
18/09/2025
มารอฟังไปด้วยกันนะคะ 🧡
ศาลปกครองนัดชี้ คดีสภากาชาดขอปฏิเสธ ไม่รับเลือดผู้มีความหลากหลายทางเพศหลังวลพ. เคยสั่งว่า เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
19 กันยายน 2568 ศาลปกครองกลางนัดอ่านคำพิพากษาคดีที่สภากาชาดไทยฟ้องขอเพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (คณะกรรมการ วลพ.) ที่วินิจฉัยว่า การที่สภากาชาดไทยปฏิเสธการรับบริจาคโลหิตจากชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (Men who have s*x with Men; MSM) ซึ่งถือเป็นผู้มีพฤติกรรมเสี่ยง เข้าลักษณะการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 (พ.ร.บ.ความเท่าเทียมฯ)
มาตรา 3 ของพ.ร.บ.ความเท่าเทียมฯ กำหนดนิยามของ “การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ” ไว้ว่า “การกระทําหรือไม่กระทําการใด อันเป็นการแบ่งแยก กีดกัน หรือจํากัดสิทธิประโยชน์ใด ๆ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม โดยปราศจากความชอบธรรม เพราะเหตุที่บุคคลนั้นเป็นเพศชายหรือเพศหญิง หรือมีการแสดงออกที่แตกต่างจากเพศโดยกําเนิด” กำหนดให้มีคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (คณะกรรมการ วลพ.) ทำหน้าที่วินิจฉัยปัญหาที่มีการยื่นคำร้องเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศจากผู้เสียหายจากการกระทำลักษณะดังกล่าว
กรณีที่คณะกรรมการ วลพ. วินิจฉัยว่า การทำกระใดเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ จะมีอำนาจสั่งให้หน่วยงานของรัฐ องค์กรเอกชน หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ด้วยวิธีใดที่เห็นเหมาะสม เพื่อระงับและป้องกันมิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ
คณะกรรมการ วลพ. ได้มีคำวินิจฉัย เรื่องเสร็จที่ 01/2565 ลงวันที่ 1 มีนาคม 2565 ซึ่งวินิจฉัยว่าการไม่รับเลือด MSM เข้าลักษณะการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ หมายความว่าทางสภากาชาดไทยจะต้องปรับแนวปฏิบัติในเรื่องนี้ด้วย ต่อมา สภากาชาดไทยได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง โดยเห็นว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ฟ้องคดีและประชาชนได้รับความเสียหาย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 (1) กล่าวคือ สภากาชาดไทยต้องการโต้แย้งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ วลพ. ให้ศาลปกครอง “เพิกถอน” คำวินิจฉัยของคณะกรรมการ วลพ. นั้นไปเสมือนว่าไม่มีคำวินิจฉัย ซึ่งหากศาลปกครองเพิกถอนคำวินิจฉัยคณะกรรมการ วลพ. สภากาชาดไทยอาจไม่ต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการรับบริจาคเลือดก็ได้เพราะไม่มีคำวินิจฉัยที่มาบังคับแล้ว แต่หากศาลปกครองวินิจฉัยว่าคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ วลพ. ชอบด้วยกฎหมาย ไม่สร้างภาระให้ประชาชนเกินสมควร เป็นการใช้ดุลยพินิจที่ชอบแล้ว คำวินิจฉัยของคณะกรรมการ วลพ. ก็ยังจะมีผลต่อไป และสภากาชาดไทยต้องปฏิบัติตาม
ก่อนหน้าที่จะมีคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ วลพ. ดังกล่าว ผู้ประสงค์จะบริจาคเลือดจะต้องกรอก “ใบสมัคร” ที่ออกโดยศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย โดยมีคำถามที่ระบุชัดว่า “ท่านมีเพศสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกัน (ตอบเฉพาะเพศชาย) และ “คู่ของท่านมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน (ตอบเฉพาะเพศหญิง)” ซึ่งหากผู้บริจาคเพศกำเนิดชายตอบว่ามีเพศสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกัน จะไม่มีสิทธิบริจาคเลือด และหลังจากขั้นตอนการกรอกใบสมัครดังกล่าวและไม่ถูกคัดออก ก็จะเข้าสู่ “สัมภาษณ์” โดยแพทย์ เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติตามใบสมัครซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ในชั้นนี้หากแพทย์ถามคำถามผู้บริจาคเพศกำเนิดชายเกี่ยวกับพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ แล้วได้คำตอบว่าผู้นั้นมีเพศสัมพันธ์กับชาย ก็จะไม่มีสิทธิบริจาคเลือดเช่นกัน
ต่อมาในปี 2564 ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติได้จัดทำใบสมัครบริจาคโลหิตรูปแบบใหม่ ระบุให้ทำเครื่องหมายถูกในช่องต่างๆ รวมถึงกลุ่มคำถามเกี่ยวกับเพศวิถี โดยระบุตัวเลือกหนึ่งว่า “มีเพศสัมพันธ์กับเพศกำเนิดเดียวกัน” แต่ก็ยังคงไม่อนุญาตให้ MSM บริจาคเลือดดังเดิม สอดคล้องกับข้อมูลบนเว็บไซต์ของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติที่ได้ระบุคุณสมบัติของผู้ที่จะรับบริจาคโลหิตไว้ข้อหนึ่งว่า “มีเพศสัมพันธ์เฉพาะกับคู่ของตนและไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์” โดยมีหมายเหตุไว้ด้วยว่า กรณีมีเพศสัมพันธ์แบบชายกับชาย ให้งดบริจาคโลหิตไปก่อน จนกว่าจะมีผลการวิจัยของประเทศไทยที่สนับสนุนให้บริจาคโลหิตได้ ทั้งนี้ ต้องมีการตรวจคัดกรองโลหิตด้วยวิธีทางอณูชีววิทยา (Nucleic Acid Testing: NAT) เท่านั้น
ปี 2566 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้มีข้อเสนอแนะต่อศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ให้ปรับปรุงใบสมัครผู้รับบริจาคโลหิต โดยมุ่งเน้นสอบถามลักษณะการมีเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยงสำหรับทุกเพศทุกวัย และหลีกเลี่ยงการเชื่อมโยงไปยังกลุ่มประชากรที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัส HIV (Human Immodeficiency Virus; HIV)
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 ปิยนันท์ คุ้มครอง ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านจัดหาโลหิตและภาพลักษณ์องค์กร ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติเปิดเผยว่า เดิมทีการบริจาคโลหิตสำหรับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) เคยถูกจำกัด แต่ปัจจุบันไม่มีการแบ่งแยกกลุ่มผู้บริจาค ทว่าผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นเพศใด ควรหลีกเลี่ยงการบริจาคโลหิต ทั้งยังระบุเกณฑ์สำหรับ MSM ด้วยว่า ขอให้งดมีเพศสัมพันธ์เป็นเวลา 4 เดือนก่อนบริจาคโลหิต เพื่อความปลอดภัยของกระบวนการรับบริจาคและการนำโลหิตไปใช้
📍 อ่านทั้งหมดได้ที่ https://www.ilaw.or.th/articles/55060