Safedose by PharmaClick

Safedose by PharmaClick NETNAPHA PHARMACLICK PharmaClick Co., Ltd. 1251-1253 Ladprao Rd. Khet Chan Kasem Chatuchak BKK Thailand 10900.

There are 3 compartments :-
- Safedose by PharmaClick
- I-Smith Co.,Ltd.
- SafeDose Co.,Ltd.
- Phu-Shibuya (Thailand) Co.,Ltd.
- Flash Home LatPhrao35

ฉลากช่วยส่งเสริมความเข้าใจและความร่วมมือในการใช้ยา acyclovir------------------------------------ที่มาของฉลากยา**จะสังเกต...
21/12/2024

ฉลากช่วยส่งเสริมความเข้าใจและความร่วมมือในการใช้ยา acyclovir

------------------------------------
ที่มาของฉลากยา
**จะสังเกตว่างานวิจัยไม่ได้ระบุทุก ๆ กี่ชั่วโมงแต่เป็นขนาดยาต่อวัน
ดังนั้นเพื่อความร่วมมือในการใช้ยา เภสัชกรสามารถออกแบบวิธีการใช้ยาที่เหมาะสมสำหรับคนไข้แต่ละรายได้เลย
------------------------------------
สรุปการใช้ยา Acyclovir (บางส่วน) สำหรับการป้องกันและรักษาการติดเชื้อไวรัส HSV:
การป้องกัน (Prophylaxis):
ขนาดยาที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ HSV-1:
ทางหลอดเลือดดำ (IV):
- 750 mg/m² ต่อวัน
- 10 mg/kg ต่อวัน
ทางปาก (Oral):
- 800 mg ต่อวัน**
- 1600 mg ต่อวัน**
- 2000 mg ต่อวัน**
ขนาดต่ำกว่า (เช่น 250 mg/m²) ไม่มีประสิทธิภาพที่ชัดเจนในการป้องกัน​
ข้อพิจารณาเพิ่มเติม:
- ขนาดยา 800 mg ต่อวัน อาจเหมาะสมสำหรับเด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยที่มีปัญหาการทำงานของไต เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะไตวายเฉียบพลัน (acute kidney injury)​
- ยา Acyclovir มีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเริ่มใช้ในช่วงต้นของการติดเชื้อหรือทันทีที่มีอาการแสดง

ฉลากช่วยส่งเสริมความเข้าใจและความร่วมมือในการใช้ยา acyclovir

สามารถสั่งทำสติกเกอร์ในปริมาณน้อย ๆ ได้
เริ่มต้นขนาด A3 ราคา 50 บาท
แอดมินสั่งทำที่นี่ https://chakraval.com/
ในภาพเป็นขนาด 6*6 ตร.ซม. กับ 7*7 ตร.ซม.

------------------------------------
ที่มาของฉลากยา
**จะสังเกตว่างานวิจัย HSV ไม่ได้ระบุทุก ๆ กี่ชั่วโมงแต่เป็นขนาดยาต่อวัน
ดังนั้นเพื่อความร่วมมือในการใช้ยา เภสัชกรสามารถออกแบบวิธีการใช้ยาที่เหมาะสมสำหรับคนไข้แต่ละรายได้เลย
------------------------------------
สรุปการใช้ยา Acyclovir (บางส่วน) สำหรับการป้องกัน (Prophylaxis): ขนาดยา acyclovir ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ HSV-1:

ทางหลอดเลือดดำ (IV):
- 750 mg/m² ต่อวัน
- 10 mg/kg ต่อวัน
ทางปาก (Oral):
- 800 mg ต่อวัน**
- 1600 mg ต่อวัน**
- 2000 mg ต่อวัน**
ขนาดต่ำกว่า (เช่น 250 mg/m²) ไม่มีประสิทธิภาพที่ชัดเจนในการป้องกัน​

ข้อพิจารณาเพิ่มเติม:
- ขนาดยา 800 mg ต่อวัน อาจเหมาะสมสำหรับเด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยที่มีปัญหาการทำงานของไต เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะไตวายเฉียบพลัน (acute kidney injury)​
- ยา Acyclovir มีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเริ่มใช้ในช่วงต้นของการติดเชื้อหรือทันทีที่มีอาการแสดง

Aribi Al-Zoobaee, F. W., Yee Shen, L., Veettil, S. K., Gopinath, D., Maharajan, M. K., & Menon, R. K. (2020). Antiviral Agents for the Prevention and Treatment of Herpes Simplex Virus Type-1 Infection in Clinical Oncology: A Network Meta-Analysis. International journal of environmental research and public health, 17(23), 8891. https://doi.org/10.3390/ijerph17238891

 #การใช้ยาNSAIDsในร้านยากับผู้ป่วยโรคหืดความปลอดภัยและความเสี่ยง1. โรคหืดที่กำเริบจาก NSAIDs (NERD-NSAID-exacerbated res...
13/12/2024

#การใช้ยาNSAIDsในร้านยากับผู้ป่วยโรคหืด

ความปลอดภัยและความเสี่ยง
1. โรคหืดที่กำเริบจาก NSAIDs (NERD-NSAID-exacerbated respiratory disease) เป็นโรคทางเดินหายใจเรื้อรังที่เกิดจากการอักเสบในผู้ป่วยโรคหืดหรือโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังที่มีติ่งเนื้อในจมูก (nasal polyps) อาการมักรุนแรงขึ้นเมื่อใช้ยา NSAIDs เช่น แอสไพริน

2. ความเสี่ยงต่อการแพ้ยาและหืดกำเริบ
อาการแพ้ยา NSAIDs อาจเกิดขึ้นทันทีภายใน 30 นาที ถึง 3 ชั่วโมงหลังการใช้ยา และอาจทำให้เกิดหลอดลมตีบหรือหืดกำเริบเฉียบพลัน ซึ่งในบางกรณีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

3. กลไกของการแพ้ NSAIDs ในผู้ป่วยโรคหืด
การยับยั้งเอนไซม์ COX-1 เป็นกลไกหลักที่ทำให้เกิดการแพ้ NSAIDs และอาจเกี่ยวข้องกับการผลิต leukotrienes ในร่างกายที่เพิ่มขึ้น

ปัจจัยเสี่ยงที่ควรระวัง
ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อ NERD ควรหลีกเลี่ยงหรือใช้ NSAIDs อย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะผู้ที่มีลักษณะดังนี้:

-โรคหืดที่รุนแรงหรือควบคุมได้ยาก
-โรคไซนัสอักเสบเรื้อรังและ/หรือมีน้ำมูกไหลมาก
-มีติ่งเนื้อในจมูก
-เพศหญิง
-ประวัติ NERD หรือโรคภูมิแพ้
-อายุระหว่าง 20-50 ปี
-สูบบุหรี่มาเป็นเวลานาน
-ประวัติครอบครัวเป็นโรคหืด, NERD หรือโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้

อาการแพ้ NSAIDs อาจขึ้นอยู่กับขนาดของยา แต่ในบางรายที่ไวต่อยามาก อาจมีอาการแม้ใช้ในขนาดต่ำ เช่น แอสไพริน 75 มิลลิกรัม

แนวทางการสั่งใช้ยา NSAIDs
1. #ผู้ป่วยโรคหืดส่วนใหญ่สามารถทนNSAIDsได้ จากข้อมูลพบว่า 80-90% ของผู้ใหญ่ที่เป็นโรคหืดสามารถใช้ NSAIDs ได้โดยไม่มีปัญหา

2. การประเมินความเสี่ยงและการพิจารณายาทางเลือก
หาก NSAIDs ไม่เหมาะสม ให้พิจารณายาทางเลือก เช่น พาราเซตามอลหรือโคเดอีน

3. แนวทางสำหรับสถานการณ์ต่างๆ

กรณีผู้ป่วยที่ไม่เคยใช้ NSAIDs
ควรใช้ NSAIDs ในรูปแบบรับประทานหรือทาภายนอกด้วยความระมัดระวัง #พร้อมติดตามอาการหืด

กรณีเคยใช้ NSAIDs ได้โดยไม่มีปัญหา
ใช้ NSAIDs ด้วยความระมัดระวัง พร้อม #ให้คำแนะนำเกี่ยวกับความเสี่ยงของการเกิดNERDในอนาคต

#กรณีมีประวัติNERD
#หลีกเลี่ยงการใช้NSAIDsทั้งรูปแบบรับประทานและทาภายนอก

4. หากจำเป็นต้องใช้ NSAIDs
ในกรณีที่ไม่มีทางเลือก ให้พิจารณาส่งต่อผู้ป่วยไปยังผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้หรือระบบทางเดินหายใจเพื่อจัดการและป้องกัน NERD

แนวทางการรักษาอาจรวมถึง:
- การบำบัดเพื่อเพิ่มความทนต่อ NSAIDs (NSAID desensitization therapy)
- การใช้ยากลุ่ม leukotriene receptor agonists เช่น Montelukast
- การใช้ยากลุ่มชีวภาพ (biological medicines) เช่น mepolizumab, benralizumab, reslizumab, dupilumab, และ omalizumab
ทั้งนี้ ยาเหล่านี้ใช้แบบ off-label และอาจไม่เหมาะกับทุกคน

สรุป
การใช้ยา NSAIDs ในผู้ป่วยโรคหืดจำเป็นต้องพิจารณาประวัติการแพ้และปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วยอย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตราย

อ้างอิง

Specialist Pharmacy Service. Using NSAIDs in asthma. Accessed from https://www.sps.nhs.uk/articles/using-nsaids-in-asthma/

#การใช้ยาNSAIDsในร้านยากับผู้ป่วยโรคหืด

ความปลอดภัยและความเสี่ยง
1. โรคหืดที่กำเริบจาก NSAIDs (NERD-NSAID-exacerbated respiratory disease) เป็นโรคทางเดินหายใจเรื้อรังที่เกิดจากการอักเสบในผู้ป่วยโรคหืดหรือโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังที่มีติ่งเนื้อในจมูก (nasal polyps) อาการมักรุนแรงขึ้นเมื่อใช้ยา NSAIDs เช่น แอสไพริน

2. ความเสี่ยงต่อการแพ้ยาและหืดกำเริบ
อาการแพ้ยา NSAIDs อาจเกิดขึ้นทันทีภายใน 30 นาที ถึง 3 ชั่วโมงหลังการใช้ยา และอาจทำให้เกิดหลอดลมตีบหรือหืดกำเริบเฉียบพลัน ซึ่งในบางกรณีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

3. กลไกของการแพ้ NSAIDs ในผู้ป่วยโรคหืด
การยับยั้งเอนไซม์ COX-1 เป็นกลไกหลักที่ทำให้เกิดการแพ้ NSAIDs และอาจเกี่ยวข้องกับการผลิต leukotrienes ในร่างกายที่เพิ่มขึ้น

ปัจจัยเสี่ยงที่ควรระวัง
ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อ NERD ควรหลีกเลี่ยงหรือใช้ NSAIDs อย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะผู้ที่มีลักษณะดังนี้:

-โรคหืดที่รุนแรงหรือควบคุมได้ยาก
-โรคไซนัสอักเสบเรื้อรังและ/หรือมีน้ำมูกไหลมาก
-มีติ่งเนื้อในจมูก
-เพศหญิง
-ประวัติ NERD หรือโรคภูมิแพ้
-อายุระหว่าง 20-50 ปี
-สูบบุหรี่มาเป็นเวลานาน
-ประวัติครอบครัวเป็นโรคหืด, NERD หรือโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้

อาการแพ้ NSAIDs อาจขึ้นอยู่กับขนาดของยา แต่ในบางรายที่ไวต่อยามาก อาจมีอาการแม้ใช้ในขนาดต่ำ เช่น แอสไพริน 75 มิลลิกรัม

แนวทางการสั่งใช้ยา NSAIDs
1. #ผู้ป่วยโรคหืดส่วนใหญ่สามารถทนNSAIDsได้ จากข้อมูลพบว่า 80-90% ของผู้ใหญ่ที่เป็นโรคหืดสามารถใช้ NSAIDs ได้โดยไม่มีปัญหา

2. การประเมินความเสี่ยงและการพิจารณายาทางเลือก
หาก NSAIDs ไม่เหมาะสม ให้พิจารณายาทางเลือก เช่น พาราเซตามอลหรือโคเดอีน

3. แนวทางสำหรับสถานการณ์ต่างๆ

กรณีผู้ป่วยที่ไม่เคยใช้ NSAIDs
ควรใช้ NSAIDs ในรูปแบบรับประทานหรือทาภายนอกด้วยความระมัดระวัง #พร้อมติดตามอาการหืด

กรณีเคยใช้ NSAIDs ได้โดยไม่มีปัญหา
ใช้ NSAIDs ด้วยความระมัดระวัง พร้อม #ให้คำแนะนำเกี่ยวกับความเสี่ยงของการเกิดNERDในอนาคต

#กรณีมีประวัติNERD
#หลีกเลี่ยงการใช้NSAIDsทั้งรูปแบบรับประทานและทาภายนอก

4. หากจำเป็นต้องใช้ NSAIDs
ในกรณีที่ไม่มีทางเลือก ให้พิจารณาส่งต่อผู้ป่วยไปยังผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้หรือระบบทางเดินหายใจเพื่อจัดการและป้องกัน NERD

แนวทางการรักษาอาจรวมถึง:
- การบำบัดเพื่อเพิ่มความทนต่อ NSAIDs (NSAID desensitization therapy)
- การใช้ยากลุ่ม leukotriene receptor agonists เช่น มอนเทลูคาสต์
- การใช้ยากลุ่มชีวภาพ (biological medicines) เช่น mepolizumab, benralizumab, reslizumab, dupilumab, และ omalizumab
ทั้งนี้ ยาเหล่านี้ใช้แบบ off-label และอาจไม่เหมาะกับทุกคน

สรุป
การใช้ยา NSAIDs ในผู้ป่วยโรคหืดจำเป็นต้องพิจารณาประวัติการแพ้และปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วยอย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตราย

อ้างอิง

Specialist Pharmacy Service. Using NSAIDs in asthma. Accessed from https://www.sps.nhs.uk/articles/using-nsaids-in-asthma/

 #ผื่นผิวหนังที่พบได้บ่อยในร้านยา: สาระและวิธีดูแลเบื้องต้นพิจารณาจาก ICD-10
07/12/2024

#ผื่นผิวหนังที่พบได้บ่อยในร้านยา: สาระและวิธีดูแลเบื้องต้น
พิจารณาจาก ICD-10

#ผื่นผิวหนังที่พบได้บ่อยในร้านยา: สาระและวิธีดูแลเบื้องต้น

พิจารณาจาก ICD-10
1. ผื่นผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ (Atopic Dermatitis)
รหัส ICD-10: L20-L30
ลักษณะ: ผื่นแดง คัน ผิวแห้ง แตกเป็นขุย พบได้ในบริเวณข้อพับ
ยาที่ใช้เบื้องต้น:
**Emollients เช่น Cetaphil หรือ Eucerin เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
Topical corticosteroids เช่น Hydrocortisone 1% ลดการอักเสบ (ใช้ทาวันละ 1-2 ครั้ง) หลีกเลี่ยงการใช้บริเวณผิวบาง เช่น ใบหน้า รักแร้ ขาหนีบ
ใช้ระยะสั้นเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง
Topical calcineurin inhibitors เช่น Tacrolimus (ในกรณีที่ไม่ตอบสนองต่อสเตียรอยด์)

** 2023 American Academy of Allergy, Asthma and Immunology/American College of Allergy, Asthma and Immunology Joint Task Force on Practice Parameters
GRADE− and Institute of Medicine−based recommendations มีคำไม่แนะนำ prescription moisturizers เพราะราคาแพงและผลลัพธ์ไม่แตกต่างจาก OTC ที่ราคาถูกกว่า เช่น ครีมที่มีสาร ceramides

กลไกการทำงานของยา:
สเตียรอยด์ลดการอักเสบโดยยับยั้งไซโตไคน์
Tacrolimus ยับยั้ง T-cells

2. สิว (Acne Vulgaris)
รหัส ICD-10: L70.0
ลักษณะ: มีทั้งสิวอุดตัน (หัวดำ/หัวขาว) และสิวอักเสบ (ตุ่มแดง ตุ่มหนอง)
ยาที่ใช้เบื้องต้น:
Benzoyl Peroxide (2.5%-10%): ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดการอุดตันรูขุมขน
Tretinoin (0.025%-0.1%): เร่งการผลัดเซลล์ผิว
ยาทาปฏิชีวนะ เช่น Clindamycin 1% หรือ Erythromycin 2% #ฆ่าเชื้อแบคทีเรียใช้ร่วมกับBenzoyl_Peroxide

กลไกการทำงานของยา:
ยาเรตินอยด์ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตันและการอักเสบ
ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อ Propionibacterium acnes

3. ผื่นแพ้สัมผัส (Contact Dermatitis)
รหัส ICD-10: L23-L25
ลักษณะ: บริเวณผิวแดง บวม คัน หรือพุพอง มักเกิดจากสัมผัสสารระคายเคือง
ยาที่ใช้เบื้องต้น:
Topical corticosteroids เช่น Triamcinolone cream (0.1%): ลดการอักเสบ
Non-sedative antihistamine บรรเทาอาการคัน
Barrier creams หรือ Emollients เพื่อป้องกันการสัมผัสสารระคายเคืองซ้ำ

กลไกการทำงานของยา:
สเตียรอยด์ลดการอักเสบ
ยาต้านฮีสตามีนช่วยลดการคันจากภูมิแพ้

4. ผื่นแดงหลายรูปแบบ (Erythema Multiforme - EM)
รหัส ICD-10: L51
ลักษณะ: EM เป็นผื่นภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการตอบสนองต่อการติดเชื้อ (เช่น Herpes Simplex Virus, HSV) หรือยาบางชนิด ลักษณะเด่นคือ:

ผื่นวงแดงแบบเป้ายิง (target lesions): มีวงแดงตรงกลาง ล้อมรอบด้วยขอบที่เข้มและอ่อนกว่า อาจเกิดที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ใบหน้า หรือแขนขา บางกรณีอาจมี มิวโคซา อักเสบร่วมด้วย EM ไม่ได้พบบ่อยเท่าผื่นภูมิแพ้อื่น ๆ เช่น ผื่นแพ้สัมผัสหรือผิวหนังอักเสบ อย่างไรก็ตาม ร้านยามักเจอผู้ป่วยที่มี #ผื่นคันคล้ายEMเนื่องจากการแพ้ยา เช่น NSAIDs และยาซัลโฟนาไมด์ กระตุ้นการหลั่ง Tumor Necrosis Factor-α (TNF-α) ซึ่งเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาภูมิแพ้และการอักเสบในระดับเซลล์

EM จากการติดเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) เป็นผลจากปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นเมื่อ T-helper 1 (Th1) cell และ interferon-γ ตอบสนองต่อไวรัส DNA ที่แฝงอยู่ในผิวหนัง การรักษาต่อเนื่องนานกว่า 6 เดือนช่วยลดความถี่ของการกลับมา แต่การหยุดยาในบางกรณีอาจทำให้ผื่นกลับมาอีก ผู้ที่ตอบสนองต่อยา ควรใช้ต่อเนื่อง 1-2 ปี และหากหยุดแล้วกลับมา อาจเริ่มใช้ใหม่ในปริมาณต่ำสุดที่ได้ผล การหยุดยาก่อนกำหนดอาจทำให้ผื่นรุนแรงขึ้น และในกรณีดื้อยา ต้องใช้การรักษาเสริม เช่น การเพิ่มขนาดยาหรือการใช้ยาใหม่ นอกจากนี้ยังมีการรักษาด้วยารใช้โมโนโคลนอลแอนติบอดี เช่น Adalimumab (ยับยั้ง TNF-α) และ Rituximab (ทำลาย B-cells ที่สร้างแอนติบอดี)

แม้ EM จะไม่ใช่โรคที่พบมากในร้านยา แต่เภสัชกรควรรู้จักและสามารถแนะนำผู้ป่วยให้ไปพบแพทย์ในกรณีที่มีผื่นวงแดงเด่นชัด หรือมีประวัติแพ้ยา เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม

ยาที่ใช้เบื้องต้น:
กรณีที่เกิดจาก HSV : Acyclovir (800 มก. วันละ 2 ครั้ง)
Methylprednisolone: ใช้ในกรณีที่มีอาการรุนแรง (ไม่มีในร้านยา)
Antihistamines: เช่น Bilastine ลดอาการคัน

กลไกการทำงานของยา:
Acyclovir ยับยั้งการจำลองตัวของไวรัส HSV
สเตียรอยด์ช่วยลดการอักเสบระบบ

5. ผื่นพุพอง (Vesicular Eruption)
รหัส ICD-10: L50-L54
ลักษณะ: ผื่นตุ่มน้ำขนาดเล็ก อาจแตกและมีน้ำเหลือง
ยาที่ใช้เบื้องต้น:
กรณีของ Herpes zoster เช่น ยาต้านไวรัส Valacyclovir: (500 มก. วันละ 2 ครั้ง)
Topical antiseptics: เช่น Povidone-iodine แบบเจล เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
Oral antihistamines เพื่อบรรเทาอาการคันและอักเสบ

กลไกการทำงานของยา:
ยาต้านไวรัสลดการเพิ่มจำนวนของไวรัสในผิวหนัง
antisepticsป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อน

อ้างอิง
INCIDECODER
ICD-10-CM Guidelines ปี 2024
ฐานข้อมูลของ NCBI​
Soares A, Sokumbi O. Recent Updates in the Treatment of Erythema Multiforme. Medicina (Kaunas). 2021 Sep 1;57(9):921. doi: 10.3390/medicina57090921. PMID: 34577844; PMCID: PMC8467974.

------------------------------------------------
**เทคนิกการเลือกEmollients
เปิดเทียบผลิตภัณฑ์ใน INCIDECODER
Cetaphil
Glycerin: ช่วยดึงน้ำเข้าสู่ผิวและรักษาความชุ่มชื้นไว้ ทำให้ผิวเนียนนุ่ม​
Sweet Almond Oil (Prunus Amygdalus Dulcis): มีกรดไขมันและวิตามิน E ช่วยลดความแห้งกร้านและทำให้ผิวเรียบเนียน​
Shea Butter: มีวิตามินและกรดไขมันที่ช่วยฟื้นฟูผิว เพิ่มความยืดหยุ่นและลดความแห้งกร้าน​

Eucerin
Sunflower Seed Oil: มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามิน E ช่วยฟื้นฟูผิวและเพิ่มความชุ่มชื้น​
Urea: ช่วยให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น และมีคุณสมบัติผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ​
Ceramides: เสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ลดการสูญเสียน้ำ และช่วยฟื้นฟูผิวแห้ง

แผ่นเจลลดไข้/แผ่นแปะลดไข้:  #วิทยาศาสตร์ในแผ่นบางๆที่ไม่ใช่แค่เย็นอย่างเดียวแผ่นเจลลดไข้เป็นตัวช่วยยอดนิยมในการลดอุณหภูม...
07/12/2024

แผ่นเจลลดไข้/แผ่นแปะลดไข้:
#วิทยาศาสตร์ในแผ่นบางๆที่ไม่ใช่แค่เย็นอย่างเดียว
แผ่นเจลลดไข้เป็นตัวช่วยยอดนิยมในการลดอุณหภูมิร่างกาย
แต่คุณเคยสงสัยไหมว่าแผ่นเจลนี้ทำงานอย่างไร?

#วิทยาศาสตร์ในแผ่นบางๆที่ไม่ใช่แค่เย็นอย่างเดียว

แผ่นเจลลดไข้เป็นตัวช่วยยอดนิยมในการลดอุณหภูมิร่างกาย
ถูกคิดค้นโดย KOBAYASHI Ichiro ผู้ก่อตั้งบริษัท KOBAYASHI Pharmaceutical ที่เริ่มต้นจากร้านขายยาเล็กๆ ก่อนพัฒนาสู่การเป็นผู้นำด้านสุขภาพระดับโลก ด้วยการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์และใช้งานง่าย!

แต่คุณเคยสงสัยไหมว่าแผ่นเจลนี้ทำงานอย่างไร?

#แผ่นเจลลดไข้ทำจากอะไร?
ส่วนประกอบหลักคือ น้ำ และ โพลิเมอร์ไฮโดรฟิลิก ที่ช่วยกักเก็บน้ำและดูดซับความร้อนจากผิวหนัง บางสูตรอาจเพิ่มเมนทอลเพื่อเสริมความเย็นและให้กลิ่นสดชื่น​

ตัวอย่างส่วนประกอบ:
น้ำ: 76%
เมนทอล: 0.2%
โพลีแอคริเลต: ช่วยให้เนื้อเจลคงตัว
กลีเซอริน: เพิ่มความชุ่มชื้น

#หลักการทำงานของแผ่นแปะลดไข้:

- #ดูดซับความร้อน: น้ำในเจลดูดความร้อนจากผิว ทำให้รู้สึกเย็น
- #ระเหยน้ำ: ความร้อนทำให้น้ำในเจลระเหยออก เกิดการลดอุณหภูมิแบบต่อเนื่อง

#ควรแปะตรงไหน?
ตำแหน่งที่เหมาะที่สุด: จากงานวิจัยPak Armed Forces Medical Journal, 2021 ศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของแผ่นเจลลดไข้ระบุว่ามีการแปะแผ่นเจลในตำแหน่งต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับอาการที่ต้องการรักษา ดังนี้:

#หน้าผาก (Forehead): #ใช้เพื่อลดอาการไข้และอาการปวดศีรษะ
เป็นตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับการลดไข้เนื่องจากอยู่ใกล้หลอดเลือดขนาดใหญ่ที่ผิวหนัง​

#หลังคอ (Back of Neck): #ใช้ในกรณีที่มีอาการเหนื่อยล้าจากความร้อน (Heat Exhaustion) ช่วยกระจายความเย็นให้บริเวณส่วนบนของร่างกายและระบบไหลเวียนโลหิต​

#ต้นขา (Thigh): #ใช้เพื่อลดอาการตะคริวหรือปวดกล้ามเนื้อ (Muscle Cramps) อย่างไรก็ตาม พบว่าผลลัพธ์ในตำแหน่งนี้ยังไม่ชัดเจนเมื่อเทียบกับวิธีอื่น เช่น #การประคบเย็นด้วยน้ำหรือสเปรย์น้ำเย็น

บริเวณทั่วไป: ตำแหน่งที่ใช้ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของผู้ผลิต แต่การศึกษาระบุว่า #การแปะในบริเวณที่มีหลอดเลือดใหญ่ เช่น #รักแร้หรือขาหนีบ อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลดอุณหภูมิ​

ผลการทดลอง: ประสิทธิภาพในการลดไข้
แม้จะช่วยให้รู้สึกเย็น แต่เจลแปะลดไข้ไม่ได้ผลดีนักเมื่อเทียบกับการใช้ผ้าชุบน้ำหรือสเปรย์น้ำเย็น:
- สำหรับไข้สูง พบว่า 75% ของผู้ป่วยที่ใช้แผ่นเจลลดไข้ที่หน้าผาก ไม่มีการลดอุณหภูมิที่ชัดเจนภายใน 8 ชั่วโมง ในขณะที่การเช็ดตัวด้วยน้ำเย็นมีประสิทธิภาพถึง 100%
- ในกรณีของการเหนื่อยล้าจากความร้อน ผู้ที่ใช้แผ่นเจลบนหลังคอมีผลลัพธ์ต่ำกว่าการใช้สเปรย์น้ำหรือการเช็ดตัว​

ข้อแนะนำเพิ่มเติม
การแปะแผ่นเจลในบริเวณที่มีหลอดเลือดใหญ่ เช่น รักแร้หรือขาหนีบ สามารถช่วยลดไข้ได้ดีในกรณีฉุกเฉิน

อย่างไรก็ตาม หากไข้สูงหรืออุณหภูมิไม่ลดลงในระยะเวลาสั้น ควรเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่นที่มีประสิทธิภาพกว่า เพราะการศึกษาชี้ว่า #การใช้แผ่นเจลลดไข้เหมาะกับการบรรเทาอาการเล็กน้อย #แต่ไม่ควรใช้แทนวิธีการรักษาหลัก เช่น #เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นหรือการให้ยาลดไข้

อย่าลืม! ถ้าไข้สูงเกิน 40°C รีบพบแพทย์ด่วน เพราะการแปะแค่เจลอาจไม่ช่วย

ข้อควรระวัง
ระวังอาการแพ้ เช่น คัน หรือผื่นแดง (พบได้ 50%) หรือบางรายอาจแพ้บางกลิ่นที่ใส่ในเจลแปะลดไข้ในบางยี่ห้อ

ข้อมูลอ้างอิง
BeKoool FAQs, Kobayashi Americas
Cooling Gel Patch Efficacy, Pak Armed Forces Medical Journal, 2021

 #แล้วท่านคิดว่าศูนย์จุดห้าต่างจริงไหมในความรู้สึก ???
06/12/2024

#แล้วท่านคิดว่าศูนย์จุดห้าต่างจริงไหมในความรู้สึก ???

มาลองใส่แว่นตาของเภสัชกร นักออกแบบ และนักการตลาดว่า

มองอย่างไรระหว่างถุงยาง 52 กับ 52.5 มม.
ต่างกันแค่ 0.5 มม. แต่มีผลต่อความรู้สึกจริงไหม? อย่างไร?

1. #มุมมองของเภสัชกร
- ด้านความพอดี: ความแตกต่างของ 0.5 มม. อาจดูเล็กน้อย แต่สำหรับบางคนอาจมีผลต่อความกระชับและความสบายเมื่อใช้งาน โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในช่วงรอบวงระหว่างสองขนาด เช่น 52.2 มม.
- ประสิทธิภาพ: ถุงยางที่กระชับเกินไปหรือหลวมเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการแตกหรือหลุด ซึ่งส่งผลต่อการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์
- #ด้านกายวิภาค: การเปลี่ยนแปลง 0.5 มม. #อาจไม่ได้ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญในเชิงกายภาพ
- จิตวิทยา: ความมั่นใจในขนาดที่พอดีมีผลต่อความสบายใจและประสบการณ์ของผู้ใช้ การรู้สึกถึงความกระชับที่เหมาะสมช่วยลดความกังวลระหว่างการใช้งาน

2. #มุมมองของนวัตกรและนักออกแบบผลิตภัณฑ์
- การสำรวจทางสถิติพบว่า ชายไทยส่วนใหญ่มีเส้นรอบวงเฉลี่ยประมาณ 12-13 ซม. ซึ่งตรงกับถุงยางขนาด 52-53 มม.
- การออกแบบ: ขนาด 52.5 มม. เป็นความพยายามในการตอบสนองต่อกลุ่มผู้ใช้ที่อาจไม่พอดีกับขนาด 52 หรือ 53 มม. โดยเฉพาะคนที่ต้องการความสบายที่มากกว่าเล็กน้อย

#ขนาดถุงยาง คำนวณจากถกเส้นรอบวงของอวัยวะเพศชายที่ส่วนที่หนาที่สุดเมื่อแข็งตัวเต็มที่ แล้วหารค่าด้วย 2.3 เพื่อประมาณขนาดที่เหมาะสม

- วัสดุและความยืดหยุ่น: #วัสดุที่ใช้ เช่น น้ำยางธรรมชาติ หรือโพลียูรีเทน #มีความยืดหยุ่นที่สามารถรองรับความแตกต่างในช่วงมิลลิเมตร แต่การเพิ่มขนาดเล็กน้อยช่วยสร้างความหลากหลายให้กับตลาด

3. #มุมมองของนักการตลาด
-การสร้างความแตกต่างทางผลิตภัณฑ์ แม้ขนาดต่างกันเพียง 0.5 มม. แต่สามารถนำเสนอเป็นทางเลือกเฉพาะกลุ่มสำหรับผู้ที่ต้องการความพอดีแบบ "พอดีจริง ๆ" ซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าทางจิตใจให้ผู้บริโภค
- การตลาดสามารถชูจุดขายว่า #ความแตกต่างเล็กน้อยที่สร้างความสบายมากขึ้น เพื่อดึงดูดผู้ใช้ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์การใช้งาน
- การตอบสนองความต้องการของตลาดเฉพาะ (Niche Market) ขนาด 52 มม. เป็นมาตรฐานสำหรับชายไทยส่วนใหญ่ แต่ 52.5 มม. สามารถเจาะกลุ่มผู้ใช้ที่มีขนาดเฉลี่ยระหว่างสองไซส์ เช่น ผู้ที่ใช้ 53 มม. แล้วหลวม หรือ 52 มม. แล้วรู้สึกคับเกินไป
- นักการตลาดอาจใช้คำอธิบายเชิงอารมณ์ เช่น #สัมผัสที่ใช่สำหรับคุณ" เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภครู้สึกว่าผลิตภัณฑ์นี้ถูกออกแบบมาสำหรับพวกเขาโดยเฉพาะ
- การสร้างแบรนด์และความน่าเชื่อถือ การเพิ่มขนาดเฉพาะ เช่น 52.5 มม. แสดงถึงการใส่ใจในรายละเอียดของแบรนด์ ช่วยสร้างความประทับใจในฐานะ "ผู้เชี่ยวชาญ" ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพเพศ
- กลยุทธ์การสื่อสาร ใช้แคมเปญเชิงให้ความรู้ เช่น #รู้ไหมว่า 0.5 มม. #เปลี่ยนความรู้สึกได้อย่างไร? เพื่อกระตุ้นความสนใจ และสร้างบทสนทนาในโซเชียลมีเดีย
- การให้คำแนะนำเรื่องการเลือกขนาดอย่างถูกต้องผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีและเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ
- สถิติและการสำรวจผู้บริโภค
- จากสถิติ ชายไทยส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 49-52 มม. แต่การเพิ่ม 52.5 มม. อาจช่วยตอบโจทย์กลุ่มที่รู้สึกว่าขนาดเดิมไม่พอดี โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ "เฉพาะตัว"
- การศึกษาข้อมูลและความพึงพอใจในตลาดที่มีขนาดไล่เลียงกัน เช่น 52, 52.5 และ 53 มม. สามารถช่วยวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ได้อย่างเหมาะสม

สรุป
#การเลือกขนาดที่เหมาะสมจึงอาจไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข แต่คือเรื่องของ ประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ความพอดีในแบบของคุณ
#แล้วท่านคิดว่าศูนย์จุดห้าต่างจริงไหมในความรู้สึก ???

แนวทางการใช้ยาคุมกำเนิดและการควบคุมไมเกรน
04/12/2024

แนวทางการใช้ยาคุมกำเนิดและการควบคุมไมเกรน

การใช้ยาเคตามีนในระยะยาวมีความเชื่อมโยงกับปัญหาทางเดินอาหาร เช่น อาการปวดท้องและการอักเสบ โดยเฉพาะบริเวณท้องส่วนบน อาการ...
03/12/2024

การใช้ยาเคตามีนในระยะยาวมีความเชื่อมโยงกับปัญหาทางเดินอาหาร เช่น อาการปวดท้องและการอักเสบ โดยเฉพาะบริเวณท้องส่วนบน อาการนี้มักเรียกกันว่า “K cramps” ซึ่งแสดงออกมาในรูปแบบอาการปวดบีบๆ หรือบางครั้งอาจเป็นความรู้สึกคลุมเครือเกี่ยวกับการเจ็บปวด อาการดังกล่าวอาจเกิดจากผลกระทบของเคตามีนต่อระบบตับ ท่อน้ำดี หรือเนื้อเยื่อในกระเพาะอาหาร

อาการมักรุนแรงขึ้นตามปริมาณและระยะเวลาการใช้ยาในแต่ละวัน อย่างไรก็ตาม การหยุดใช้ยาเคตามีนสามารถช่วยบรรเทาอาการได้อย่างรวดเร็วในหลายกรณี โดยผู้ป่วยบางรายมีอาการดีขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงหลังหยุดใช้ยา

#ข้อแนะนำสำหรับผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์
1. หากพบอาการปวดท้องที่ไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน โดยเฉพาะในผู้ที่ใช้เคตามีนในระยะยาว
2. ควรตรวจสอบเพิ่มเติมถึงความเชื่อมโยงกับการใช้ยา
3. ควรให้คำแนะนำเรื่องการลดหรือหยุดใช้เคตามีน รวมถึงให้การดูแลในกรณีที่เกิดผลข้างเคียงทางสุขภาพ
4. สนับสนุนให้ผู้ป่วยเข้ารับการประเมินและรักษาอย่างเหมาะสมโดยผู้เชี่ยวชาญ

มี gimmick ให้เภสัช-นส-นศภ ที่ชอบตารางสรุป
หาอ่านเพิ่มได้ที่นี่
Philpott HL, Nandurkar S, Lubel J, et al. Drug-induced gastrointestinal disorders. Frontline Gastroenterology 2014;5:49-57.

Quick Starting Contraception:"การเริ่มต้นใช้ยาคุมกำเนิดทันทีหลังการใช้ยาคุมฉุกเฉินเป็นทางเลือกที่มีประโยชน์หลายประการ ทั...
30/11/2024

Quick Starting Contraception:
"การเริ่มต้นใช้ยาคุมกำเนิดทันทีหลังการใช้ยาคุมฉุกเฉินเป็นทางเลือกที่มีประโยชน์หลายประการ ทั้งในแง่การลดความเสี่ยงการตั้งครรภ์อย่างมีประสิทธิภาพ และการป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้ทันที โดยไม่ต้องรอรอบเดือน

งานวิจัยจาก Cheng L. และคณะ (2008) ชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ต่อในรอบประจำเดือนเดียวกันหลังใช้ยาคุมฉุกเฉิน มีความเสี่ยงตั้งครรภ์สูงขึ้น 2-3 เท่า ซึ่งการแนะนำให้เริ่มยาคุมกำเนิดแบบทันทีจึงช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ การติดตามผลยังพบว่าผู้ป่วยที่เริ่มต้นใช้ยาคุมกำเนิดทันทีมักกลับมารับบริการในร้านยาภายใน 1 เดือนมากถึง 71.8% ในปี 2010 และ 75% ในปี 2011 (Simpson, J., et al., 2014) ซึ่งสะท้อนถึงความไว้วางใจและความพึงพอใจในคำแนะนำที่ได้รับ. เภสัชกรจึงควรสื่อสารกับลูกค้าอย่างชัดเจนและเป็นมิตร เช่น:

•คำแนะนำ: รับประทานยาคุมกำเนิดหลังอาหารเย็น เพื่อป้องกันการลืมรับประทานยา หากลืมให้รีบรับประทานทันที และใช้ถุงยางอนามัยเพิ่มเติมในช่วง 7 วันแรก
•ติดตามผล: หากสงสัยว่าตั้งครรภ์ ให้ตรวจซ้ำใน 3 สัปดาห์ และในระหว่างนี้หากมีคำถามเพิ่มเติม สามารถสอบถามผ่านไลน์หรือมาปรึกษาเภสัชกรที่ร้านได้

Quick Starting Contraception:"การเริ่มต้นใช้ยาคุมกำเนิดทันทีหลังการใช้ยาคุมฉุกเฉินเป็นทางเลือกที่มีประโยชน์หลายประการ ทั...
30/11/2024

Quick Starting Contraception:
"การเริ่มต้นใช้ยาคุมกำเนิดทันทีหลังการใช้ยาคุมฉุกเฉินเป็นทางเลือกที่มีประโยชน์หลายประการ ทั้งในแง่การลดความเสี่ยงการตั้งครรภ์อย่างมีประสิทธิภาพ และการป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้ทันที โดยไม่ต้องรอรอบเดือน

งานวิจัยจาก Cheng L. และคณะ (2008) ชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ต่อในรอบประจำเดือนเดียวกันหลังใช้ยาคุมฉุกเฉิน มีความเสี่ยงตั้งครรภ์สูงขึ้น 2-3 เท่า ซึ่งการแนะนำให้เริ่มยาคุมกำเนิดแบบทันทีจึงช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ การติดตามผลยังพบว่าผู้ป่วยที่เริ่มต้นใช้ยาคุมกำเนิดทันทีมักกลับมารับบริการในร้านยาภายใน 1 เดือนมากถึง 71.8% ในปี 2010 และ 75% ในปี 2011 (Simpson, J., et al., 2014) ซึ่งสะท้อนถึงความไว้วางใจและความพึงพอใจในคำแนะนำที่ได้รับ. เภสัชกรจึงควรสื่อสารกับลูกค้าอย่างชัดเจนและเป็นมิตร เช่น:

•คำแนะนำ: รับประทานยาคุมกำเนิดหลังอาหารเย็น เพื่อป้องกันการลืมรับประทานยา หากลืมให้รีบรับประทานทันที และใช้ถุงยางอนามัยเพิ่มเติมในช่วง 7 วันแรก
•ติดตามผล: หากสงสัยว่าตั้งครรภ์ ให้ตรวจซ้ำใน 3 สัปดาห์ และในระหว่างนี้หากมีคำถามเพิ่มเติม สามารถสอบถามผ่านไลน์หรือมาปรึกษาเภสัชกรที่ร้านได้

ลูกค้าร้านยาขอรับปฏิธินฟรีได้เลย 🥳
27/11/2024

ลูกค้าร้านยาขอรับปฏิธินฟรีได้เลย 🥳

12 เดือนจุกๆ

Why us?     ร้านยาอยู่ยอด อยู่รอด มั่งคั่ง ยั่งยืน“ คนหน้างาน รู้ปัญหาหน้างานจริง แก้ปัญหาถูกจุด ฉับพลันในการแก้ปัญหา“——...
24/11/2024

Why us?

ร้านยาอยู่ยอด อยู่รอด มั่งคั่ง ยั่งยืน

“ คนหน้างาน รู้ปัญหาหน้างานจริง
แก้ปัญหาถูกจุด ฉับพลันในการแก้ปัญหา“

—————————
ย้อนฟังการดีเบตแสดงวิสัยทัศน์

https://www.facebook.com/share/v/14pvcpwcTB/?mibextid=WC7FNe

ฝากเพจ unity

https://www.facebook.com/share/14FYBg24ik/?mibextid=WC7FNe

นโยบายวิสัยทัศน์ของทีม unity

Short-term goal for the first 6 months
ท.ท.ท. (ทำทันที)

>พัฒนาร้านยาเป็น Pharmacy Health Hub โดยร่วมกับองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ใน Community Pharmacy Ecosystem

> อบรมการตลาดและการบริหารธุรกิจเพื่อพัฒนาศักยภาพการแข่งขัน บ่มเพาะเภสัชชุมชนร้านยาเดี่ยว ให้มีศักยภาพบริหารธุรกิจให้อยู่รอดอย่างยั่งยืน

> จัดอบรมภาษีและการเงิน มีการประยุกต์นวัตกรรมทางบัญชี มาใช้ในร้านยา

> ให้รู้เท่าทันความรู้ทาง Innovation และ Digital Marketing

> เสริมสร้างทักษะการสื่อสารภาษาต่างประเทศ เช่น อังกฤษ , จีน เป็นต้น ในการให้บริการ และการนำเสนอผลงานวิชาการระดับนานาชาติ

> จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายให้กับ
เภสัชกรร้านยาสมาชิก ในกรณีที่มีปัญหาข้อพิพาทด้านกฎหมาย

Intermediate-term goal / long-term goal

> ผลักดันให้เกิดระบบค่าตอบแทนการบริการทางเภสัชกรรม พัฒนาแนวทางการจัดการภาระงาน (Workload) ของเภสัชกรร้านยาด้วยนวัตกรรม AI

> จัดเวทีและเปิดโอกาสให้ส่งผลงานวิจัยที่มาจากการปฏิบัติงานจริง

Atenolol เป็นยากลุ่ม beta-adrenergic blocking agents (Beta-blockers) ที่ออกฤทธิ์เลือกจับเฉพาะ beta-1 adrenergic receptor...
21/11/2024

Atenolol เป็นยากลุ่ม beta-adrenergic blocking agents (Beta-blockers) ที่ออกฤทธิ์เลือกจับเฉพาะ beta-1 adrenergic receptors (cardioselective) ส่งผลลดอัตราการเต้นของหัวใจและลดความดันโลหิต โครงสร้างทางเคมีของ Atenolol มีบทบาทสำคัญต่อฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ดังนี้:

1. หมู่เอไมด์ (Amide group)
- ตรงตำแหน่งที่ 1 ในโครงสร้าง
- หน้าที่: ช่วยเพิ่มความชอบน้ำ (hydrophilicity) ทำให้ Atenolol มีการละลายในน้ำที่ดีขึ้นและส่งผลต่อการกระจายตัวในร่างกาย
- มีบทบาทสำคัญต่อการจับกับ Beta-adrenergic receptors ผ่านพันธะไฮโดรเจน

2. หมู่เอเทอร์ (Ether group)
- ตรงตำแหน่งที่ 2
- หน้าที่: เป็นสะพานเชื่อมระหว่างหมู่ฟังก์ชันที่สำคัญ (aryl group และ hydroxypropyl group) ช่วยในการปรับความยืดหยุ่นของโมเลกุลเพื่อให้จับกับตัวรับได้อย่างเหมาะสม

3. หมู่แอลกอฮอล์ (Alcohol group)
- ตรงตำแหน่งที่ 3
- หน้าที่: ช่วยสร้างพันธะไฮโดรเจนกับตัวรับ Beta-adrenergic ทำให้เกิดการจับที่แน่นหนาและเพิ่มความจำเพาะต่อ Beta-1 receptor

4. หมู่เอมีนรอง (Secondary amine group)
- ตรงตำแหน่งที่ 4
- หน้าที่:มีบทบาทสำคัญในการจับกับตัวรับ adrenergic ผ่านพันธะไอออนิก (ionic bond) กับส่วนที่เป็น negatively charged บนตัวรับ Beta-adrenergic

ความสัมพันธ์โครงสร้าง-การออกฤทธิ์ (SAR) โดยสังเขป:
- Cardioselectivity:
Atenolol มีลักษณะ polar มากกว่ายา Beta-blockers อื่นที่มีลักษณะ lipophilic เช่น Propranolol ดังนั้น Atenolol จึงเลือกจับ Beta-1 receptor บนหัวใจได้มากกว่า Beta-2 receptor บนกล้ามเนื้อเรียบ (เช่น หลอดลม)
- Hydrophilicity:
Atenolol มีหมู่ฟังก์ชันที่ชอบน้ำ เช่น Amide และ Alcohol ส่งผลให้ตัวยาไม่ผ่านเข้าสมอง (Blood-brain barrier) ได้ดี ลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงในระบบประสาทส่วนกลาง (เช่น นอนไม่หลับ)

**สรุป:**
โครงสร้างของ Atenolol ถูกออกแบบมาให้เลือกจับ Beta-1 receptor ได้อย่างจำเพาะเจาะจง ลดผลข้างเคียงในระบบประสาท และเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโรคหัวใจ

ตัวอย่างที่ 2การวิเคราะห์ SAR (Structure-Activity Relationship) ของ Chlorpromazine: โครงสร้าง, PKa, การดูดซึม, และการนำไ...
21/11/2024

ตัวอย่างที่ 2
การวิเคราะห์ SAR (Structure-Activity Relationship) ของ Chlorpromazine: โครงสร้าง, PKa, การดูดซึม, และการนำไปใช้ในทางคลินิก

Chlorpromazine เป็นยากลุ่ม Phenothiazine derivatives ที่ใช้ในการรักษาอาการทางจิตเวช เช่น โรคจิตเภท (schizophrenia) โดยโครงสร้างและสมบัติทางเคมีของมัน (เช่น Phenothiazine nucleus, ค่า pKa, และความสามารถในการดูดซึมในระบบทางเดินอาหาร) มีผลโดยตรงต่อฤทธิ์ทางชีวภาพและการเลือกใช้ยาในทางคลินิก ดังนี้:

1. โครงสร้างของ Chlorpromazine
โครงสร้างของ Chlorpromazine ประกอบด้วย:
- Phenothiazine Nucleus:
โครงสร้างแบบ tricyclic ring system มีอะตอมของ Sulfur (S) และ Nitrogen ซึ่งช่วยในการจับกับตัวรับ (receptor) เช่น dopamine D2 receptor
- Chlorine (Cl):
ติดอยู่ในตำแหน่ง para ของวงแหวน aromatic ช่วยเพิ่มความสามารถในการละลายในไขมัน (lipophilicity) และปรับปรุงการจับกับตัวรับ
- Side Chain ที่มีกลุ่ม Amine:
ปลายสายโซ่ของ Chlorpromazine มีกลุ่ม tertiary amine ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นเบสอ่อน ช่วยในการจับกับ receptor และส่งผลต่อค่า pKa ของยา

2. ค่า pKa ของ Chlorpromazine
Chlorpromazine มีค่า pKa = 9.2 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า:
- เป็นสาร เบสอ่อน (weak base)
- ในสภาพแวดล้อมที่ pH ต่ำ (เช่น กระเพาะอาหาร) จะอยู่ในรูปแบบ protonated (ionized) เป็นส่วนใหญ่
- ในสภาพ pH ใกล้กับค่า pKa (เช่น ลำไส้เล็ก) จะอยู่ในรูปแบบ unionized ได้มากขึ้น ซึ่งเหมาะสมสำหรับการดูดซึม

3. การดูดซึมในระบบทางเดินอาหาร
การดูดซึมของ Chlorpromazine ขึ้นกับโครงสร้างและค่า pKa ของยา:
- ในกระเพาะอาหาร (pH ≈ 2):
- ที่ pH ต่ำ ยาจะถูก protonated และอยู่ในรูปแบบ ionized form เป็นส่วนใหญ่
- รูปแบบนี้ไม่สามารถซึมผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ที่เป็นไขมันได้ดี ส่งผลให้การดูดซึมในกระเพาะต่ำ
- **ในลำไส้เล็ก (pH ≈ 7.2):**
- pH ในลำไส้เล็กใกล้เคียงกับค่า pKa ของยา ทำให้ยามีสัดส่วนอยู่ในรูป unionized form มากขึ้น
- รูปแบบ unionized สามารถซึมผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้ดี การดูดซึมในลำไส้เล็กจึงสูงกว่าในกระเพาะอาหาร

**สรุป:**
Chlorpromazine ถูกดูดซึมได้ดีที่สุดใน **ลำไส้เล็ก** เนื่องจาก pH เหมาะสมสำหรับการเกิด unionization ของยา

4. ผลของโครงสร้างใน SAR
Phenothiazine Nucleus
- โครงสร้าง planar ช่วยเสริมการจับกับ dopamine D2 receptor ผ่านแรงยึดเหนี่ยว เช่น π-π stacking และ hydrophobic interaction
- อะตอม N ในวงแหวนกลางช่วยสร้าง hydrogen bonds กับ receptor

Sulfur (S)
- เพิ่ม polarizability และ flexibility ของโครงสร้าง ทำให้โมเลกุลปรับตัวเพื่อจับ receptor ได้ดีขึ้น
- ช่วยกระจายอิเล็กตรอนในวงแหวน (electron delocalization) เพิ่มแรงยึดเหนี่ยวกับ receptor

Chlorine (Cl)
- เพิ่ม lipophilicity ของโมเลกุล ทำให้ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ไขมันได้ง่ายขึ้น
- ปรับปรุงแรง hydrophobic interaction กับ receptor

Side Chain กับ Amine Group
- กลุ่ม **amine** ช่วยเสริมแรงจับกับ receptor ผ่านพันธะ ionic และ hydrogen bonding
- คุณสมบัติเป็นเบสอ่อน (weak base) ช่วยเพิ่มการ protonation ในสภาพกรด

5. การนำไปใช้ในทางคลินิก
#การออกฤทธิ์ของ Chlorpromazine
- Chlorpromazine ออกฤทธิ์เป็น **dopamine D2 receptor antagonist** ช่วยลดผลของ dopamine ในสมอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับอาการประสาทหลอนและความคิดผิดปกติ
- ฤทธิ์ต้านจิตเภท (antipsychotic) เกิดจากการยับยั้ง dopamine receptors ในระบบ mesolimbic pathway

#การพิจารณาการเลือกใช้ยา
- pKa และการดูดซึม:
การดูดซึมที่เหมาะสมในลำไส้เล็กแสดงว่าควรรับประทาน Chlorpromazine หลังอาหารหรือพร้อมอาหาร เพื่อให้ยาผ่านกระเพาะสู่ลำไส้เล็กอย่างรวดเร็ว
- การปรับขนาดยา:
เนื่องจาก Chlorpromazine มี lipophilicity สูง ทำให้กระจายตัวไปยังเนื้อเยื่อไขมันได้ดี การปรับขนาดยาอาจจำเป็นในผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันสูงหรือผู้ป่วยสูงอายุ
- ผลข้างเคียง:
การจับกับ receptor อื่น (เช่น histamine H1 หรือ muscarinic receptors) อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น sedation หรือ dry mouth ควรพิจารณาผู้ป่วยแต่ละราย

---

**สรุป**
- Phenothiazine nucleus ทำหน้าที่เป็นแกนสำคัญที่ช่วยเสริมฤทธิ์จับกับ dopamine receptor
- อะตอม Cl, S, และ N ในโครงสร้างมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความจำเพาะเจาะจงและประสิทธิภาพของยา
- ค่า pKa และสมบัติการละลายในไขมันช่วยกำหนดตำแหน่งและวิธีการดูดซึมของยาในระบบทางเดินอาหาร
- การเลือกใช้ Chlorpromazine ควรคำนึงถึงปัจจัยด้านการดูดซึม, การปรับขนาดยา, และการจัดการผลข้างเคียงเพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดในการรักษา.

การให้บริบาลเภสัชกรรมไม่ใช่การวินิจฉัยโรค
10/11/2024

การให้บริบาลเภสัชกรรมไม่ใช่การวินิจฉัยโรค

หนังสือแสดงจุดยืนของกลุ่มเภสัชกรชุมชน UNITY

เรียน แพทยสภา พี่น้องประชาชน เเละ หน่วยงาน/ผู้เกี่ยวข้อง

เรื่อง หนังสือแสดงจุดยืนของกลุ่มเภสัชกรชุมชน UNITY

กลุ่มเภสัชกรชุมชน UNITY ขอยืนยันจุดยืนสนับสนุนการให้บริบาลเภสัชกรรมในร้านยาตามกฎหมาย ซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่างผู้ป่วยและเภสัชกรในการใช้ยาที่ถูกต้อง เหมาะสม และปลอดภัย เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้ยาและการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้:

1. บริบาลเภสัชกรรมเพื่อการใช้ยาที่ถูกต้องและปลอดภัย
- เภสัชกรชุมชนมีบทบาทสำคัญในการให้คำปรึกษาและคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ยาที่เหมาะสมต่อสภาวะสุขภาพของผู้ป่วย ทั้งชนิดยา ปริมาณ และระยะเวลาการใช้ยา ซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ และช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านยาโดยคำนึงถึงความคุ้มค่าเชิงต้นทุน (cost-effectiveness) ในการใช้ยาอย่างรอบด้าน

2. การติดตามผลการใช้ยา (Drug Therapy Monitoring)
- เภสัชกรชุมชนมีบทบาทสำคัญในการติดตามและเฝ้าระวังผลจากการใช้ยา เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ยาน้อยที่สุด โดยมีการลงบันทึกประวัติการใช้ยาและการแพ้ยาอย่างครบถ้วน ซึ่งเป็นฐานข้อมูลสำคัญในการรักษาในอนาคต ช่วยป้องกันปัญหาจากการใช้ยา และยกระดับคุณภาพการรักษา

3. การคัดกรองปัญหาที่เกี่ยวข้องกับยา (Drug Related Problem Screening)
- เภสัชกรชุมชนมีบทบาทในการคัดกรองปัญหาที่อาจเกิดจากการใช้ยา (Drug Related Problems) และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการประสานรายการยาในผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรัง (Medication Reconciliation)
- เภสัชกรชุมชนมีส่วนเพิ่มความรอบรู้ด้านยาให้แก่ประชาชนผู้รับบริการในร้านยา ซึ่งช่วยส่งเสริมให้ผู้ป่วยใช้ยาได้อย่างถูกต้อง เพิ่มความร่วมมือในการใช้ยา (Medication Adherence) และตระหนักถึงความสำคัญของการพบแพทย์ในกรณีฉุกเฉิน พร้อมทั้งเสริมสร้างความรู้ด้านสุขภาพพื้นฐานแก่ประชาชน

4. บทบาทและความหมายของบริบาลเภสัชกรรมตามนิยามของราชบัณฑิตยสภา
- ตามนิยามของราชบัณฑิตยสภา “บริบาลเภสัชกรรม” หมายถึง สาขาย่อยของเภสัชศาสตร์ที่มีวัตถุประสงค์ให้ผู้ป่วยใช้ยาได้อย่างถูกต้อง ปริมาณเหมาะสม และหยุดยาตามความจำเป็น รวมถึงการติดตามและประเมินผลการใช้ยาเพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงและผลข้างเคียง ทั้งนี้ #การบริบาลเภสัชกรรมไม่ใช่การวินิจฉัยโรค แต่เป็นการให้บริการที่เภสัชกรชั้นที่ 1 มอบให้ผู้ป่วยตามกฎหมายว่าด้วยประกอบโรคศิลปะแผนปัจจุบัน ภายใต้พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 4, 39 และพระราชบัญญัติวิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ. 2558 (ฉบับ 2) มาตรา 3 เพื่อให้การใช้ยาในประชาชนเป็นไปด้วยความปลอดภัยสูงสุด

กลุ่มเภสัชกร UNITY เห็นว่า การให้บริบาลเภสัชกรรมที่ครบถ้วนและได้มาตรฐานเช่นนี้เป็นที่ต้องการของประชาชน และมีความสำคัญต่อการสร้างการใช้ยาอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยในทุกระดับ และยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชาชนในระยะยาว

ขอแสดงความนับถือ
กลุ่มเภสัชกรชุมชน UNITY

ภก.สมพงษ์ อภิรมย์รักษ์
รศ.ภก.วิวัฒน์ ถาวรวัฒนยงค์
ภก.ธีระพงค์ เทพทวี
ภญ.เนตรนภา เลิศมาลัยมาลย์
ภญ.ศิวพร ปีเจริญทรัพย์
ผศ.ภก.ประ​สิทธิชัย​ พู​ลผล​
รศ.ดร.มยุรี ตั้งเกียรติกำจาย
ภก.ชานนท์ ดวงแข
ภญ.ภาชินี เสาร์แก้ว
อ.ภก.กฤษฎาดนุเดช วงศ์เวชวิวัฒน์
ภก.วัชรินทร์ แท่งทอง
ภก.วรรณรัชฎ์ นันทิประภา
ภก.ภูเบศ โคตรสีเขียว
ภก. ปรเมศวร์​ พินิจ​จันทร์​
ผศ.ภก.ปรุฬห์ รุจนธำรงค์

#เภสัชกร #การประกอบวิชาชีพ

ที่อยู่

1251 ถ. ลาดพร้าว ซ. ลาดพร้าว 35 จันทรเกษม จตุจักร
Bangkok
10900

เวลาทำการ

จันทร์ 12:00 - 23:00
อังคาร 12:00 - 00:00
พุธ 12:00 - 00:00
พฤหัสบดี 12:00 - 00:00
ศุกร์ 12:00 - 00:00
เสาร์ 12:00 - 23:00
อาทิตย์ 10:00 - 00:00

เบอร์โทรศัพท์

+6620383738

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Safedose by PharmaClickผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Safedose by PharmaClick:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

Our Story

PharmaClick Co., Ltd. 1251-1253 Ladprao Rd. Khet Chan Kasem Chatuchak BKK Thailand 10900. There are 3 compartments :- - safedose by PharmaClick - iSmith Co.,Ltd. - House Network Foundation and Church