อภิเวชคลินิก Apivej Clinic

อภิเวชคลินิก Apivej Clinic ศูนย์รักษาโรคในผู้สูงอายุ โรคกล้ามเนื้อ โรคเรื้อรัง โรคโควิด ด้วยศาสตร์การแพทย์องค์รวม

หลายคนอาจคิดว่า “นอนไม่หลับ” เป็นแค่ภาวะอาการปกติ แต่ในมุมของแพทย์แผนไทย อาการนอนไม่หลับเป็นสัญญาณของความไม่สมดุลในร่างก...
28/08/2025

หลายคนอาจคิดว่า “นอนไม่หลับ” เป็นแค่ภาวะอาการปกติ แต่ในมุมของแพทย์แผนไทย อาการนอนไม่หลับเป็นสัญญาณของความไม่สมดุลในร่างกาย ซึ่งถ้าปล่อยไว้นาน อาจพัฒนาไปเป็นโรคเรื้อรัง เช่น ความดันสูง เบาหวาน หรือโรคทางอารมณ์ได้ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคซึมเศร้า หรืออาการทางจิตอื่นๆได้

สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับอาการนอนไม่หลับ คือ มักจะเป็นประตูสู่ โรคเรื้อรังร้ายแรงต่างๆ ได้ และมักเกิดได้กับทุกเพศทุกวัยเช่นกัน

สาเหตุของการนอนไม่หลับในมุมแพทย์แผนไทย

แพทย์แผนไทยมองว่าร่างกายของเราประกอบด้วย “ธาตุ 4” คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อธาตุใดธาตุหนึ่งแปรปรวน ก็จะเกิดความผิดปกติของกายและใจ

1. ไฟผิดปกติ (ไฟกำเริบ)

- ไฟย่อยอาหารไม่สมดุล ทำให้มีอาการร้อนภายใน กระหายน้ำ ใจรุ่มร้อน หลับไม่สนิท
- เกิดในคนที่กินของมัน ของทอด ชา กาแฟ หรือกินมื้อดึก
- มีภาวะอาการเจ็บป่วยจากโรคเรื้อรัง

2. ลมผิดปกติ (วาโยธาตุแปรปรวน)
- ทำให้ควบคุมการหลับตื่นไม่ดี หายใจไม่สม่ำเสมอ ฝันบ่อย สะดุ้งตื่น
- มักเกิดในคนที่เครียด คิดมาก พักผ่อนไม่เป็นเวลา

3. น้ำผิดปกติ (เสมหะสะสม)
- เสมหะคั่งในระบบไหลเวียน ทำให้แน่นหน้าอก คอแห้ง หายใจไม่คล่อง
- มักเกิดในคนที่นอนดึก พักผ่อนน้อย กินอาหารย่อยยาก

ระบบธาตุทั้ง 3 ข้างต้นนี้ สัมพันธ์กันหมด หากธาตุใดผิดปกติ ก็จะส่งผลต่อธาตุอื่นๆเช่นกัน

สัญญาณเตือนว่า “ธาตุแปรปรวน”
• หลับยาก คิดไม่หยุดแม้จะง่วง
• หลับๆ ตื่นๆ เหมือนไม่ได้นอน
• ตื่นเร็ว ตี 3 ตี 4 แล้วนอนต่อไม่ได้
• ปวดศีรษะ ตาแห้ง ใจสั่น หงุดหงิดง่าย

แนวทางดูแลตัวเองตามศาสตร์แพทย์แผนไทย

1. ปรับสมดุล “ลม” ด้วยการหายใจ-เคลื่อนไหว
• ฝึกหายใจเข้า-ออกลึกๆ ก่อนนอน (นับ 1–4)
• ทำโยคะเบาๆ หรือยืดเส้นก่อนเข้านอน
• งดใช้มือถือ 1 ชั่วโมงก่อนนอน

2. ปรับสมดุล “ไฟ” ด้วยสมุนไพรเย็น
• ดื่มน้ำใบเตย ใบฝรั่ง ใบบัวบกก่อนนอน
• ใช้ “ยาที่มีฤทธิ์หอม” หรือ “ยาที่มีฤทธิ์เย็น” ช่วยระบายความร้อนออก

3. ปรับสมดุล “น้ำ” และ “ดิน” ด้วยการอาบน้ำอุ่น-แช่เท้า
• แช่เท้าในน้ำอุ่นผสมเกลือหรือขิงสด 15 นาที ก่อนนอน
• นวดฝ่าเท้าด้วยน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าว

4. สมุนไพรเดี่ยวช่วยให้นอนหลับ
• ดอกลาเวนเดอร์ / กระเจี๊ยบแดง / ฝาง / ขมิ้นชัน / พริกไทย
• ใช้ในรูปแบบแคปซูล ชาชง หรือพอกหัวก่อนนอน

“นอนไม่หลับ” ไม่ใช่แค่เรื่องปกติที่เกิกขึ้นได้ แต่คือสัญญาณของธาตุที่เสียสมดุล
ถ้าแก้ไขให้ถูกที่ โดยฟื้นฟูธาตุที่ผิด ทั้งลม ไฟ น้ำ และดิน ร่างกายจะกลับมานอนหลับได้เองอย่างเป็นธรรมชาติ

หากคุณกำลังมีอาการนอนไม่หลับเรื้อรัง หรืออยากปรับสมดุลร่างกายด้วยวิธีธรรมชาติหรือทำตามวิธีข้างต้นแล้วยังไม่ดีขึ้น ลองปรึกษาแพทย์แผนไทยใกล้บ้าน หรือมาให้เราช่วยดูแลที่ “อภิเวชคลินิกการแพทย์แผนไทย” ก็ยินดีต้อนรับเสมอ

#ศูนย์รักษาโรคเรื้อรังและโรคอุบัติใหม่

#นอนไม่หลับ

โรคนี้ในปัจจุบันมีการพบได้บ่อยมากขึ้น โดยโรคนี้มีปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิด หนึ่งในปัจจัยกระตุ้นโรคนี้คือพันธุกรรม เนื่องจา...
21/08/2025

โรคนี้ในปัจจุบันมีการพบได้บ่อยมากขึ้น โดยโรคนี้มีปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิด หนึ่งในปัจจัยกระตุ้นโรคนี้คือพันธุกรรม เนื่องจากมียีนบางชนิดที่ทำให้เสี่ยง เช่น NLRP1, PTPN22, HLA genes ทำให้ melanocyte และระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดสมดุล ส่งผลให้เซลล์เม็ดสี (melanocyte) อ่อนแอต่อสิ่งกระตุ้นมากกว่าคนทั่วไป

และอีกปัจจัยหนึ่งคือ การกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้เกิด ตย.เช่น แสงแดดจัด สารเคมีบางชนิด การบาดเจ็บทางกาย ภาวะเครียดทางร่างกายและจิตใจ

ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ไปเพิ่ม ภาวะเครียดออกซิเดชัน (Oxidative stress) ในผิว
หลังจากนั้น เซลล์ melanocyte ในผู้ป่วยด่างขาวจะไวต่อ Reactive Oxygen Species (ROS)
เมื่อร่างกายมี ROS สะสมมาก เช่น จากแสงแดดจัด สารเคมี การบาดเจ็บ ➡️ melanocyte (เซลล์เม็ดสี) เสียสมดุล ➡️ ตายง่าย จากสภาวะนี้ก็ไปกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันผิดปกติ

ROS นี้เป็นโมเลกุลหรืออนุมูลอิสระที่มีออกซิเจน และมีความว่องไวสูง เกิดขึ้นตามปกติในร่างกายระหว่างกระบวนการเผาผลาญพลังงาน (เช่น ใน ไมโทคอนเดรีย)
ถ้ามีปริมาณ พอเหมาะ ➡️ ใช้เป็น “สัญญาณเซลล์” ช่วยในการทำงานของเซลล์
ถ้ามีปริมาณ มากเกินไป ➡️ จะทำลาย DNA, โปรตีน, ไขมัน และทำให้เซลล์บาดเจ็บหรือตาย

จากกลไกข้างต้นทำให้เกิดการทำลายตัวเองของเซลล์ (Melanocyte-intrinsic defects)
เนื่องจาก melanocyte ในผู้ป่วยจะมีความผิดปกติด้าน protein misfolding(โปรตีนพับผิดรูป) ทำให้เกิด Endoplasmic reticurum stress(ER stress) ส่งผลให้เซลล์อ่อนแอ เมื่อเผชิญสิ่งกระตุ้นต่างๆ ร่างกายก็จะปล่อย danger signals (โมเลกุลหรือเศษซากจากเซลล์ที่เสียหายซึ่งถูกปล่อยออกมาจากเซลล์ที่กำลังบาดเจ็บ) หลังจากนั้นเซลล์ภูมิคุ้มกันจะเข้ามาทำลาย melanocyte

เหล่านี้คือตัวจุดชนวนให้เกิดโรคด่างขาวทำให้ผิวบริเวณที่ melanocyte ถูกทำลายไม่สามารถสร้างเม็ดสี melanin ได้ จึงเกิดเป็น รอยด่างสีขาว ชัดเจน

❌❌❌❌❌❌❌❌❌❌❌❌❌❌❌

ในทางการแพทย์แผนไทย
แพทย์แผนไทยได้พิจารณาโรคนี้ตามสมุฏฐานธาตุ ซึ่งเกิดจากความบกพร่องของธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุน้ำ และกระทบต่อธาตุดิน (melanocyte)

การกระตุ้นจากปัจจัยภายนอก
อาหาร การบริโภคอาหารที่ไม่ถูกต้อง เช่น อาหารรสจัด, ของหมักดอง, หรืออาหารที่มีฤทธิ์ร้อน
สิ่งแวดล้อม การสัมผัสกับสารเคมี หรือมลภาวะที่เป็นพิษ
ความเครียด ความเครียดทางจิตใจทําให้ร่างกายไม่สมดุล

กลไกการเกิดด่างขาวตามหลักแพทย์แผนไทย
ไฟกำเริบ (ธาตุไฟทำงานมากเกินไป)
ธาตุไฟมีหน้าที่ควบคุมความร้อนและการเผาผลาญ เมื่อไฟกำเริบจะทำให้เกิดความร้อนสะสมในร่างกายมากเกินไป ความร้อนนี้จะไป ทำลายเซลล์สร้างเม็ดสี โดยตรง
ลมกำเริบ (ธาตุลมทำงานผิดปกติ)
ธาตุลมมีหน้าที่ควบคุมการไหลเวียน เมื่อลมกำเริบจะทำให้การไหลเวียนของเลือดและสารอาหารไปเลี้ยงผิวหนังไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้เซลล์สร้างเม็ดสี ขาดสารอาหารและอ่อนแอลง
น้ำพิการ (ธาตุน้ำไม่บริสุทธิ์)
เมื่อธาตุไฟและลมกำเริบจะส่งผลโดยตรงต่อธาตุน้ำในร่างกาย เช่น เลือด น้ำเหลือง ทำให้เลือดมีสิ่งตกค้างหรือเป็นพิษ เลือดที่พิการนี้จะยิ่งไปซ้ำเติมการทำลายเซลล์สร้างเม็ดสี (ธาตุดิน) ให้รุนแรงขึ้น

ดังนั้นจึงไม่ใช่แค่ธาตุใดธาตุหนึ่งที่ทำงานผิดปกติ แต่เป็น ความไม่สมดุลของทั้งสามธาตุที่ส่งผลกระทบต่อกัน จนทำให้เกิดรอยด่างขาวขึ้นมา

แนวทางการรักษาตามหลักการแพทย์แผนไทย
การรักษาโรคด่างขาวจะเน้นที่การปรับสมดุลธาตุในร่างกายให้กลับมาเป็นปกติ โดยใช้ตำรับสมุนไพรและวิธีการต่างๆ ดังนี้

การปรับปรุงธาตุไฟและธาตุลม ใช้ตำรับสมุนไพรที่มีสรรพคุณบํารุงธาตุไฟและธาตุลม เพื่อช่วยให้ระบบไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองดีขึ้น
ส่วนการขับพิษและบํารุงธาตุน้ำ เราจะใช้ตำรับสมุนไพรที่ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายและฟอกเลือด เพื่อให้ธาตุน้ำกลับมาบริสุทธิ์

การรักษาตามหลักการแพทย์แผนไทยเป็นการดูแลจากภายในสู่ภายนอกเพื่อแก้ปัญหาที่ต้นเหตุและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ อย่างไรก็ตาม การรักษานี้อาจใช้เวลานานและควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์แผนไทยผู้เชี่ยวชาญ

พท.อรรถเวช กองนักวงษ์ (หมอแมน)
แพทย์แผนไทยประจำ ศูนย์รักษาโรคเรื้อรัง & โรคอุบัติใหม่
อภิเวชคลินิกการแพทย์แผนไทย

#ศูนย์รักษาโรคเรื้อรังและโรคอุบัติใหม่ #ด่างขาว #โรคผิวหนัง
#มูลนิธิสถาบันวิจัยระบบสุขภาพองค์รวมด้วยตำนานการแพทย์แม่นยำ

มะเร็ง กับ การอักเสบเรื้อรัง — มุมมองตามหลักการแพทย์บูรณาการ ขอเริ่มต้นบทความจากหลักฐานงานวิจัยที่ปรากฎความสัมพันธ์ระหว่...
13/08/2025

มะเร็ง กับ การอักเสบเรื้อรัง — มุมมองตามหลักการแพทย์บูรณาการ

ขอเริ่มต้นบทความจากหลักฐานงานวิจัยที่ปรากฎ

ความสัมพันธ์ระหว่างการอักเสบเรื้อรังกับการเกิดมะเร็งได้รับการศึกษามานานหลายทศวรรษ แนวคิดสำคัญคือการอักเสบที่เกิดขึ้นต่อเนื่องสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการกลายพันธุ์ของดีเอ็นเอ การเจริญและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง (tumor-promoting inflammation)

แต่ตามหลักฐานการวิจัยชี้ชัดว่า ไม่ใช่สาเหตุเดียวของมะเร็งทุกชนิด

มะเร็งเกิดได้จากปัจจัยหลายอย่าง เช่น สารก่อมะเร็ง รังสี และฮอร์โมน ฯลฯ. ซึ่งถือว่าเป็น “ปัจจัยกระตุ้น” และ พันธุกรรม จัดว่าเป็น “จุดอ่อนสุขภาพ”

กลไกหลักที่การอักเสบเรื้อรังอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็ง (สรุปในเชิงวิชาการ/งานวิจัย)
1. ความเสียหายต่อ DNA โดยสารอนุมูลอิสระ (ROS/RNS)
ในกระบวนการอักเสบ เซลล์ภูมิคุ้มกันจะปล่อย Reactive Oxygen/Nitrogen Species เพื่อทำลายเชื้อ แต่ ROS/RNS เหล่านี้ก็สามารถทำให้เกิดความผิดปกติใน DNA ของเซลล์เยื่อบุบริเวณใกล้เคียง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงการกลายพันธุ์สะสมที่นำไปสู่มะเร็งได้

2. การกระตุ้นการแบ่งเซลล์และการซ่อมแซมบ่อยครั้ง เนื้อเยื่อที่ถูกทำลายซ้ำ ๆ ต้องซ่อมแซมโดยการแบ่งตัวของเซลล์บ่อยขึ้น ซึ่งเพิ่มโอกาสการคัดเลือกเซลล์ที่มี mutation เกิดการสะสมจนเปลี่ยนเป็นเนื้องอก ซึ่งกระบวนการซ่อมแซมเซลล์ร่างกายก็จะสร้างการอักเสบขึ้นมา

3. cytokine และสภาพแวดล้อมเอื้อต่อมะเร็ง (tumor microenvironment) การอักเสบเรื้อรังหลั่ง cytokine (เช่น IL-6, TNF-α) และโปรตีนอื่นๆ ที่ส่งเสริมการอยู่รอดของเซลล์ผิดปกติ กระตุ้นการสร้างหลอดเลือดใหม่ (angiogenesis) และช่วยให้เซลล์มะเร็งหลบภูมิคุ้มกัน

4. ภาวะภูมิคุ้มกันผิดปกติในบริเวณเนื้อเยื่อ การอักเสบเรื้อรังในบางบริเวณอาจเกิดภาวะภูมิคุ้มกันที่ “ทนทาน” ต่อความผิดปกติ ทำให้เซลล์มะเร็งในบริเวณนั้นหลุดพ้นการกำจัดโดยระบบภูมิคุ้มกันได้

ข้อสังเกต** แม้หลายกลไกได้รับการพิสูจน์ในงานวิจัย แต่ลำดับเหตุ–ผลในมนุษย์ยังซับซ้อน บางครั้งการอักเสบเป็นผลจากเนื้องอก ไม่ใช่สาเหตุโดยตรง ทั้งนี้ขึ้นกับชนิดเนื้อเยื่อและปัจจัยอื่นๆตามหลักฐานงานวิจัยที่ปรากฎ

ตัวอย่างทางคลินิกที่แสดงความสัมพันธ์แบบชัดเจน เช่น
• Helicobacter pylori ➡️ กระเพาะอักเสบเรื้อรัง ➡️ มะเร็งกระเพาะ / MALT lymphoma: เป็นหนึ่งในสายสัมพันธ์ที่มีหลักฐานชัดเจน และการกำจัดเชื้อ H. pylori ลดความเสี่ยงได้
• ไวรัสตับอักเสบ B/C (HBV/HCV) ➡️ ตับอักเสบเรื้อรัง ➡️ ตับแข็ง ➡️ มะเร็งตับ (HCC) การอักเสบเรื้อรังและพังผืดในตับเป็นปัจจัยสำคัญของ HCC การรักษาและควบคุมไวรัสช่วยลดความเสี่ยงได้
• Inflammatory Bowel Disease (Ulcerative colitis, Crohn’s disease) ➡️ เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งลำไส้: ความเสี่ยงขึ้นกับความรุนแรงและระยะเวลาของการอักเสบ.

ข้อจำกัดและข้อโต้แย้งเชิงวิชาการ ทำไมถึงไม่สรุป “การอักเสบ = มะเร็ง” แบบทั่วไป
1. ความหลากหลายของมะเร็ง ➡️ มะเร็งไม่เป็นโรคเดียวกันทั้งระบบ บางชนิดยังมีปัจจัยเด่นเป็นพันธุกรรม บางชนิดเกิดจากการสัมผัสสารเคมีหรือรังสี ซึ่งไม่ได้ผ่านกลไกการอักเสบเสมอไป

2. การอักเสบอาจเป็น secondary phenomenon (ผลที่เกิดตามมา) ➡️ ในบางกรณีเนื้องอกเองสามารถกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ (tumor-associated inflammation) ดังนั้นการพบการอักเสบในแผลมะเร็งอาจสะท้อนการตอบสนองต่อมะเร็ง ไม่ใช่ต้นเหตุ

3. ตัวชี้วัดการอักเสบยังไม่สามารถกำหนดเกณฑ์ชัดเจน ➡️ ไม่มีระดับชี้วัดการอักเสบ (biomarker threshold) ที่จะบอกได้ว่า “ถึงขั้นเสี่ยงมะเร็ง” ต้องพิจารณาความถี่ ระยะเวลา และปัจจัยร่วมอื่นๆ

🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻
การบูรณาการกับ แพทย์แผนไทย มุมมองและการนำมาวิเคราะห์ร่วมกัน

แพทย์แผนไทยมีกรอบคิดเรื่องสมุฏฐานธาตุ (ดิน น้ำ ลม ไฟ) ซึ่งโดยปกติจะทำงานสอดประสานกันอย่างสมบูรณ์ ไม่มาก ไม่น้อยไป หากมีการเปลี่ยนแปลงหรือเกิดภาวะความไม่สมดุลของธาตุ จะส่งผลให้เกิดภาวะการเจ็บป่วย

ซึ่งกรณีที่เกิดภาวะการอักเสบเรื้อรัง เนื่องจากการทำงานของระบบไฟธาตุทำงานมากเกินความจำเป็น อันเนื่องจากปัจจัยกระตุ้นต่างๆ จึงส่งผลให้ ธาตุลม น้ำ ผิดปกติ เมื่อเกิดความผิดปกตินานๆ จะส่งผลกระทบต่อธาตุดิน ซึ่งก็หมายถึง มะเร็ง เนื้องอก ก็จะเกิดขึ้นในกระบวนการนี้

ซึ่งในเชิงนามธรรมสามารถจับคู่กับแนวคิดสมัยใหม่ดังนี้:
• ธาตุไฟ สามารถอธิบายบางส่วนของกระบวนการอักเสบ (heat, ความร้อน, แดง บวม ร้อนปวด) — เมื่อไฟมากหรือนาน อาจเปรียบได้กับการอักเสบเรื้อรังที่ก่อให้เกิดความเสียหายเนื้อเยื่อซ้ำๆ
• ธาตุลมและเสมหะ อธิบายอาการแปรปรวนด้านการไหลเวียนและการคั่งของของเหลว/เมตาบอลิซึม การเคลื่อนตัวที่ผิดปกติ ซึ่งอาจสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงระบบภูมิคุ้มกันและสภาพแวดล้อมเนื้อเยื่อ เช่น การคั่งของสารอักเสบในเนื้อเยื่อ

การผสมผสานเชิงปฏิบัติ
• แพทย์แผนไทยเน้นการปรับสมดุลร่ายกายด้วย ตำรับยา สมุนไพร วิถีชีวิต และหัตถการนวด โดยเน้นการแก้ไขที่ระบบธาตุหรือต้นเหตุแห่งโรค ซึ่งในส่วนของการปรับวิถีชีวิตนี้จะสอดคล้องกับแนวทางการลดปัจจัยเสี่ยงตามหลักแผนปัจจุบัน เช่น โภชนาการต้านการอักเสบและการออกกำลังกาย
• อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยมีโรคที่พิสูจน์ว่าเพิ่มความเสี่ยงมะเร็ง (เช่น การติดเชื้อ H. pylori, HBV/HCV, IBD) ควรได้รับการรักษาและติดตามตามมาตรฐานแพทย์แผนปัจจุบันควบคู่กับแนวทางแพทย์แผนไทยเพื่อบรรเทาอาการและฟื้นฟูคุณภาพชีวิต

ข้อเสนอเชิงปฏิบัติในการเชื่อมแนวทางแพทย์แผนปัจจุบันกับแพทย์แผนไทย
1. จัดการปัจจัยเสี่ยงที่มีการตรวจพบชัดเจน เช่น โรค H. pylori, HBV/HCV, รวมทั้งควบคุม IBD ให้ยุติการอักเสบ เป็นต้น
2. ลดภาระการอักเสบในร่างกายโดยปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เช่น หลีกเลี่ยงบุหรี่/แอลกอฮอล์ ควบคุมน้ำหนัก รับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ (ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี น้ำมันมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวแบบดี) และออกกำลังกายสม่ำเสมอ (จุดนี้แพทย์แผนไทยสนับสนุนการปรับอาหารและพฤติกรรมอยู่แล้ว)
3. ใช้ตำรับยาไทย/แนวทางแพทย์แผนไทยอย่างมีข้อมูลและมีแพทย์แผนไทยคอยกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด เลือกวิธีการหรือตำรับที่มีการศึกษาความปลอดภัยและฤทธิ์ต้านการอักเสบในระดับประจักษ์ (evidence-based) และหลีกเลี่ยงตำรับที่อาจมีพิษหรือรบกวนการรักษาหลัก เช่น ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดเมื่อใช้ร่วมกับยาเคมีบำบัด โดยทั้งหมดนี้จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์แผนไทยช่วยออกแบบการรักษาให้โดยตรง เพราะแต่ละคน ใช้วิธีการรักษาคนละรูปแบบ

ข้อสรุปเกี่ยวกับการอักเสบเรื้อรังกับโรคมะเร็ง
• ใช่ — ภาวะการอักเสบเรื้อรังมีบทบาทสำคัญเป็น “ตัวเร่ง/ตัวเสริม” ในการเกิดมะเร็งของหลายชนิด โดยผ่านกลไก เช่น ความเสียหายของ DNA การกระตุ้นการแบ่งเซลล์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมเนื้อเยื่อที่เอื้อต่อการเจริญของเซลล์ผิดปกติ

• แต่ — ไม่อาจสรุปได้ว่า “การอักเสบเท่ากับมะเร็ง” ในทุกกรณี(ตามหลักฐานงานวิจัย) เพราะมะเร็งมีสาเหตุหลายมิติ และการอักเสบบางครั้งเป็นผลตามหลังการเกิดเนื้องอก

แต่หากพิจารณาจากภาวะอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยในช่วงเริ่มต้น จากการซักประวัติก่อนนำจะมาซึ่งการเกิดเนื้องอก/มะเร็ง ส่วนใหญ่มาจากการอักเสบเรื้อรังนำมาก่อน แม้ว่าจะมีปัจจัยจากพันธุกรรมก็ตาม

เนื่องจากแพทย์แผนไทยพิจารณาจากความผิดปกติของระบบธาตุได้ ซึ่งผู้ที่มีปัจจัยทางพันธุกรรม ก็จะแสดงออกเด่นชัดถึงความผิดปกติของระบบธาตุได้ ซึ่งยังไม่มีแนวทางที่เป็นข้อสรุปเชิงวิทยาศาสตร์ ณ ปัจจุบัน แต่ในอนาคตอาจจะมีการพิสูจน์อย่างเป็นที่ประจักษ์

แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด คือการผสมผสานการจัดการปัจจัยเสี่ยงที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยหลักการแพทย์แผนปัจจุบัน แล้วใช้แนวทางรักษาควบคู่กับศาสตร์การแพทย์แผนไทย เพื่อให้ผลการรักษาบรรลุเป้าหมายอย่างชัดเจนและลดผลข้างเคียงให้มากที่สุด โดยผู้ป่วยควรได้รับคำแนะนำด้านการรักษากับแพทย์แผนไทยโดยตรง ไม่ควรซื้อยาสมุนไพรมาทานเอง เพราะอาจจะเกิดอาการกำเริบที่รุนแรงขึ้นได้

**รายละเอียดในบทความอ้างอิงจาก Research & Review ทั้งในและต่างประเทศ

พท.อรรถเวช กองนักวงษ์ (หมอแมน)
แพทย์แผนไทยประจำ ศูนย์รักษาโรคเรื้อรัง & โรคอุบัติใหม่
อภิเวชคลินิกการแพทย์แผนไทย

#ปวดกระดูก #มะเร็งกระดูก #กระดูกระเบนเหน็บ #แพทย์แผนปัจจุบัน #แพทย์แผนไทย #เส้นประธานสิบ #การแพทย์บูรณาการ #อ้างอิงวิชาการ #มะเร็งตับ #มะเร็ง #ไวรัสตับอักเสบ #ศูนย์รักษาโรคเรื้อรังและโรคอุบัติใหม่

เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน🙏🏻🙏🏻🙏🏻🙏🏻🙏🏻🙏🏻
12/08/2025

เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

🙏🏻🙏🏻🙏🏻🙏🏻🙏🏻🙏🏻

𝔼𝕀𝔻 𝕄𝕌𝔹𝔸ℝ𝔸𝕂𝔸𝕝 - 𝔸𝔻ℍ𝔸ขอพี่น้องมุสลิมทุกท่านมีสุขภาพกายใจที่แข็งแรงสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และขอเอกองค์อัลลอฮฺ ซบ. ปร...
06/06/2025

𝔼𝕀𝔻 𝕄𝕌𝔹𝔸ℝ𝔸𝕂
𝔸𝕝 - 𝔸𝔻ℍ𝔸

ขอพี่น้องมุสลิมทุกท่านมีสุขภาพกายใจที่แข็งแรงสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และขอเอกองค์อัลลอฮฺ ซบ. ประทานริสกีที่เพิ่มพูนตลอดไป
สำหรับพี่น้องมุสลิมที่ประกอบพิธีฮัจญ์ ขอให้ทุกท่านได้ประสบความสำเร็จตามที่ท่านได้ไว้ และขอพระองค์ตอบรับดุอาฮฺ ของทุกท่าน

หลายคนอาจคิดว่า “นอนไม่หลับ” เป็นแค่ภาวะอาการปกติ แต่ในมุมของแพทย์แผนไทย อาการนอนไม่หลับเป็นสัญญาณของความไม่สมดุลในร่างก...
05/06/2025

หลายคนอาจคิดว่า “นอนไม่หลับ” เป็นแค่ภาวะอาการปกติ แต่ในมุมของแพทย์แผนไทย อาการนอนไม่หลับเป็นสัญญาณของความไม่สมดุลในร่างกาย ซึ่งถ้าปล่อยไว้นาน อาจพัฒนาไปเป็นโรคเรื้อรัง เช่น ความดันสูง เบาหวาน หรือโรคทางอารมณ์ได้ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคซึมเศร้า หรืออาการทางจินอื่นๆได้

สาเหตุของการนอนไม่หลับในมุมแพทย์แผนไทย

แพทย์แผนไทยมองว่าร่างกายของเราประกอบด้วย “ธาตุ 4” คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อธาตุใดธาตุหนึ่งแปรปรวน ก็จะเกิดความผิดปกติของกายและใจ

1. ไฟผิดปกติ (ไฟกำเริบ)
• ไฟย่อยอาหารไม่สมดุล → ร้อนใน กระหายน้ำ ใจรุ่มร้อน หลับไม่สนิท
• มักเกิดในคนที่กินของมัน ของทอด ชา กาแฟ หรือกินดึก

2. ลมผิดปกติ (วาโยธาตุแปรปรวน)
• ลมควบคุมการหลับตื่นไม่ดี → หายใจไม่สม่ำเสมอ ฝันบ่อย สะดุ้งตื่น
• มักเกิดในคนที่เครียด คิดมาก พักผ่อนไม่เป็นเวลา

3. น้ำผิดปกติ (เสมหะสะสม)
• เสมหะคั่งในระบบไหลเวียน → แน่นหน้าอก คอแห้ง หายใจไม่คล่อง
• มักเกิดในคนที่นอนดึก พักผ่อนน้อย กินอาหารย่อยยาก

สัญญาณเตือนว่า “ธาตุแปรปรวน”
• หลับยาก คิดไม่หยุดแม้จะง่วง
• หลับๆ ตื่นๆ เหมือนไม่ได้นอน
• ตื่นเร็ว ตี 3 ตี 4 แล้วนอนต่อไม่ได้
• ปวดศีรษะ ตาแห้ง ใจสั่น หงุดหงิดง่าย

แนวทางดูแลตัวเองตามศาสตร์แพทย์แผนไทย

1. ปรับสมดุล “ลม” ด้วยการหายใจ-เคลื่อนไหว
• ฝึกหายใจเข้า-ออกลึกๆ ก่อนนอน (นับ 1–4)
• ทำโยคะเบาๆ เดินจงกรม หรือยืดเส้นก่อนเข้านอน
• งดใช้มือถือ 1 ชั่วโมงก่อนนอน

2. ปรับสมดุล “ไฟ” ด้วยสมุนไพรเย็น
• ดื่มน้ำใบเตย ใบฝรั่ง ใบบัวบกก่อนนอน
• ใช้ “ยาหอม” หรือ “ยาธาตุเย็น” ช่วยระบายไฟ

3. ปรับสมดุล “น้ำ” และ “ดิน” ด้วยการอาบน้ำอุ่น-แช่เท้า
• แช่เท้าในน้ำอุ่นผสมเกลือหรือขิงสด 15 นาที ก่อนนอน
• นวดฝ่าเท้าด้วยน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าว



สรุปสั้นๆ

“นอนไม่หลับ” ไม่ใช่แค่เรื่องปกติที่เกิกขึ้นได้ แต่คือสัญญาณของธาตุที่เสียสมดุล
ถ้าแก้ไขให้ถูกที่ โดยฟื้นฟูธาตุที่ผิด — ทั้งลม ไฟ น้ำ และดิน — ร่างกายจะกลับมานอนหลับได้เองอย่างเป็นธรรมชาติ

หากคุณกำลังมีอาการนอนไม่หลับเรื้อรัง หรืออยากปรับสมดุลร่างกายด้วยวิธีธรรมชาติ ลองปรึกษาแพทย์แผนไทยใกล้บ้าน หรือมาให้เราช่วยดูแลที่ “อภิเวชคลินิกการแพทย์แผนไทย” ก็ยินดีต้อนรับเสมอครับ
#ศูนย์รักษาโรคเรื้อรังและโรคอุบัติใหม่ #อภิเวชคลินิกฯ #นอนไม่หลับ

การวิเคราะห์ธาตุและสมุฏฐานตามหลักการแพทย์แผนไทย {ตอนที่ 2}ปถวีธาตุ (ธาตุดิน) ในส่วนของ "กรีสัง" พิการหรือคั่งค้าง (ท้องผ...
03/06/2025

การวิเคราะห์ธาตุและสมุฏฐานตามหลักการแพทย์แผนไทย {ตอนที่ 2}
ปถวีธาตุ (ธาตุดิน) ในส่วนของ "กรีสัง" พิการหรือคั่งค้าง (ท้องผูก)
.
ส่งผลให้ วาโยธาตุ (ธาตุลม) กำเริบและปั่นป่วน (ลมตีขึ้นเบื้องบน, ลมติดขัด)
ซึ่งลมที่กำเริบนี้ได้ไป กระทบกับหทัยวาตะ (ลมในหัวใจ) และจากของเสียที่สะสมจะกระตุ้นให้เกิความร้อน (กระทบกับธาตุไฟบางส่วน) ทำให้เกิดอาการระส่ำระส่าย หงุดหงิด และใจหวิว

แนวทางการรักษาตามหลักแพทย์แผนไทย
อาการเหล่านี้บ่งชี้ถึงความไม่สมดุลของ ธาตุลม และ ธาตุดิน เป็นหลัก โดยมี ธาตุไฟ เข้ามาเกี่ยวข้องบางส่วน
สำหรับกรณีเช่นนี้ สาเหตุหลัก มาจาก "กรีสัง(อาหารเก่า)" คือหัวใจของปัญหา แนวทางจะเน้นไปที่การระบาย "กรีสัง" และขับลมในลำไส้
ใช้ยาที่มีฤทธิ์ระบายอ่อนๆ ที่ช่วยขับของเสียและขับลมในลำไส้ เช่น ยาตรีผลา (สมอไทย, สมอพิเภก, มะขามป้อม) หรือ ยาธรณีสันฑะฆาต (ในปริมาณที่เหมาะสม) เพื่อช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ และลดการคั่งค้างของกรีสัง
สมุนไพรเดี่ยวที่ช่วยขับลม เช่น ขิง พริกไทย ดีปลี ร่วมด้วย เพื่อช่วยให้ลมในช่องท้องเคลื่อนที่ได้ดี (ในกรณีที่อาการไม่รุนแรงและไม่เรื้อรัง)
ปรับสมดุลธาตุลมและบำรุงหัวใจ:
** ใช้ยาหอมต่างๆ ที่มีสรรพคุณบำรุงหัวใจ ช่วยให้เลือดลมเดินสะดวก และสงบจิตใจ ลดอาการใจหวิวและระส่ำระส่าย
** แนะนำการหายใจเข้าออกลึกๆ เป็นระยะเวลาหนึ่งซัก 10 ถึง 15 นาที เพื่อช่วยควบคุมลมในร่างกาย
ปรับพฤติกรรมแก้ไขท้องผูกระยะยาว:
** ดื่มน้ำอุ่น/น้ำสะอาดให้เพียงพอ: เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้อุจจาระนุ่มลง
** เพิ่มใยอาหาร: เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืชที่ช่วยเพิ่มกากใย (เช่น มะละกอ มะขาม)
** การออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้
** การขับถ่ายให้เป็นเวลา: ฝึกให้ร่างกายคุ้นชินกับการขับถ่าย เน้นการขับถ่ายตอนเช้าหลังตื่นนอน
อย่างไรก็ตาม หากอาการไม่ดีขึ้น แนะนำให้คุณเข้ามาพบแพทย์ที่คลินิกของเราเพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด เพราะบางครั้งอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อนกว่าที่เห็น เช่น ปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ หรือภาวะทางจิตใจที่ต้องได้รับการจัดการที่เหมาะสม #อภิเวชคลินิกฯ #คืนชีวิตใหม่อีกครั้ง #ศูนย์รักษาโรคเรื้อรังและโรคอุบัติใหม่ #ศูนย์รักษาโรคเรื้อรังNCDs #ระส่ำระส่าย #ใจหวิว #ถ่ายยาก #ใจสั่น #ระส่ำระส่าย

ระส่ำระส่าย ถ่ายยาก ใจหวิว (ตอนที่1)เมื่อพิจารณาความเชื่อมโยงระหว่างอาการท้องผูกกับอาการระส่ำระส่าย หงุดหงิด และใจหวิว ส...
01/06/2025

ระส่ำระส่าย ถ่ายยาก ใจหวิว (ตอนที่1)

เมื่อพิจารณาความเชื่อมโยงระหว่างอาการท้องผูกกับอาการระส่ำระส่าย หงุดหงิด และใจหวิว
สาเหตุที่น่าสงสัยและควรพิจารณาเป็นอันดับต้นๆ คือ
ภาวะที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารและผลกระทบต่อร่างกาย

ในมุมมองการแพทย์แผนปัจจุบัน มีแนวทางดังนี้

แก๊สในกระเพาะอาหารและลำไส้: การที่ถ่ายยากหรือท้องผูกอาจทำให้มีการสะสมของแก๊สในลำไส้มากขึ้น แก๊สเหล่านี้สามารถสร้างแรงกดดันต่ออวัยวะภายใน รวมถึงกะบังลม ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการไม่สบายตัว แน่นท้อง อึดอัด และบางครั้งอาจทำให้รู้สึกใจหวิวๆ คล้ายกับอาการที่เกิดจากความวิตกกังวลได้ โดยเฉพาะในช่วงหัวค่ำที่ร่างกายอาจจะผ่อนคลายและรับรู้ถึงความผิดปกติได้ชัดเจนขึ้น
อาการลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome - IBS) เป็นภาวะเรื้อรังที่ส่งผลต่อลำไส้ใหญ่ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้อง, ท้องอืด, ท้องผูกสลับท้องเสีย และมักจะมีอาการทางอารมณ์ร่วมด้วย เช่น วิตกกังวล หรือซึมเศร้า อาการระส่ำระส่ายและหงุดหงิดของคุณอาจเป็นส่วนหนึ่งของอาการ IBS ที่สัมพันธ์กับการทำงานของลำไส้
การขาดน้ำและเกลือแร่: หากท้องผูกเกิดจากการดื่มน้ำไม่เพียงพอ อาจส่งผลให้ร่างกายขาดน้ำเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย, มึนงง, และรู้สึกไม่สบายตัวได้
ความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ (Dysbiosis) และแกนสมอง-ลำไส้ (Gut-Brain Axis): ลำไส้ของเราเชื่อมโยงกับสมองอย่างใกล้ชิดผ่านเส้นประสาทและสารสื่อประสาทต่างๆ (Gut-Brain Axis) เมื่อเกิดความผิดปกติในลำไส้ เช่น ท้องผูกเรื้อรัง หรือภาวะจุลินทรีย์ในลำไส้ไม่สมดุล อาจส่งผลกระทบต่ออารมณ์และระบบประสาทได้ ทำให้เกิดอาการหงุดหงิด, วิตกกังวล, หรือระส่ำระส่าย

เดี๋ยวบทความหน้า เราจะนำเสนอข้อมูลมุมมองแนวทางการรักษาด้านการ แพทย์แผนไทย ให้ทราบกันครับ
#ศูนย์รักษาโรคเรื้อรังและโรคอุบัติใหม่ #อภิเวชคลินิกฯ #ศูนย์รักษาโรคเรื้อรังNCDs #คืนชีวิตใหม่อีกครั้ง #ถ่ายยาก #ใจหวิว #ใจสั่น #ระส่ำระส่าย

โควิด สายพันธุ์ XEC น่ากลัวแค่ไหน?สายพันธุ์นี้ ไม่น่ากลัวครับ แต่ยืดยาวและยืดเยื้อไม่รุนแรงแต่เรื้อรัง มีอาการคล้ายกับไข...
19/05/2025

โควิด สายพันธุ์ XEC น่ากลัวแค่ไหน?
สายพันธุ์นี้ ไม่น่ากลัวครับ แต่ยืดยาวและยืดเยื้อ
ไม่รุนแรงแต่เรื้อรัง มีอาการคล้ายกับไข้ทั่วไป แต่อาจจะมีอาการเหนื่อยง่ายสำหรับผู้ป่วยบางราย

XEC เป็นโควิดสายพันธุ์ที่แพร่ได้เร็ว มีขีดความสามารถในการแพร่เร็วกว่าโอมิครอนตัวอื่นถึง 84–110%

เมื่อก่อนเรารักษาโควิดตั้งแต่สายพันธุ์อู่ฮั่น อัลฟ่า เบต้า เดลต้า ยันสายพันธุ์โอไมครอน มีความรุนแรงจริง แต่ปิดจบได้ง่ายกว่าและรวดเร็ว ถ้าเดินยาได้ครบ ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เต็มที่ไม่ข้าม 14 วัน(รวมทั้งรักษาอาการข้างเคียง) ตรวจ ATK ไม่พบได้ตั้งแต่ 7 วัน เป็นส่วนใหญ่

ทีนี้กลไกการรักษาสายพันธุ์นี้ ต้องวางแผนตัดวงจร ให้รวดเร็ว รวบรัด กระชับ ชัดเจน ไม่ให้มีอาการ เรื้อรัง เพราะถ้าปล่อยให้เรื้อรัง คงจะจัดการได้ยาก และจะพาระบบร่างกายอื่นๆผิดปกติตามไปด้วย

เมื่อถามถึง การฉีดวัคซีนในยุค ปัจจุบันนี้ จากที่ได้ค้นคว้าข้อมูลมา พบว่า ยังไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่ป้องกันไม่ให้รุนแรงได้ แต่ผลเสีย ที่จะเกิดขึ้นหลังฉีดวัคซีน ต่อสภาพร่างกายนั้น ก็มีความน่าเป็นห่วงและเป็นกังวลเช่นกัน

และยังมีข้อสงสัยมานานเกี่ยวกับ คนที่ได้รับวัคซีน มีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ง่ายกว่าผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน

ฉะนั้น สิ่งที่จะสามารถเอาชนะโควิดได้อย่างดี คือระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเราเอง เท่านั้น ‼️

ทางที่ดีที่สุดในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อได้ คือ การยกระดับภูมิคุ้มกันของร่างกาย เมื่อพบความเสี่ยง หรือรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยสบาย
⚠️ควรพักผ่อนให้เพียงพอ
⚠️ดื่มน้ำอุณหภูมิห้อง
⚠️หลีกเลี่ยงการทานอาหารมากจนเกินไป
⚠️ไม่ให้ร่างกายมีการอ่อนเพลียเรื้อรัง

สิ่งเหล่านี้ คือข้อกำหนดหนึ่ง ที่เราจะเน้นย้ำกับคนไข้ของเราทุกคนสำหรับมาตราการ การยกระดับภูมิคุ้มกันร่างกาย

สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่า ต่อให้โควิดกลายพันธุ์มากี่สายพันธุ์ ขอยืนยันว่า ประสิทธิภาพของสมุนไพรและองค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนตะวันออก ยังคงยืนหยัดและสามารถต่อกรกับโรคนี้ได้อยู่อย่างมั่นคง

ขอให้ทุกคนปลอดภัย
ขอบคุณครับ


#ศูนย์รักษาโรคเรื้อรังและโรคอุบัติใหม่
#อภิเวชคลินิกฯ

กรดไหลย้อนเป็นภาวะที่เกิดจากการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหารเข้าสู่หลอดอาหาร ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการไม่สบายและส่งผลต่อคุณภาพ...
03/05/2025

กรดไหลย้อนเป็นภาวะที่เกิดจากการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหารเข้าสู่หลอดอาหาร ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการไม่สบายและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว ภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่พบมากในผู้ใหญ่

สาเหตุของกรดไหลย้อน
กรดไหลย้อนเกิดจากการทำงานผิดปกติของกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง (Lower Esophageal Sphincter - LES) ซึ่งปกติแล้วจะทำหน้าที่ปิดกั้นไม่ให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมา แต่เมื่อ LES อ่อนแอหรือมีความผิดปกติ จะทำให้กรดไหลย้อนเข้าสู่หลอดอาหารได้

ปัจจัยที่อาจทำให้เกิดกรดไหลย้อน ได้แก่:
- **อาหารและเครื่องดื่ม**: อาหารที่มีไขมันสูง, อาหารรสเผ็ด, ช็อกโกแลต, กาแฟ, แอลกอฮอล์
- **วิถีชีวิต**: การสูบบุหรี่, ความอ้วน, การทานอาหารมื้อใหญ่ก่อนนอน
- **ยาบางชนิด**: เช่น ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)

อาการของกรดไหลย้อนอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่ที่พบบ่อย ได้แก่:
- แสบร้อนกลางอก (Heartburn)
- รสขมในปากหรือรสเปรี้ยว
- กลืนลำบากหรือเจ็บขณะกลืน
- ไอเรื้อรังหรือเสียงแหบ
- เรอบ่อย

แพทย์จะทำการวินิจฉัยกรดไหลย้อนโดยพิจารณาจากอาการและประวัติสุขภาพของผู้ป่วย นอกจากนี้อาจมีการทำตรวจเพิ่มเติม เช่น การส่องกล้องหลอดอาหาร (Endoscopy) หรือการวัดความเป็นกรดในหลอดอาหาร (pH Monitoring)

การรักษาในแพทย์แผนปัจจุบัน
การรักษากรดไหลย้อนมุ่งเน้นที่การลดอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยประกอบด้วย:
- **การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต**: หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นอาการ, ลดน้ำหนัก, หลีกเลี่ยงการนอนราบหลังอาหาร
- **การใช้ยา**: ยาลดกรด, ยากลุ่มโปรตอนปั๊มอินฮิบิเตอร์ (PPI), ยากลุ่มเอชทูรีเซพเตอร์บล็อคเกอร์ (H2 Receptor Blockers)
- **การผ่าตัด**: ในกรณีที่การรักษาด้วยยาไม่ได้ผล

แนวทางการรักษาแบบไม่พึ่งยา
1. สมุนไพรที่ช่วยบรรเทาอาการ
• ขมิ้นชัน: ช่วยลดการอักเสบและสมานแผลในกระเพาะอาหาร
วิธีใช้: รับประทานในรูปแบบแคปซูลหรือชงดื่มหลังอาหาร
• ว่านหางจระเข้: เคลือบแผลในหลอดอาหาร ลดการระคายเคือง
วิธีใช้: ดื่มเจลว่านหางจระเข้ 1–2 ช้อนโต๊ะก่อนอาหาร
• กล้วยดิบ: มีสารแทนนินช่วยเคลือบเยื่อบุกระเพาะ
วิธีใช้: รับประทานกล้วยดิบฝานบางตากแห้งบดเป็นผง ชงน้ำอุ่นดื่มก่อนอาหาร
• ฟ้าทะลายโจร (ในรายที่มีอาการเจ็บคอ ไอเรื้อรัง): มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ

2. พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ควรปรับเปลี่ยน
• แบ่งมื้ออาหาร: กินให้น้อยลงแต่บ่อยขึ้น เช่น วันละ 4–5 มื้อเล็ก
• ไม่กินก่อนนอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
• นอนยกหัวเตียงสูง 6–8 นิ้ว: ลดการไหลย้อนของกรด
• ออกกำลังกายเบาๆ สม่ำเสมอ เช่น เดินหลังอาหาร 30 นาที
• ลดความเครียด: ใช้การฝึกหายใจ โยคะ หรือสมาธิ
• ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

3. อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
• ของทอด ไขมันสูง เช่น หมูสามชั้น ชีส เนย
• ของหมักดอง เช่น กะปิ ปลาร้า
• คาเฟอีน เช่น กาแฟ ชาเขียว
• ช็อกโกแลต
• แอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มอัดลม
• อาหารรสจัด เปรี้ยวจัด เผ็ดจัด

จำไว้ว่า
กรดไหลย้อนหายได้ ถ้าดูแลตัวเองต่อเนื่อง
เน้นสมุนไพร + ปรับพฤติกรรม ลดภาระการใช้ยา

หากปฏิบัติตามแนวทางข้างต้นแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์แผนไทยเพื่อหาแนวทางในการรักษาต่อไป
#ศูนย์รักษาโรคเรื้อรังและโรคอุบัติใหม #อภิเวชคลินิกฯ #ศูนย์รักษาโรคเรื้อรังNCDs #กรดไหลย้อน #กรดไหลย้อนหายได้ #กรดไหลย้อนหายขาดได้ไม่ต้องใช้ยา #แสบรัอนกลางอก

12/04/2025

สวัสดีปีใหม่ไทย 2568
🎉🎉🎉
สุขสันต์วันสงกรานต์
คลินิกเปิดทำการตามปกติ

🙏🏻🙏🏻 EID MUBARAK 🙏🏻🙏🏻
30/03/2025

🙏🏻🙏🏻 EID MUBARAK 🙏🏻🙏🏻

ที่อยู่

พัฒนาการ61 แขวงประเวศ เขตประเวศ
Bangkok
10250

เวลาทำการ

จันทร์ 12:00 - 21:00
อังคาร 12:00 - 21:00
พุธ 12:00 - 21:00
พฤหัสบดี 12:00 - 21:00
ศุกร์ 12:00 - 21:00
เสาร์ 12:00 - 21:00
อาทิตย์ 12:00 - 21:00

เบอร์โทรศัพท์

+66816668764

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ อภิเวชคลินิก Apivej Clinicผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง อภิเวชคลินิก Apivej Clinic:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ประเภท

Apivej Clinic

“ทางเลือกใหม่แห่งการรักษา ไม่พึ่งพายาและการผ่าตัด เน้นคุณภาพชีวิตผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญ”

ตรวจ - รักษาโรคทั่วไป โรคเรื้อรัง โรคในผู้สูงอายุโรคในเด็ก โรคกล้ามเนื้อและกระดูก ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นผิดจังหวะ เก๊าท์ รูมาตอยด์ พาร์กินสัน ออฟฟิศซินโดรม ท้องผูกเรื้อรัง ริดสีดวงทวาร กรดไหลย้อน หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ด้วยการรักษาแบบองค์รวม