อภิเวชคลินิก Apivej Clinic

อภิเวชคลินิก Apivej Clinic ศูนย์รักษาโรคในผู้สูงอายุ โรคกล้ามเนื้อ โรคเรื้อรัง โรคโควิด ด้วยศาสตร์การแพทย์องค์รวม

𝔼𝕀𝔻 𝕄𝕌𝔹𝔸ℝ𝔸𝕂𝔸𝕝 - 𝔸𝔻ℍ𝔸ขอพี่น้องมุสลิมทุกท่านมีสุขภาพกายใจที่แข็งแรงสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และขอเอกองค์อัลลอฮฺ ซบ. ปร...
06/06/2025

𝔼𝕀𝔻 𝕄𝕌𝔹𝔸ℝ𝔸𝕂
𝔸𝕝 - 𝔸𝔻ℍ𝔸

ขอพี่น้องมุสลิมทุกท่านมีสุขภาพกายใจที่แข็งแรงสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และขอเอกองค์อัลลอฮฺ ซบ. ประทานริสกีที่เพิ่มพูนตลอดไป
สำหรับพี่น้องมุสลิมที่ประกอบพิธีฮัจญ์ ขอให้ทุกท่านได้ประสบความสำเร็จตามที่ท่านได้ไว้ และขอพระองค์ตอบรับดุอาฮฺ ของทุกท่าน

หลายคนอาจคิดว่า “นอนไม่หลับ” เป็นแค่ภาวะอาการปกติ แต่ในมุมของแพทย์แผนไทย อาการนอนไม่หลับเป็นสัญญาณของความไม่สมดุลในร่างก...
05/06/2025

หลายคนอาจคิดว่า “นอนไม่หลับ” เป็นแค่ภาวะอาการปกติ แต่ในมุมของแพทย์แผนไทย อาการนอนไม่หลับเป็นสัญญาณของความไม่สมดุลในร่างกาย ซึ่งถ้าปล่อยไว้นาน อาจพัฒนาไปเป็นโรคเรื้อรัง เช่น ความดันสูง เบาหวาน หรือโรคทางอารมณ์ได้ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคซึมเศร้า หรืออาการทางจินอื่นๆได้

สาเหตุของการนอนไม่หลับในมุมแพทย์แผนไทย

แพทย์แผนไทยมองว่าร่างกายของเราประกอบด้วย “ธาตุ 4” คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อธาตุใดธาตุหนึ่งแปรปรวน ก็จะเกิดความผิดปกติของกายและใจ

1. ไฟผิดปกติ (ไฟกำเริบ)
• ไฟย่อยอาหารไม่สมดุล → ร้อนใน กระหายน้ำ ใจรุ่มร้อน หลับไม่สนิท
• มักเกิดในคนที่กินของมัน ของทอด ชา กาแฟ หรือกินดึก

2. ลมผิดปกติ (วาโยธาตุแปรปรวน)
• ลมควบคุมการหลับตื่นไม่ดี → หายใจไม่สม่ำเสมอ ฝันบ่อย สะดุ้งตื่น
• มักเกิดในคนที่เครียด คิดมาก พักผ่อนไม่เป็นเวลา

3. น้ำผิดปกติ (เสมหะสะสม)
• เสมหะคั่งในระบบไหลเวียน → แน่นหน้าอก คอแห้ง หายใจไม่คล่อง
• มักเกิดในคนที่นอนดึก พักผ่อนน้อย กินอาหารย่อยยาก

สัญญาณเตือนว่า “ธาตุแปรปรวน”
• หลับยาก คิดไม่หยุดแม้จะง่วง
• หลับๆ ตื่นๆ เหมือนไม่ได้นอน
• ตื่นเร็ว ตี 3 ตี 4 แล้วนอนต่อไม่ได้
• ปวดศีรษะ ตาแห้ง ใจสั่น หงุดหงิดง่าย

แนวทางดูแลตัวเองตามศาสตร์แพทย์แผนไทย

1. ปรับสมดุล “ลม” ด้วยการหายใจ-เคลื่อนไหว
• ฝึกหายใจเข้า-ออกลึกๆ ก่อนนอน (นับ 1–4)
• ทำโยคะเบาๆ เดินจงกรม หรือยืดเส้นก่อนเข้านอน
• งดใช้มือถือ 1 ชั่วโมงก่อนนอน

2. ปรับสมดุล “ไฟ” ด้วยสมุนไพรเย็น
• ดื่มน้ำใบเตย ใบฝรั่ง ใบบัวบกก่อนนอน
• ใช้ “ยาหอม” หรือ “ยาธาตุเย็น” ช่วยระบายไฟ

3. ปรับสมดุล “น้ำ” และ “ดิน” ด้วยการอาบน้ำอุ่น-แช่เท้า
• แช่เท้าในน้ำอุ่นผสมเกลือหรือขิงสด 15 นาที ก่อนนอน
• นวดฝ่าเท้าด้วยน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าว



สรุปสั้นๆ

“นอนไม่หลับ” ไม่ใช่แค่เรื่องปกติที่เกิกขึ้นได้ แต่คือสัญญาณของธาตุที่เสียสมดุล
ถ้าแก้ไขให้ถูกที่ โดยฟื้นฟูธาตุที่ผิด — ทั้งลม ไฟ น้ำ และดิน — ร่างกายจะกลับมานอนหลับได้เองอย่างเป็นธรรมชาติ

หากคุณกำลังมีอาการนอนไม่หลับเรื้อรัง หรืออยากปรับสมดุลร่างกายด้วยวิธีธรรมชาติ ลองปรึกษาแพทย์แผนไทยใกล้บ้าน หรือมาให้เราช่วยดูแลที่ “อภิเวชคลินิกการแพทย์แผนไทย” ก็ยินดีต้อนรับเสมอครับ
#ศูนย์รักษาโรคเรื้อรังและโรคอุบัติใหม่ #อภิเวชคลินิกฯ #นอนไม่หลับ

การวิเคราะห์ธาตุและสมุฏฐานตามหลักการแพทย์แผนไทย {ตอนที่ 2}ปถวีธาตุ (ธาตุดิน) ในส่วนของ "กรีสัง" พิการหรือคั่งค้าง (ท้องผ...
03/06/2025

การวิเคราะห์ธาตุและสมุฏฐานตามหลักการแพทย์แผนไทย {ตอนที่ 2}
ปถวีธาตุ (ธาตุดิน) ในส่วนของ "กรีสัง" พิการหรือคั่งค้าง (ท้องผูก)
.
ส่งผลให้ วาโยธาตุ (ธาตุลม) กำเริบและปั่นป่วน (ลมตีขึ้นเบื้องบน, ลมติดขัด)
ซึ่งลมที่กำเริบนี้ได้ไป กระทบกับหทัยวาตะ (ลมในหัวใจ) และจากของเสียที่สะสมจะกระตุ้นให้เกิความร้อน (กระทบกับธาตุไฟบางส่วน) ทำให้เกิดอาการระส่ำระส่าย หงุดหงิด และใจหวิว

แนวทางการรักษาตามหลักแพทย์แผนไทย
อาการเหล่านี้บ่งชี้ถึงความไม่สมดุลของ ธาตุลม และ ธาตุดิน เป็นหลัก โดยมี ธาตุไฟ เข้ามาเกี่ยวข้องบางส่วน
สำหรับกรณีเช่นนี้ สาเหตุหลัก มาจาก "กรีสัง(อาหารเก่า)" คือหัวใจของปัญหา แนวทางจะเน้นไปที่การระบาย "กรีสัง" และขับลมในลำไส้
ใช้ยาที่มีฤทธิ์ระบายอ่อนๆ ที่ช่วยขับของเสียและขับลมในลำไส้ เช่น ยาตรีผลา (สมอไทย, สมอพิเภก, มะขามป้อม) หรือ ยาธรณีสันฑะฆาต (ในปริมาณที่เหมาะสม) เพื่อช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ และลดการคั่งค้างของกรีสัง
สมุนไพรเดี่ยวที่ช่วยขับลม เช่น ขิง พริกไทย ดีปลี ร่วมด้วย เพื่อช่วยให้ลมในช่องท้องเคลื่อนที่ได้ดี (ในกรณีที่อาการไม่รุนแรงและไม่เรื้อรัง)
ปรับสมดุลธาตุลมและบำรุงหัวใจ:
** ใช้ยาหอมต่างๆ ที่มีสรรพคุณบำรุงหัวใจ ช่วยให้เลือดลมเดินสะดวก และสงบจิตใจ ลดอาการใจหวิวและระส่ำระส่าย
** แนะนำการหายใจเข้าออกลึกๆ เป็นระยะเวลาหนึ่งซัก 10 ถึง 15 นาที เพื่อช่วยควบคุมลมในร่างกาย
ปรับพฤติกรรมแก้ไขท้องผูกระยะยาว:
** ดื่มน้ำอุ่น/น้ำสะอาดให้เพียงพอ: เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้อุจจาระนุ่มลง
** เพิ่มใยอาหาร: เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืชที่ช่วยเพิ่มกากใย (เช่น มะละกอ มะขาม)
** การออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้
** การขับถ่ายให้เป็นเวลา: ฝึกให้ร่างกายคุ้นชินกับการขับถ่าย เน้นการขับถ่ายตอนเช้าหลังตื่นนอน
อย่างไรก็ตาม หากอาการไม่ดีขึ้น แนะนำให้คุณเข้ามาพบแพทย์ที่คลินิกของเราเพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด เพราะบางครั้งอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อนกว่าที่เห็น เช่น ปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ หรือภาวะทางจิตใจที่ต้องได้รับการจัดการที่เหมาะสม #อภิเวชคลินิกฯ #คืนชีวิตใหม่อีกครั้ง #ศูนย์รักษาโรคเรื้อรังและโรคอุบัติใหม่ #ศูนย์รักษาโรคเรื้อรังNCDs #ระส่ำระส่าย #ใจหวิว #ถ่ายยาก #ใจสั่น #ระส่ำระส่าย

ระส่ำระส่าย ถ่ายยาก ใจหวิว (ตอนที่1)เมื่อพิจารณาความเชื่อมโยงระหว่างอาการท้องผูกกับอาการระส่ำระส่าย หงุดหงิด และใจหวิว ส...
01/06/2025

ระส่ำระส่าย ถ่ายยาก ใจหวิว (ตอนที่1)

เมื่อพิจารณาความเชื่อมโยงระหว่างอาการท้องผูกกับอาการระส่ำระส่าย หงุดหงิด และใจหวิว
สาเหตุที่น่าสงสัยและควรพิจารณาเป็นอันดับต้นๆ คือ
ภาวะที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารและผลกระทบต่อร่างกาย

ในมุมมองการแพทย์แผนปัจจุบัน มีแนวทางดังนี้

แก๊สในกระเพาะอาหารและลำไส้: การที่ถ่ายยากหรือท้องผูกอาจทำให้มีการสะสมของแก๊สในลำไส้มากขึ้น แก๊สเหล่านี้สามารถสร้างแรงกดดันต่ออวัยวะภายใน รวมถึงกะบังลม ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการไม่สบายตัว แน่นท้อง อึดอัด และบางครั้งอาจทำให้รู้สึกใจหวิวๆ คล้ายกับอาการที่เกิดจากความวิตกกังวลได้ โดยเฉพาะในช่วงหัวค่ำที่ร่างกายอาจจะผ่อนคลายและรับรู้ถึงความผิดปกติได้ชัดเจนขึ้น
อาการลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome - IBS) เป็นภาวะเรื้อรังที่ส่งผลต่อลำไส้ใหญ่ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้อง, ท้องอืด, ท้องผูกสลับท้องเสีย และมักจะมีอาการทางอารมณ์ร่วมด้วย เช่น วิตกกังวล หรือซึมเศร้า อาการระส่ำระส่ายและหงุดหงิดของคุณอาจเป็นส่วนหนึ่งของอาการ IBS ที่สัมพันธ์กับการทำงานของลำไส้
การขาดน้ำและเกลือแร่: หากท้องผูกเกิดจากการดื่มน้ำไม่เพียงพอ อาจส่งผลให้ร่างกายขาดน้ำเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย, มึนงง, และรู้สึกไม่สบายตัวได้
ความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ (Dysbiosis) และแกนสมอง-ลำไส้ (Gut-Brain Axis): ลำไส้ของเราเชื่อมโยงกับสมองอย่างใกล้ชิดผ่านเส้นประสาทและสารสื่อประสาทต่างๆ (Gut-Brain Axis) เมื่อเกิดความผิดปกติในลำไส้ เช่น ท้องผูกเรื้อรัง หรือภาวะจุลินทรีย์ในลำไส้ไม่สมดุล อาจส่งผลกระทบต่ออารมณ์และระบบประสาทได้ ทำให้เกิดอาการหงุดหงิด, วิตกกังวล, หรือระส่ำระส่าย

เดี๋ยวบทความหน้า เราจะนำเสนอข้อมูลมุมมองแนวทางการรักษาด้านการ แพทย์แผนไทย ให้ทราบกันครับ
#ศูนย์รักษาโรคเรื้อรังและโรคอุบัติใหม่ #อภิเวชคลินิกฯ #ศูนย์รักษาโรคเรื้อรังNCDs #คืนชีวิตใหม่อีกครั้ง #ถ่ายยาก #ใจหวิว #ใจสั่น #ระส่ำระส่าย

โควิด สายพันธุ์ XEC น่ากลัวแค่ไหน?สายพันธุ์นี้ ไม่น่ากลัวครับ แต่ยืดยาวและยืดเยื้อไม่รุนแรงแต่เรื้อรัง มีอาการคล้ายกับไข...
19/05/2025

โควิด สายพันธุ์ XEC น่ากลัวแค่ไหน?
สายพันธุ์นี้ ไม่น่ากลัวครับ แต่ยืดยาวและยืดเยื้อ
ไม่รุนแรงแต่เรื้อรัง มีอาการคล้ายกับไข้ทั่วไป แต่อาจจะมีอาการเหนื่อยง่ายสำหรับผู้ป่วยบางราย

XEC เป็นโควิดสายพันธุ์ที่แพร่ได้เร็ว มีขีดความสามารถในการแพร่เร็วกว่าโอมิครอนตัวอื่นถึง 84–110%

เมื่อก่อนเรารักษาโควิดตั้งแต่สายพันธุ์อู่ฮั่น อัลฟ่า เบต้า เดลต้า ยันสายพันธุ์โอไมครอน มีความรุนแรงจริง แต่ปิดจบได้ง่ายกว่าและรวดเร็ว ถ้าเดินยาได้ครบ ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เต็มที่ไม่ข้าม 14 วัน(รวมทั้งรักษาอาการข้างเคียง) ตรวจ ATK ไม่พบได้ตั้งแต่ 7 วัน เป็นส่วนใหญ่

ทีนี้กลไกการรักษาสายพันธุ์นี้ ต้องวางแผนตัดวงจร ให้รวดเร็ว รวบรัด กระชับ ชัดเจน ไม่ให้มีอาการ เรื้อรัง เพราะถ้าปล่อยให้เรื้อรัง คงจะจัดการได้ยาก และจะพาระบบร่างกายอื่นๆผิดปกติตามไปด้วย

เมื่อถามถึง การฉีดวัคซีนในยุค ปัจจุบันนี้ จากที่ได้ค้นคว้าข้อมูลมา พบว่า ยังไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่ป้องกันไม่ให้รุนแรงได้ แต่ผลเสีย ที่จะเกิดขึ้นหลังฉีดวัคซีน ต่อสภาพร่างกายนั้น ก็มีความน่าเป็นห่วงและเป็นกังวลเช่นกัน

และยังมีข้อสงสัยมานานเกี่ยวกับ คนที่ได้รับวัคซีน มีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ง่ายกว่าผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน

ฉะนั้น สิ่งที่จะสามารถเอาชนะโควิดได้อย่างดี คือระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเราเอง เท่านั้น ‼️

ทางที่ดีที่สุดในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อได้ คือ การยกระดับภูมิคุ้มกันของร่างกาย เมื่อพบความเสี่ยง หรือรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยสบาย
⚠️ควรพักผ่อนให้เพียงพอ
⚠️ดื่มน้ำอุณหภูมิห้อง
⚠️หลีกเลี่ยงการทานอาหารมากจนเกินไป
⚠️ไม่ให้ร่างกายมีการอ่อนเพลียเรื้อรัง

สิ่งเหล่านี้ คือข้อกำหนดหนึ่ง ที่เราจะเน้นย้ำกับคนไข้ของเราทุกคนสำหรับมาตราการ การยกระดับภูมิคุ้มกันร่างกาย

สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่า ต่อให้โควิดกลายพันธุ์มากี่สายพันธุ์ ขอยืนยันว่า ประสิทธิภาพของสมุนไพรและองค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนตะวันออก ยังคงยืนหยัดและสามารถต่อกรกับโรคนี้ได้อยู่อย่างมั่นคง

ขอให้ทุกคนปลอดภัย
ขอบคุณครับ


#ศูนย์รักษาโรคเรื้อรังและโรคอุบัติใหม่
#อภิเวชคลินิกฯ

กรดไหลย้อนเป็นภาวะที่เกิดจากการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหารเข้าสู่หลอดอาหาร ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการไม่สบายและส่งผลต่อคุณภาพ...
03/05/2025

กรดไหลย้อนเป็นภาวะที่เกิดจากการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหารเข้าสู่หลอดอาหาร ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการไม่สบายและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว ภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่พบมากในผู้ใหญ่

สาเหตุของกรดไหลย้อน
กรดไหลย้อนเกิดจากการทำงานผิดปกติของกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง (Lower Esophageal Sphincter - LES) ซึ่งปกติแล้วจะทำหน้าที่ปิดกั้นไม่ให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมา แต่เมื่อ LES อ่อนแอหรือมีความผิดปกติ จะทำให้กรดไหลย้อนเข้าสู่หลอดอาหารได้

ปัจจัยที่อาจทำให้เกิดกรดไหลย้อน ได้แก่:
- **อาหารและเครื่องดื่ม**: อาหารที่มีไขมันสูง, อาหารรสเผ็ด, ช็อกโกแลต, กาแฟ, แอลกอฮอล์
- **วิถีชีวิต**: การสูบบุหรี่, ความอ้วน, การทานอาหารมื้อใหญ่ก่อนนอน
- **ยาบางชนิด**: เช่น ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)

อาการของกรดไหลย้อนอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่ที่พบบ่อย ได้แก่:
- แสบร้อนกลางอก (Heartburn)
- รสขมในปากหรือรสเปรี้ยว
- กลืนลำบากหรือเจ็บขณะกลืน
- ไอเรื้อรังหรือเสียงแหบ
- เรอบ่อย

แพทย์จะทำการวินิจฉัยกรดไหลย้อนโดยพิจารณาจากอาการและประวัติสุขภาพของผู้ป่วย นอกจากนี้อาจมีการทำตรวจเพิ่มเติม เช่น การส่องกล้องหลอดอาหาร (Endoscopy) หรือการวัดความเป็นกรดในหลอดอาหาร (pH Monitoring)

การรักษาในแพทย์แผนปัจจุบัน
การรักษากรดไหลย้อนมุ่งเน้นที่การลดอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยประกอบด้วย:
- **การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต**: หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นอาการ, ลดน้ำหนัก, หลีกเลี่ยงการนอนราบหลังอาหาร
- **การใช้ยา**: ยาลดกรด, ยากลุ่มโปรตอนปั๊มอินฮิบิเตอร์ (PPI), ยากลุ่มเอชทูรีเซพเตอร์บล็อคเกอร์ (H2 Receptor Blockers)
- **การผ่าตัด**: ในกรณีที่การรักษาด้วยยาไม่ได้ผล

แนวทางการรักษาแบบไม่พึ่งยา
1. สมุนไพรที่ช่วยบรรเทาอาการ
• ขมิ้นชัน: ช่วยลดการอักเสบและสมานแผลในกระเพาะอาหาร
วิธีใช้: รับประทานในรูปแบบแคปซูลหรือชงดื่มหลังอาหาร
• ว่านหางจระเข้: เคลือบแผลในหลอดอาหาร ลดการระคายเคือง
วิธีใช้: ดื่มเจลว่านหางจระเข้ 1–2 ช้อนโต๊ะก่อนอาหาร
• กล้วยดิบ: มีสารแทนนินช่วยเคลือบเยื่อบุกระเพาะ
วิธีใช้: รับประทานกล้วยดิบฝานบางตากแห้งบดเป็นผง ชงน้ำอุ่นดื่มก่อนอาหาร
• ฟ้าทะลายโจร (ในรายที่มีอาการเจ็บคอ ไอเรื้อรัง): มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ

2. พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ควรปรับเปลี่ยน
• แบ่งมื้ออาหาร: กินให้น้อยลงแต่บ่อยขึ้น เช่น วันละ 4–5 มื้อเล็ก
• ไม่กินก่อนนอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
• นอนยกหัวเตียงสูง 6–8 นิ้ว: ลดการไหลย้อนของกรด
• ออกกำลังกายเบาๆ สม่ำเสมอ เช่น เดินหลังอาหาร 30 นาที
• ลดความเครียด: ใช้การฝึกหายใจ โยคะ หรือสมาธิ
• ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

3. อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
• ของทอด ไขมันสูง เช่น หมูสามชั้น ชีส เนย
• ของหมักดอง เช่น กะปิ ปลาร้า
• คาเฟอีน เช่น กาแฟ ชาเขียว
• ช็อกโกแลต
• แอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มอัดลม
• อาหารรสจัด เปรี้ยวจัด เผ็ดจัด

จำไว้ว่า
กรดไหลย้อนหายได้ ถ้าดูแลตัวเองต่อเนื่อง
เน้นสมุนไพร + ปรับพฤติกรรม ลดภาระการใช้ยา

หากปฏิบัติตามแนวทางข้างต้นแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์แผนไทยเพื่อหาแนวทางในการรักษาต่อไป
#ศูนย์รักษาโรคเรื้อรังและโรคอุบัติใหม #อภิเวชคลินิกฯ #ศูนย์รักษาโรคเรื้อรังNCDs #กรดไหลย้อน #กรดไหลย้อนหายได้ #กรดไหลย้อนหายขาดได้ไม่ต้องใช้ยา #แสบรัอนกลางอก

12/04/2025

สวัสดีปีใหม่ไทย 2568
🎉🎉🎉
สุขสันต์วันสงกรานต์
คลินิกเปิดทำการตามปกติ

🙏🏻🙏🏻 EID MUBARAK 🙏🏻🙏🏻
30/03/2025

🙏🏻🙏🏻 EID MUBARAK 🙏🏻🙏🏻

02/03/2025
สำหรับผู้ป่วยที่รับการรักษาที่คลินิกของเรา ที่ต้องทานยาในช่วงถือศีลอด มีข้อแนะนำวิธีทานยาในระหว่างเดือนรอมฎอน***ข้อมูลดั...
01/03/2025

สำหรับผู้ป่วยที่รับการรักษาที่คลินิกของเรา ที่ต้องทานยาในช่วงถือศีลอด มีข้อแนะนำวิธีทานยาในระหว่างเดือนรอมฎอน

***ข้อมูลดังต่อไปนี้ เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่รับการรักษาจากทางอภิเวชคลินิกเท่านั้น เนื่องจากกลไกการออกฤทธิ์และการทำงานของยาที่ใช้ในคลินิกเรา แตกต่างจากยาทั่วไป

โดยขอแบ่งกลุ่มยา ดังนี้
1. ยาทั่วไป ที่กินวันละ 1-2 ครั้ง ก่อนหรือหลังอาหารมื้อเช้า ให้กินก่อนหรือหลังอาหารหัวรุ่ง ยาที่กินก่อนหรือ
หลังอาหารมื้อเย็นให้กินก่อนหรือหลังละศีลอด โดยยาที่กินก่อนอาหารเย็นสามารถกินร่วมกับการละศีลอดด้วย
อินทผาลัม และน้ำได้ จากนั้นจึงไปละหมาดแล้วกลับมากินอาหารเย็นตามปกติ

2. ยาที่ทานวันละ 3 ครั้ง ให้ทานช่วงหัวรุ่งและช่วงละศีลอด และเพิ่มตอนก่อนนอนอีก 1 มื้อ

3. ยาที่ทานวันละ 4 ครั้ง ไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณยาเพื่อทดแทน แต่ให้ทานเหลือ 3 มื้อ คือ ช่วงหัวรุ่ง ช่วงละศีอดและช่วงก่อนนอน

ข้อแนะนำในการกินอาหารเพื่อสุขภาพในช่วงถือศีลอด มีดังนี้
1. อาหารมื้อเช้าและอาหารมื้อเย็น ควรเริ่มด้วยอาหารเหลวย่อยง่าย เช่น น้ำหวาน น้ำผลไม้ หรือ ผลไม้ เพื่อให้กระเพาะได้ปรับตัว หลีกเลี่ยงอาหารที่ย่อยยากเพราะจะทำให้กระเพาะอาหารทำงานหนักมากขึ้น ควรทานในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ควรทานให้อิ่มมากเกินไป

2. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด เนื่องจากจะส่งผลให้ร่างกายดูดซึมน้ำมากเกินไป ส่งผลให้กระหายน้ำได้ระหว่างการถือศีลอด

3. อาหารมื้อเย็น ควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารมากเกินไป รวมถึงการรับประทานอาหารอย่างรวดเร็ว อาจเกิดภาวะอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด รวมถึงกระตุ้นให้เกิดกรดไหลย้อนขี้น

4. หลีกเลี่ยงการนอนหลังรับประทานอาหาร ควรเว้นอย่างน้อย 3-4 ชั่วโมง

5. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีรสจัดรวมถึงอาหารที่ย่อยยาก

พท.อรรถเวช กองนักวงษ์
แพทย์ประจำศูนย์รักษาโรคเรื้อรัง & โรคอุบัติใหม่
อภิเวชคลินิก การแพทย์แผนไทย


#ศูนย์รักษาโรคเรื้อรังและโรคอุบัติใหม่

#ถือศีลอด #ถือศีลอดเดือนรอมฎอน

รากศัพท์ทางการแพทย์ ของโรคนี้คือ gastro = กระเพาะอาหาร / ระบบทางเดินอาหารcolic = อาการปวดท้อง / จุกเสียด reflex = ปฏิกิร...
30/01/2025

รากศัพท์ทางการแพทย์ ของโรคนี้คือ
gastro = กระเพาะอาหาร / ระบบทางเดินอาหาร
colic = อาการปวดท้อง / จุกเสียด
reflex = ปฏิกิริยาโต้ตอบอัตโนมัติ

โดยหลังกินอาหารเข้าไป กระเพาะจะขยายตัวและส่งสัญญาณไปที่ลำไส้และทวารหนัก ให้มีความรู้สึกปวดเบ่ง อยากถ่าย และกระตุ้นให้ลำไส้และทวารหนักบีบตัวรุนแรง เพื่อขับอุจจาระเดิมหรือของเสียที่อยู่ในลำไส้ใหญ่และทวารหนักออกไป ซึ่งลำไส้ใหญ่ส่วนปลายเป็นส่วนที่ตอบสนองกับกลไกนี้มากที่สุด

แล้วที่คนโบราณเรียกว่า ไส้ตรง นั้นหมายถึง ลำไส้สั้น จริงหรือไม่ ?
คำว่า ไส้ตรง ที่คนโบราณเรียกนั้น คือ การเปรียบเทียบ เพื่อให้เห็นภาพได้ง่าย และเข้าใจง่ายขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่า ลำไส้เรามีลักษณะตรงหรือสั้นอย่างที่คนยุคใหม่เข้าใจ

ในความเป็นจริงแล้ว ลำไส้เล็กคนเรานั้นมีความยาว ~ 6 เมตร ลำไส้ใหญ่ยาว ~ 1 เมตร อาหารใหม่(อุทริยัง) จะต้องเดินทางจากหลอดอาหาร เข้าสู่กระเพาะอาหาร เข้าสู่ลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ โดยจะมีการดูดซึมสารอาหารที่บริเวณลำไส้เล็กก่อน ฉะนั้น ระยะเวลาจะยาวนานกว่าจะขับออกสู่ทวารหนัก

ถามว่า อาการนี้ ถือว่าผิดปกติหรือไม่?
ถ้าหากนานๆเป็นที ไม่ถือว่าเป็นความผิดปกติ แต่ถ้าเกิดขึ้นเป็นประจำ ถือว่าผิดปกติ ควรพบแพทย์ และการที่ gastrocolic reflex ทำงานมากเกินไป อาจจะพบได้ใน 2 โรค (จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ณ ปัจจุบัน) คือ

1. โรคลำไส้แปรปรวนชนิดท้องเสียเด่น มีอาการเช่น หลังรับประทานอาหารจะรู้สึกปวดอยากถ่ายมาก กลั้นไม่ค่อยได้ ต้องรีบไปเข้าห้องน้ำทันที อาจมีปวดมวนท้อง ปวดเบ่ง ท้องอืด ร่วมด้วย หลังถ่ายเสร็จอาการมักจะดีขึ้น
2. Dumping syndrome มีอาการปวดเบ่งอยากถ่ายหลังรับประทานอาหารได้เหมือนกัน แต่แตกต่างจากลำไส้แปรปรวนตรงที่ภาวะนี้มักจะมีหน้ามืด เวียนศีรษะ ใจสั่น เหงื่อออก ร่วมด้วย
อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกัน ถ้า Gastrocolic reflex ทำงานน้อยไปหรือไม่ทำงาน จะทำให้เกิดภาวะท้องผูกเรื้อรังได้ (Chronic constipation)

แพทย์แผนปัจจุบัน มีแนวทางรักษาอย่าฝไรบ้าง ?
หากพบแพทย์แผนปัจจุบัน จะมียาที่ลดอาการ gastrocolic reflex โดยตรง คือยา Antispasmodic โดยกลไกการอออกฤทธิ์หลักๆ คือ จะเน้นไปทาง ระงับการหดเกร็งของกล้ามเนื้อเรียบ (ลำไส้) , กลุ่มยา Tricyclics antidepressants (TACs) โดยกลไกการออกฤทธิ์ช่วยเพิ่มระดับสารเซโรโทนินและสารนอร์อิพิเนฟรินในสมอง และกลุ่มยารักษาลำไส้แปรปรวน ตัวอื่น ๆ

แพทย์แผนไทย มีแนวงทางรักษาอย่างไรบ้าง ?
อันดับแรก แพทย์จะซักประวัติอาการโดยละเอียดเพื่อค้นหาต้นเหตุที่ชัดเจน เช่น ผู้ป่วยบางคน อาจจะมีริดสีดวงทวาร ส่งผลให้ การขับอุจจาระนั้นไม่สามารถออกได้ปริมาณที่มากพอ ทำให้ร่างกายจำเป็นต้องค่อยๆขับอุจจาระออกมาทีละน้อยๆ เพื่อความคุมสมดุล เป็นต้น

ซึ่งแต่ละคน แต่ละกรณีที่เกิดขึ้น ก็ไม่เหมือนกัน แต่โดยหลักการแล้ว สาเหตุที่เกิด gastrocolic reflex นั้น มักจะมีความสัมพันธ์กับของเสีย(อาหาร) ในร่างกายหรือทางแผนไทยเรียกว่า อาหารเก่า(กรีสัง) เสมอ ฉะนั้น แนวทางการแก้ไข คือ การใช้ยาสมุนไพร เพื่อเพิ่มการบีบตัวลำไส้ ทำให้อาหารเก่านั้นขับออกโดยวิธีธรรมชาตินั้นดีที่สุด และต้องไม่ขับออกมาในลักษณะอุจจาระเหลว/น้ำ เพราะหากออกมาในลักษณะนั้น แสดงถึงสภาวะการบีบตัวของลำไส้ผิดปกติ ไม่สามารถดูดกลับน้ำได้ จนส่งผลทำให้ร่างกายอาจมีสภาวะขาดน้ำ และทำให้ระบบอวัยวะอื่นๆมีปัญหาตามมาด้วยเช่นกัน

ปรึกษาปัญหาโรคเรื้อรัง ได้โดยตรงที่
ศูนย์รักษาโรคเรื้อรัง & โรคอุบัติใหม่
อภิเวชคลินิก การแพทย์แผนไทย
โทร 081-666-8764

Happy chinese new year 🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉
29/01/2025

Happy chinese new year

🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉

ที่อยู่

พัฒนาการ61 แขวงประเวศ เขตประเวศ
Bangkok
10250

เวลาทำการ

จันทร์ 12:00 - 21:00
อังคาร 12:00 - 21:00
พุธ 12:00 - 21:00
พฤหัสบดี 12:00 - 21:00
ศุกร์ 12:00 - 21:00
เสาร์ 12:00 - 21:00
อาทิตย์ 12:00 - 21:00

เบอร์โทรศัพท์

+66816668764

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ อภิเวชคลินิก Apivej Clinicผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง อภิเวชคลินิก Apivej Clinic:

แชร์

ประเภท

Apivej Clinic

“ทางเลือกใหม่แห่งการรักษา ไม่พึ่งพายาและการผ่าตัด เน้นคุณภาพชีวิตผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญ”

ตรวจ - รักษาโรคทั่วไป โรคเรื้อรัง โรคในผู้สูงอายุโรคในเด็ก โรคกล้ามเนื้อและกระดูก ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นผิดจังหวะ เก๊าท์ รูมาตอยด์ พาร์กินสัน ออฟฟิศซินโดรม ท้องผูกเรื้อรัง ริดสีดวงทวาร กรดไหลย้อน หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ด้วยการรักษาแบบองค์รวม