธิ หรือพักผ่อน แต่แร่ธาตุหนึ่งที่ถูกพูดถึงอย่างมากในแวดวงสุขภาพจิตและโภชนาการคือ แมกนีเซียม ว่าแต่ แมกนีเซียมช่วยลดความเครียดได้จริงหรือไม่? คำตอบอาจเปลี่ยนมุมมองต่อการดูแลตัวเองของคุณไปเลยก็ได้

⭐️แมกนีเซียมคืออะไร? ทำไมถึงเกี่ยวกับความเครียด?
แมกนีเซียม เป็นแร่ธาตุจำเป็นที่มีอยู่ในทุกเซลล์ของร่างกาย มีบทบาทในการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ และสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการควบคุมสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ เช่น กลูตาเมต และ GABA ซึ่งสารเหล่านี้มีอิทธิพลโดยตรงต่อความเครียด ความวิตกกังวล และการนอนหลับ

⭐️กลไกที่ทำให้แมกนีเซียมช่วยลดความเครียด

▪︎ช่วยปรับสมดุลสารเคมีในสมอง
แมกนีเซียม มีผลต่อสารสื่อประสาทหลายชนิด โดยช่วยลดการกระตุ้นของกลูตาเมต ซึ่งเป็นสารที่เกี่ยวข้องกับความเครียด และส่งเสริมการทำงานของ GABA ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้สมองผ่อนคลาย ส่งผลให้รู้สึกสงบ ลดอารมณ์ตึงเครียดได้

▪︎ลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล
คอร์ติซอลคือฮอร์โมนแห่งความเครียดที่ร่างกายหลั่งออกมาเมื่ออยู่ในภาวะกดดัน งานวิจัยหลายแห่งพบว่าแมกนีเซียมช่วยควบคุมระดับคอร์ติซอลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ จึงช่วยลดผลกระทบจากความเครียดต่อร่างกายและจิตใจ

▪︎สนับสนุนคุณภาพการนอน
แมกนีเซียม ยังมีผลต่อการนอนหลับ โดยช่วยให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะผ่อนคลายก่อนนอน ทำให้หลับง่ายขึ้น หลับลึกขึ้น และตื่นมาสดชื่น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความเครียดในระยะยาว

⭐️งานวิจัยสนับสนุนว่าแมกนีเซียมช่วยลดความเครียด
มีงานวิจัยจำนวนมากในระดับนานาชาติที่ศึกษาเรื่อง แมกนีเซียมกับความเครียด ตัวอย่างเช่น:

•การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrients (2020) พบว่า ผู้ที่มีระดับแมกนีเซียมต่ำมีแนวโน้มเกิดภาวะวิตกกังวลและอาการซึมเศร้ามากกว่ากลุ่มที่มีระดับแมกนีเซียมปกติ

•งานวิจัยใน Journal of the American Board of Family Medicine ชี้ว่า การเสริมแมกนีเซียมในกลุ่มที่มีอาการวิตกกังวลมีผลช่วยลดความเครียดได้จริงในระยะ 6 สัปดาห์

•นักวิจัยยังระบุด้วยว่า แมกนีเซียมทำงานสอดประสานกับวิตามิน B และกรดไขมันโอเมก้า 3 เพื่อเพิ่มผลในการควบคุมอารมณ์

⭐️แหล่งอาหารที่มีแมกนีเซียมสูง
การได้รับแมกนีเซียมจากธรรมชาติดีที่สุด โดยพบได้ในอาหารเหล่านี้:

•เมล็ดฟักทอง งาดำ เมล็ดเจีย: แหล่งแมกนีเซียมชั้นยอด
•ธัญพืชไม่ขัดสี: เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต
•ผักใบเขียวเข้ม: คะน้า ผักโขม
•ถั่วเปลือกแข็ง: ถั่วลิสง ถั่วอัลมอนด์
•กล้วย อะโวคาโด: ผลไม้ที่อุดมด้วยแร่ธาตุ
•ปลาทะเล ไข่: มีแมกนีเซียมและโปรตีนร่วมด้วย

⭐️ปริมาณที่แนะนำต่อวัน
•ผู้หญิง: 310–320 มิลลิกรัม/วัน
•ผู้ชาย: 400–420 มิลลิกรัม/วัน

ในบางสถานการณ์ เช่น เครียดเรื้อรัง หรือทำงานหนัก อาจต้องการแมกนีเซียมมากกว่าปกติ

⭐️ข้อควรระวังในการเสริมแมกนีเซียม
แม้แมกนีเซียมจากอาหารไม่เป็นอันตราย แต่การรับประทานอาหารเสริมมากเกินไป (เช่น เกิน 350 มิลลิกรัม/วัน จากอาหารเสริม) อาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย คลื่นไส้ หรือรบกวนการดูดซึมแร่ธาตุอื่นได้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนหากต้องการเสริมเป็นเม็ด

สรุป
แมกนีเซียม เป็นแร่ธาตุที่มีบทบาทสำคัญต่อสมอง ระบบประสาท และอารมณ์ งานวิจัยหลายแห่งสนับสนุนว่าการได้รับแมกนีเซียมอย่างเพียงพอสามารถช่วยลดระดับความเครียด วิตกกังวล และส่งเสริมการนอนหลับได้จริง หากต้องการดูแลสุขภาพจิตด้วยวิธีธรรมชาติ การเติมแมกนีเซียมลงในมื้ออาหารจึงเป็นทางเลือกง่าย ๆ ที่ให้ผลจริง

ที่มา: https://www.sanook.com/health/37801/

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช #เครียด #สุขภาพกาย

ในยุคที่ชีวิตเต็มไปด้วยความเร่งรีบ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันทางการศึกษา หรือแรงกดดันจากหน้าที่การงาน ทำให้หลายคนรู้สึกเหนื่...
16/09/2025

ในยุคที่ชีวิตเต็มไปด้วยความเร่งรีบ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันทางการศึกษา หรือแรงกดดันจากหน้าที่การงาน ทำให้หลายคนรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ การมองข้ามปัญหาด้านสุขภาพจิตอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตในระยะยาวได้ ดังนั้นการหันมาใส่ใจและดูแลสุขภาพจิตของตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ บทความนี้จะนำเสนอ 10 วิธีดูแลสุขภาพจิตง่าย ๆ ที่คุณสามารถนำไปใช้ได้ในทุก ๆ วัน เพื่อให้ใจกลับมาเข้มแข็งและพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์

1. ให้เวลากับการพักผ่อนอย่างเต็มที่สร้างกิจวัตรการนอนที่ดี
การนอนหลับที่มีคุณภาพคือรากฐานของสุขภาพจิตที่ดี หากคุณนอนหลับไม่เพียงพอ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) ออกมามากขึ้น ทำให้รู้สึกหงุดหงิดง่ายและไม่มีสมาธิ ควรตั้งเป้าหมายที่จะนอนให้ได้ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน และลองสร้าง กิจวัตรการนอนที่ดี เช่น การไม่เล่นโทรศัพท์ก่อนนอน หรือการอ่านหนังสือเบา ๆ เพื่อให้ร่างกายผ่อนคลายและพร้อมสำหรับการพักผ่อน

2. ออกกำลังกายเป็นประจำ
การออกกำลังกายไม่เพียงแต่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง แต่ยังช่วยหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน (Endorphin) ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขออกมา ทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและอารมณ์ดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องเป็นการออกกำลังกายที่หนักหน่วง เพียงแค่เดินเร็ว โยคะ หรือยืดเหยียดร่างกาย 15-20 นาทีต่อวัน ก็เพียงพอแล้ว

3. ฝึกการหายใจและทำสมาธิ
ในวันที่รู้สึกเหนื่อยล้า ลองหยุดพักสักครู่และฝึกการหายใจเข้า-ออกลึก ๆ ช้า ๆ จะช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลได้ การทำสมาธิเพียงวันละ 5-10 นาที จะช่วยให้จิตใจสงบ มีสมาธิมากขึ้น และมองเห็นปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน

4. เขียนระบายความรู้สึก
บางครั้งการเก็บความรู้สึกไว้ในใจอาจทำให้รู้สึกอึดอัด ลองหาเวลาว่างเขียนไดอารี่หรือบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องแย่ การได้ เขียนระบายความรู้สึก จะช่วยให้คุณได้ทบทวนและทำความเข้าใจตัวเองมากขึ้น

5. ทำในสิ่งที่รักและมีความสุข
เมื่อคุณ เรียน หรือ ทำงาน อย่างหนัก การหาเวลาให้กับงานอดิเรกหรืองานที่ชื่นชอบจะช่วยเติมพลังใจได้ ลองนึกถึงกิจกรรมที่คุณมีความสุขและหลงใหล เช่น การดูหนัง ฟังเพลง วาดรูป หรือทำอาหาร

6. พูดคุยกับคนที่ไว้ใจ
อย่าเก็บความเครียดไว้คนเดียว ลองพูดคุยกับเพื่อนสนิท ครอบครัว หรือคนรัก การได้ระบายความรู้สึกกับคนที่คุณไว้ใจจะช่วยให้คุณรู้สึกเบาสบายใจขึ้น และอาจได้มุมมองใหม่ ๆ ในการแก้ไขปัญหาด้วย

7. จำกัดการใช้โซเชียลมีเดีย
การเสพสื่อโซเชียลมากเกินไปอาจทำให้เกิดการเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับผู้อื่นได้ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของความเครียด ลองกำหนดเวลาการเล่นโซเชียลมีเดีย หรือปิดการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็น เพื่อให้คุณได้โฟกัสกับชีวิตของตัวเองมากขึ้น

8. จัดระเบียบพื้นที่รอบตัว
สภาพแวดล้อมมีผลต่อจิตใจของเราอย่างมาก หากห้องพักหรือโต๊ะทำงานรก อาจทำให้รู้สึกไม่สบายใจ ลองใช้เวลาว่างจัดระเบียบข้าวของให้เป็นระเบียบเรียบร้อย นอกจากจะช่วยให้พื้นที่ดูน่าอยู่ขึ้นแล้ว ยังส่งผลให้จิตใจสงบและปลอดโปร่งมากขึ้นด้วย

9. ลองหาความท้าทายใหม่ ๆ
การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จะช่วยให้สมองได้ทำงานและรู้สึกตื่นตัวอยู่เสมอ ลองลงเรียนคอร์สออนไลน์ที่น่าสนใจ อ่านหนังสือที่ไม่เคยอ่าน หรือลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน การ เรียน สิ่งใหม่ ๆ จะช่วยเพิ่มความมั่นใจและแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต

10. ให้รางวัลตัวเองบ้าง
หลังจากที่เหนื่อยจากการ เรียน และ ทำงาน มาอย่างหนัก อย่าลืมให้รางวัลตัวเองบ้าง อาจจะเป็นการซื้อของที่อยากได้ การไปเที่ยวพักผ่อนในสถานที่ที่ชอบ หรือการนัดกินข้าวกับเพื่อนสนิท การให้รางวัลตัวเองจะช่วยสร้างกำลังใจและทำให้คุณรู้สึกว่าความพยายามที่ผ่านมานั้นคุ้มค่า

การ ดูแลสุขภาพจิต ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่เริ่มจากการใส่ใจความรู้สึกของตัวเองในแต่ละวัน และค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้ใจของคุณกลับมาแข็งแรงและมีความสุขอีกครั้ง

ที่มา: 10 วิธีดูแลสุขภาพจิตง่ายๆ ในวันที่ใจเหนื่อยล้าจากการเรียนและการทำงาน https://share.google/Gp313Eq3OdRQphzUO

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช #สุขภาพจิต

โรค RSV หรือ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส อาจก่อให้เกิดอาการรุนแรงได้ในเด็กเล็ก เด็กที่คลอดก่อนกำหนด และผู้สูงอา...
14/09/2025

โรค RSV หรือ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส อาจก่อให้เกิดอาการรุนแรงได้ในเด็กเล็ก เด็กที่คลอดก่อนกำหนด และผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี รวมทั้งผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง หมั่นทำความสะอาดเครื่องใช้และอุปกรณ์ภายในบ้าน ล้างมือบ่อยๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารปรุงสุกใหม่ ใช้ช้อนกลาง และใส่หน้ากากอนามัยเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากโรคทางเดินหายใจ

⭐️โรค RSV คืออะไร
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส RSV เป็นโรคที่สามารถพบได้มาก ในช่วงปลายฤดูฝนไปจนถึงฤดูหนาว โรคชนิดนี้เป็นหนึ่งในโรคที่มีอาการคล้ายไข้หวัด แต่อาจก่อให้เกิดอาการรุนแรงได้ในเด็กเล็ก เด็กที่คลอดก่อนกำหนด และผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี รวมทั้งผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหอบหืด โรคหัวใจ

⭐️โรค RSV เกิดจากอะไร
การติดเชื้อของเชื้อไวรัส RSV เกิดจากการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทั้งทางม่านตา จมูก ปาก หรือสัมผัสเชื้อโดยตรงจากการจับมือ และแพร่กระจายได้ง่ายผ่านการไอหรือจาม สำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัส RSV มักมีอาการ 4-6 วัน หลังได้รับเชื้อ

⭐️อาการของโรค RSV
อาการโดยทั่วไปคล้ายไข้หวัดธรรมดา เช่น

1.มีไข้
2.ไอ
3.เจ็บคอ
4.มีน้ำมูก
5.ปวดศีรษะ

หากพบว่าเชื้อลงไปสู่ระบบหายใจส่วนล่าง ผู้ป่วยจะมีอาการรุนแรง หายใจเร็ว หอบเหนื่อย ไอรุนแรง ทำให้เกิดภาวะปอดอักเสบบางรายรุนแรงเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้

⭐️กลุ่มเสี่ยงอาการหนักจาก RSV
นายแพทย์เอนก กนกศิลป์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคชนิดนี้เกิดได้หลายช่วงอายุ แต่ในวัยผู้ใหญ่พบว่าจะมีอาการไม่รุนแรง และจะเกิดอาการที่รุนแรงในผู้ป่วยเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 15 ปี มีโรคประจำตัวหรือโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ หรือปอด หรือผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำ เป็นต้น

⭐️การตรวจวินิจฉัย RSV
สำหรับการตรวจรักษาในผู้ป่วยที่พบว่ามีอาการบ่งชี้แพทย์จะทำการตรวจหาเชื้อไวรัส RSV จากสารคัดหลั่งในจมูก การรักษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส RSV ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน และไม่มียารักษา แพทย์จะดำเนินการรักษาตามอาการของผู้ป่วย แต่หากพบว่าอาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการรุนแรงต้องรีบไป พบแพทย์ทันที

⭐️วิธีป้องกัน RSV
เพื่อป้องกันการติดโรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากไวรัส RSV เราควรดูแลตัวเองให้ดี ตามวิธีเหล่านี้

1.หลีกเลี่ยงไปในที่ชุมชนแออัด
2.รักษาความอบอุ่นให้แก่ร่างกายในช่วงอากาศเย็น
3.หมั่นทำความสะอาดเครื่องใช้และอุปกรณ์ภายในบ้านที่สัมผัสบ่อยๆ เช่น ลูกบิด ราวบันได รีโมท
4.รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่
5.ใช้ช้อนกลางเมื่อต้องรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น
6.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
7.ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์
8.ทุกคนในบ้านควรชำระร่างกายให้สะอาด เพื่อลดความเสี่ยงการเป็นพาหะนำเชื้อโรคมาแพร่กระจายให้บุคคลภายในบ้าน
9.ควรใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ

หากเรารู้จักป้องกันตนเอง เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถลดโอกาสของการติดเชื้อจากโรคทางเดินหายใจได้

ที่มา: รู้จักโรค RSV โรคทางเดินหายใจ เด็กเล็ก-คนชราเสี่ยงอาการหนัก https://share.google/DmAFLC4fD3N5uah2E

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช #สุขภาพกาย

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ #ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง...
09/09/2025

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช

การกินข้าวควรเป็นช่วงเวลาแห่งความผ่อนคลาย แต่หากต้องกินข้าวกับคนที่เราไม่สบายใจ ความเครียดที่สะสมอาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพโด...
06/09/2025

การกินข้าวควรเป็นช่วงเวลาแห่งความผ่อนคลาย แต่หากต้องกินข้าวกับคนที่เราไม่สบายใจ ความเครียดที่สะสมอาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพโดยไม่รู้ตัว ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

⭐️ทำไมกินข้าวกับคนที่ไม่ชอบอาจไม่ดีต่อสุขภาพ?

▪︎ความเครียดระหว่างมื้ออาหารส่งผลต่อระบบย่อย
เมื่อเกิดความเครียด ร่างกายจะหลั่งคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้แย่ลง งานวิจัยจาก University of California, Los Angeles (UCLA) พบว่าผู้ที่รับประทานอาหารในสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียด มีโอกาสสูงที่จะเกิดอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย และลำไส้แปรปรวน

▪︎งานวิจัยชี้อารมณ์มีผลต่อพฤติกรรมการกิน
วารสาร Appetite ตีพิมพ์ผลวิจัยที่ระบุว่า ผู้ที่รู้สึกไม่สบายใจขณะกินข้าวมักจะกินเร็วหรือมากกว่าปกติ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน และโรคที่เกี่ยวกับระบบเผาผลาญ เช่น เบาหวาน หรือไขมันพอกตับ

▪︎ความสัมพันธ์บนโต๊ะอาหารมีผลระยะยาว
งานวิจัยจาก Harvard School of Public Health รายงานว่า ความเครียดระหว่างการกินอาหารกับคนที่ไม่ชอบอาจส่งผลต่อสุขภาพหัวใจ และภูมิคุ้มกัน โดยทำให้ระดับการอักเสบในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

⭐️ความสุขขณะกินอาหารสำคัญแค่ไหน?

▪︎ระบบประสาทพาราซิมพาเธติกทำงานได้ดีขึ้น
การกินข้าวอย่างสงบในบรรยากาศที่ดีจะช่วยกระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเธติก ซึ่งช่วยให้ย่อยอาหารได้ดีขึ้น ลดอาการกรดไหลย้อน และทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้อย่างเต็มที่

▪︎อาหารอร่อยขึ้นจริงเมื่อกินกับคนที่สบายใจ
งานวิจัยจาก Oxford University พบว่า บรรยากาศและความสัมพันธ์ระหว่างผู้ร่วมโต๊ะอาหารส่งผลต่อการรับรู้รสชาติ โดยกลุ่มตัวอย่างที่กินกับเพื่อนสนิทหรือครอบครัวให้คะแนนรสชาติอาหารสูงกว่ากลุ่มที่กินกับคนแปลกหน้า

⭐️วิธีลดผลกระทบถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้
•โฟกัสที่อาหาร ใช้สติตั้งใจเคี้ยวและรับรู้รสอาหาร
•เลือกนั่งใกล้ผู้ที่รู้สึกปลอดภัยหรือสนิทใจที่สุด
•ฝึกหายใจลึกก่อนมื้ออาหาร เพื่อลดระดับคอร์ติซอล
•หลังมื้ออาหาร ควรหาเวลาส่วนตัวเพื่อคลายเครียด

สรุป
การกินข้าวไม่ใช่แค่เรื่องของการอิ่มท้อง แต่เกี่ยวพันกับสุขภาพกายและใจอย่างลึกซึ้ง งานวิจัยมากมายชี้ว่า ความรู้สึกในระหว่างมื้ออาหารส่งผลต่อระบบย่อยอาหาร ภูมิคุ้มกัน และสุขภาพในระยะยาว ดังนั้น ถ้าอยากสุขภาพดี เริ่มต้นที่การเลือก "คนร่วมโต๊ะ" ให้เหมาะสม

ที่มา: อยากสุขภาพดีอย่ากินข้าวกับคนที่ไม่ชอบ! งานวิจัยชี้มีผลร้ายแรงกว่าที่คิด https://share.google/2Ivewc45j0jpPHm9F

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช

⬧ จดจ่อกับปัจจัยที่ควบคุมได้ ปัญหาหรือปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ให้พักไว้ก่อน⬧ หลับตื่นนอนให้เขียนสิ่งที่ต้องทำโดยเรียงลำดับค...
04/09/2025

⬧ จดจ่อกับปัจจัยที่ควบคุมได้ ปัญหาหรือปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ให้พักไว้ก่อน

⬧ หลับตื่นนอนให้เขียนสิ่งที่ต้องทำโดยเรียงลำดับความสำคัญและทำเท่าที่ทำได้

⬧ จัดวันพักผ่อนให้ตัวเองโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลยอย่างน้อย 1 วันใน 1 สัปดาห์

⬧ ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 20 นาทีต่อเนื่อง และยืดเหยียดร่างกายก่อนและหลังออกกำลังกายอีก 10-15 นาที

⬧ จดบันทึกเรื่องราวดีๆ และสิ่งที่ทำให้คุณยิ้มหรือหัวเราะได้อย่างน้อยวันละ 1 เรื่อง

⬧ ทำงานฝีมือ เพราะเป็นการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ร่วมกับการฝึกสมาธิไปพร้อมๆ กัน

⬧ ฝึกโยคะในท่าที่ได้ก้มหัวลง เช่น ท่าสุนัขแลลง (Downward-Facing Dog) จะทำให้เลือดไหลไปที่สมองได้ดีมากขึ้น

⬧ ปฏิเสธให้เป็น การทำในสิ่งที่ผืนใจไม่ได้ช่วยให้คุณรู้สึกดี แต่มันจะส่งผลในทางตรงกันข้ามเสมอ

⬧ แช่หรืออาบน้ำอุ่น ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว แนะนำให้อาบหรือแช่น้ำอุ่น 10 นาที แล้วอาบน้ำเย็นปิดท้าย 5 นาที จะทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น

⬧ ใช้เครื่องหอม เช่น โลชั่นหรือน้ำมันนวดผสมน้ำมันหอมระเหยจากสมุนไพรที่คุณชอบ เช่น ลาเวนเดอร์ ทีทรี คาโมมายล์ กุหลาบ

⬧ เข้านอนและตื่นนอนในเวลาเดิม ถ้าทำได้ต่อเนื่องครบ 1 เดือน คุณก็ไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุกอีกเลย

สุดท้ายหาเวลาให้ครอบครัว เพื่อน คนรัก ใช้เวลาที่มีคุณภาพกับพวกเขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พักเรื่องงานไว้ก่อน ไว้กลับไปที่ทำงานค่อยไปทำใหม่

ที่มา: Department of Mental Health https://share.google/cFO0SOEkyUxFovps

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช

โรคดึงผมตนเอง (Trichotillomania) เป็นภาวะทางจิตเวช ทำให้ผมร่วงจากการดึงซ้ำ ๆ มักเกี่ยวข้องกับความเครียด วิตกกังวล ต้องกา...
03/09/2025

โรคดึงผมตนเอง (Trichotillomania) เป็นภาวะทางจิตเวช ทำให้ผมร่วงจากการดึงซ้ำ ๆ มักเกี่ยวข้องกับความเครียด วิตกกังวล ต้องการการดูแลรักษา

โรคดึงผมตนเอง (trichotillomania) หมายถึง โรคผมร่วงที่เกิดจากการดึงหรือถอนผมตนเอง โดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ โรคนี้จัดอยู่ในกลุ่มความผิดปกติทางจิตเวชแบบย้ำคิดย้ำทำ ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดโรคที่ชัดเจน มีสมมติฐานการเกิดโรคหลายอย่าง เช่น

▪︎เกิดจากระดับของสารสื่อประสาทในบริเวณสมองขาดความสมดุลทำให้ผู้ป่วยควบคุมพฤติกรรมการดึงผมของตนเองไม่ได้
▪︎เกิดจากความเครียดวิตกกังวลและความกดดันกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมดึงผม
▪︎โรคร่วมทางจิตเวชที่สัมพันธ์กับโรคดึงผม เช่น โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า โรคที่มีพฤติกรรมการกินผิดปกติ มีอาการเครียด เป็นต้น
▪︎โรคของหนังศีรษะเองโดยการดึงผมจะทำให้อาการดีขึ้น เช่น อาการคันจากรังแค และอาการเจ็บปวดจากปลายประสาทอักเสบ
มีข้อมูลจากการศึกษาพบว่าพันธุกรรมอาจมีส่วนในการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรค

โรคนี้พบได้ในทุกเพศทุกวัย ผู้ป่วยอาจยอมรับหรือไม่ยอมรับว่าดึงผมตนเอง ผมร่วงจะมีได้หลายลักษณะ อาทิ หย่อมเล็ก หรือกระจายหลายหย่อมทั่วศีรษะ หรืออาจกระจายทั้งศีรษะ รูปร่างของหย่อมผมร่วงมีลักษณะแปลก ตำแหน่งของผมร่วงส่วนใหญ่เป็นที่ศีรษะ แต่สามารถพบได้ในตำแหน่งอื่นที่มีขนได้แก่ ผม ขนคิ้ว ขนตา หนวดเคราและหัวหน่าว ผิวหนังบริเวณผมร่วงจะมีลักษณะปกติ อาจพบเส้นผมลักษณะเส้นสั้น ๆ มีความยาวไม่เท่ากัน บริเวณปลายผมมีลักษณะทื่อ และอาจพบผมหักงอในบริเวณผมร่วง

⭐️การวินิจฉัยโรคดึงผม
โดยทั่วไปสามารถวินิจฉัยได้จากการซักประวัติและตรวจร่างกาย ยกเว้นในรายที่มีลักษณะไม่ชัดเจนอาจต้องยืนยันการวินิจฉัยด้วยการตัดชิ้นเนื้อ จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการรักษา แพทย์ผู้รักษาประเมินผู้ป่วยเบื้องต้นว่ามีปัญหาทางจิตใจ และปัจจัยกระตุ้นการเกิดโรคหรือไม่ โดยแพทย์ผู้รักษาอาจร่วมรักษาผู้ป่วยร่วมกับจิตแพทย์ การรักษาทำได้ตั้งแต่การให้คำปรึกษาและการปรับพฤติกรรม หากเป็นรุนแรงอาจต้องให้ยาทางจิตเวชในการช่วยควบคุมอาการ และให้การรักษาเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยมีโรคทางหนังศีรษะร่วมด้วย เช่น ยาทาสเตียรอยด์รักษาภาวะหนังศีรษะอักเสบ หรือให้ยาแก้อาการปลายประสาทอักเสบ เป็นต้น

⭐️โรคนี้มีความแตกต่างกันในแต่ละช่วงอายุ
•วัยเด็กจะมีการพยากรณ์โรคดี โดยการดึงผมมักจะเป็นพฤติกรรมที่ผิดปกติ เพียงให้คำแนะนำก็สามารถปรับพฤติกรรมได้
•วัยรุ่นมักมีปัญหาทางด้านจิตใจร่วมด้วยการดำเนินโรคมักยาวนานและเป็นๆ หายๆ
•วัยผู้ใหญ่การพยากรณ์โรคไม่ดี การดำเนินโรคมักจะนานและมักมีความผิดปกติทางจิตใจร่วมด้วย ในผู้ป่วยบางคนอาจมีพฤติกรรมผิดปกติอื่นๆ เช่น การกินผมตนเอง ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการลำไส้อุดตันตามมาได้

ทั้งนี้โรคนี้อาจหายเองได้โดยแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แต่ควรไปพบแพทย์เพื่อประเมินอาการและหาความผิดปกติทางจิตใจที่อาจพบร่วมด้วย นอกจากนี้ญาติผู้ป่วยควรเข้าใจลักษณะของโรค เพื่อความเข้าใจในตัวผู้ป่วยและความร่วมมือกับแพทย์ในการรักษา

สำหรับการรักษาควรทำหลายอย่างควบคู่กัน ทั้งใช้ยา ทำพฤติกรรมบำบัด จิตบำบัด ฝึกการผ่อนคลาย เช่น ฝึกลมหายใจ ทำสมาธิ หรือจะเป็นการตั้งเป้าหมายแล้วค่อยให้รางวัลตนเอง เช่น การที่ตั้งไว้ว่าถ้าไม่ดึงผม 7 วันรวด จะพาตัวเองไปดูหนังเพื่อผ่อนคลาย

ที่มา: โรคดึงผมตนเอง ภาวะทางจิตเวชแบบย้ำคิด ย้ำทำ สาเหตุ และวินิจฉัยโรค : PPTVHD36 https://share.google/Bxk3zkCipHuhxm0zb

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช #โรคดึงผม #สุขภาพจิต

โรคแพนิกคือภาวะวิตกกังวลรุนแรงเฉียบพลัน เกิดใจสั่น หายใจไม่ทัน วิงเวียน คลื่นไส้ ไม่ใช่โรคกายแต่รักษาได้ด้วยจิตบำบัด ยา ...
01/09/2025

โรคแพนิกคือภาวะวิตกกังวลรุนแรงเฉียบพลัน เกิดใจสั่น หายใจไม่ทัน วิงเวียน คลื่นไส้ ไม่ใช่โรคกายแต่รักษาได้ด้วยจิตบำบัด ยา และการดูแลตนเองอย่างเหมาะสม

โรคแพนิก (Panic) โรคทางจิตเวชหนึ่งในกลุ่มโรควิตกกังวล ผู้ที่มีอาการแพนิกจะรู้สึกตื่นตระหนก กลัวขึ้นมาแบบสุดขีด ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกแย่และยิ่งกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง สาเหตุของอาการแพนิกที่แท้จริง ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่อาการแพนิกสามารถเกิดขึ้นมาได้เองโดยไม่มีปัจจัยกระตุ้น หรือในบางรายอาจมีปัจจัยกระตุ้น เช่น ประสบการณ์ที่เลวร้ายในอดีต, ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงหรือกระทบต่อจิตใจอย่างหนัก, เจอเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจ

การทำงานของสมองหรือสารสื่อประสาทผิดปกติ หรือแม้แต่มีคนในครอบครัวเป็นแพนิก คนกลุ่มนี้มักมีโอกาสที่จะเกิดอาการแพนิกมากกว่าคนที่ครอบครัวไม่มีใครเป็นแพนิก

⭐️อาการแพนิก
•หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ใจสั่น แน่นหน้าอก
•กระวนกระวาย หายใจเร็ว หายใจลำบาก หายใจไม่อิ่ม
•ปั่นป่วนมวนท้อง อาจรู้สึกคลื่นไส้
•ตัวสั่น มือสั่น เหงื่อซึม
•วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด คล้ายจะเป็นลม
•ชาปลายมือปลายเท้า อาจมีชาตามตัว
•รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ
•การรับรู้บิดเบือน เริ่มแยกความจริงกับความฝันไม่ออก
•กลัวอย่างท่วมท้น กลัวว่าตัวเองจะตาย กลัวจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เหมือนจะเป็นบ้า

โรคแพนิกจะมีอาการที่คล้ายกับโรคทางกายหลายโรค เช่น ไทรอยด์เป็นพิษ, โรคหัวใจ, ความดันโลหิตสูง, โรคลมชัก, โรคไมเกรน ,โรคหอบหืด ฯลฯ ซึ่งผู้ป่วยอาจมาพบแพทย์ด้วยความสับสนว่าตนเองอาจเป็นโรคทางกาย แต่เมื่อแพทย์ตรวจร่างกายแล้วพบว่าร่างกายแข็งแรงปกติ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะถูกจัดไปประเมินอาการแพนิกก่อน หากพบว่ามีอาการเข้าข่าย จิตแพทย์ก็จะวางแผนการรักษาแก้อาการแพนิกต่อไป

⭐️10 วิธีเอาชนะแพนิกง่าย ๆ

1.เข้าใจตัวโรค ยอมรับว่าเป็นโรคแพนิก เข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธี เช่น CBT หรือยา (ถ้าจำเป็น)

2.ควบคุมการหายใจ ฝึกหายใจช้า ๆ หรือใช้เทคนิค 4-7-8 เพื่อลดอาการตื่นตระหนก

3.นอนพักผ่อนให้เพียงพอ นอนอย่างมีคุณภาพ 6–8 ชั่วโมง ช่วยลดความเครียดสะสม

4.ระลึกว่าอาการแพนิกไม่อันตรายอาการเป็นแค่ชั่วคราว หายเองได้ ไม่ทำอันตรายถึงชีวิต

5.ตั้งสติให้มั่น โฟกัสกับสิ่งของรอบตัวหรือปิดตาเพื่อลดสิ่งกระตุ้นขณะมีอาการ

6.ออกกำลังกายเป็นประจำ ลดความเครียด ช่วยให้นอนหลับดีขึ้น และจิตใจสงบขึ้น

7.หลีกเลี่ยงคาเฟอีน ลดกาแฟ ชา น้ำอัดลม เพราะอาจกระตุ้นให้ใจเต้นแรงและเกิดอาการได้ง่าย

8.ไม่พึ่งสารเสพติด หลีกเลี่ยงบุหรี่และแอลกอฮอล์ เพราะเมื่อหมดฤทธิ์จะทำให้อาการแย่ลง

9.พูดคุยกับคนใกล้ตัว ให้คนรอบข้างรับรู้เพื่อช่วยดูแลและลดความวิตกเมื่อต้องเผชิญเหตุการณ์กระตุ้น

10.เผชิญหน้ากับสิ่งกระตุ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ฝึกเผชิญกับสิ่งที่กลัวบ่อย ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อสร้างความเคยชิน

⭐️ดูแลคนรอบข้างที่เป็นแพนิก
▪︎A (Approach) ประเมินสถานการณ์เพื่อเข้าถึงผู้ป่วย ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือจะต้องมีสติ ไม่ตื่นตระหนกตามผู้ป่วยไปด้วย เพราะจะยิ่งทำให้ผู้ป่วยมีอาการแพนิกมากขึ้น
▪︎L (Listen) รับฟังผู้ป่วยโดยไม่ตัดสิน
▪︎G (Give) ให้กำลังใจ เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัย
▪︎E (Encourage Professional Help) แนะนำให้ผู้ป่วยรับความช่วยเหลือจากจิตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ
▪︎E (Encourage Other Supports) คอยสนับสนุนผู้ป่วย ไม่ให้ผู้ป่วยรู้สึกอยู่อย่างโดดเดี่ยว

อาการแพนิกไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพกาย แต่หากปล่อยไว้เรื้อรัง ไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อาจทำให้ประสบกับปัญหาการใช้ชีวิต เช่น ไม่สามารถอยู่ในสังคม พัฒนาการหยุดชะงัก และมีความเสี่ยงต่อการเป็นซึมเศร้าได้

ที่มา: โรคแพนิก ไม่อันตรายแต่ต้องรักษา เปิด 10 วิธีเอาชนะเพิ่มคุณภาพชีวิต : PPTVHD36 https://share.google/RGKy3FHzlCk0K7vE5

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช #แพนิก #สุขภาพจิต

โรคสมาธิสั้น พบในผู้ใหญ่ได้ ไม่เฉพาะเด็ก ย้ำรักษาให้เร็ว ลดอุบัติเหตุ ใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้ แนะ 9 วิธีปรับเปลี่ยนพฤต...
27/08/2025

โรคสมาธิสั้น พบในผู้ใหญ่ได้ ไม่เฉพาะเด็ก ย้ำรักษาให้เร็ว ลดอุบัติเหตุ ใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้ แนะ 9 วิธีปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อลดปัญหาการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ลดพฤติกรรมใจร้อนหุนหันพลันแล่น

โรคสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder) ไม่ใช่อาการที่พบได้เฉพาะวัยเด็กเท่านั้น วัยหนุ่มสาวหรือวัยผู้ใหญ่ก็พบได้เช่นกัน ซึ่งสมาธิสั้นในผู้ใหญ่จะไม่ซนเหมือนในเด็ก แต่จะมีปัญหาเรื่องการวางแผน การแก้ไขปัญหา หงุดหงิด สมาธิไม่ดี ทำงานไม่เสร็จ เพราะมีความผิดปกติของสมองส่วนหน้าที่เกี่ยวข้องกับความคิด การวางแผน การบริหารจัดการชีวิตในเรื่องต่างๆ (Executive Functions-EF)

⭐️อาการโรคสมาธิสั้น ที่พบบ่อย
▪︎วอกแวกง่าย
▪︎ฟังอะไรจับใจความไม่ค่อยได้
▪︎ทำงานไม่เสร็จทันเวลาที่กำหนด
▪︎ขาดความสามารถในการบริหารจัดการเวลาที่ดี
▪︎ทำงานผิดพลาดบ่อย
▪︎หาอะไรไม่ค่อยเจอ
▪︎ผัดวันประกันพรุ่ง
▪︎มาสายเป็นประจำ
▪︎หุนหันพลันแล่น
▪︎ขาดความยับยั้งชั่งใจ
▪︎ไม่คิดก่อนทำ ทำตามใจชอบ
▪︎อารมณ์ขึ้นลงเร็ว โกรธง่าย หายเร็ว
▪︎มีปัญหากับบุคคลรอบข้างบ่อยๆ เบื่อง่าย คอยอะไรนานๆ ไม่ค่อยได้ เครียด หงุดหงิดง่าย บางคนซึมเศร้าและวิตกกังวล นอนไม่หลับ

อาการโรคสมาธิสั้น เสี่ยงต่อปัญหาการติดสุราและยาเสพติดอื่นๆ รวมทั้งมีปัญหาเรื่องการขับรถและประสบอุบัติเหตุได้ง่ายกว่าคนปกติ เพราะไม่มีใจจดจ่อ จึงมักมีปัญหาเรื่องขับรถเร็วเกินพิกัดและฝ่าฝืนกฎจราจร เป็นต้น

หากสงสัยว่าตัวเองหรือคนใกล้ชิดเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่นั้น ทางที่ดีควรรีบพบจิตแพทย์ เพื่อประเมิน วินิจฉัย และให้การรักษาอย่างถูกต้องต่อไป ซึ่งการรักษาโรคสมาธิสั้นนั้น รักษาได้ด้วยยาและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้การรับประทานยาจะอยู่ภายใต้การวินิจฉัยและกำกับดูแลโดยแพทย์ ซึ่งโรคนี้เกิดจากสารเคมีในสมองส่วนหน้าไม่สมดุล การกินยาจะช่วยทำให้สมาธิดีขึ้นได้ และสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น โดยส่วนใหญ่รักษาหายหรือควบคุมอาการได้ สามารถทำงานและใช้ชีวิตปกติได้ มีเพียงประมาณร้อยละ 30 ที่อาการอาจแย่ลงและมีปัญหาพฤติกรรม เช่น ติดยา ก้าวร้าว ครอบครัวและผู้ใกล้ชิดจึงต้องให้ความร่วมมือในการดูแล ให้กำลังใจและความเข้าใจ

⭐️วิธีการปฏิบัติตัวหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
•ฝึกอารมณ์ตนเอง ไม่ดีใจหรือเสียใจเร็วเกินไป
•รู้จักสังเกตอารมณ์ของผู้อื่น รู้จักรอคอย รับฟัง เอาใจเขามาใส่ใจเรา เพื่อลดปัญหาการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
•ลดพฤติกรรมใจร้อนหุนหันพลันแล่น เช่น ควรขับรถให้ช้าลง
•จัดตารางเวลาในการทำงานและใช้ชีวิต มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า
•จัดวางสิ่งของเครื่องใช้ให้เป็นระเบียบเป็นที่เป็นทาง
•ทำประโยชน์ให้แก่ตัวเองและผู้อื่น เพื่อสร้างความภาคภูมิใจ เสริมความมั่นใจ และความมีคุณค่าให้ตัวเอง
พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
•รับประทานอาหารที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงอาหารประเภทน้ำตาลและกาเฟอีน
•ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ทั้งนี้ ผู้ที่เป็นโรคสมาธิสั้น หากได้รับการวินิจฉัยและรับการรักษาได้เร็วจะทำให้ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างไม่ลำบาก

ที่มา: “โรคสมาธิสั้นในผู้ใหญ่” วอกแวกง่าย มีปัญหากับคนอื่นบ่อย ต้องเช็ก! : PPTVHD36 https://share.google/XyojHOwoeVJ1j6nod

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช #สมาธิสั้น #สุขภาพจิต

ที่อยู่

อาคารตั้งฮั่วปัก ชั้น3J หัวลำโพง (MRTหัวลำโพง ทางออก1)
Bangkok
10500

เวลาทำการ

จันทร์ 08:00 - 22:00
อังคาร 08:00 - 22:00
พุธ 08:00 - 22:00
พฤหัสบดี 08:00 - 22:00
ศุกร์ 08:00 - 22:00
เสาร์ 08:00 - 22:00
อาทิตย์ 08:00 - 22:00

เบอร์โทรศัพท์

+66649945499

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ปรึกษาสุขภาพจิตออนไลน์ The Mind Talkผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง ปรึกษาสุขภาพจิตออนไลน์ The Mind Talk:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram