ปรึกษาสุขภาพจิตออนไลน์ The Mind Talk

ปรึกษาสุขภาพจิตออนไลน์ The Mind Talk เครียด ปัญหาชีวิต..ปรึกษาออนไลน์กับ? กรุณาโทรนัดหมายล่วงหน้า
Please make appointment at
064-9945499
Line ID : (มี@ด้วยค่ะ)

โรคซึมเศร้าเป็นโรคทางอารมณ์ที่พบบ่อย เกิดได้จากทั้งสมอง สภาพแวดล้อม และจิตใจ แต่สามารถรักษาได้หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะ...
06/08/2025

โรคซึมเศร้าเป็นโรคทางอารมณ์ที่พบบ่อย เกิดได้จากทั้งสมอง สภาพแวดล้อม และจิตใจ แต่สามารถรักษาได้หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

โรคซึมเศร้าเป็นโรคทางอารมณ์ที่พบบ่อย โดยมีความชุกตลอดช่วงชีวิตถึง 12% พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายและพบได้ในทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์เลวร้ายที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึก เช่น การสูญเสีย ความผิดหวัง หรือการหย่าร้าง การเป็นโรคนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่เป็นนั้นจะเป็นคนอ่อนแอ ล้มเหลว หรือไม่มีความสามารถ เพราะมีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันว่า โรคซึมเศร้ามีสาเหตุส่วนหนึ่งจากการทำงานของระบบสมองที่ผิดปกติ

ปัจจุบันโรคซึมเศร้าสามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาและการรักษาทางจิตใจ หากไม่ได้รับการรักษาอาจเกิดผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน การทำงาน และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง นำไปสู่ภาวะซึมเศร้าที่รุนแรงมากขึ้น เช่น มีอาการหลงผิด หูแว่ว มีความคิดทำร้ายตนเองหรือฆ่าตัวตาย

⭐️สาเหตุโรคซึมเศร้า
•ความผิดปกติในสมอง เช่น สารสื่อประสาท ฮอร์โมน และวงจรระบบประสาท
•ผู้ที่มีญาติเป็นโรคทางอารมณ์จะมีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่า แต่ทั้งนี้ผู้ที่ไม่มีญาติเป็นโรคทางอารมณ์ก็อาจเป็นโรคนี้ได้
•สภาพจิตใจของแต่ละคนอันเนื่องมาจากการเลี้ยงดู สภาพแวดล้อม และเหตุการณ์เลวร้ายในชีวิต ซึ่งส่งผลต่อกระบวนการคิดและมุมมองต่อตนเอง เช่น มองโลกในแง่ร้าย สิ้นหวังหรือขาดความภูมิใจในตนเอง เป็นต้น
•ภาวะซึมเศร้าอาจเกิดจากความผิดปกติอื่น ๆ เช่น โรคทางกาย (ไทรอยด์ ลมชัก สมองเสื่อม ฯลฯ) ยารักษาโรคบางชนิด ปัญหายาเสพติด โรคอารมณ์สองขั้ว โรควิตกกังวล ฯลฯ

⭐️อาการโรคซึมเศร้า
ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้ามักมีอาการดังต่อไปนี้ต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 2 สัปดาห์

•เก็บตัว แยกตัวออกจากสังคม
•รู้สึกเศร้า ท้อแท้ และสิ้นหวัง
•รู้สึกตนเองไร้ค่า
•รู้สึกผิดและโทษตนเองตลอดเวลา
•ขาดความสนใจหรือความเพลิดเพลินในการทำกิจกรรมต่าง ๆ
•เคลื่อนไหวช้าลงหรือกระสับกระส่าย
•เหนื่อยและอ่อนเพลียตลอดเวลา
•ขาดสมาธิ ความสามารถในการคิดและการตัดสินใจน้อยลง
•เบื่ออาหารหรืออยากอาหารมากขึ้น
•นอนมากหรือน้อยกว่าปกติ
•มีความคิดหรือพยายามฆ่าตัวตาย
•มีปัญหาในการทำงานและการใช้ชีวิตในสังคม

การรักษาหลักของโรคซึมเศร้า คือ การพูดคุยให้คำปรึกษา การทำจิตบำบัดและการใช้ยากลุ่มต้านเศร้า ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงอาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถดีขึ้นได้จนสามารถทำงานและดำรงชีวิตได้อย่างปกติหากได้รับการรักษาที่เหมาะสม

ที่มา: เปิดสาเหตุ “โรคซึมเศร้า” เผยอาการและวิธีการรักษาทางจิตใจ : PPTVHD36 https://share.google/OWAwbpomLusi5rTxC

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช #โรคซึมเศร้า #สุขภาพจิต #รักษาซึมเศร้า

ดื่มน้ำก่อนนอนดีหรือไม่? คำถามนี้ถูกพูดถึงในหลายวงการสุขภาพ บ้างว่าเสี่ยงตื่นกลางดึก บ้างว่าเป็นเคล็ดลับช่วยดีท็อกซ์ แล้...
03/08/2025

ดื่มน้ำก่อนนอนดีหรือไม่? คำถามนี้ถูกพูดถึงในหลายวงการสุขภาพ บ้างว่าเสี่ยงตื่นกลางดึก บ้างว่าเป็นเคล็ดลับช่วยดีท็อกซ์ แล้วอะไรคือความจริง? มาฟังคำแนะนำจากนักโภชนาการกัน

⭐️เหตุผลที่หลายคนไม่แนะนำให้ดื่มน้ำก่อนนอน
▪︎เสี่ยงรบกวนการนอน
การดื่มน้ำก่อนนอนมากเกินไปอาจทำให้คุณต้องลุกเข้าห้องน้ำกลางดึก ซึ่งส่งผลให้คุณนอนหลับไม่สนิท และกระทบต่อคุณภาพการพักผ่อน

▪︎เพิ่มโอกาสบวมน้ำ
สำหรับบางคน โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะไตทำงานผิดปกติหรือเป็นโรคหัวใจ การดื่มน้ำในช่วงก่อนนอนอาจทำให้เกิดอาการบวมน้ำในตอนเช้าได้

▪︎ระบบเผาผลาญไม่ได้พัก
แม้การดื่มน้ำจะมีส่วนช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ แต่ถ้าเราดื่มมากเกินไปก่อนนอน ระบบย่อยอาหารอาจถูกกระตุ้นในเวลาที่ร่างกายควรได้พักผ่อน

⭐️แล้วควรดื่มน้ำเวลาไหนดี?
▪︎ช่วงที่ดีที่สุดคือก่อนเข้านอน 1–2 ชั่วโมง
นักโภชนาการแนะนำว่า ถ้าต้องการดื่มน้ำก่อนนอน ควรดื่มในช่วงก่อนนอนประมาณ 1–2 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายมีเวลาขับออกก่อนนอนจริง

▪︎ปรับปริมาณให้เหมาะสม
ควรดื่มเพียง ½ – 1 แก้วพอให้ชุ่มคอ ไม่แนะนำให้ดื่มเกิน 1 แก้วในช่วงก่อนนอน

⭐️ประโยชน์ของการดื่มน้ำก่อนนอน (ในปริมาณที่พอเหมาะ)
•ช่วยรักษาความชุ่มชื้นในร่างกายตลอดคืน
•ลดโอกาสตื่นมาคอแห้ง
•ช่วยปรับอุณหภูมิร่างกายให้สมดุล
•อาจช่วยลดความเสี่ยงของตะคริวในบางคนฝ

⭐️ใครบ้างที่ควรเลี่ยงการดื่มน้ำก่อนนอน?
•ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะ
•ผู้สูงอายุที่มักตื่นบ่อยกลางดึก
•ผู้ที่ต้องควบคุมปริมาณน้ำ เช่น ผู้ป่วยโรคไตหรือโรคหัวใจ

สรุป
ดื่มน้ำก่อนนอนไม่ใช่เรื่องแย่ หากทำอย่างพอเหมาะพอดี ควรดื่มล่วงหน้าอย่างน้อย 1–2 ชั่วโมง และจำกัดปริมาณไม่ให้มากเกินไป เพื่อไม่ให้รบกวนการนอนหลับ หากคุณมีภาวะสุขภาพเฉพาะ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนจะปรับพฤติกรรมการดื่มน้ำก่อนเข้านอน

ที่มา: ดื่มน้ำก่อนนอน ไม่ดีจริงไหม? เฉลยข้อเท็จจริงจากนักโภชนาการ https://share.google/esrrOpD5BPSeONT7z

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช #สุขภาพกาย #น้ำดื่ม

หากวันไหน ที่อยู่ ๆ รู้สึกว่าชีวิตแย่ โลกนี้ไม่น่าอยู่ คุณอาจกำลังตกอยู่ในภาวะโรคซึมเศร้า เปิด 9 ข้อเกณฑ์วินิจฉัยของแพทย...
03/08/2025

หากวันไหน ที่อยู่ ๆ รู้สึกว่าชีวิตแย่ โลกนี้ไม่น่าอยู่ คุณอาจกำลังตกอยู่ในภาวะโรคซึมเศร้า เปิด 9 ข้อเกณฑ์วินิจฉัยของแพทย์ เป็นนานแค่ไหน ? หนักแค่ไหน ? ควรพบแพทย์ทันที

“โรคซึมเศร้า” โรคทางจิตเวชที่คร่าชีวิตคนมาแล้วมากมาย และเราแทบไม่รู้เลยว่า คนที่เดินสวนกัน คนที่นั่งทำงานด้วยกัน หรือแม้กระทั่งคนที่อยู่บ้านเดียวกันเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่ อย่าว่าแต่คนรอบข้างเลย แม้แต่ตัวของเราเองยังไม่รู้เลยว่า อาการดิ่งแบบนี้ใช่ซึมเศร้าหรือไม่?

⭐️อาการแบบนี้ใช่โรคซึมเศร้าหรือไม่?
มักมีอารมณ์เชิงลบ มีอารมณ์เศร้า ท้อแท้ หดหู่ สิ้นหวังอย่างต่อเนื่อง ร้องไห้โดยไม่ทราบสาเหตุ มีความกังวลหรือหงุดหงิดมากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานและความสัมพันธ์ต่อคนรอบข้าง

▪︎เบื่อหน่ายสิ่งรอบตัว เก็บตัว ไม่อยากพบไม่อยากคุยกับใคร เลิกสนใจในกิจกรรมที่เคยชอบทำ
▪︎พฤติกรรมการกินผิดปกติ เบื่ออาหารหรืออยากอาหารมากขึ้น กินน้อยไป กินมากไปทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงผิดปกติ
▪︎มีปัญหาในการนอน นอนไม่หลับ นอนหลับไม่สนิท หรือนอนมากจนเกินไป
▪︎กระวนกระวายหรือเฉื่อยชา มีอาการกระสับกระส่าย ▪︎กระวนกระวายมากเกินไป หรือมีอาการตรงกันข้าม คือ เฉื่อยชา เคลื่อนไหวช้าลง
▪︎อ่อนเพลียง่าย มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำอะไรทั้งสิ้น
▪︎สมาธิสั้น ความจำแย่ลง สมาธิในการทำสิ่งต่างๆ และความสามารถในการคิดและการตัดสินใจลดลง
▪︎สูญเสียความมั่นใจ รู้สึกตนเองไร้ค่า คิดว่าตนเองเป็นภาระ สูญเสียความมั่นใจในตนเอง รู้สึกผิดและโทษตนเองอยู่ตลอดเวลาในทุกๆ เรื่อง
▪︎ไม่อยากมีชีวิตอยู่ คิดเรื่องความตายหรือการฆ่าตัวตายอยู่บ่อยครั้ง

ข้อสำรวจนี้เป็นเกณฑ์ที่แพทย์ใช้ในการวินิจฉัยโรคซึมเศร้า หากพบว่าตัวเองหรือคนใกล้ชิดนั้น
•อาการอย่างน้อย 5 อาการขึ้นไป
•มีอาการในข้อ 1 หรือข้อ 2 ร่วมด้วยอย่างน้อย 1 ข้อ
•มีอาการตลอดทั้งวัน
•เป็นแทบทุกวัน ต่อเนื่องอย่างน้อย 2 สัปดาห์

ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เพื่อหาแนวทางแก้ไขหรือรักษาต่อไป เพราะอาจเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าได้

⭐️เตรียมรับมือ โรคซึมเศร้า
เราต้องหมั่นให้เวลาในการสังเกต “ร่างกาย” และ “จิตใจ” ทั้งของตัวเองและคนใกล้ชิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือมีอะไรที่ผิดปกติบ้างหรือไม่ เพราะ “โรคซึมเศร้า” ยิ่งเรารู้จักมันมากเท่าไหร่ เรายิ่งรับมือกับมันได้ดีมากขึ้นเท่านั้น

หากยังมีอาการไม่มาก ควรหาความรู้และคำแนะนำที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าจากแพทย์เฉพาะทาง เพราะจะได้เรียนรู้วิธีการประคับประคองและจัดการอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม

▪︎หมั่นออกกำลังกาย หรือหากิจกรรมทำร่วมกับเพื่อนๆ หรือคนในครอบครัว จะทำให้ร่างกายสดชื่น มีพลังที่ดี จะช่วยให้อาการไม่แย่ลง
▪︎การหากิจกรรมทำเพื่อให้ผู้ป่วยผ่อนคลาย ไม่คิดถึงแต่เรื่องในอดีตที่ทำให้เครียด พยายามให้ผู้ป่วยมีสติอยู่กับปัจจุบัน จะช่วยให้อาการป่วยทางใจค่อยๆ บรรเทาลงได้มาก
▪︎คนใกล้ชิดหรือคนในครอบครัว ควรทำความเข้าใจเรื่องของโรคซึมเศร้าให้มาก เพื่อจะได้เข้าใจและรับมือกับผู้ป่วยอย่างถูกวิธี พร้อมกับเฝ้าระวังและสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด สำคัญที่สุดคือการลดปัจจัยกระตุ้นอาการซึมเศร้าต่างๆ เช่น คำพูดที่อาจกระทบกระเทือนจิตใจ การทะเลาะกัน ทำให้บรรยากาศตึงเครียด และควรงดดูสื่อต่างๆ ที่มีเนื้อหาเร้าอารมณ์ เป็นต้น

หากมีอาการจากโรคซึมเศร้าชัดเจนมากขึ้นควรไปพบจิตแพทย์ เพื่อช่วยประเมินและเข้ารับการรักษาบำบัดอย่างถูกต้องและเหมาะสม หากมีอาการโรคซึมเศร้าในขั้นรุนแรง ทำร้ายตัวเอง หรือเสี่ยงต่อผู้อื่นจะได้รับอันตราย ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาลทันที

ทั้งนี้โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่มีโอกาสรักษาให้หายได้ เพียงต้องได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสม เริ่มจากการสอบถามอาการ ผลกระทบที่เกิดขึ้น ระดับความรุนแรง โรคประจำตัว ยาที่รับประทานเป็นประจำ ไปจนถึงการใช้ชีวิตประจำวัน จากนั้นแพทย์เฉพาะทางจะเป็นผู้ประเมินว่าควรรักษาแบบใด ถ้าหากสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดมีอาการบ่งชี้ว่าอาจเป็นโรคซึมเศร้าควรรีบมาพบแพทย์ทันที

ที่มา: https://www.pptvhd36.com/health/how-to/5610

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช #สุขภาพจิต #โรคซึมเศร้า

ความเครียดสะสมในวัยทำงาน ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต ที่ส่งผลเสียทั้งแบบฉับพลันและเรื้อรังเสี่ยงภาวะหมดไฟและเป็นสาเหตุการสู...
02/08/2025

ความเครียดสะสมในวัยทำงาน ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต ที่ส่งผลเสียทั้งแบบฉับพลันและเรื้อรังเสี่ยงภาวะหมดไฟและเป็นสาเหตุการสูญเสีย

“สุขภาพจิต” ประเด็นปัญหาที่พบมากขึ้นในวัยทำงาน และมีแนวโน้มสูงขึ้น ถือเป็นสาเหตุการเจ็บป่วยและสูญเสียอันดับต้น ๆ ไม่ใช่แค่ในไทยแต่ถึงระดับโลกเลยทีเดียว ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเกิดปัญหาสุขภาพจิตในวัยทำงาน ได้แก่ ความเครียดจากงาน สภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม การไม่มีสมดุลงานและชีวิต Work-life Balance และความไม่ลงตัวระหว่าง ความคาดหวังในงานและอำนาจการควบคุมงาน

⭐️ปัญหาสุขภาพจิตจากงาน
▪︎แบบฉับพลัน ความเครียด ความวิตกกังวล ความรู้สึกเศร้า ความอยากอาหารลดลง การเผาผลาญในร่างกายผิดปกติ
▪︎แบบเรื้อรัง ภาวะหมดไฟ (Burnout) ระดับภูมิคุ้มกันลดลง ความต้องการทางเพศลดลง ความดันโลหิตสูง ตลอดจนความผิดปกติทางจิต

⭐️วิธีฟื้นฟูสุขภาพจิตวัยทำงาน
•ลดปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเครียด
•พักบ้างระหว่างวัน ไม่ควรตึงเครียดเดินไป
•ปรับปรุงการสื่อสารในที่ทำงาน พัฒนาการทำงานเป็นทีม
•จัดสถานที่ทำงานและสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม
•ส่งเสริมให้ผู้บริหารสนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน
•ให้ความรู้พนักงานเกี่ยวกับประเด็นสุขภาพจิต
•ให้การสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การออกกำลังกาย การทำสมาธิ
•ดูแลใส่ใจพนักงานที่ประสบปัญหาสุขภาพจิตอย่างเหมาะสม

นอกจากนี้การเล่าความรู้สึกของตัวเองให้คนอื่นฟังก็เป็นทางออกที่ช่วยให้คลายความเครียดลงได้ แต่สำหรับบางคนคงจะเป็นเรื่องยากที่จะพูดถึงความรู้สึกในที่ทำงาน ดังนั้น ให้เราลองหาเพื่อนร่วมงานที่เรารู้สึกสบายใจที่จะพูดคุยด้วย หรืออาจเป็นคนในครอบครัวก็ได้ การพูดคุยนี้ไม่ได้หมายความว่าเราอ่อนแอเสมอไปนะ แต่มันเป็นการระบายเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น ลองดูสิ แล้วจะรู้ว่ามันได้ผล อย่างไรก็ตาม การจัดการดูแลสุขภาพจิตในที่ทำงานที่ดี ส่งผลต่อสุขภาพที่ดีส่วนบุคคล เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และประหยัดค่าใช้จ่ายขององค์กรในระยะยาว โดยต้องอาศัยความร่วมมือ จาก นายจ้าง พนักงาน และบุคลากรทางการแพทย์

ที่มา: https://www.pptvhd36.com/health/how-to/4750|

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช #เครียด #ปัญหาการทำงาน #สุขภาพจิต

หวาดระแวง (Paranoid) รู้สึกมีคนจ้องจะทำร้าย หรือคิดว่าตัวเองมีพลังวิเศษ หนึ่งในอาการหลงผิด เผยสาเหตุ วิธีดูแลผู้ป่วยและก...
30/07/2025

หวาดระแวง (Paranoid) รู้สึกมีคนจ้องจะทำร้าย หรือคิดว่าตัวเองมีพลังวิเศษ หนึ่งในอาการหลงผิด เผยสาเหตุ วิธีดูแลผู้ป่วยและการรักษา!

หวาดระแวง (Paranoid) หนึ่งในโรคจิตเภทอาการหลงผิด คือภาวะผิดปกติทางความคิดที่ทำให้เคลือบแคลงสงสัยหรือระแวงผู้อื่นอย่างไม่มีเหตุผล ผู้ป่วยอาจรู้สึกว่า มีคนจ้องทำร้ายอยู่ตลอดเวลา คิดว่าคนรอบข้างไม่ชอบตนเอง หรือไม่ไว้ใจผู้อื่น โดยอาการหลงผิดที่พบบ่อยที่สุดคือ ระแวงว่าตนถูกกลั่นแกล้ง หรือถูกปองร้าย ผูกเรื่องเชื่อมโยงไปในแนวทางเดียวกัน ผู้ที่มีอาการหลงผิดอาจมีอารมณ์หงุดหงิด โกรธ อารมณ์เสีย หรือภาพหลอน หูแว่ว ร่วมด้วย

นอกจากการหวาดระแวงแล้ว ผู้ป่วยอาการหลงผิดคิดว่าตนเองเป็นบุคคลสำคัญผู้ป่วยอาจจะเชื่อว่าตนเองเป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นเทพ เป็นผู้นำประเทศ มีความสามารถพิเศษ เหนือธรรมชาติ เช่น รู้อดีตชาติ สามารถเนรมิตฝนฟ้าคะนองได้

⭐️สาเหตุของโรคจิตเภท
ทางการแพทย์เชื่อว่าเกิดจากสารเคมีในสมองทำงานบกพร่อง แต่อย่างไรก็ตามพบว่ามีปัจจัยหลายประการที่มีผลต่อความรุนแรงของโรค

▪︎กรรมพันธุ์
▪︎การเลี้ยงดู ที่ขาดการสื่อสารที่เหมาะสม และขาดความเสมอต้น เสมอปลาย รวมทั้งบทบาทหน้าที่ของ
สมาชิกครอบครัวสับสน
▪︎สิ่งแวดล้อม ที่กดกัน เศรษฐกิจตกต่ ายุ่งเหยิง
สาเหตุกระตุ้นอื่น ๆ เช่น ความเครียดอย่างรุนแรง ความผิดหวัง
▪︎การใช้สารเสพติด

⭐️การดูแลผู้ป่วยอาการหลงผิด
•เขียนบันทึก สังเกต/เขียนสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง เช่น สิ่งที่ทำให้หวาดระแวง/หลงผิด ความถี่ของอาการพฤติกรรมตนเอง
•ปรึกษาคนรอบข้าง ระบายความเครียด กังวล
ทำกิจกรรม ใช้เวลากับคนในครอบครัว เพื่อน คนรอบข้าง
•ผ่อนคลายความกังวล หางานอดิเรก
•ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย รับประทานอาหารให้ครบถ้วน
•เลี่ยงการใช้สารเสพติด

⭐️ด้านญาติผู้ป่วยอาการหลงผิด
•สังเกตอาการ อะไรที่เป็นสาเหตุทำให้ผู้ป่วยรู้สึกหวาดระแวง
•พูดคุยเปิดใจ ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับรู้มุมมองที่ต่างออกไป ลดความเครียด
•ทำความเข้าใจ ความรู้สึก ไม่มองว่าเป็นเรื่องไร้เหตุผล แต่ควรเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้ป่วย และหมั่นสังเกตถึงความรุนแรงของอาการและพยายามช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้นเมื่อเกิดอาการหวาดระแวง
•ช่วยเหลือเต็มที่ คอยสอบถามและเสนอตัวให้ความช่วยเหลือ เพื่อให้ผู้ป่วยมั่นใจว่ามีคนให้พึ่งพาได้ในยามเผชิญปัญหา
•เคารพการตัดสินใจ ไม่ตัดสินใจแทนผู้ป่วย

ที่มา: https://www.pptvhd36.com/health/how-to/5011

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช #ระแวง #สุขภาพจิต

ซึมเศร้า เจ็บป่วยทางจิตเวช เกิดจากหลากหลายสาเหตุและปัจจัย ที่หายเองไม่ได้ต้องรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ! เผยอาการต้องระวั...
27/07/2025

ซึมเศร้า เจ็บป่วยทางจิตเวช เกิดจากหลากหลายสาเหตุและปัจจัย ที่หายเองไม่ได้ต้องรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ! เผยอาการต้องระวัง!

ปัจจุบัน โรคซึมเศร้าถือเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายสูง ซึ่งไม่ใช่โรคทางร่างกายแต่เป็นโรคทางจิตใจ นับเป็นความเจ็บป่วยทางจิตเวช ที่ร้ายแรงไม่แพ้กับโรคทางกาย ส่งผลกระทบต่อความนึกคิดอารมณ์ ความรู้กสึก พฤติกรรม รวมถึงสุขภาพร่างกาย คนส่วนใหญ่มักคิดว่าโรคซึมเศร้าหายเองได้ แต่ความจริงต้องอาศัยการบำบัดรักษาทางจิตเวชอย่างจริงจัง

⭐️ประเภทของโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าทั่วไป แสดงอาการเบื่อ ท้อแท้ และเศร้าสลดอย่างมากนานเกิน 2 สัปดาห์

สาเหตุโรคซึมเศร้าทั่วไป มีเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง การสูญเสีย หรือผิดหวังความเครียดสะสมยาวนาน อาจมีอาการทางจิต เช่น หวาดระแวง และหูแว่ว การเปลี่ยนแปลงตามวัยโดยเฉพาะผู้สูงอายุ

โรคซึมเศร้าเรื้อรัง รุนแรงน้อยกว่ากรณีแรก แต่เป็นต่อเนื่องนานอย่างน้อย 2 ปี และมักนานกว่า 5 ปี
สาเหตุ โรคซึมเศร้าเรื้อรัง ทุกข์ใจมายาวนาน แม้จัดการได้ระดับหนึ่ง แต่ผู้ป่วยจะรู้สึกไม่มีความสุขมาเป็นเวลาหลายปี ลงเอยด้วยการป่วยเป็นโรคซึมเศร้าแบบชัดเจน

โรคซึมเศร้าแบบไบโพลาร์ดิสออเดอร์ มีอารมณ์เซ็ง ซึมเศร้า สลับกับร่าเริงผิดปกติ (Mania) ใน 1 ปีอาจมีอาการนี้หลายครั้ง มีผลต่อการตัดสินใจ เช่น ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายหรือตัดสินใจผิด ๆ และอาจคิดฆ่าตัวตาย

⭐️อาการสังเกตโรคซึมเศร้า
•หมดความสนใจ ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่เคยทำอย่างสนุกสนาน
•มีอารมณ์เซ็ง เศร้า หมดที่พึ่ง หมดหวัง อยู่ดี ๆ ก็อยากร้องไห้
•นอนมากเกินไปหรือนอนไม่หลับ ตื่นเช้าผิดปกติ หงุดหงิดกังวล
•น้ำหนักลดหรือเพิ่ม กว่าร้อยละ 5 ของน้ำหนักตัวปกติ
•หงุดหงิด โมโหง่าย ขี้รำคาญ หรือทำอะไรช้าลง
•อ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีพลังในการทำงาน ดูเหมือนคนเกียจคร้าน
•ขาดความมั่นใจในตนเอง
•คิดถึงแต่เรื่องตาย หรือมีความคิดทำร้ายตนเองแวบขึ้นมาอยู่บ่อย ๆ
•ขาดสมาธิในการคิดจนตัดสินใจหรือจำอะไรไม่ได้ มัก•บ่นว่ามีปัญหาเรื่องความจำ
•สูญเสียความรู้สึกทางเพศ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมีปัญหานี้มาก่อน

หากคุณมีอาการแบบนี้ติดต่อกันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ควรรีบปรึกษาแพทย์

อย่างไรก็ตามหากรู้สึกความผิดปกติ มันเศร้าจนเกินจะรับไหวแนะนำให้ปรึกษาคนที่สามารถไว้ใจได้ หรือพบจิตแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษา เพราะซึมเศร้าไม่สามารถหายเองได้!

ที่มา: https://www.pptvhd36.com/health/how-to/5001

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช #สุขภาพจิต #ซึมเศร้า

หมอนที่เราหนุนนอนทุกคืนเป็นแหล่งสะสมของเหงื่อ ไรฝุ่น เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และสิ่งสกปรกต่างๆ หากไม่ทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ...
27/07/2025

หมอนที่เราหนุนนอนทุกคืนเป็นแหล่งสะสมของเหงื่อ ไรฝุ่น เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และสิ่งสกปรกต่างๆ หากไม่ทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและสุขอนามัยได้ การทำความสะอาดหมอนเป็นประจำจึงเป็นสิ่งสำคัญ วันนี้เรามีวิธีทำความสะอาดหมอนหลากหลายประเภทมาฝากกันค่ะ

⭐️วิธีทำความสะอาดหมอน แต่ละประเภท
1. หมอนใยสังเคราะห์ (Polyester/Synthetic Pillows)
หมอนใยสังเคราะห์เป็นประเภทที่พบได้บ่อยที่สุดและทำความสะอาดง่ายที่สุด

สิ่งที่ต้องเตรียม:
•น้ำยาซักผ้าอ่อนๆ
•น้ำร้อน (ถ้าหมอนมีคราบมาก)
•ลูกเทนนิส (สำหรับปั่นในเครื่องอบผ้า)

■วิธีทำความสะอาด:
▪︎ตรวจสอบป้าย: ตรวจสอบป้ายที่หมอนก่อนเสมอ เพื่อดูคำแนะนำในการซักและอุณหภูมิที่เหมาะสม
▪︎ใส่ในเครื่องซักผ้า: โดยทั่วไป หมอนใยสังเคราะห์สามารถซักด้วยเครื่องซักผ้าได้ แนะนำให้ใส่หมอน 2 ใบพร้อมกัน เพื่อช่วยให้เครื่องซักผ้าสมดุล
▪︎ใช้น้ำร้อน (ถ้าจำเป็น): หากหมอนมีคราบเหลืองหรือกลิ่นอับมาก สามารถเลือกโปรแกรมซักด้วยน้ำร้อนได้ แต่ถ้าหมอนไม่สกปรกมาก ใช้น้ำอุ่นหรือน้ำเย็นก็ได้
▪︎ใช้น้ำยาซักผ้าแบบน้ำ: ใช้น้ำยาซักผ้าแบบน้ำในปริมาณที่น้อยกว่าปกติ เพื่อป้องกันการตกค้าง
▪︎ปั่นแห้ง: ปั่นแห้งด้วยความร้อนต่ำถึงปานกลาง และใส่ลูกเทนนิส 2-3 ลูกลงไปในเครื่องอบผ้าด้วย ลูกเทนนิสจะช่วยตีหมอนให้ฟูและแห้งทั่วถึง ป้องกันการจับตัวเป็นก้อน
▪︎ตากแดด: หลังจากปั่นแห้งแล้ว ควรนำไปตากแดดจัดๆ อีกครั้ง เพื่อให้แห้งสนิทและฆ่าเชื้อโรค

2. หมอนเมมโมรี่โฟม (Memory Foam Pillows)
หมอนเมมโมรี่โฟมไม่สามารถซักด้วยเครื่องซักผ้าได้ เนื่องจากจะทำให้โครงสร้างของโฟมเสียหาย

สิ่งที่ต้องเตรียม:
•ผ้าสะอาดชุบน้ำสบู่อ่อนๆ หรือน้ำยาซักผ้าสูตรอ่อนโยน
•ผ้าสะอาดแห้ง
•เบกกิ้งโซดา (ถ้ามีกลิ่นอับ)

■วิธีทำความสะอาด:
▪︎ถอดปลอกหมอน: ถอดปลอกหมอนและปลอกคลุมด้านในออก นำไปซักตามปกติ
▪︎ทำความสะอาดเฉพาะจุด: ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำสบู่อ่อนๆ หรือน้ำยาซักผ้าสูตรอ่อนโยน บิดให้หมาด แล้วเช็ดทำความสะอาดบริเวณที่มีคราบสกปรก
▪︎เช็ดน้ำสบู่ออก: ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเปล่า บิดหมาด เช็ดน้ำสบู่ออกให้หมด
▪︎ซับให้แห้ง: ใช้ผ้าแห้งซับความชื้นออกให้มากที่สุด
▪︎ตากลม: นำหมอนไปผึ่งลมในที่ร่ม มีอากาศถ่ายเทสะดวก ห้ามตากแดดจัดๆ เพราะความร้อนสูงจะทำให้โฟมเสียหาย
▪︎ขจัดกลิ่นอับ (ถ้ามี): หากมีกลิ่นอับ โรยเบกกิ้งโซดาให้ทั่วหมอน ทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง แล้วใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดออกให้หมด

3. หมอนยางพารา (Latex Pillows)
หมอนยางพาราคล้ายกับเมมโมรี่โฟม คือไม่ควรซักด้วยเครื่องซักผ้า แต่สามารถทำความสะอาดเฉพาะจุดได้

สิ่งที่ต้องเตรียม:
•ผ้าสะอาดชุบน้ำสบู่อ่อนๆ หรือน้ำยาซักผ้าสูตรอ่อนโยน
•ผ้าสะอาดแห้ง
•พัดลม (สำหรับช่วยเป่าให้แห้ง)

■วิธีทำความสะอาด:
▪︎ถอดปลอกหมอน: ถอดปลอกหมอนออกและซักตาปกติ
ทำความสะอาดเฉพาะจุด: ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำสบู่อ่อนๆ หรือน้ำยาซักผ้าสูตรอ่อนโยน บิดให้หมาด แล้วเช็ดทำความสะอาดบริเวณที่มีคราบสกปรก
▪︎ทำความสะอาดเฉพาะจุด: ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำสบู่อ่อนๆ หรือน้ำยาซักผ้าสูตรอ่อนโยน บิดให้หมาด แล้วเช็ดทำความสะอาดบริเวณที่มีคราบสกปรก
▪︎เช็ดน้ำสบู่ออก: ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเปล่า บิดหมาด เช็ดน้ำสบู่ออกให้หมด
▪︎ซับให้แห้ง: ใช้ผ้าแห้งซับความชื้นออกให้มากที่สุด
▪︎ผึ่งลม: นำหมอนไปผึ่งในที่ร่ม มีอากาศถ่ายเทสะดวก อาจใช้พัดลมช่วยเป่าให้แห้งเร็วขึ้น ห้ามตากแดดจัดๆ เพราะความร้อนและรังสี UV จะทำให้ยางพาราเสื่อมสภาพเร็ว
▪︎หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีรุนแรง: ห้ามใช้น้ำยาฟอกขาวหรือสารเคมีรุนแรง เพราะจะทำให้ยางพาราเสียหาย

4. หมอนขนสัตว์/ขนห่าน (Down/Feather Pillows)
หมอนขนสัตว์หรือขนห่านสามารถซักเครื่องได้ แต่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

สิ่งที่ต้องเตรียม:
•น้ำยาซักผ้าสำหรับผ้าละเอียดอ่อน (Mild Detergent)
•ลูกเทนนิส 2-3 ลูก
•เครื่องอบผ้า (จำเป็น)

■วิธีทำความสะอาด:
▪︎ตรวจสอบป้าย: อ่านคำแนะนำบนป้ายให้ละเอียดก่อนซักเสมอ
▪︎ใช้โปรแกรมถนอมผ้า: ใส่หมอน 2 ใบในเครื่องซักผ้า (เพื่อความสมดุล) เลือกโปรแกรมซักผ้าแบบละเอียดอ่อน (Delicate Cycle) หรือซักมือ ใช้น้ำเย็นหรือน้ำอุ่น
▪︎ใช้น้ำยาซักผ้าอ่อนๆ: ใช้น้ำยาซักผ้าสำหรับผ้าละเอียดอ่อนในปริมาณน้อย
▪︎ล้างน้ำซ้ำ: อาจจำเป็นต้องล้างน้ำซ้ำ 2-3 ครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีน้ำยาซักผ้าตกค้าง
▪︎ปั่นหมาด: ปั่นหมาดด้วยความเร็วต่ำ
▪︎อบแห้ง: นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด! ต้องอบแห้งด้วยความร้อนต่ำเป็นเวลานาน และใส่ลูกเทนนิส 2-3 ลูกลงไป เพื่อช่วยให้ขนฟูและแห้งทั่วถึง ป้องกันการจับตัวเป็นก้อน
▪︎ตรวจสอบความชื้น: หมั่นนำหมอนออกมาตีๆ และตรวจสอบว่าแห้งสนิทจริงๆ ไม่มีส่วนใดชื้น เพราะความชื้นจะทำให้เกิดเชื้อราและกลิ่นอับ
▪︎ตากลม: หลังจากอบแห้งแล้ว ควรนำไปผึ่งลมในที่โล่งอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าแห้งสนิท

⭐️เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับหมอนทุกประเภท:
1.ซักปลอกหมอนเป็นประจำ: ควรซักปลอกหมอนทุก 1-2 สัปดาห์ เพื่อสุขอนามัยที่ดี
2.ใช้ปลอกหมอนกันไรฝุ่น: หากมีอาการแพ้ไรฝุ่น ควรใช้ปลอกหมอนกันไรฝุ่น
3.ตบหมอนทุกวัน: การตบหมอนทุกวันช่วยให้หมอนฟูและคงรูป
4.พิจารณาเปลี่ยนหมอน: โดยทั่วไป ควรเปลี่ยนหมอนทุก 1-2 ปี หรือเมื่อหมอนเริ่มแบน ไม่คืนรูป หรือมีกลิ่นอับที่ไม่สามารถขจัดได้

การดูแลรักษาหมอนให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ ไม่เพียงช่วยยืดอายุการใช้งานของหมอน แต่ยังช่วยให้คุณนอนหลับสบายยิ่งขึ้น และดีต่อสุขภาพในระยะยาวอีกด้วยค่ะ

ที่มา: วิธีทำความสะอาดหมอน ให้หมอนนุ่ม สะอาด ไร้คราบและกลิ่นอับ https://share.google/soeT05cBWoH1tjbLk

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช #สุขภาพกาย #วิธีทำความสะอาดหมอน

แม้จะกินนอกบ้านก็สามารถดูแลสุขภาพได้ง่าย ๆ เพียงเลือกวัตถุดิบที่ดี ลดของทอด ของแปรรูป เพิ่มผักและโปรตีนคุณภาพ ก็ช่วยให้ร...
26/07/2025

แม้จะกินนอกบ้านก็สามารถดูแลสุขภาพได้ง่าย ๆ เพียงเลือกวัตถุดิบที่ดี ลดของทอด ของแปรรูป เพิ่มผักและโปรตีนคุณภาพ ก็ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นได้

อาหารเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต และส่งผลต่อสุขภาพของเราโดยตรง การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์จากวัตถุดิบที่ดี นับเป็นวิธีดูแลสุขภาพที่ง่ายและยั่งยืน หลายคนจึงเลือกทำอาหารกินเอง เพื่อควบคุมปริมาณแคลอรี ไขมัน และสารอาหารให้เหมาะสมกับร่างกาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เราไม่สามารถทำอาหารกินเองได้ทุกมื้อ เพราะยังต้องออกไปใช้ชีวิต มีสังคม และกินอาหารนอกบ้านเป็นประจำ

บทความนี้จะมาแนะนำเทคนิคการปรับเปลี่ยนมื้ออาหารนอกบ้านให้คลีนขึ้นได้แบบง่าย ๆ ไม่ต้องฝืนใจ หรือทะเลาะกับพ่อค้าแม่ค้าให้เสียอารมณ์ แถมยังนำไปประยุกต์ใช้กับเมนูทำกินเองที่บ้านได้อีกด้วย!

⭐️เทคนิคปรับอาหารเพื่อสุขภาพ
•ปรับ ข้าวธรรมดาเป็น ข้าวกล้อง
•ปรับ ไก่/หมูสับ เป็น ไก่/หมูชิ้น ไม่ติดหนังไม่ติดมัน
•ปรับ ไข่ดาว ไขเจียว เป็น ไข่ต้ม
•เพิ่ม ผัก เช่น แตงกวา, แคร์รอต, ถั่วฝักยาว, ข้าวโพดอ่อน
•ลด การปรุงพริกน้ำปลาเพิ่ม
•ลด การกินของแปรรูปต่างๆ
•งดหรือเลี่ยง ของทอดของมันต่างๆ

⭐️เมนูคลีนได้แค่ปรับ!
•ข้าวกระเพราไก่สับไข่ดาว ลองเปลี่ยน เป็นข้าวกล้อง เลือกไก่ชิ้น เปลี่ยนไข่ดาวที่ทอดด้วยน้ำมันเป็น ไข่ต้ม หรือไข่ดาวน้ำ เลี่ยงปรุงน้ำปลาเพิ่ม

•สุกี้แห้งหมู ลองเปลี่ยน เพิ่มผักให้หลากหลาย ปรับเป็นเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อาทิ ปลา แกไก่ กุ้ง หมูไม่ติดมัน ลดน้ำจิ้ม ไม่เติมเพิ่ม!

•ยำวุ้นเส้นหมูยอ ลองเปลี่ยน เพิ่มผัก อาทิ แคร์รอต มะเขือเทศ ขึ้นฉ่าย ปรับหมูยอเป็นเนื้อสัตว์ไม่แปรรูป ลดการปรุงเค็ม หรือ รสจัดเพิ่ม!

นอกจากจะช่วยให้เราอิ่มท้องโปรตีนคุณภาพแบบจุกๆ แล้ว ยังดีต่อสุขภาพเราด้วย ก็จะยิ่งช่วยให้ร่างกายเราแข็งแรง ห่างไกลโรคภัยต่างๆ อายุยืนยาวได้เลย เพราะฉะนั้นการใส่ใจเลือกอาหารเป็นสิ่งที่เราควรจะทำในทุกวัน ในทุกๆมื้ออาหาร

ที่มา: ไอเดียปรับ “อาหารนอกบ้าน” ให้คลีนได้! เพิ่มใยอาหาร โปรตีนคุณภาพ : PPTVHD36 https://share.google/WXihWtKYS4fbMlmre

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช #อาหารคลีน #สุขภาพกาย

6 สัญญาณร่างกาย สะท้อนภาวะจิตใจย่ำแย่ รีบเยียวยาก่อนรุนแรง!ปวดหัวง่าย ไม่มีสมาธิ หมด Passion อาจเป็นสัญญาณร่างกายสะท้อนภ...
25/07/2025

6 สัญญาณร่างกาย สะท้อนภาวะจิตใจย่ำแย่ รีบเยียวยาก่อนรุนแรง!ปวดหัวง่าย ไม่มีสมาธิ หมด Passion อาจเป็นสัญญาณร่างกายสะท้อนภาวะทางจิตใจย่ำแย่ แนะรีบเยียวยาก่อนซึมเศร้ารุนแรง!

จากสภาวะความเครียดที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย เพราะทุกคนมีปัญหาไม่เหมือนกันและอาจจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ไหว ล้วนแต่เป็นพิษต่อจิตใจ ซึ่งแน่นอนภูมิต้านทานของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เช็กอาการทางร่างกายที่สะท้อน ความเครียดทางจิตใจ รีบเยียวยาก่อนทุกอย่างจะแย่ไปมากกว่าเดิม!

⭐️อาการของร่างกาย บอกสภาพจิตใจย่ำแย่
▪︎เครียดมากจนอาจซึมเศร้า
หลายคนต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากยากที่จะรับมือ
แถมยังไม่มีที่ปรึกษาหรือมีคนให้ระบาย เพราะไม่ได้พบเจอกับใคร ยิ่งทำให้มีความเครียดหนักมากขึ้นกว่าเดิม วิธีแก้ไขคือหาสาเหตุและวิธีผ่อนคลาย โดยพยายามคิดบวกว่าเรายังดีที่มีงานทำ หาสาเหตุว่าเครียดเพราะอะไรและลองหาช่วงว่างหรือปลีกตัวหาเวลาผ่อนคลายความเครียดของตัวเอง

▪︎จิตใจว้าวุ่น ไม่มีสมาธิ ทำงานช้ากว่าเดิม
หากใครกำลังมีอาการสมาธิหลุด จิตใจสับสนไม่โฟกัสกับงานหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ควรพยายามตั้งสติ หรือเสาะหาบรรยากาศที่เหมาะกับการทำงาน ให้เราได้ทำสิ่งที่ต้องการได้สำเร็จและมีคุณภาพ หากต้องทำงานที่บ้านก็ลองกำหนดเวลา สร้างวินัยให้ตัวเองไม่วอกแวก เช่น ไม่เปิดโทรศัพท์เล่น ไม่ดูทีวีไปหรือทำงานไป รวมถึงหากรู้สึกว่าทำงานที่บ้านไม่ได้ไม่มีสมาธิ อาจลองจัดโต๊ะทำงานใหม่ หาอะไรจุกจิกๆมาวางเป็นอาหารตา หรือเปลี่ยนสถานที่ทำงาน ไปคาเฟ่บ้าง ขอทำที่บ้านบ้าง เพื่อสร้างสมดุลการทำงานและการผ่อนคลาย ส่งผลให้จิตใจแจ่มใสจะได้มีสมาธิในการทำงานเพิ่มขึ้น

▪︎เหนื่อยง่าย
ด้วยสถานการณ์ยุ่งยากบางคนอาจต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้น 2 เท่า จนทำให้รู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าปกติ ซึ่งหากรู้สึกว่าเหนื่อยง่าย ร่างกายอ่อนเพลียต้องรีบหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไร แล้วพยายามผ่อนคลายเรื่องนั้น พยายามปรับและแบ่งเวลาตัวเองไม่ให้เหนื่อยเกินไป

▪︎หงุดหงิดใจ คุยกับใครก็ไม่รู้เรื่อง
หากเราเริ่มพูดกับคนอื่นแล้วไม่เข้าใจมีการสื่อสารผิดพลาด นั่นแสดงว่าตัวเรากำลังมีปัญหาแล้ว ฉะนั้นให้กลับมาดูที่ตัวเอง ตั้งสติให้ดี คิดก่อนพูด แต่หากรู้สึกตัวเองติดต่อผิดพลาดคุยไม่เข้าใจบ่อยๆ แนะนำให้โทรพูดคุยกัน สื่อสารกันให้มากขึ้น จะได้ไม่หงุดหงิดเพราะความเข้าใจผิดคิดไปเอง

▪︎หมด Passion ไม่มีแรงบันดาลใจ
เกิดอาการนี้เมื่อไรจะทำอะไรคงติดขัด ฉะนั้นหากรู้สึกเบื่อหน่ายสิ่งที่ทำอยู่หรือขาดแรงบันดาลใจ ควรลองเปลี่ยนบรรยากาศไปนั่งเล่น พักผ่อนหรือทำงานในสถานที่อื่นๆ หาจังหวะเวลาทำอะไรที่เราชอบและรู้สึกผ่อนคลายเพลิดเพลิน

▪︎มีโรคมาเยือน
หากเริ่มป่วยไม่สบายถือว่าเป็นสัญญาณที่บั่นทอนพลังชีวิต ฉะนั้นหากป่วยต้องรีบกินยาหรือปรึกษาหมอ อย่าให้อาการป่วยลุกลามรุนแรงจนรักษาได้ยาก และต้องใส่ใจสุขภาพเราให้มากกว่าเดิม เช่น กินข้าวให้ตรงเวลา ไม่นอนดึกจนเกินไป ไม่ใช้สายตาหนัก หาเวลาพักผ่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคเรื้อรังจนอันตราย และที่สำคัญคือหากร่างกายเราแข็งแรงดี สุขภาพใจเราก็จะดีไปด้วย

หากลองเช็กสัญญาณร่างกายแล้วพบว่าเราเป็นทุกอย่างที่กล่าวมา รู้สึกซีมเศร้า เหงา มีอาการเครียดรุนแรง ควรระบายให้คนในครอบครัวฟังและหาโอกาสปรึกษาแพทย์ทันที อย่าให้ทุกอย่างทำร้ายร่างกายและจิตใจเรามากกว่านี้จนรักษาไม่หาย เพราะอาจกลายเป็นโรคทางจิตเวชและระบบประสาทร้ายแรงได้

ที่มา: https://www.pptvhd36.com/health/how-to/5498 #&gid=null&pid=1

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช #เครียด #สุขภาพจิต

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ #ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง...
24/07/2025

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช

ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำพูดของพ่อแม่ หรือผู้ปกครอง เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลกับความคิดและพฤติกรรมของลูกมาก บางครั้งการพูดไปโดยที่ไม่...
23/07/2025

ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำพูดของพ่อแม่ หรือผู้ปกครอง เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลกับความคิดและพฤติกรรมของลูกมาก บางครั้งการพูดไปโดยที่ไม่ทันคิด อาจสร้างแผลในใจให้กับลูกได้ แพทย์เผย 8 คำพูดที่ไม่ควรพูดกับลูก

⭐️คำพูดที่พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ควรพูดกับลูก
1.คำสั่งห้ามต่างๆ เช่น “ไม่ อย่า หยุด”
การพูดห้ามเด็กบ่อยๆ จะทำให้เด็กขาดความมั่นใจที่จะทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง เพราะกลัวที่จะทำผิดหรือทำแล้วไม่ถูกใจผู้อื่น ทำให้เด็กไม่กล้าคิดและไม่กล้าทดลองทำสิ่งใหม่ๆ ซึ่งอาจจะทำให้เขาเสียโอกาสที่จะเรียนรู้ว่าตัวเองมีความสามารถด้านไหน ชอบหรือไม่ชอบทำอะไร และทำอะไรได้ดี แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะพูด 3 คำนี้ไม่ได้เลย คงต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วย เพราะถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายหรือไม่เหมาะสมก็สามารถพูดได้

ที่สำคัญก็คือ ควรมีการอธิบายให้เด็กเข้าใจถึงเหตุผลว่าสิ่งนี้ทำไม่ได้เพราะอะไร หรือถ้าเป็นสถานการณ์ปกติทั่วไป คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถเปลี่ยนคำพูดจากการห้ามเป็นการบอกสิ่งที่เด็กควรทำให้ชัดเจน เช่น “เดินจับมือแม่ไปด้วยกันนะคะ หนูจะได้ไม่หลง” แทนคำว่า “อย่าวิ่งไปไหนนะ” หรือ “เก็บของใส่กล่องเบาๆ นะคะ” แทนคำว่า “อย่าโยนของแรงๆ สิ” เป็นต้น

2.คำพูดขู่ เช่น “เดี๋ยวจะเอาไปทิ้ง” “เดี๋ยวไม่รักนะ”
การขู่ที่มีเงื่อนไขของการไม่ได้รับความรักหรือการถูกทิ้ง จะทำให้เด็กไม่มั่นใจในตัวเอง เพราะไม่แน่ใจว่าเป็นที่รักของครอบครัวหรือไม่ และทำให้เด็กเกิดความหวาดระแวง กลายเป็นคนขี้กลัว นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างความเข้าใจผิดให้กับเด็กอีกด้วยว่า การได้มาซึ่งความรักจะต้องมีเงื่อนไขเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียความนับถือในตัวเองและผู้อื่นได้

การพูดขู่เด็กโดยไม่มีเหตุผล จะทำให้เด็กรู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งต่างๆ รอบตัว และทำให้เด็กไม่สามารถใช้ความคิดและเหตุผลในการไตร่ตรองสิ่งต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง ทำให้เกิดความเปราะบางทางด้านจิตใจ และเมื่อเด็กเผชิญปัญหา เด็กก็จะกลัวและไม่สามารถหาทางแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง

ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรพูดกับลูกด้วยเหตุผลที่สมจริง หรือสอนในสิ่งที่เขาทำได้และควรทำ ที่สำคัญ ควรชื่นชมและแสดงความภาคภูมิใจ เมื่อลูกๆ สามารถปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้อง

3.เปรียบเทียบหรือประชดประชัน เช่น “ไม่เห็นน่ารักเหมือนน้องคนนั้นเลย”
การที่คุณพ่อคุณแม่ใช้คำพูดในลักษณะนี้ เพราะอยากผลักดันให้ลูกเกิดความพยายามในการทำสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น หรือเพื่อให้ลูกพัฒนาตัวเองมากขึ้น แต่รู้มั้ยว่าคำพูดเหล่านี้กลับกลายเป็นการทำร้ายจิตใจและทำให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า ไม่มีความสามารถ ไม่เก่งหรือไม่ดีพอเท่ากับเด็กคนอื่น กลายเป็นเด็กที่ไม่กล้าแสดงออก ขาดความมั่นใจ และอาจทำให้เด็กมีนิสัยขี้อิจฉา สร้างความเกลียดชังให้กับคนที่เด็กโดนเอาไปเปรียบเทียบโดยไม่รู้ตัว ทำให้เด็กลุกขึ้นมาต่อต้าน บางคนก็อาจแสดงออกด้วยความก้าวร้าว รุนแรง และพยายามทำตัวเองให้อยู่ด้านตรงกันข้ามกับที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการ

ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรทำความเข้าใจก่อนว่าลูกมีข้อดีอย่างไร หรือมีความชอบ ความถนัดด้านไหน จากนั้นก็พยายามส่งเสริม สนับสนุนในสิ่งที่เขาทำ และควรแสดงความชื่นชมเพื่อให้เขาเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง และพัฒนาศักยภาพของตัวเองไปในทางที่ถูกต้อง คุณพ่อคุณอาจจะเล่าว่าเด็กคนอื่นหรือญาติพี่น้องในวัยเดียวกันมีความสามารถหรือมีข้อดีอย่างไร ในขณะเดียวกันก็ต้องบอกให้ลูกมั่นใจว่าตัวเองก็มีส่วนที่ดีหรือส่วนที่สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้เช่นกัน เพื่อให้เด็กมีความมั่นใจ และเชื่อว่าคนทุกคนสามารถพัฒนาได้ ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องเก่งเหมือนใคร แต่เราสามารถเก่งในแบบของเราได้

4.พูดเชิงบังคับ เคี่ยวเข็ญ เช่น “ทำไมไม่รับผิดชอบอะไรเลย”
การใช้คำพูดเชิงบังคับ เคี่ยวเข็ญ ส่งผลคล้ายกับการพูดเปรียบเทียบ นั่นคือ ทำให้เด็กรู้สึกไม่มีคุณค่า ไม่กล้าแสดงออก ทำให้เด็กรู้สึกเครียด และกดดันตัวเองจนทำให้กลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ไม่ไว้ใจผู้อื่น หรือมุ่งสู่ความสำเร็จเพียงอย่างเดียวโดยไม่สนใจคนรอบข้าง และยังทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวไม่ราบรื่น เพราะเด็กอาจแสดงความก้าวร้าว รุนแรง ต่อต้านผู้ปกครอง และพยายามทำตัวเองให้อยู่ด้านตรงข้ามกับคุณพ่อคุณแม่

แนะนำว่าลองเปลี่ยนจากการบังคับมาเป็นให้กำลังใจลูกแทนจะดีกว่า เพราะการให้กำลังใจเป็นการแสดงออกถึงความรักและความห่วงใย เด็กเองก็จะรับรู้ได้ถึงความหวังดีที่พ่อแม่มีให้ ซึ่งจะช่วยให้เด็กมีความมุ่งมั่นและมั่นใจที่จะทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น และยังเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้ดีขึ้นด้วย

5.ตวาดหรือพูดด้วยอารมณ์ เมื่อโมโห หรือขาดสติ
การพูดโดยใช้อารมณ์เวลาที่โมโหหรือขาดสติ อาจทำให้เด็กจดจำและนำไปลอกเลียนแบบได้ เพราะเด็กจะซึมซับและคิดว่าการพูดไม่ดีเป็นสิ่งที่ทำได้ ดังนั้น เวลาที่คุณพ่อคุณแม่โมโห หรืออารมณ์ไม่ดี (ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้) ให้ลองหลับตา หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ พยายามทำจิตใจให้สงบและตั้งสติก่อนแล้วค่อยพูดกับลูก พยายามพูดคุยหรืออธิบายด้วยเหตุผลหากเป็นเรื่องที่ต้องการให้เด็กเข้าใจ แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็เอาตัวเองออกไปจากสถานการณ์ตรงนั้นก่อน ค่อยๆ ใช้เวลาปรับอารมณ์ เมื่อคิดว่าตัวเองพร้อมก็ค่อยกลับมาพูดกับลูก

6.สั่งลูกไม่ให้ร้องไห้
การสั่งห้ามไม่ให้เด็กร้องไห้ โดยเฉพาะเมื่อผู้ปกครองกำลังมีอารมณ์ด้วยแล้ว จะทำให้เด็กรู้สึกกลัวมากขึ้น และไม่สามารถหยุดร้อง หรือจัดการกับอารมณ์ตัวเองได้ เพราะรู้สึกว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังเป็นทุกข์อยู่

สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรจะทำคือ ปล่อยให้เด็กร้องไห้เพื่อระบายความอัดอั้นตันใจก่อน และค่อยๆ บอกลูกให้เข้าใจว่า เวลาที่เราเสียใจ เราสามารถแสดงออกได้ ซึ่งการร้องไห้ก็ถือเป็นการแสดงออกรูปแบบหนึ่ง ถ้าลูกหยุดร้องและสงบแล้ว เราค่อยมาคุยกันว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อให้เด็กรู้ว่าคุณพ่อคุณแม่เป็นห่วง และกำลังช่วยให้เขาเข้าใจและหาวิธีจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง

7.ใช้คำพูดล้อเลียน หรือเลียนแบบคำที่เด็กพูดไม่ชัด
บางครั้งผู้ใหญ่ก็ไม่ได้คิดว่าคำบางคำเป็นการล้อเลียนเด็ก เพราะคิดว่าพูดกันเล่นๆ สนุกๆ และมองว่าเด็กยังเล็ก คงไม่เข้าใจอะไรมาก แต่เมื่อเด็กโตขึ้น มีสังคมที่กว้างขึ้น คำพูดเหล่านั้นจะทำให้เด็กรู้สึกอาย ไม่มั่นใจในตัวเอง เพราะหวาดกลัวที่จะโดนล้อเลียนจากครอบครัวและผู้อื่น ทำให้เด็กไม่ชอบในสิ่งที่ตัวเองเป็น จนอาจกลายเป็นปมในใจของเด็กได้

คุณพ่อคุณแม่จึงควรพยายามพูดให้เด็กเห็นข้อดีของตัวเอง ภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองมีหรือเป็น ชี้ให้เห็นว่าแต่ละคนมีความแตกต่างกัน และไม่จำเป็นต้องยึดติดกับรูปลักษณ์ภายนอกเสมอไป

8.พูดเข้าข้างเมื่อลูกทำผิด เช่น “ลูกฉันไม่ผิด” “ไหนใครว่าลูกฉัน”
การพูดเช่นนี้เป็นการสร้างนิสัยเอาแต่ใจและไม่ยอมคนให้กับเด็ก เป็นการตามใจลูกในทางที่ผิด (หรือที่เรียกว่าพ่อแม่รังแกฉัน) เพราะทำให้เด็กไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี และเมื่อโตขึ้น เด็กก็จะรับไม่ได้เมื่อถูกต่อว่าหรือตำหนิ

ถ้าพบว่าลูกทำผิดจริง อันดับแรกเลยคุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้เด็กรู้จักขอโทษและยอมรับผิด (ห้ามออกรับแทนลูกเด็ดขาด) และชี้ให้เห็นว่าอะไรถูกหรือผิด อะไรควรทำหรือไม่ควรทำ เพราะอะไร และถ้าทำผิดแล้ว จะมีผลอย่างไรตามมา เพื่อให้เด็กเข้าใจและปรับปรุงตัวเอง

นอกจากจะสอนด้วยคำพูดแล้ว คุณพ่อคุณแม่เองก็ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกๆ ด้วย เพราะบางอย่างก็ได้ผลมากกว่าการใช้คำพูดเพียงอย่างเดียว เช่น ถ้าเราไม่อยากให้เขาเล่นโทรศัพท์ ตัวเราเองก็ต้องพยายามอยู่ให้ห่างจากโทรศัพท์ หรือถ้าไม่อยากให้ลูกพูดจาหยาบคาย ตัวเราเองและคนใกล้ชิดก็ต้องไม่พูดเช่นกัน ที่สำคัญ ตั้งสติทุกครั้งก่อนที่จะพูดอะไรกับลูก เพราะทุกคำพูดของพ่อแม่มีผลกับจิตใจของลูก

ที่มา: เปิดคำพูดที่ไม่ควรพูดกับลูกหลาน เสี่ยงเป็นแผลในใจ ปัญหาสุขภาพจิต : PPTVHD36 https://share.google/Kzd9jh2I0aSGD1FrU

อยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้..ปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญ
😊ไว้ใจ วางใจ สบายใจ..เพราะเราเข้าใจ
#ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
จากคลินิกเฉพาะทางจิตเวช...ที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
โทร 064-9945499

#คลินิกที่มีการแนะนำบอกต่อกันมากที่สุด
#ปรึกษาจิตแพทย์ #คลินิกจิตเวช #สุขภาพจิต #ปัญหาวัยรุ่น #ปัญหาครอบครัว

ที่อยู่

อาคารตั้งฮั่วปัก ชั้น3J หัวลำโพง (MRTหัวลำโพง ทางออก1)
Bangkok
10500

เวลาทำการ

จันทร์ 08:00 - 22:00
อังคาร 08:00 - 22:00
พุธ 08:00 - 22:00
พฤหัสบดี 08:00 - 22:00
ศุกร์ 08:00 - 22:00
เสาร์ 08:00 - 22:00
อาทิตย์ 08:00 - 22:00

เบอร์โทรศัพท์

+66649945499

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ปรึกษาสุขภาพจิตออนไลน์ The Mind Talkผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง ปรึกษาสุขภาพจิตออนไลน์ The Mind Talk:

แชร์