มิรันตี นวดเพื่อสุขภาพ

มิรันตี นวดเพื่อสุขภาพ ติดต่อสอบถามหรือสมัครงาน ได้ที่ 083-078-2941

18/02/2024

"ยาหลอก" (Placebo)

ขึ้นชื่อว่ายา เมื่อรับประทานไปแล้วย่อมเกิดการรักษา แต่สำหรับยาบางชนิดกลับถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการรักษาโดยไร้ซึ่งสารออกฤทธิ์ทางการแพทย์

กลุ่มของยาประเภทนี้ เรียกว่า "ยาหลอก" (Placebo) ถูกทำให้มีลักษณะ สี และขนาดต่าง ๆ ให้ดูคล้ายกับยาทั่วไป แต่กลับไม่มีส่วนประกอบของสารออกฤทธิ์ที่มีผลต่อการรักษา

โดยมีส่วนประกอบหลักที่ทำมาจาก แป้งหรือน้ำตาล ตลอดจนการใช้สารน้ำเกลือในการฉีดเข้าร่างกาย การรักษาแบบฝังเข็มและการผ่าตัดที่ไม่ได้ทำการผ่าตัดจริง หรือการไปพบแพทย์

สิ่งเหล่านี้เป็นวิธีการศึกษาและทดลองของสถานพยาบาลโดยควบคุมด้วยยาหลอก (Placebo-controlled study) โดยวัดผลจากการเปลี่ยนแปลงที่สามารถวัดหรือสังเกตได้หลังจากผู้รับ

การรักษาทดลองรับประทานยา เรียกว่า ปรากฏการณ์ยาหลอก (Placebo effect) จากผลการศึกษาทำให้ทราบว่ายาหลอกมีผลได้ทั้งเชิงบวกและเชิงลบโดยในเชิงบวกนั้นยาหลอกอาจทำให้ผู้เข้ารับการรักษาที่มีภาวะต่างๆ เช่น โรคซึมเศร้า นอนไม่หลับ ความเครียดวิตกกังวล อาการปวด อาการไอ หรือความดันโลหิตที่ผิดปกติมีอาการตอบสนองในทางสุขภาพที่ดีขึ้น

เนื่องจากผลของยาหลอกอาจมีการเชื่อมโยงมาจากผลความคาดหวังจากการรักษาซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาและปฏิกิริยาทางระบบประสาทที่มีความซับซ้อน ตั้งแต่การเพิ่มขึ้นของสารสื่อประสาทบางชนิด เช่น Endorphins และ Dopamine ไปจนถึงสมองบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์แต่ในทางกลับกันนั้นผลในเชิงลบของยาหลอก (Nocebo effect)

อาจทำให้ร่างกายรู้สึกป่วยเมื่อคิดว่าจะป่วย เช่นเมื่อแพทย์ให้คำชี้แจงเกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อน หรือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรับประทานยา (ยาหลอก) อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกหรืออาการบางอย่างซึ่งมีผลต่อร่างกายในเชิงลบหลังจากได้รับการรักษาภายใต้การควบคุมด้วยยาหลอก

วิธีการรักษาโดยการใช้ยาหลอกนี้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการรักษาที่ยังคงต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของผู้ได้รับการรักษาแต่ละบุคคล และเหตุผลอีกประการหนึ่งที่ยังคงมีข้อโต้แย้ง นั่นคือด้านจริยธรรมในการรักษาแต่ข้อดีของยาหลอกคือ ไม่มีผลข้างเคียงของสารที่ออกฤทธิ์ที่ร้ายแรงและไม่สามารถพบปัญหาในการใช้ยาที่เกิดขนาด แต่ไม่ว่าจะเป็นการรักษา อาการทางร่างกายจากสภาวะใด สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันคือการรักษาสภาวะทางจิตใจ โดยไม่เครียดหรือวิตกกังวนจนเกินไปด้วยนั่นเอง

"โรคไขมันพอกตับ" ใกล้ตัวกว่าที่คิด"โรคไขมันพอกตับ" ถือเป็นโรคที่มีความสำคัญและใกล้ตัวมาก เพราะพบได้บ่อยและมีแนวโน้มจะพบม...
26/09/2023

"โรคไขมันพอกตับ" ใกล้ตัวกว่าที่คิด

"โรคไขมันพอกตับ" ถือเป็นโรคที่มีความสำคัญและใกล้ตัวมาก เพราะพบได้บ่อยและมีแนวโน้มจะพบมากขึ้นเรื่อยๆ ตามวิถีชีวิตปัจจุบันที่มีแนวโน้มจะออกกำลังลดลงและทานอาหารประเภทที่ก่อให้เกิดความอ้วนมากขึ้น โดยมีงานวิจัยประมาณการว่า ในปัจจุบันมีคนไทยเป็นโรคนี้มากกว่า 10 ล้านคน โดยในระยะแรก ผู้มีไขมันพอกตับมักไม่มีอาการ บางรายอาจมีอาการจุกแน่นชายโครงด้านขวา การตรวจเลือดอาจพบหรือไม่พบการอักเสบของตับก็ได้และเมื่อระยะเวลาผ่านไป การดำเนินโรคอาจรุนแรงขึ้น เกิดการอักเสบอย่างเรื้อรังของเซลล์ตับ ทำให้เซลล์ตับเสียหาย ตับทำงานได้น้อยลง เกิดพังผืดมาแทน จนเป็นโรคตับแข็ง ตับวายและมะเร็งตับตามมาได้

ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโรคไขมันพอกตับ คือ ความอ้วนหรือลงพุงและโรคทางเมตาบอลิกต่างๆ เช่น เบาหวานไขมันในเลือดผิดปกติและความดันโลหิตสูง ซึ่งภาวะเหล่านี้มักจะมีความผิดปกติของระบบเผาผลาญของร่างกายร่วมด้วยและจะทำให้พลังงานส่วนเกินของร่างกาย ไม่ว่าจะในรูปแบบของไขมัน แป้ง หรือน้ำตาล เปลี่ยนแปลงเป็นไขมันชนิดไตรกลีเซอไรด์ขนาดเล็ก มาสะสมของไขมันในเซลล์ตับได้ ซึ่งในผู้ป่วยบางรายก็จะเกิดตับอักเสบเรื้อรังตามมา การวินิจฉัยโรคไขมันพอกตับโดยทั่วไป สามารถทำได้โดยการตรวจอัลตราซาวนด์ตับ กรณีที่มีไขมันพอก จะพบว่าตับมีสีขาวมากขึ้นกว่าปกติ

นอกจากการตรวจอัลตราซาวนด์แล้ว เราอาจสามารถวัดปริมาณไขมันในตับได้โดยเครื่องไฟโบรสแกน หรือเครื่องเอกซเรย์แม่เหล็กไฟฟ้าได้อีกด้วย ซึ่งวิธีเหล่านี้สามารถทำได้อย่างปลอดภัย ไม่เจ็บปวดและจะบอกปริมาณของไขมันในตับได้ละเอียดขึ้นเป็นตัวเลขที่ชัดเจนและยังสามารถวัดความยืดหยุ่น หรือปริมาณพังพืดในตับได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่นการวัดค่า การตรวจวัดปริมาณพังพืดจากไฟโบรสแกนได้มากกว่า 8 kPa คือ เริ่มมีพังผืดในตับแล้ว หรือมากกว่า 12 kPa คือ อาจเริ่มมีตับแข็งแล้วเป็นต้น ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้องและติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบันยังไม่มียาในการรักษาโรคไขมันพอกตับให้หายขาด การรักษาที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยลดไขมันและลดการอักเสบในตับคือการลดน้ำหนัก โดยเฉพาะในผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน โดยแนะนำลดน้ำหนักลงอย่างน้อยร้อยละ 7-10 จากน้ำหนักเดิม หรือทำให้ดัชนีมวลกาย (BMI) ลดลงอยู่ในเกณฑ์ปกติน้อยกว่า 25 โดยการลดอาหาร ร่วมกับการออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างสม่ำเสมอ (อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์) โดยหลักการควบคุมอาหาร คือ ควรลดการทานอาหารมันและแป้งให้น้อยที่สุด หลีกเลี่ยงอาหารทอดหรือผัด (พยายามทำอาหารโดยการต้ม ลวกหรือนึ่ง) หลีกเลี่ยงการทานอาหารผลไม้และเครื่องดื่มรสหวาน เช่น น้ำอัดลม ชาหรือกาแฟเย็น (ที่เติมน้ำตาลหรือนม) หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และไม่ทานอาหารช่วงดึก โดยคนอายุน้อยอาจใช้วิธี Intermittent Fasting (IF) 16/8 เพื่อช่วยลดน้ำหนักในช่วงแรกก็ได้ ทั้งนี้การลดน้ำหนักนอกจากจะช่วยให้ตับดีขึ้นแล้ว ยังจะช่วยทำให้โรคทางเมตาบอลิกอื่นๆ ที่พบร่วมดีขึ้นด้วย เช่น การควบคุมระดับน้ำตาล ระดับไขมันและความดันโลหิต

ยาที่มีผลการวิจัยพบว่าสามารถลดการสะสมของไขมันและการอักเสบของตับ ได้แก่ วิตามินอี ซึ่งออกฤทธิ์ต่อต้านสารอนุมูลอิสระและยารักษาโรคเบาหวาน ได้แก่ ไพโอกลิทาโซน และ เซมากลูไทด์ อย่างไรก็ตามควรเลือกใช้ยารักษาโรคไขมันพอกตับ มีทั้งประโยชน์และโทษ ควรเลือกใช้เฉพาะรายที่เหมาะสมภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์ ทั้งนี้ยังไม่มีข้อมูลยืนยันจากงานวิจัยคุณภาพสูงในมนุษย์ว่า ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอื่นๆจะมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคไขมันพอกตับ

16/09/2023
"4 สมุนไพร" มีฤทธิ์ช่วยรักษากรดไหลย้อน สมานแผลในกระเพาะได้เร็วขึ้น"สมุนไพรไทย" นับเป็นยาสามัญประจำบ้านที่ได้รับการยอมรับ...
14/09/2023

"4 สมุนไพร" มีฤทธิ์ช่วยรักษากรดไหลย้อน สมานแผลในกระเพาะได้เร็วขึ้น

"สมุนไพรไทย" นับเป็นยาสามัญประจำบ้านที่ได้รับการยอมรับและมีงานวิจัยรองรับ ซึ่งมีสมุนไพรบางชนิดช่วยรักษากรดไหลย้อน ลดกรดหรือการอักเสบของกระเพาะ ลดอาหารท้องอืดท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยวได้!

"สมุนไพรไทย" นับเป็นยาสามัญประจำบ้านที่ได้รับการยอมรับและมีงานวิจัยรองรับ ซึ่งมีสมุนไพรบางชนิดช่วยรักษากรดไหลย้อน ลดกรดหรือการอักเสบของกระเพาะ ลดอาหารท้องอืดท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยวได้!

สมุนไพรรักษากรดไหลย้อน
• สมุนไพรที่มีสรรพคุณในการขับลมในลำไส้
ลูกยอ มีรสขมร้อน สามารถใช้แก้อาเจียน ขับลม บำารุงธาตุโดยใช้ผลยอหั่นปิ้งไฟพอเหลืองกรอบ หรือต้มหรือชงน้ำดื่ม ใช้ครั้งละ 15 กรัม จิบบ่อยๆช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน มีการศึกษาพบว่า สารสกัดจากน้ำลูกยอซึ่งมีสารสโคโรเลติน (scopoletin) สามารถป้องกันและลดการรักษาอาการกรดไหลย้อนได้เทียบเท่ากับกับยา มาตรฐานที่ใช้ในการรักษากรดไหลย้อน คือ รานิติดีน (ranitidine) และแลนโสพราโซล (lansoprazole) จริงในหนูทดลอง
• ขมิ้นชัน มีรสฝาดร้อน เป็นยาสมุนไพรที่นิยมใช้บรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อและจากการศึกษาวิจัยเบื้องต้นพบว่า ขมิ้นชันสามารถเป็นทางเลือกเพื่อช่วยบรรเทาอาการกรดไหลย้อน นอกจากนี้ขมิ้นชัน กระเพราและขิงต่างเป็นตัวยาสำคัญในยาสามัญประจำบ้านเพื่อรักษาโรคท้องอืด ท้องเฟ้อและบำรุงธาตุที่มีการใช้มาอย่างยาวนาน

สมุนไพรที่มีเมือก ที่สามารถปกป้องชั้นเคลือบในกระเพาะอาหารได้
• วุ้นว่านหางจระเข้ พบในตำรับยาโบราณที่มีประโยชน์เด่นในด้านการสมานแผลซึ่งมีผลงานวิจัยรองรับรวมถึงแผลในกระเพาะอาหาร พบว่าสารสกัดวุ้นว่านหางจระเข้สามารถลดการหลั่งกรดและมีฤทธิ์สมานแผลในกระเพาะได้เร็วกว่าปกติจึงสามารถรับกินได้อย่างเหมาะสม
• มะละกอ พบปาเปน (papain) สารที่พบมากในมะละกอ มีฤทธิ์ต่อการหลั่งกรดและยับยั้งแผลในกระเพาะอาหารของหนูได้ดี นอกจากนี้พบว่า สามารถช่วยรักษาอาการเรอเปรี้ยวและแสบร้อนลำคอจากภาวะกรดไหลย้อน
• กระเจี๊ยบเขียว สารในกลุ่มโพลีแซคคาไลด์ ทำให้มีความเป็นเมือกสู่ง สามารถเคลือบเนื้อเยื้อของกระเพาะอาหารที่อักเสบได้ดี

อย่างไรก็ตาม ไม่ควรหวังเพียงสมุนไพรในด้านรักษาเพียงอย่างเดียว ควรใส่ใจในการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้ถูกต้องหลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม น้ำผลไม้ หรืออาหารที่มีรสเปรี้ยวจัด เผ็ดจัด รวมทั้งอาหารไขมันสูงและพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพราะไม่เพียงป้องกันโรคกรดไหลย้อนได้ แต่ยังลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังและร้ายแรงอื่นๆ ได้อีกด้วย

"5 สมุนไพรไทย" ใน "ต้มข่าไก่" สรรพคุณดีต่อสุขภาพเปิดสรรพคุณ 5 สมุนไพรไทยในเมนู "ต้มข่าไก่" มีประโยชน์ดีต่อสุขภาพ หลังจาก...
10/09/2023

"5 สมุนไพรไทย" ใน "ต้มข่าไก่" สรรพคุณดีต่อสุขภาพ

เปิดสรรพคุณ 5 สมุนไพรไทยในเมนู "ต้มข่าไก่" มีประโยชน์ดีต่อสุขภาพ หลังจากที่เว็บไซต์ TasteAtlas ชื่อดังยกให้เป็น ซุปไก่ดีที่สุดในโลก ได้ 4.7 คะแนนจาก 5 คะแนนเต็มประจำเดือน

กระแสซอฟท์พาวเวอร์ของไทยยังแรงไม่หยุด ล่าสุด TasteAtlas ประกาศ 10 Best Rated CHICKEN SOUPS in the World หรือ 10 อันดับซุปไก่ดีที่สุดในโลก ซึ่งมีการบันทึกการให้คะแนน 1,376 รายการ ปรากฏว่า "ต้มข่าไก่" ของไทยผงาดขึ้นแท่นเป็นที่ 1 ของโลกโดยกวาดคะแนนไปได้ถึง 4.7 คะแนน จาก 5 คะแนนเต็มจากนักรีวิวอาหารทั่วโลก โดยให้คำนิยามความอร่อยของเมนูนี้ว่า "ต้มข่าไก่" ว่า เป็นอาหารประจำชาติอันแสนอร่อยเลิศรสของไทย

โดยระบุว่า เป็นเมนูทางตอนเหนือของประเทศไทย มีส่วนประกอบจากกะทิ, เนื้อไก่, ข่า, ตะไคร้, กระเทียม, พริก, ใบมะกรูด, น้ำปลา และเห็ด รสชาติเผ็ดร้อน ฉุน เปรี้ยวเล็กน้อย มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีสรรพคุณทางยาที่ดี เช่น ช่วยบรรเทาระบบทางเดินอาหารและลำไส้

เปิดสรรพคุณของ 5 สมุนไพรไทยในเมนูต้มข่าไก่
1. ตะไคร้
• ช่วยเเก้อาการหวัด
• เบื่ออาหาร
• ช่วยย่อยอาหารได้ดี
• ลดอาการอักเสบ
• ซ่อมแซมระบบประสาท

2. ข่า
• มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ
• ช่วยให้เจริญอาหาร
• บำรุงร่างกาย
• มีประโยชน์ช่วยเเก้อาการไข้หวัด ไอ เจ็บคอ
• บรรเทาเสมหะ
• เเก้อาการคลื่นไส้อาเจียนได้ดี

3. หอมแดง
• มีฤทธิ์ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานสมดุล แข็งแรง
• ลดการอักเสบ
• บรรเทาอาการหวัด
• เเก้เสมหะ
• ช่วยขับลมในลำไล้
• ช่วยให้เจริญอาหาร สร้างสมดุลในระบบย่อยอาหาร

4. พริก
• มีองค์ประกอบหลัก คือ สารแคปไซซิน ช่วยกระตุ้นการเผา• ผลาญ
• ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด
• กระตุ้นให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟินออกมา ทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น
• ลดปริมาณน้ำมูก
• ช่วยให้หายใจได้สะดวกยิ่งขึ้นด้วย

5. ใบมะกรูด
• มีสารต้านอนุมูลอิสระ
• กลิ่นจากน้ำมันหอมระเหยของใบมะกรูดจะช่วยผ่อนคลาย• ความกังวล
• แก้วิงเวียนศีรษะได้ดี
• ช่วยเเก้อาการช้ำใน
• ช่วยฟื้นฟูภายในร่างกายได้ดี
• บรรเทาอาการไอได้

ที่อยู่

41 Soi Klong Lum Chiak 7, NuanChan, Beung Kum
Bangkok
10230

เวลาทำการ

จันทร์ 10:00 - 22:00
อังคาร 10:00 - 22:00
พุธ 10:00 - 22:00
พฤหัสบดี 10:00 - 22:00
ศุกร์ 10:00 - 22:00
เสาร์ 10:00 - 22:00
อาทิตย์ 10:00 - 22:00

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ มิรันตี นวดเพื่อสุขภาพผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ประเภท