ดีคอนแทค ฟื้นฟูดวงตา ปลอดภัย

ดีคอนแทค ฟื้นฟูดวงตา ปลอดภัย ดีคอนแทค D-CONTACT สุดยอดอาหารเสริม นวัตกรรมใหม่ในการมีสุขภาพดวงตาและสายตาที่ดี ดีคอนแทค วิตามินฟื้นฟูสายตาและดวง ต้อลม ต้อเนื้อ ต้อหิน ต้อกระจก วุ้นในตาเสื่อม
(1)

ต้อเนื้อ หรือ ต้อลิ้นหมา (Pterygium) คือ โรคตาที่เกิดจากเยื่อบุตาที่เกิดการเสื่อมและหนาตัวขึ้นงอกไปบนกระจกตา (ตาดำ) ซึ่ง...
12/12/2017

ต้อเนื้อ หรือ ต้อลิ้นหมา (Pterygium) คือ โรคตาที่เกิดจากเยื่อบุตาที่เกิดการเสื่อมและหนาตัวขึ้นงอกไปบนกระจกตา (ตาดำ) ซึ่งมักพบบริเวณหัวตามากกว่าหางตา และจะค่อย ๆ โตลุกลามอย่างช้า ๆ เข้าไปในตาดำ ถ้าเป็นมากจะลามเข้าไปจนถึงกลางตาดำและปิดรูม่านตา ซึ่งจะปิดบังการมองเห็นทำให้ตามัวได้

ต้อเนื้อเป็นโรคที่พบได้มากในประเทศเขตร้อนที่ค่อนข้างแห้งแล้ง กันดาร และมีฝุ่นลมจัด (ประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลายนั่นแหละครับ ส่วนประเทศที่มีอากาศหนาวจะไม่ค่อยพบคนเป็นโรคนี้) โรคนี้จึงเป็นโรคที่พบได้บ่อยมากโรคหนึ่งในบ้านเราแทบทุกภาคของประเทศ แต่จะพบเป็นกันมากที่สุดในภาคอีสาน โดยเฉพาะจังหวัดบุรีรัมย์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ฯลฯ เป็นต้น มักพบหรือเกิดกับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป และจะพบได้มากในผู้ที่มีอายุระหว่าง 30-55 ปี (ยังไม่ค่อยพบโรคนี้ในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี คือ พบได้เหมือนกันแต่น้อยมาก และยังไม่พบโรคนี้เลยในเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี) ส่วนอัตราการเกิดโรคนี้ในผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสเกิดได้พอ ๆ กัน

หมายเหตุ : หากเนื้องอกอยู่เฉพาะในส่วนที่เป็นตาขาวจะเรียกว่า “ต้อลม” แต่หากเนื้องอกจากตาขาวลามเข้าไปในตาดำจะเรียกว่า “ต้อเนื้อ”

สาเหตุของโรคต้อเนื้อ

ต้อเนื้อเป็นความผิดปกติของเยื่อบุตา (บริเวณตาขาวชิดตาดำ) ที่เกิดจากการเสื่อมและหนาตัวขึ้น ทำให้กลายเป็นแผ่นเนื้อรูปสามเหลี่ยมสีแดง ๆ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ ต้อเนื้อ หรือ ต้อลิ้นหมา เนื่องจากแผ่นเนื้อดังกล่าวมีสีแดงยื่นจากตาขาวเข้าสู่ตาดำเหมือนแผ่นเนื้อ

ต้อเนื้อระยะแรก
IMAGE SOURCE : synapse.koreamed.org (ต้อหินระยะแรกถึงระยะที่ 3)
ส่วนสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดต้อเนื้อนั้นในปัจจุบันยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่พบว่าการถูกแสงแดด (รังสีอัลตราไวโอเลต – UV) เป็นประจำ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคนี้ นอกจากนี้ โรคตาแห้ง การถูกลม ฝุ่น ควัน ทราย ความร้อน สารเคมี และมลพิษทางอากาศเป็นประจำก็อาจทำให้เกิดโรคต้อเนื้อได้ด้วยเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้จึงพบโรคต้อเนื้อได้บ่อยในคนที่ทำงานกลางแจ้ง ซึ่งถูกแสงแดดเป็นประจำ เช่น ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน ชาวประมง คนงานก่อสร้าง ผู้ที่ต้องรับเหมากลางแจ้ง วิศวกรสร้างทางหรือกรรมกรสร้างทาง นักกีฬากลางแจ้ง เป็นต้น และมีส่วนน้อยที่อาจพบได้ในผู้ที่มีอาชีพที่ต้องสัมผัสกับสิ่งระคายเคืองตาอื่น ๆ บ่อย ๆ เช่น คนทำครัว (ถูกควัน ไอร้อน) คนงานในโรงงาน (ถูกสารเคมี) เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังพบด้วยว่า ผู้ป่วยบางรายจะมีประวัติว่ามีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย จึงเชื่อว่าปัจจัยทางด้านกรรมพันธุ์อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องต่อการเกิดต้อเนื้อได้ด้วย คืออย่างบางคนแม้จะไม่ได้เผชิญปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวเลยและทำงานอยู่แต่ในห้องแอร์ก็ยังเป็นโรคนี้ได้ หรือบางคนอายุแค่ 17-18 ปีก็เป็นโรคนี้กันแล้ว ซึ่งตามหลักแล้วไม่น่าจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ นั่นแสดงว่าน่าจะเป็นจากกรรมพันธุ์นั่นเอง

อาการของโรคต้อเนื้อ

จะเห็นแผ่นเนื้อเยื่อรูปสามเหลี่ยมที่ยื่นจากตาขาวเข้าไปในกระจกตา (ตาดำ) ซึ่งอาจเป็นสีเหลืองและมีสีแดงบ้างเล็กน้อย และมีเส้นเลือดอยู่รอบ ๆ ต้อเนื้อ โดยส่วนมากมักจะเกิดที่ด้านหัวตา (ด้านในของตาส่วนที่อยู่ใกล้กับจมูก) และมีส่วนน้อยที่อาจเกิดที่ด้านหางตา ทั้งนี้เป็นเพราะส่วนของหัวตามีโอกาสกระทบกับสาเหตุต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดต้อเนื้อได้มากกว่าส่วนหางตานั่นเอง และประกอบกับการมีหลอดเลือดมาเลี้ยงในบริเวณที่หัวตามากกว่าด้วย (ในผู้ป่วยบางรายอาจมีต้อเนื้อทั้งหัวตาและหางตาพร้อมกันได้ และผู้ป่วยอาจเป็นต้อเนื้อที่ตาเพียงข้างเดียวหรือเป็นทั้งสองข้างเลยก็ได้)

ในบางครั้งหลังจากถูกแสงถูกลมมาก ๆ หรือนอนดึก อาจทำให้เห็นหลอดเลือดขยายมีลักษณะแดงเรื่อ ๆ ได้
โดยทั่วไปผู้ป่วยจะไม่รู้สึกมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นแต่อย่างใด นอกจากบางครั้งที่มีการอักเสบจะมีอาการเคืองตา แสบตา คันตา ตาแดง น้ำตาไหล หรือมีอาการปวดได้เล็กน้อย (อาการเหล่านี้จะเป็นมากขึ้นเมื่อถูกแดดถูกลม)

ในบางรายที่เป็นโรคต้อเนื้อนานเป็นแรมเดือนแรมปี ต้อเนื้ออาจยื่นเข้าไปถึงกลางตาดำ ทำให้บดบังสายตา ตามัว และมองไม่ถนัดได้
ต้อเนื้อแม้จะลุกลามได้แต่ก็ไม่ใช่มะเร็งและไม่สามารถเปลี่ยนไปเป็นมะเร็งได้ จึงไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใดกับดวงตา จึงสามารถปล่อยทิ้งไว้เพื่อรอเวลาที่เหมาะสมต่อการผ่าตัดได้

ปรึกษา/สอบถามได้ค่ะ
โทร.063 8344498
line.

หรือคลิ๊กลิ้งค์ด้านล่างเลยค่ะ
https://line.me/R/ti/p/%40sisishop

วิธีโยคะสายตา ง่ายนิดเดียวชีวิตยุคไอที การใช้งานคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่ทันสมัย เพื่อทำงาน หรือติดต...
12/12/2017

วิธีโยคะสายตา ง่ายนิดเดียว
ชีวิตยุคไอที การใช้งานคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่ทันสมัย เพื่อทำงาน หรือติดตามข่าวสาร จำเป็นต้องใช้สายตาจ้องมองเป็นเวลานาน การดูแลสุขภาพดวงตาจึงเป็นสิ่งสำคัญเทคนิคเพื่อบริหารดวงตาให้มีสุขภาพดีนั้นมีหลากหลาย โยคะมีการบริหารดวงตา

โดยต้องถอดแว่นหรือคอนแทคเลนส์ออกก่อน แล้วทำตามขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 หลับตาแล้วถูฝ่ามือสองข้างเข้าหากันไปมาอย่างเร็วจนรู้สึกร้อน

ขั้นตอนที่ 2 ประคบฝ่ามือทั้งสองข้างนาบกับหนังตานานประมาณ 1 นาที ให้รู้สึกถึงความร้อนที่แผ่จากฝ่ามือสู่ดวงตา

ขั้นตอนที่ 3 ผ่อนคลายความ
เคร่งเครียดทั้งมวลลงพร้อมทั้งหายใจลึกๆ นำมือออก ลืมตาขึ้น

ขั้นตอนที่ 4 เคลื่อนสายตาจากซ้ายไปขวา โดยมองไปยังที่ไกลๆ จากมุมซ้ายสุด แล้วกวาดสายตาไปยังมุมขวาสุด ทำซ้ำกัน 4 ครั้ง

ขั้นตอนที่ 5 ทำซ้ำขั้นตอนที่ 1-3 แล้ว เคลื่อนสายตาจากมุมขวาบนไปยัง มุมซ้ายล่างเป็นเส้นทแยงมุม ทำซ้ำๆ กัน 4 ครั้ง

ขั้นตอนที่ 6 ทำซ้ำขั้นตอนที่ 1-3 แล้ว เคลื่อนสายตาโดยกวาดสายตาเป็นวง (ทิศทางตามเข็มนาฬิกา) ทำซ้ำกัน 4 ครั้ง

ขั้นตอนที่ 7 ทำซ้ำขั้นตอนที่ 1-3 แล้ว เคลื่อนสายตาจากบนสุดลงมายังจุดล่างสุด โดยมองไปยังจุดไกลๆ ที่สุดด้านบน แล้วกวาดสายตาลงมายังจุดด้านล่างอย่างช้าๆ ทำซ้ำกัน 4 ครั้งขั้นตอนง่ายๆ ที่ทำได้ด้วยตนเองเพียงแค่นี้ ก็สามารถดูแลดวงตาให้มีสุขภาพดี

ที่มาข้อมูล สาระน่ารู้ดีดี.คอมที่มารูปภาพ photos.com

ในยุคปัจจุบันที่เราต้องใช้ดวงตาในการทำงานมาก ทั้งการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ การที่ดวงตาต้องกระทบแสงแดดโดยตรง ...
29/10/2017

ในยุคปัจจุบันที่เราต้องใช้ดวงตาในการทำงานมาก ทั้งการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ การที่ดวงตาต้องกระทบแสงแดดโดยตรง การดูโทรทัศน์ในระยะใกล้เกินไป หรือแม้แต่การใช้สมาร์ทโฟนตลอดเวลา ก็ล้วนแล้วแต่ทำลายดวงตาของเราด้วยกันทั้งสิ้น

สอบถามฟรี โทร.0638344498
Line :

แต่พฤติกรรมการใช้งานหน้าจอคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนดูเหมือนจะเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อสายตาของหนุ่มสาวในยุคปัจจุบัน ซึ่งพบว่าโรค Computer Vision Syndrome หรือ ซีวีเอส กลายเป็นโรคยอดฮิตของคนยุคดิจิทัลไปแล้ว ดังนั้น เราจึงควรหันมาสังเกตดวงตาของเราว่ามีความผิดปกติจากสัญญาณเตือนดวงตาเสื่อมกัน

- มีอาการแสบตา เคืองตา คันตา
- ตาพร่ามัว มองเห็นภาพซ้อน
- เมื่อยตา ตากระตุก
- ปวดกระบอกตา

สอบถามฟรี โทร.0638344498
Line :

อาการของตามัว!!        ตามัวอาจส่งผลต่อการมองเห็นบางส่วนหรือทั้งหมด เช่น หากกระทบต่อสายตาส่วนรอบ ก็จะทำให้การมองเห็นบริเ...
29/10/2017

อาการของตามัว!!
ตามัวอาจส่งผลต่อการมองเห็นบางส่วนหรือทั้งหมด เช่น หากกระทบต่อสายตาส่วนรอบ ก็จะทำให้การมองเห็นบริเวณรอบข้างพร่ามัวได้ ซึ่งอาจมีอาการต่าง ๆ แตกต่างกันตามสาเหตุดังต่อไปนี้

☞มีขี้ตา
☞มีน้ำตามาก
☞หรืออาจมีเลือดออกจากดวงตา
☞ตาแห้ง คันตา หรือเจ็บตา
☞เห็นจุดหรือมีเส้นใยบาง ๆ ในดวงตา
☞เส้นเลือดฝอยในดวงตาแตก
☞อาการตากลัวแสงหรือไม่สู้แสง
☞การมองเห็นไม่ชัดเจนในระยะใกล้ หรือในตอนกลางคืน
☞สายตาส่วนกลาง หรือสายตาส่วนรอบเสียหาย

สอบถามฟรี โทร.0638344498
Line :

สาเหตุของอาการตามัว!!
อาการตามัวอาจเกิดขึ้นได้จากทั้งปัญหาเกี่ยวกับดวงตาโดยตรง ผลกระทบจากโรคอื่น เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 หรือปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

☞ตาแห้ง หรือมีแผลบริเวณดวงตา
☞การบาดเจ็บบริเวณดวงตา
☞กระจกตาถลอก หรือรอยแผลเป็นบนกระจกตา
จอตาติดเชื้อ
☞โรคเส้นประสาทตาอักเสบ
☞โรคจอประสาทตาเสื่อม ส่งผลโดยตรงต่อจอประสาท ซึ่งทำให้ความสามารถในการมองเห็นและการตอบสนองต่อแสงลดลง ผู้ป่วยจะค่อย ๆ สูญเสียการมองเห็นจนอาจทำให้ตาบอดได้
☞ภาวะสายตายาวตามอายุ ส่งผลให้ความสามารถในการโฟกัสลดลง
☞โรคจอประสาทตาเสื่อมตามอายุ
☞คอนแทคเลนส์ที่ไม่สะอาดหรือเสียหายอาจทำให้เกิดอาการตามัวได้
☞โรคต้อหิน แรงดันในดวงตาที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้เส้นประสาทตาเสียหายและก่อให้เกิดโรคต้อหินได้โรค
☞โรคต้อกระจก ส่งผลให้เลนส์ตาขุ่นมัวได้
☞โรคไมเกรน ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการตามัวก่อนที่อาการไมเกรนจะเริ่มต้นขึ้น
☞ภาวะเบาหวานขึ้นตา ผู้ป่วยเบาหวานอาจมีอาการตามัวได้หากระดับน้ำตาลไม่คงที่

สอบถามฟรี โทร.0638344498
Line :

สินค้าพร้อมส่ง ของแท้ล๊อตล่าสุด จัดส่งถึงหน้าบ้านท่าน☎ 063 8344498 คุณรุ้งค่ะ------------------------------------------✳...
24/10/2017

สินค้าพร้อมส่ง ของแท้ล๊อตล่าสุด จัดส่งถึงหน้าบ้านท่าน

☎ 063 8344498 คุณรุ้งค่ะ
------------------------------------------
✳จำหน่ายเฉพาะของแท้ล็อตล่าสุดเท่านั้น
✳บริการดุจญาติมิตรด้วยจิตและจรรยาบรรณ
✳ส่งของไวมาก

🔆ที่สกัดจากบิลเบอร์รี่ต่อสุขภาพดวงตา            1. ช่วยถนอมดวงตา ทำให้การมองเห็นในที่มืดดีขึ้น            2. ช่วยรักษาอา...
21/10/2017

🔆ที่สกัดจากบิลเบอร์รี่ต่อสุขภาพดวงตา
1. ช่วยถนอมดวงตา ทำให้การมองเห็นในที่มืดดีขึ้น
2. ช่วยรักษาอาการตาบอดกลางคืน ( Night blindness)
3. ช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา เมื่อใช้สายตานานๆ
4. ช่วยป้องกันเลนส์ตาและช่วยให้คอลลาเจนในตาในส่วน cornea และหลอดเลือดฝอยแข็งแรงขึ้น
5. ช่วยลดอนุมูลอิสระในจอตา ทำให้ป้องกันอาการเสื่อมที่มักจะเกิดกับดวงตาให้น้อยลงได้ เช่น ต้อกระจก ต้อหิน ต้อเนื้อ ตาเสื่อมในคนสูงอายุ(สายตายาว)

🔺ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
📲 สอบถามเพิ่มเติม/ รับคำแนะนำ📢
☎ 063-8344498 คุณรุ้ง
ID Line :

คลิ๊กลิงค์เพื่อแอดไลน์
https://line.me/R/ti/p/%

📣📣📣 สูตรใหม่   !!🔎🔎คันตา เคืองตา ตาแห้ง แสบตา พร่ามัว🔎🔎📌ต้อลม  📌ต้อเนื้อ  📌ต้อกระจก  📌ต้อหิน 📌ทุกปัญหาดวงตา🛠ดีคอนแทคบำรุ...
11/10/2017

📣📣📣 สูตรใหม่ !!
🔎🔎คันตา เคืองตา ตาแห้ง แสบตา พร่ามัว🔎🔎
📌ต้อลม 📌ต้อเนื้อ 📌ต้อกระจก 📌ต้อหิน 📌ทุกปัญหาดวงตา
🛠ดีคอนแทคบำรุงดวงตา ฟื้นฟูสภาพดวงตาได้ดี🛠

👍👍เห็นผลไว เห็นผลเร็ว ในราคาเท่าเดิม ชื่อเดิม สูตรใหม่

🔖ด้วยนวัตกรรมใหม่โดยใช้พลังงาน ฟาร์อินฟาเรด สิทธิบัตรจากประเทศเกาหลี ***🔖

>>สูตรเพิ่มพลัง ฟาร์อินฟาเรด
ฟาร์ อินฟราเรด คือคลื่นพลังงาน ระดับไมครอน ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

*ข้อดีของ ฟาร์ อินฟราเรด คือ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย เพิ่มระดับออกซิเจนในเลือด เพิ่มการดูดซึมและเหนี่ยวนำสารอาหารที่ดีเข้าสู่กระบวนการของร่างกาย มากถึง 70%
**ข้อดีของฟาร์ อินฟราเรดในอาหารเสิรม คือ นวัตกรรมนาโนไบโอเทค ช่วยในเรื่องการกักเก็บพลังงานจากน้ำสู่กระบวนการผลิตในแต่ละสารสกัดเพื่อเหนี่ยวนำพลังานนั้นเข้าสู่เซลล์ต่างๆในร่างกายเพื่อเร่งซ่อมแซมในแต่ละจุดของร่างกาย
สนใจดีคอนแทคของแท้ 💯%
(โทร) 063 8344498 ,091 6984749 คุณรุ้งค่ะ
https://line.me/R/ti/p/%40sisishop

ใช้คอมพ์ใช้จอนานๆ ต้องหมั่นบำรุงดวงตา ถ้าไม่อยากจอประสาทตาเสื่อมก่อนวัยอันควรยุคโซเชียลทุกวันนี้ เราคงปฏิเสธไม่ได้เลยที่...
11/10/2017

ใช้คอมพ์ใช้จอนานๆ ต้องหมั่นบำรุงดวงตา ถ้าไม่อยากจอประสาทตาเสื่อมก่อนวัยอันควร

ยุคโซเชียลทุกวันนี้ เราคงปฏิเสธไม่ได้เลยที่ต้องใช้ชีวิตอยู่หน้าจอตลอดเวลา ไม่ว่าจะเช็ค Facebook ลงรูปใน IG ดูข่าวใน Twitter หรือแม้แต่จะดูซีรีส์ดูบอลบนแท็บเล็ต นี่ยังไม่นับการที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน ซึ่งจากการสำรวจพบว่าชาว GEN Y อย่างเราๆ เนี่ยใช้เวลาท่องอินเตอร์เน็ตกัน เฉลี่ยมากถึง 7.6 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งวิถีชีวิตติดจอนานๆแบบนี้แหละ จะทำให้เสี่ยงต่อโรคจอประสาทตาเสื่อมก่อนวัยอันควร

ซึ่งเจ้าโรคจอประสาทตาเสื่อมนี้ อาจร้ายแรงถึงขั้นทำให้ตาบอดได้เลยนะ แถมยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาด ซึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบันทำได้แค่คงสภาพการมองเห็นที่เหลือไว้ให้ได้มากที่สุดแค่นั้น โดยอาการของโรคนี้ จะทำให้ความสามารถในการมองเห็นลดลง มองภาพไม่ชัดหนักขึ้นไปเรื่อยๆ เห็นเป็นภาพบิดเบี้ยว และเหมือนมีจุดสีดำบังตรงกลางจนตาบอดในที่สุด นั่นเป็นเพราะเจ้าแสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน ที่ไปกระตุ้นให้เกิดการสะสมของอนุมูลอิสระแล้วไปทำลายเซลล์รับภาพในจอประสาทตา

นอกจากนี้ตามสถิติยังพบว่า วิถีชีวิตติดจอของคนยุคนี้ ยังทำให้เกิดอาการล้าที่ดวงตา ภาพเบลอ ตาพร่า หรือตาแห้งอีกด้วย ถ้าคุณเคยมีอาการเหล่านี้ล่ะก็ ต้องเริ่มหันมาดูแลสุขภาพตาอย่างจริงจังแล้วนะ เริ่มด้วยการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงทั้งหลาย ลดการใช้เวลาหน้าจอลง และหมั่นพักสายตาจากหน้าจอ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องหนึ่งในสารอาหารสำคัญที่อยากแนะนำเลยคือ แอนโธไซยานิน ที่มีอยู่ในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่โดยเฉพาะเบอร์รี่ที่มีสีม่วงและแดง ยิ่งไปถึงน้ำเงินเข้ม ยิ่งแสดงว่ามีปริมาณ แอนโธไซยานินสูง อย่างเช่น บิลเบอร์รี่ แบลคเคอร์แรนท์ อะซาอิเบอร์รี่ สตอร์เบอร์รี่ ฯลฯ ซึ่งจากงานวิจัยหลายฉบับพบว่า สารแอนโธไซยานินมีฤทธิ์ช่วยต้านการเกิดอนุมูลอิสระที่เซลล์ของ จอประสาทตา ช่วยป้องกันการเสื่อมของจอประสาทตา แถมยังลดความเสี่ยงของภาวะต้อกระจก ช่วยคลายความเหนื่อยล้าของดวงตา และช่วยการมองเห็นในที่มืดอีกด้วย
เพราะจอตาไม่เหมือนจอมือถือหรือจอคอมพิวเตอร์ ไม่มีอะไหล่ให้เปลี่ยน เสียแล้วจะซ่อมก็ยาก โดยเฉพาะวิถีชีวิตติดจอของคนในปัจจุบัน เราจึงต้องหมั่นดูแลบำรุงดวงตาเป็นพิเศษ เพื่อให้ดวงตาของเราอยู่กับเราใช้งานได้นานมากที่สุด

ต้อกระจกหรือที่เรียกว่า Cataract เกิดจากเลนส์แก้วตาเสื่อม ทำให้เลนส์แก้วตาขุ่นมัวทำให้มองไม่ชัด อ่านหนังสือไม่ชัด แก้วตา...
08/10/2017

ต้อกระจกหรือที่เรียกว่า Cataract เกิดจากเลนส์แก้วตาเสื่อม ทำให้เลนส์แก้วตาขุ่นมัวทำให้มองไม่ชัด อ่านหนังสือไม่ชัด แก้วตาที่ขุ่นลงนี้ ส่งผลให้กำลังหักเหของแสงผิดไป ตลอดจนขัดขวางไม่ให้แสงเข้าตา ผู้นั้นจึงมองภาพเห็นภาพไม่ชัด นั่นคือโรคที่เรียกกันว่า “ต้อกระจก”

อาการของต้อกระจก

อาการและอาการแสดงของต้อกระจกมีดังนี้

มองไม่ชัดเป็นอาการเด่นของต้อกระจกคือ ตาค่อยๆมัวลงอย่างช้าๆ โดยไม่มีอาการอื่น อาการตามัวจะเป็นมาขึ้นเมื่ออยู่ในที่มีแสงสว่างจ้า เช่น เมื่อออกแดด แต่กลับมองเห็นเกือบเป็นปกติในที่มืดสลัวๆ หรือเวลาพลบค่ำ
เห็นภาพซ้อนแม้ว่าจะมองด้วยตาข้างเดียวเนื่องจากการหักเหของแสงไม่ลงที่จอประสาท
เห็นวงรอบแสงไฟ
อ่านหนังสือต้องใช้แสงจ้าๆ
ต้องเปลี่ยนแว่นบ่อย
เห็นฝ้าขาวบริเวณกลางรูม่านตาในผู้ที่ต้อกระจกสุกเต็มที่แล้ว

สาเหตุ

แสงจะผ่านจากภายนอกเข้าสู่เลนส์กระจกตา ม่านตาและเลนส์ตา เลนส์ตาทำหน้าที่ปรับให้แสงตกที่จอรับภาพทำให้ภาพชัด คนที่เป็นต้อกระจกเลนส์ตาจะขุ่นมัว ทำให้แสงไม่สามารถผ่านไปยังจอรับภาพได้อย่างสะดวกทำให้ภาพไม่ชัด

ปัจจัยเสี่ยง

ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดคือ อายุพบว่าผู้ที่อายุมากกว่า 65 ปีจะมีต้อกระจกอยู่แล้วบางส่วน มักพบแก้วตาขุ่นเล็กๆน้อยๆ หรือเป็นต้อกระจกระยะต้นๆ อาจพบจากสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่จากวัยสูงอายุ เช่น

โรคเบาหวาน
ประวัติครอบครัวเป็นต้อกระจก
เคยได้รับอุบัติเหตุที่ตา
การใช้ยาบางชนิดเช่น steroid
ติดสุรา
เจอแสงแดดมาก
ต้องสัมผัสรังสีปริมาณมาก
สูบบุหรี่
เด็กที่ขาดอาหาร
เลนส์ตาได้รับการกระทบกระเทืนอย่างแรง เช่นถูกกระแทก
การใช้ยา steroid เพื่อรักษาโรค
การคัดกรอง

อายุ 40-65 ปีให้ตรวจตาทุก 2-4 ปี
อายุมากกว่า 65 ปี ให้ตรวจทุก 1-2 ปี
ตรวจตาเมื่อมีอาการเปลี่ยนแปลง
การรักษา

การรักษาขึ้นกับสภาพของต้อกระจกกล่าวคือ

ต้อที่เพิ่งจะเริ่มเป็นและเป็นไม่มาก ต้องรอให้ต้อสุกเสียก่อน ระหว่างนี้ก็ให้ตรวจตาตามแพทย์นัด
ต้อที่แก่หรือสุกก็ผ่าตัดซึ่งไม่จำเป็นต้องรีบร้อน หากเตรียมตัวพร้อมก็ผ่าตัด
ต้ที่สุกและเริ่มมีโรคแทรกซ้อนให้ทำการผ่าตัด
การรักษาต้อกระจกทำได้โดยการผ่าตัดเอาเลนส์ที่ขุ่นมัวออก วิธีการผ่าตัดทำได้ 2 วิธี

Phacoemulsification เป็นวิธีที่นิยมทีสุดโดยการเจาะรูเล็กๆแล้วใช้เครื่อง ultrasound สลายเลนส์และดูดออก
Extracapsular โดยการผ่าตัดเป็นแผลเล็กๆแล้วเอาเลนส์ที่เสียออก
หลังจากเอาเลนส์ออกแล้วแพทย์ก็จะใส่แก้วตาเทียมเข้าแทนที่อันเดิม หลังผ่าตัดอาจจะมีอาการระคายเคืองตา อาจจะต้องใส่เครื่องป้องกันการขยี้ตา 1-2 วัน หลังผ่าตัก 1 วันก็จะเห็นชัดขึ้นแต่จะชัดที่สุดคือหลังผ่า 4 สัปดาห์และมีความจำเป็นต้องสวมแว่นตา หลังผ่าตัดหากมีอาการเหล่านี้ให้พบแพทย์

ตามองไม่เห็น
ปวดตาตลอด
ตาแดงมากขึ้น
เห็นแสงแปล็บๆ
คลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะและไอ

การป้องกัน
งดสูบบุหรี่
หลีกเลี่ยงแสงอาทิตย์

08/10/2017

มีปัญหาสายตาและดวง ปรึกษา/สั่งซื้อเพิ่มเติมกับรุ้งได้นะคะ

👉โทร.063 8344498
line.

👉หรือคลิ๊กลิ้งค์ด้านล่างเลยค่ะ
https://line.me/R/ti/p/%40sisishop

บิลเบอร์รี  มีดีไร ทำไม ??? ถึงเป็นส่วนผสมสำคัผญ ของ  #ดีคอนแทค #บิลเบอร์รี เป็นผลไม้สีน้ำเงินม่วง ตระกูลเดียวกับเบอร์รี...
08/10/2017

บิลเบอร์รี มีดีไร ทำไม ??? ถึงเป็นส่วนผสมสำคัผญ ของ #ดีคอนแทค
#บิลเบอร์รี เป็นผลไม้สีน้ำเงินม่วง ตระกูลเดียวกับเบอร์รีทั้งหลาย เช่น แบล็กเบอร์รี บลูเบอร์รี นิยมรับประทานในแถบยุโรปและอเมริกา เชื่อว่าบิลเบอร์รีเป็นผลไม้ที่ช่วยบำรุงสุขภาพ สามารถนำมารักษาอาการเจ็บป่วยได้ เริ่มแรกเดิมทีบิลเบอร์รีนำมารักษาอาการโรคท้องเสีย โดยนำมาผสมกับน้ำผึ้ง ต่อมาช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 บิลเบอร์รีได้รับความนิยมมากขึ้น เมื่อนักบินรบชาวอังกฤษรับประทานแยมบิลเบอร์รีบนขนมปัง ทำให้สายตาในการมองเห็นที่มืดดีขึ้น หลังจากนั้นแยมบิลเบอร์รีก็ได้รับความนิยมเรื่อยมา
สารอาหารในบิลเบอร์รี
ในบิลเบอร์รีมีสารอาหารสำคัญอาทิ ไอโอฟลาโวนอยด์ วิตามินเอ วิตามินซี สังกะสี ซีลีเนียม แมงกานิส แคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม ฟอสฟอรัส ซึ่งสารอาหารและแร่ธาตุที่สำคัญเหล่านี้มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย แต่บิลเบอร์รีมีความเลื่องลือมากที่สุดเห็นจะเป็นสรรพคุณทางด้านบำรุงสายตา
บิลเบอร์รี มีสรรพคุณช่วยถนอมสายตา ทำให้แววตาสุกใส มีแววประกาย และช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับตา
นักวิจัย ไมเคิล ที เมอร์เรย์ (Michael T. Murray) กล่าวว่าสาร Anthocyanosides ในบิลเบอร์รี มีผลต่อเซลล์เยื่อบุผิวเรตินาในการมองเห็น และลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา
ในบิลเบอร์รีมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก และป้องกันจอประสาทตาเสื่อม
บิลเบอร์รีมีส่วนช่วยสร้างความแข็งแรงของคอลลาเจนในเส้นเลือดฝอยที่ตาและเชื่อมต่อเนื้อเยื่อดีขึ้น
มีส่วนช่วยรักษาอาการตาบอดในตอนกลางคืน ช่วยให้มองเห็นในที่สลัว ควบคุมการทำงานของเรตินาจอรับแสง
ป้องกันโรคตาบอดแสง และการมองไม่เห็นในตอนกลางวัน
การรับประทานบิลเบอร์รี
การรับประทานผลสดบิลเบอร์รีอาจจะหารับประทานยากสำหรับในประเทศไทย จะสะดวกกว่าถ้าเราเลือกบิลเบอร์รีสกัดมาในรูปของอาหารเสริม ซึ่งในปัจจุบันมีทั้งผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม และแคปซูล ปริมาณที่ควรบริโภคเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด เครื่องดื่มสกัดบิลเบอร์รีควรดื่มวันละ 6-12 มิลลิกรัมต่อวัน หรือในรูปแคปซูล 80-160 มิลลิกรัมต่อวัน หรืออาจจะรับประทานผลบิลเบอร์รีตากแห้ง สด หรือแยม ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป
ผลข้างเคียงต่อการรับประทานสารสกัดจากบิลเบอร์รี
ยังไม่มีผลการรายงานว่าสารสกัดจากบิลเบอร์รีเป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกาย และสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควรจะรับประทานบิลเบอร์รีให้มากกว่าปกติ เพื่อป้องกันโรคตาบอดที่เป็นผลข้างเคียงจากโรคเบาหวาน

7 วิธีดูแลสุขภาพดวงตา       กรมการแพทย์แนะ 7 วิธีดูแลสุขภาพดวงตา เน้นกินผักผลไม้มีวิตามินเอ พักสายตาจากการใช้คอมพิวเตอร์...
07/10/2017

7 วิธีดูแลสุขภาพดวงตา

กรมการแพทย์แนะ
7 วิธีดูแลสุขภาพดวงตา เน้นกินผักผลไม้มีวิตามินเอ พักสายตาจากการใช้คอมพิวเตอร์ บริหารดวงตาทุกวันๆ ละ 2 ครั้ง และตรวจสุขภาพตาประจำปี

นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ ให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพดวงตา ภายในพิธีเปิดการประชุมวิชาการพยาบาลจักษุเครือข่ายอาเซียน The 1st Congress of ASEAN Ophthalmic Nurses Society ว่า ดวงตาเป็นอวัยวะที่มีความละเอียดอ่อน แต่มีบทบาทและสำคัญต่อชีวิตเป็นอย่างมาก เพราะช่วยให้เรามองเห็น การดูแลสุขภาพดวงตาจึงเป็นสิ่งสำคัญ สามารถทำได้ดังนี้

1. ทานอาหารมีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะพืชผักผลไม้ที่มีวิตามินเอ เช่น ผักบุ้ง แครอท ตำลึง ผักคะน้า ฟักทอง มะม่วงสุก มะละกอ

2. หลับตาเพื่อพักสายตา ทุก 1 ชั่วโมง เมื่อใช้สายตามากๆ หรือนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ

3. สวมแว่นกันแดดทุกครั้งเมื่อต้องเจอแสงแดด

4. การดูโทรทัศน์ควรปรับความสว่างของจอให้พอควร และควรนั่งห่างจากโทรทัศน์ประมาณ 5 เท่าของขนาดจอ

5. เมื่อมีฝุ่นละอองหรือเศษผงเข้าตา ห้ามใช้มือขยี้ตา ให้ใช้น้ำสะอาดหรือน้ำยาล้างตา

6. ควรบริหารดวงตา ทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง การบริหารง่ายๆ คือ หน้าตั้ง คอตรง กรอกลูกตาหมุนเป็นวงกลม ตามเข็มนาฬิและทวนเข็มนาฬิกา ทำต่อเนื่องกัน 10 ครั้ง และ

7. ควรตรวจสุขภาพตา จากจักษุแพทย์ปีละครั้ง เพื่อรักษาสุขภาพดวงตาให้ดีอยู่เสมอ

》ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี!
📱โทรศัพท์มือถือ 063 8344498 คุณรุ้ง

อาหารบำรุงสายตา          การเลือกทานอาหารก็มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตาได้ด้วยเช่นกัน วัตถุดิบบางอย่างที่ใช้ในการปรุงอาหารน...
07/10/2017

อาหารบำรุงสายตา

การเลือกทานอาหารก็มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตาได้ด้วยเช่นกัน วัตถุดิบบางอย่างที่ใช้ในการปรุงอาหารนั้นมีคุณประโยชน์ต่อสายตาอยู่มาก บางอย่างเราอาจจะพอรู้ แต่ก็มีบางอย่างที่เรายังไม่รู้ เพราะฉะนั้นแล้วมาอ่านดูว่ามีอาหารและวัตถุดิบใดบ้าง ที่จะช่วยบำรุงดวงตาของเราคู่นี้ให้ดีและสวยสดใสไปอีกนาน

- บลูเบอร์รี ผลไม้ที่ดีต่อสายตามาก ๆ และหาซื้อได้ไม่ยากเลย แค่ซื้อแยมบลูเบอรรี่มาทาขนมปังทาน คุณก็จะได้รับสารอาหารแอนโธไซยาโนไซด์ ซึ่งช่วยบำรุงสายตาแล้ว

- มันเทศ ของดีราคาย่อมเยาที่พ่อค้าเขาเดินขาย วิตามินในมันเทศจะช่วยปรับสายตาของคุณให้เห็นได้ชัดในที่มืด

- หอมแดง เวลาทำกับข้าวอย่าลืมใส่หัวหอมแดงลงไปด้วย เพื่อให้สารต้านอนุมูลอิสระเคอร์ซิทินในหอมแดงจะช่วยป้องกันต้อหินให้คุณ

- ปลา กินปลาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดโอเมก้า-3 ที่จำเป็นสำหรับบำรุงสายตา

- ผักใบเขียว กินผักใบเขียวเป็นประจำทุกวัน ผักใบเขียวเป็นแหล่งรวมของสารลูเทอินและซีอาแซนธินที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคต้อกระจก และยิ่งซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในกระบอกตาได้ด้วย (คนที่เกลียดผักคงต้องพยายามหน่อยนะ)

- ผักบีทสด ๆ เป็นของขวัญชั้นดีที่จะมอบให้ดวงตาของตัวเองได้ ผักชนิดนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยปกป้องหลอดเลือดในกระบอกตา ทำให้ตาคุณมีเลือดไปเลี้ยงอย่างสมบูรณ์ ทำให้ตาคุณสวยและใส

- ผักโขม กินผักโขมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผักชนิดนี้มีสารลูเทอิน ซึ่งจะช่วยป้องกันต้อกระจกและภาวะศูนย์กลางประสาท

- ส้ม มะเขือเทศ พริกหวาน สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดต้อกระจก อีกทั้งช่วยในการไหลเวียนเลือดในดวงตา

อาหารบำรุงดวงตา

- กะหล่ำปลีสีเขียวเข้ม ผักโขม หัวผักกาดเขียว และบรอกโคลีนั้ มีคุณประโยชน์ คือให้วิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสายตาให้มีประกายที่สดใส มีเบต้าแคโรทีน

- ถั่วสีน้ำตาลแดง เพียบพร้อมไปด้วยสังกะสีที่ดีต่อสายตา อีกทั้งวิตามินเอก็เป็นส่วนช่วยปกป้องเยื่อชั้นในของลูกตา

- อัลมอนด์ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน และเฮเซิลนัต อุดมไปด้วยวิตามินอี และมีคุณประโยชน์มากมายในการช่วยป้องกันสายตา วิตามินอีเป็นที่รู้จักกันว่า เป็นสารต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ให้ผลในการป้องกันการทำลายของเซลล์ และยังช่วยในการปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์ ที่อวัยวะต่าง ๆ เช่น เซลล์ของตา ตับ เพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงานและอายุการใช้งานของอวัยวะเหล่านี้นานขึ้น

- โฮลเกรน คือ ธัญพืชที่ผ่านกระบวนการขัดสีน้อยนั้นมีเส้นใยอาหารสูง โดยเฉพาะข้าวกล้อง ถั่วเมล็ดแห้ง งา ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวบาเล่ย์ ที่อุดมด้วยวิตามินอี วิตามินบีรวม แร่ธาตุต่าง ๆ และใยอาหาร มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งช่วยปกป้องการเสื่อมสภาพของเซลล์ เสริมสร้างระบบประสาทและเซลล์เม็ดเลือดแดงให้แข็งแรงสมบูรณ์

- อาหารที่อุดมด้วยซัลเฟอร์ (Sulfur) เช่น ไข่ กระเทียม หน่อไม้ฝรั่ง ช่วยบำรุงสายตา และรักษาสายตาให้เป็นปกติ

- กรดไขมันโอเมก้า-3 และ 6 ช่วยป้องกันตาแห้ง พบในน้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก น้ำมันปลา เป็นต้น

- กะเพรา ประกอบด้วยสารอาหารหลายชนิด เช่น วิตามินซี ฟอสฟอรัส เหล็ก แคลเซื่ยม รวมทั้งเบต้าโรทีนสูงด้วย ซึ่งสารนี้จะช่วยเปลื่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกายของคนเรา จึงช่วยบํารุงสายตาได้อย่างดี

- ขี้เหล็ก ดอกตูมและใบอ่อนนิยมใช้เป็นอาหาร เช่น แกงขี้เหล็ก และลวกเป็นผักจิ้มในใบขี้เหล็กมีเบต้าแคโรทีนสุง นอกจากช่วยบํารุงสายตาแล้ว ยังมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ

- แครอท มีเบต้าแคโรทีนสูง จึงเป็นประโยชน์ต่อสายตาโรคเฉพาะโรคตาฟาง

- ไข่แดง มีลูทีนและซีแซนทีนที่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี

เมื่อดวงตาคืออวัยวะที่สำคัญที่สุดของร่างกาย เราก็ต้องไม่ปล่อยให้ดวงตาเสื่อมสภาพไปก่อนวัย หากเรารู้จักวิธีการบำรุงสายตาแล้ว ควรจะหมั่นดูแลเป็นพิเศษและสม่ำเสมอ เพราะจะช่วยให้สายตาของคุณนั้นมีสุขภาพที่ดีและมองดูสดใสอยู่ตลอดเวลา

โดนลมก็แสบ เจอแสงก็แสบ คันตา เคืองตา ตาแดง น้ำตาไหล มีเนื้อลามออกมาจะเข้าตาดำ ก่อความรำคาญ เวลาอักเสบ บวมแดง ทรมานมากค่ะ...
06/10/2017

โดนลมก็แสบ เจอแสงก็แสบ คันตา เคืองตา ตาแดง น้ำตาไหล มีเนื้อลามออกมาจะเข้าตาดำ ก่อความรำคาญ เวลาอักเสบ บวมแดง ทรมานมากค่ะ

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังประสบปัญหา "เกี่ยวกับดวงตา" ... ดีคอนแทค dcontact ช่วยได้มาก ๆๆๆๆๆ
อยากแชร์ให้ทุกคนเริ่มก้าวแรกกันค่ะ อย่ามัวรอวันโน้น วันนี้ ... ดวงตาสำคัญมากต่อการดำรงชีวิตนะคะ

👪โรคต้อเนื้อ ต้อเนื้อ (Pterygium)👪
เป็นโรคกลุ่มเดียวกันกับต้อลมแต่มีการยื่นเข้าไปในส่วนของกระจกตา(ตาดำ)

➡ ต้อเนื้อมีลักษณะเป็นแผ่นเนื้อรูปสามเหลี่ยมงอกจาก
ตาขาวลามเข้าไปในตาดำมักพบบริเวณหัวตามาก
กว่าหางตาต้อเนื้อจะค่อยๆโตลุกลามอย่างช้าๆเข้าไป
ในตาดำถ้าเป็นมากจะลามเข้าไปจนถึงกลางตาดำปิด
รูม่านตา ซึ่งจะปิดบังการมองเห็นทำให้ตามัวได้

➡เนื้อดังกล่าวไม่ใช่มะเร็ง🐝🐝🐝
ไม่ใช่เนื้องอกแต่เป็นลักษณะของความเสื่อมของเยื่อบุตา
ซึ่งเกิดจากแสงอัลตราไวโลเลตเป็นหลักและไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใดกับดวงตา แต่จะก่อความรำคาญเวลาอักเสบ บวมแดง จะรู้สึกเคืองตาถ้าเป็นเยอะก็จะมีปัญหาเรื่องสายตาเอียงได้ เพราะจะไปกดอยู่ที่กระจกตา

♋สาเหตุของโรคต้อเนื้อ🐝🐝🐝🐝
➡ต้อเนื้อและต้อลมเป็นโรคที่คล้ายคลึงกัน
เกิดจากสาเหตุเดียวกันคือเกิดเนื่องมาจากแสงอัลตราไว
โอเลตทำให้เยื่อบุตาบริเวณนั้นเสื่อมลงโรคนี้จึงมักเกิดกับผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง

💁รักดวงตาใส่ใจดูแลเลือกใช้ดีคอนแทคสิคะ🌷🌷

ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์บำรุงดวงตา “ดีคอนแทค”
สามารถป้องกันและแก้ปัญหาตามัว มองไม่ชัด
และต้อทุกประเภทของคุณได้อย่างชัดเจน เห็นผลเร็ว
รับประกันความพอใจ 100%💖💖💖

เลขทะเบียน อย. เลขที่ 10-1-15456-5-0001
ได้รับมาตรฐาน GMP, HACCP, ฮาลาลรับรอง

ใช้ตาทุกวัน...ดูแลเค้าบ้าง?
การมองเห็นของคุณ กำลังมีปัญหาหรือไม่?
✔ตามัว ✔เบลอ ✔ฝ้าฟาง ✔มองเห็นไม่ชัด✔เคืองตา ✔แสบตา ✔แพ้ลม ✔แพ้แสง ✔แพ้ควัน✔เห็นภาพบิดเบี้ยว✔มีแสงวาบ คล้ายฟ้าแลบในดวงตา✔ตามัว ✔เห็นเงาดำในตา✔เห็นอะไรเล็กๆ คล้ายแมลงเล็กๆ บินอยู่ตรงหน้า ✔จุดดำๆ ลอยไปลอยมา

🌻ปัญหาเหล่านี้ ดีคอนแทค Dcontact ช่วยได้ค่ะ🌻

สินค้าพร้อมส่ง ของแท้ล๊อตล่าสุด จัดส่งถึงหน้าบ้านท่าน

☎ 063 8344498 คุณรุ้งค่ะ
------------------------------------------------------------------
✳จำหน่ายเฉพาะของแท้ล็อตล่าสุดเท่านั้น
✳บริการดุจญาติมิตรด้วยจิตและจรรยาบรรณ
✳ส่งของไวมาก

➡️ทำไมต้องดีคอนแทค⬅️เพราะในดีคอนแทค  มีสารLuteinและZeaxanthin ที่ได้จากดอกดาวเรือง เราไปดูสรรพคุณของดอกดาวเรืองกันค่ะสาร...
05/10/2017

➡️ทำไมต้องดีคอนแทค⬅️
เพราะในดีคอนแทค มีสารLuteinและZeaxanthin ที่ได้จากดอกดาวเรือง เราไปดูสรรพคุณของดอกดาวเรืองกันค่ะ
สารสกัดจากดอกดาวเรืองสีเหลือง อุดมไปด้วยสาร ที่เรียกว่าLutein และZeaxanthin
ที่จะช่วยบำรุงสายตาในส่วนMacular
ของเรติน่า เพื่อลดปัญหาการเกิดโรคต้อ
สรรพคุณ
➡️ ช่วยบำรุงและถนอมสายตา
➡️ ช่วยแก้ตาเจ็บตาบวม ตาแดงปวดตา

โทร.063 8344498
line.

หรือคลิ๊กลิ้งค์ด้านล่างเลยค่ะ
https://line.me/R/ti/p/%40sisishop

สธ.ชี้สถานการณ์การใช้คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟนท่องเน็ตในคนไทยเพิ่มขึ้น เฉลี่ยวันละ 7.2 ชั่วโมง และพบเด็ก เยาวชนสายตาสั้นเพิ่...
05/10/2017

สธ.ชี้สถานการณ์การใช้คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟนท่องเน็ตในคนไทยเพิ่มขึ้น เฉลี่ยวันละ 7.2 ชั่วโมง และพบเด็ก เยาวชนสายตาสั้นเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัวจากการเพ่งจอนาน
นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในวันพฤหัสบดีที่ 2 ของเดือนตุลาคม ทุกปี องค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) กำหนดให้เป็นวันสายตาโลก (World Sight Day) ในปี 2557 นี้ตรงกับวันที่ 9 ตุลาคม เพื่อให้ประเทศสมาชิกทั่วโลกรณรงค์ป้องกันแก้ไขปัญหาตาบอด ปัญหาสายตาเลือนราง องค์การอนามัยโลกรายงานพบประชากรโลกตาบอดปีละประมาณ 7 ล้านคน สาเหตุร้อยละ 80 สามารถป้องกันได้ ส่วนใหญ่มาจากปัญหาตาต้อกระจก ผู้ที่มีปัญหาความพิการทางสายตา ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดความทุกข์ทรมานในการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว ยังทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ และอาจทำให้เกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้ โดยเฉพาะการเกิดอุบัติเหตุ
นายแพทย์ณรงค์ กล่าวต่อว่า สำหรับในประเทศไทย ข้อมูลผลสำรวจจากสำนักส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ ล่าสุด ในเดือนกันยายน 2557 ทั่วประเทศมีผู้พิการทางการมองเห็น 171,597 คน โดยโรคที่เป็นสาเหตุของตาบอดที่สำคัญ 5 โรค ได้แก่ โรคต้อกระจก ต้อหิน โรคของจอตา โรคที่ทำให้ตาบอดในเด็ก และโรคของกระจกตา จากการสำรวจล่าสุดในช่วงปี 2549-2550 พบว่าประชากรไทยมีความชุกของตาบอดร้อยละ 0.59 และสายตาเลือนรางร้อยละ 1.57 กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งแก้ไขและป้องกัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน จะมีความเสี่ยงเกิดเบาหวานขึ้นจอประสาทตาและตาบอดสูงกว่าคนทั่วไป รวมทั้งกลุ่มผู้สูงอายุที่เลนซ์ตาเสื่อมตามวัย ซึ่งไทยมีผู้สูงอายุ 60 ปี เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 5 แสนคน โดยเน้นการตรวจคัดกรองเพื่อค้นหาความผิดปกติ และกระจายศูนย์เชี่ยวชาญโรคทางตาประจำเขตสุขภาพทั้ง 12 เขตทั่วประเทศ ประชาชนสามารถรับบริการใกล้บ้านที่สุด
ด้านนายแพทย์ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี กล่าวว่า ปัญหาสายตาที่น่าห่วงขณะนี้ เป็นปัญหาจากการใช้เทคโนโลยีการสื่อสาร ประชาชนใช้สายตาในเรื่องนี้มาก ผลสำรวจล่าสุด คนไทยใช้มือถือประมาณ 41 ล้านคน ใช้คอมพิวเตอร์ประมาณ 20 ล้านคน ใช้อินเทอร์เน็ตประมาณ 15 ล้านคน โดยโทรศัพท์ที่นิยมส่วนใหญ่เป็นสมาร์ทโฟน ซึ่งมีสาระการใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างในเครื่องเดียว ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในปี 2557 ระบุว่าประชาชนไทยใช้สมาร์ทโฟน เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมากที่สุดร้อยละ 77 โดยเฉลี่ยใช้เฉลี่ยวันละ 7.2 ชั่วโมง เพิ่มขึ้นจากปี 2556 ที่ใช้เฉลี่ยวันละ 4.6 ชั่วโมง ซึ่งชี้ให้เห็นว่าประชาชนใช้สายตาเพ่งข้อมูลในสมาร์ทโฟนยาวนานขึ้น มีความเสี่ยงที่จะเกิดสายตาผิดปกติเพิ่มขึ้น
จักษุแพทย์โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า กล่าวต่อว่า สายตาผิดปกติ จะมีทั้งสั้น ยาว และเอียง การเล่นคอมพิวเตอร์ในเด็กวัยประถม คืออายุต่ำกว่า 15 ปี เด็กจะใช้สายตามาก จะทำให้สายตาสั้นเร็วกว่าปกติ ซึ่งมีทั้งสั้นเทียม หรือสั้นชั่วคราวและสั้นถาวร โดยอัตราการเกิดปัญหาสายตาสั้นขณะนี้เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว จากที่เคยพบร้อยละ 8 ของจำนวนประชากรที่สายตาสั้น เป็นร้อยละ 30 ซึ่งจะทำให้เด็กมีปัญหาในการเรียน เด็กจะมองตัวหนังสือบนกระดานไม่ชัด ทำให้จดข้อมูลและเรียนไม่ทันเพื่อน และเกิดปัญหาเด็กเบื่อหน่ายการเรียน ไม่อยากเรียนต่อไป นอกจากนี้จะทำให้เกิดอาการปวดตา ปวดศีรษะโดยไม่รู้สาเหตุ ซึ่งเกิดเนื่องมาจากการเพ่งสายตา และส่งผลต่อการทำงานในบางอาชีพที่ต้องใช้สายตาในอนาคต เช่น นักบิน ตำรวจ ทหาร เป็นต้น
นายแพทย์ฐาปนวงศ์ กล่าวอีกว่า ส่วนกลุ่มที่อายุเกิน 15 ปี จะไม่มีปัญหาสายตาสั้นเทียม แต่จะเกิดปัญหา เมื่อยล้า แสบตา ตาแห้ง มีอาการปวดศีรษะ หรือทำให้อาการปวดศีรษะไมเกรนกำเริบ หากเป็นผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นวัยทำงาน ตามปกติสายตาจะเริ่มยาว หากใช้สายตามากกว่าปกติ จะเกิดอาการเมื่อยล้า ปวดตา ตาแดง แสบตามากขึ้น และหากกลับไปบ้านและทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์อีก จะทำให้อาการเมื่อยล้ามากขึ้น และเกิดสะสม เวียนศีรษะ สำหรับวัยหลังเกษียณ การเล่นไลน์ หรือคอมพิวเตอร์มาก จะมีอาการแสบตา ตาแห้ง ปวดตา อาการจะเป็นมากกว่าผู้ที่อายุน้อย เนื่องมาจากความเสื่อมการทำงานของอวัยวะที่เกิดตามวัย
นายแพทย์ฐาปนวงศ์ กล่าวต่อไปว่า การใช้คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ตอย่างถูกวิธี มีข้อแนะนำดังนี้ 1.กรณีเป็นผู้ที่มีปัญหาทางด้านสายตาหรือสายตาผิดปกติอยู่แล้ว ควรเล่นไม่เกินวันละ 1 ชั่วโมง 2.ไม่ควรเล่นอุปกรณ์ดังกล่าวในห้องมืดๆ ควรปรับความสว่างหน้าจอให้มีความพอดีกับความสว่างของห้อง แสงไฟไม่ควรส่องจากด้านหลังเข้าหาจอ 3.ให้ปรับความคมชัดของจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับ 70-80 เฮิร์ตหรือสูงสุดเท่าที่รู้สึกว่าสบายตา 4.การเลือกตัวหนังสือในจอควรใช้ตัวหนังสือสีดำบนพื้นสีขาวเพื่อให้เห็นชัดเจน ไม่แนะนำให้ใช้พื้นสีเข้มตัวหนังสือสีขาวหรือสีอ่อน เนื่องจากจะทำให้ต้องใช้สายตาเพ่งตัวหนังสือเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว บางคนต้องหรี่ตาเพื่อลดแสงเข้าตา 5.หากเป็นจอคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ควรใช้แผ่นกรองแสงและดูแลทำความสะอาดหน้าจอไม่ให้มีฝุ่นเกาะ เพื่อให้มองเห็นชัดเจน และควรนั่งเล่นในท่าที่ถูกต้องคือเหมือนนั่งอ่านหนังสือ ระยะห่างของสายตากับแท็บเล็ตหรือมือถือประมาณ 1-2 ฟุต ทั้งนี้ สิ่งที่ควรปฏิบัติเพื่อถนอมสายตาคือ ไม่ควรใช้คอมพิวเตอร์ หรือสมาร์ทโฟน เกิน 25-30 นาที และต้องพักสายตาอย่างน้อย 1-5 นาที ควรดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อให้ดวงตามีความชุ่มชื้น ไม่ต้องพึ่งน้ำตาเทียม และพักผ่อนนอนหลับเป็นเวลา 7 ชั่วโมงเพื่อให้ประสาทตาได้พักการใช้งาน

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

ต้อหินต้อหิน (Glaucoma) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุและถือว่าเป็นโรคตาที่ร้ายแรงมากชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุทำให้ตาบอดได...
02/10/2017

ต้อหิน
ต้อหิน (Glaucoma) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุและถือว่าเป็นโรคตาที่ร้ายแรงมากชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุทำให้ตาบอดได้มากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากโรคต้อกระจก สามารถพบได้ตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป ส่วนความเสี่ยงในการเกิดโรคต้อหินจะพบได้ประมาณ 1% หมายความว่า ในทุก ๆ 100 คนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปจะมีโอกาสตรวจพบโรคต้อหิน 1 คน

แต่เดิมโรคนี้มีคำนิยามว่า “เป็นโรคที่เกิดจากภาวะความดันภายในลูกตา/ความดันลูกตาสูงกว่าปกติ” แต่ในปัจจุบันพบว่า ต้อหินไม่จำเป็นต้องเกิดจากสาเหตุนี้เสมอไป จึงมีการเปลี่ยนคำนิยามของโรคนี้กันใหม่เป็น “โรคที่มีการทำลายเซลล์ประสาทในจอตา/จอประสาทตา (Retina) ไปเรื่อย ๆ ทำให้สูญเสียการมองเห็น และทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของขั้วประสาทตาไป เป็นลักษณะที่เรียกว่า Glaucomatous cupping disc (รอยหวำผิดปกติคือกว้างขึ้น ซึ่งเกิดที่ขั้วประสาทตา) จนเป็นผลทำให้ลานสายตาผิดปกติ”

กล่าวโดยสรุป ต้อหินเป็นโรคที่เซลล์ประสาทในจอตาตายไปเรื่อย ๆ ทำให้ลานสายตาผิดปกติ ขั้วประสาทตาซึ่งเป็นที่รวมของใยประสาทตาที่ต่อมาจากเซลล์ประสาทถูกทำลาย เกิดเป็นรอยหวำกว้างขึ้นที่ขั้วประสาทตา ทำให้สูญเสียการมองเห็น โดยภาวะเช่นนี้มักเกิดจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น ความดันลูกตาที่สูงขึ้นผิดปกติ อายุที่มากขึ้น การมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ การมีโรคที่ทำให้เลือดไปเลี้ยงจอตาลดลง เป็นต้น

อนึ่ง แม้ว่าความดันลูกตาจะเป็นเพียงปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่ง แต่ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่พบได้มากที่สุดและเป็นสิ่งที่ตรวจวัดได้ ความดันลูกตา (Intraocular pressure – IOP) จึงเป็นปัจจัยเดียวที่เมื่อให้การรักษาแล้วสามารถเห็นผลเป็นรูปธรรมได้ แพทย์จึงใช้วิธีลดความดันลูกตาเป็นการรักษาหลัก และผู้ป่วยต้อหินส่วนมากจะมีความดันลูกตาสูงกว่าปกติ (ค่าปกติอยู่ที่ระหว่าง 10-21 มิลลิเมตรปรอท และมีค่าเฉลี่ยทั่วไปอยู่ที่ 15.5 มม.ปรอท) เมื่อความดันลูกตาสูงมาก การคลำลูกตาจากภายนอกจะรู้สึกว่าลูกตาแข็งคล้ายหิน อันเป็นที่มาของชื่อโรคต้อหิน ซึ่งไม่เกี่ยวกับการมีเศษหินอยู่ในตาแต่อย่างใด

สาเหตุของโรคต้อหิน
ต้อหินเป็นหนึ่งในกลุ่มโรคต้อที่พบได้บ่อย ๆ มีทั้งต้อลม ต้อเนื้อ ต้อกระจก และต้อหิน แต่ต้อหินเป็นต้อเพียงชนิดเดียวที่ไม่มีตัวต้อให้เห็น เพราะต้อจริง ๆ แล้วเป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากขั้วประสาทตาเสื่อม ส่งผลให้เกิดการสูญเสียการมองเห็น เป็นการสูญเสียถาวรที่รักษาให้กลับคืนมาเป็นปกติไม่ได้ และเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะตาบอดที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยอาการสำคัญที่พบแทบทุกราย คือ การมีความดันในลูกตาเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้ขั้วประสาทตาถูกทำลายได้ง่าย

โดยปกติแล้วภายในลูกตาจะมีการสร้างของเหลวหลายอย่าง ซึ่งของเหลวที่สำคัญอย่างหนึ่งจะอยู่ตรงช่องว่างระหว่างกระจกตากับแก้วตา ซึ่งเรียกว่า “ช่องด้านหน้าในลูกตา” หรือ “ช่องหน้าลูกตา” (Anterior chamber) ของเหลวชนิดนี้จะมีลักษณะใส เรียกว่า “น้ำหล่อเลี้ยงลูกตา” (Aqueous humor) ซึ่งจะไหลเวียนจากด้านหลังของม่านตา (Iris) ผ่านรูม่านตา (Pupil) เข้าไปในช่องด้านหน้าในลูกตา แล้วระบายออกนอกลูกตาโดยผ่านมุมแคบ ๆ ระหว่างตากับกระจกตาดำเข้าไปในตะแกรงระบายเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่า “ท่อชเลมส์” (Schlemm’s canal) เข้าสู่หลอดเลือดดำที่อยู่นอกลูกตา แต่ถ้าการระบายของน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาดังกล่าวเกิดการติดขัดด้วยสาเหตุใดก็ตาม (เช่น ความเสื่อมของร่างกายจากอายุที่มากขึ้น) จะทำให้มีการคั่งของน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาและทำให้ความดันลูกตาเพิ่มสูงขึ้น จนเกิดเป็นโรคต้อหิน และความดันลูกตาที่สูงขึ้นนี้เองจะไปทำลายขั้วประสาทตา ทำให้ขั้วประสาทตาเสื่อมหรือฝ่อไปทีละน้อยจนตาบอดในที่สุด

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อหินเฉียบพลัน
ผู้หญิง เพราะพบได้มากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
ผู้ที่มีเชื้อชาติเอเชีย คนเอเชียจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อหินชนิดมุมปิดได้มากกว่าชาติอื่น ๆ เนื่องจากโครงสร้างลูกตามีแนวโน้มที่มุมระบายน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาจะมีความแคบมากกว่าชาวยุโรปหรืออเมริกันถึง 9 เท่า

ผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป จะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ทุกคน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่แก้วตาจะหนาตัวมากขึ้นตามอายุและทำให้ช่องด้านหน้าในลูกตาที่แคบอยู่แล้วยิ่งแคบมากขึ้นไปอีก จึงมีโอกาสเกิดต้อหินได้มากขึ้น จึงมักพบโรคนี้ในคนอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป
ผู้ที่มีสายตายาว เพราะมีกระบอกตาสั้นและช่องด้านหน้าในลูกตาแคบ

ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ (กรรมพันธุ์หรือพันธุกรรม) เพราะโรคนี้สามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้ จึงมักพบพ่อแม่พี่น้องของผู้ป่วยเป็นโรคนี้ร่วมด้วย
สาเหตุอื่น ๆ เช่น เกิดจากโรคตาบางอย่าง (เช่น เป็นต้อกระจกที่ต้อแก่แล้วและไม่ได้รับการผ่าตัด แต่ส่วนใหญ่แล้วโรคนี้จะเกิดขึ้นฉับพลันโดยไม่มีโรคตาอื่น ๆ นำมาก่อน) หรือเกิดจากอุบัติเหตุจนแก้วตาเคลื่อนไปจากเดิม เป็นต้น

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อหินเรื้อรัง
ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ (กรรมพันธุ์หรือพันธุกรรม) ถ้ามีญาติพี่น้องเป็นโรคต้อหินก็จะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูงขึ้น และกลับกันผู้ที่เป็นโรคต้อหินก็มักจะพบว่ามีญาติพี่น้องของตนเป็นโรคนี้ด้วย (มีการศึกษาพบว่า ผู้ที่มีญาติพี่น้องเป็นโรคต้อหินจะมีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าคนทั่วไปถึง 9.2 เท่า)
ผู้ที่มีเชื้อชาติแอฟริกัน คนเชื้อชาติแอฟริกันจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อหินเรื้อรังมากกว่าคนทั่วไปประมาณ 3-8 เท่า นอกจากนั้นคนแอฟริกันที่มีอายุ 45-65 ปี ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดตาบอดจากต้อหินได้มากกว่าคนในอายุเดียวกันสูงถึง 15 เท่า
ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง เพราะโรคเหล่านี้จะทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงขั้วประสาทตาได้น้อยลง จึงอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต้อหินเรื้อรังก็เป็นได้ นอกจากนี้ในผู้ป่วยที่มีโรคข้ออักเสบจากสาเหตุบางอย่าง เช่น โรคข้อรูมาตอยด์ก็มักจะมีโรคม่านตาอักเสบร่วมด้วย ซึ่งเมื่อเป็นเรื้อรังก็จะเกิดโรคต้อหินตามมาได้ในที่สุด

ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน เป็นโรคเรื้อรังอีกโรคที่สำคัญที่สุดที่จะนำไปสู่ความผิดปกติของหลอดเลือดต่าง ๆ ทั่วร่างกาย เพราะนอกจากจะพบโรคต้อหินชนิดนี้ในผู้ป่วยเบาหวานมากกว่าคนทั่วไปแล้ว โรคเบาหวานยังทำให้เกิดความผิดปกติของหลอดเลือดที่จอตา ดังนั้น ผู้ป่วยเบาหวานนอกจากจะต้องตรวจตาเพื่อดูว่าเบาหวานทำลายจอตาหรือไม่แล้ว ยังต้องตรวจดูด้วยว่ามีต้อหินหรือไม่ด้วย

ผู้ที่มีสายตาสั้น โดยเฉพาะในรายที่สั้นมาก ๆ คือ มากกว่า 6 ไดออปเตอร์ขึ้นไป ก็จะมีโอกาสเป็นโรคต้อหินเรื้อรังได้มากกว่าคนปกติ
ผู้ที่มีหรือตรวจพบความดันลูกตาสูงกว่าปกติ
ผู้ที่มีกระจกตาบางกว่าปกติ
ผู้ที่เคยได้รับการผ่าตัดทางตา ไม่ว่าจะเป็นต้อกระจก ผ่าตัดเปลี่ยนตา ผ่าตัดจอตา เหล่านี้อาจทำให้เกิดโรคต้อหินเรื้อรังตามมาในภายหลังได้
ผู้ที่เคยมีและรับการรักษาโรคเรื้อรังทางตา เช่น ตาขาวอักเสบ ม่านตาอักเสบ เป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เกิดโรคต้อหินเรื้อรังขึ้นมาได้

ผู้ที่เคยได้รับอุบัติเหตุทางตา ทั้งจากแรงกระทบกระแทกหรือถูกของมีคม ทั้งที่เพิ่งเกิดขึ้นหรือผ่านมานานแล้ว ทั้งจากอุบัติเหตุรุนแรงที่ต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือเพียงเล็กน้อยที่เกิดจากการใช้ยาหยอดตาเพียงไม่กี่วัน ซึ่งในระยะยาวอาจทำให้เกิดโรคต้อหินเรื้อรังได้ โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย ๆ คือ การมีเลือดออกในลูกตาหลังได้รับอุบัติเหตุจากการถูกกระแทก เช่น การถูกลูกขนไก่หรือถูกหนังสติ๊กจนทำให้มีเลือดออกในตา

ผู้ที่มีประวัติการใช้ยาทั้งชนิดหยอดตาหรือยารับประทานบางชนิด โดยเฉพาะยาสเตียรอยด์ในรูปแบบของยาหยอดตาซึ่งนิยมใช้กันมาก เพราะยานี้จะทำให้ความดันลูกตาสูงขึ้น หากใช้ยานี้ในคนที่มีความดันลูกตาสูงอยู่ก่อนแล้วก็จะเกิดโรคต้อหินได้ โดยมากมักเกิดอาการหลังจากหยอดยานานประมาณ 6-8 สัปดาห์ แต่หลังจากหยุดใช้ยาความดันลูกตาก็จะลดลงสู่ระดับเดิม (การใช้อย่างต่อเนื่องจะทำให้เกิดต้อหินเรื้อรังได้ประมาณ 35% จึงเป็นเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้คนอายุต่ำกว่า 60 ปีเป็นโรคต้อหินเรื้อรังได้ เพราะโรคต้อหินเรื้อรังที่เกิดจากการใช้ยาจะไม่เลือกอายุ แม้จะอายุน้อยก็เป็นได้)

ที่อยู่

242 ถนนสุวินทวงศ์ แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี
Bangkok
10150

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ดีคอนแทค ฟื้นฟูดวงตา ปลอดภัยผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ประเภท