BetterLife ผลิตภัณฑ์ ที่มีคุณภาพเพื่อคุณทุกคน

🪑 จัดโต๊ะทำงานยังไงให้ไม่ปวด Office Syndrome1. เก้าอี้ (Chair)- ความสูง: ให้เท้าวางเต็มบนพื้น ข้อเท้าตั้งตรง เข่าอยู่ระด...
15/09/2025

🪑 จัดโต๊ะทำงานยังไงให้ไม่ปวด Office Syndrome

1. เก้าอี้ (Chair)
- ความสูง: ให้เท้าวางเต็มบนพื้น ข้อเท้าตั้งตรง เข่าอยู่ระดับเดียวกับสะโพก หรือ “ต่ำกว่านิดหน่อย” เพื่อไม่กดเส้นเลือดที่ต้นขา
- พนักพิง: รองรับส่วนเว้าธรรมชาติของเอว (Lumbar support) → ป้องกันหลังค่อม
- เบาะนั่ง: ไม่ควรแข็งหรืออ่อนจนเกินไป มีความลึกพอดี (เวลานั่ง หลังพิงแล้วเหลือช่องว่างระหว่างเบาะกับหลังเข่า ~2–3 นิ้ว)
- ที่วางแขน: ปรับให้ศอกงอประมาณ 90° และไม่ยกไหล่สูง

2. โต๊ะทำงาน (Desk)
- ความสูงโต๊ะ: อยู่ระดับที่วางแขนแล้ว “ศอกงอ 90°” ไม่เกร็งไหล่
- ถ้าโต๊ะสูงเกินไป → ควรใช้เก้าอี้สูงขึ้น และวาง ที่พักเท้า (Footrest) เพื่อให้เท้าวางเต็มพื้น
- พื้นที่ใต้โต๊ะควรโล่ง เพื่อขยับขาได้สะดวก ไม่เบียดแน่น

3. หน้าจอคอมพิวเตอร์ (Monitor)
- ระยะห่าง: 50–70 ซม. (ประมาณความยาวแขน)
- ความสูง: ขอบบนของจออยู่ในระดับสายตาพอดี หรือ “ต่ำกว่านิดหน่อย” → ลดการก้มคอ
- ถ้าใช้ Laptop → ควรมี Laptop stand + คีย์บอร์ด/เมาส์แยก
จอควรเอียงเล็กน้อย (10–20°) ให้มองสบายตา

4. คีย์บอร์ด & เมาส์
- คีย์บอร์ดวางในระดับเดียวกับข้อศอก → ศอกงอ 90–100°
- ข้อมือไม่งอขึ้น/ลงนาน ๆ → ใช้ที่รองข้อมือ (Wrist rest)
- เมาส์วางใกล้คีย์บอร์ด ลดการเอื้อมไกลเกินไป
- ถ้าใช้บ่อย → เลือกเมาส์ตามรูปมือ (Ergonomic mouse) เพื่อลดอาการปวดข้อมือ

5. แสงสว่าง (Lighting)
- แสงธรรมชาติเป็นดีที่สุด แต่ต้องไม่สะท้อนเข้าจอ
- ใช้โคมไฟตั้งโต๊ะที่ปรับทิศทางได้
- เลี่ยงการทำงานในที่มืด → ลดความเสี่ยงปวดตาและไมเกรน

6. พฤติกรรมเสริม (Break & Stretch)
- กฎ 20-20-20: ทุก 20 นาที มองออกไปไกล 20 ฟุต (6 เมตร) นาน 20 วินาที → ลดเมื่อยตา
- ทุก 30–60 นาที ลุกยืน / เดิน / ยืดกล้ามเนื้อ 1–2 นาที
- ยืดกล้ามเนื้อที่ควรทำ:
- หมุนคอช้า ๆ ซ้าย–ขวา
- ยกไหล่ขึ้นลง
- บิดเอวเบา ๆ
- ยืดแขน–ข้อมือ

7. ของใช้เสริมสุขภาพโต๊ะทำงาน
- หมอนรองหลัง (Lumbar support pillow)
- แท่นวางเท้า (Footrest)
- จัดสายไฟ / เก็บของให้โล่ง → ไม่เบียดท่าทางนั่ง
- ขวดน้ำบนโต๊ะ → เตือนให้ดื่มน้ำ

🍽️ เดิน 10 นาทีหลังอาหาร = ประโยชน์เพียบ! 🚶‍♀️✨รู้ไหม? แค่ลุกเดินเบา ๆ หลังมื้ออาหารไม่กี่นาที✅ ช่วยย่อย ลดแน่นท้อง เพรา...
14/09/2025

🍽️ เดิน 10 นาทีหลังอาหาร = ประโยชน์เพียบ! 🚶‍♀️✨

รู้ไหม? แค่ลุกเดินเบา ๆ หลังมื้ออาหารไม่กี่นาที
✅ ช่วยย่อย ลดแน่นท้อง เพราะการเดินกระตุ้นให้ลำไส้เคลื่อนตัวดีขึ้น
✅ ลดโอกาสน้ำตาลในเลือดพุ่ง งานวิจัยใน Scientific Reports บอกว่าแค่เดิน 10 นาทีหลังอาหาร ช่วยกดระดับน้ำตาลให้ไม่พุ่งสูงเกินไป
✅ ทำให้สมองปลอดโปร่ง เพราะร่างกายได้ออกซิเจนและเลือดไหลเวียนดี

เคล็ดลับเล็ก ๆ แต่ได้ผลใหญ่
➡️ เดินช้า ๆ สบาย ๆ ก็พอ เริ่มทันทีหลังอาหารได้ยิ่งดี
ลองทำดูทุกมื้อ ร่างกายจะขอบคุณคุณแน่นอน 💙

✔️ ข้อแนะนำ — ถ้าอยากเริ่มทำ
ไม่จำเป็นต้องเดินเร็วมาก เดินเบา ๆ ก็พอ ให้เป็น “เดินสบาย” ที่หายใจได้ปกติ
เริ่มทันทีหลังอาหารให้ได้ ยิ่งเร็ว ยิ่งดี — ถ้าเดินช้าหลังจากผ่านไประยะหนึ่ง ผลจะลดลง
เดินประมาณ 5-10 นาที ถ้าได้ 10-15 นาทียิ่งดี ถ้าไม่สะดวก ก็ค่อย ๆ ปรับเพิ่มเวลา
ถ้ามื้อหนักมาก (อาหารมัน มาก/ทอด/เผ็ด) เดินช้า ๆ อย่ารีบแบบวิ่งหรือออกแรงมาก เดี๋ยวท้องจะอึดอัด

🍵 ดื่มชาเขียวทุกวัน ดีจริงไหม?ชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระชื่อ Catechins ที่ช่วยลดการอักเสบ เสริมภูมิคุ้มกัน และอาจช่วยเผ...
13/09/2025

🍵 ดื่มชาเขียวทุกวัน ดีจริงไหม?

ชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระชื่อ Catechins ที่ช่วยลดการอักเสบ เสริมภูมิคุ้มกัน และอาจช่วยเผาผลาญพลังงานเล็กน้อย 🔥
งานวิจัยบางชิ้นบอกว่า ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ และช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด

แต่…ดื่มมากเกินไปก็ไม่ดีนะ
⚠️ คาเฟอีนในชาเขียวอาจทำให้นอนไม่หลับ ใจสั่น หรือระคายกระเพาะได้
💡 ปริมาณที่แนะนำคือ วันละ 1–3 แก้ว (ไม่ใส่น้ำตาล) จะดีที่สุด

สรุป: ดื่มได้ทุกวัน แต่ดื่มพอดี และเลือกแบบไม่หวาน = สุขภาพดีแบบไม่แถมพุง! ✅

#ชาเขียว #ดื่มชาเขียวดีไหม #สุขภาพดีทุกวัน #สุขภาพดีทำได้ง่ายๆ

☕️ ทำไม “ดื่มกาแฟแล้ว…ยังง่วง” ? 😴หลายคนเจอปัญหานี้ ทั้งที่คาเฟอีนคือพระเอกช่วยปลุกพลัง แต่ทำไมบางทีตาก็ยังจะปิดอยู่ดี ม...
12/09/2025

☕️ ทำไม “ดื่มกาแฟแล้ว…ยังง่วง” ? 😴

หลายคนเจอปัญหานี้ ทั้งที่คาเฟอีนคือพระเอกช่วยปลุกพลัง แต่ทำไมบางทีตาก็ยังจะปิดอยู่ดี มาดูกันครับว่าเกิดจากอะไรได้บ้าง

🔹 1. ดื่มกาแฟผิดเวลา

คาเฟอีนใช้เวลาประมาณ 30 นาทีถึงจะออกฤทธิ์

ถ้าดื่มใกล้เวลานอน ร่างกายจะเพลียอยู่ดี และคุณภาพการนอนก็แย่ลง

🔹 2. ร่างกายดื้อคาเฟอีน

ถ้าดื่มทุกวัน วันละหลายแก้ว ร่างกายจะชิน ทำให้ “ฤทธิ์ปลุกตื่น” น้อยลงเรื่อย ๆ

🔹 3. พักผ่อนไม่พอจริง ๆ

คาเฟอีนช่วย “บล็อกความง่วง” แต่ไม่สามารถแทนการนอนได้

ถ้าสะสมความเหนื่อยเกินไป กาแฟกี่แก้วก็ไม่ช่วย

🔹 4. น้ำตาล/นมที่ผสมในกาแฟ

กาแฟเย็น หวานจัด ใส่วิปครีม อาจทำให้พลังงานพุ่งเร็วแล้วตกฮวบ กลายเป็นยิ่งง่วงกว่าเดิม

🔹 5. พันธุกรรมและการเผาผลาญ

บางคนมีเอนไซม์เผาผลาญคาเฟอีนเร็ว ทำให้ฤทธิ์อยู่ได้ไม่นาน

✨ แล้วถ้าง่วงจริง ๆ ทำไงดี?
✅ ลองดื่มน้ำเปล่าเยอะ ๆ เพราะขาดน้ำก็ทำให้ง่วง
✅ เดินยืดเส้น ออกกำลังเบา ๆ ให้เลือดไหลเวียน
✅ งีบสั้น ๆ 10–20 นาที ช่วยฟื้นสมองได้ดีกว่ากาแฟ

#ดื่มกาแฟแล้วง่วง #คาเฟอีน #กาแฟแก้ง่วง #ง่วงทั้งวัน #สายกาแฟ
#สุขภาพดีเริ่มที่การนอน #พักผ่อนให้พอ #ไลฟ์สไตล์คนทำงาน #ง่วงนอน
#สายทำงานต้องรู้

"ทำไมเราถึง 'ทำลายตัวเอง' โดยไม่รู้ตัว? รู้จัก 'Self-Sabotage' และวิธีหยุดมัน!"คุณเคยไหมที่วางแผนจะลดน้ำหนักแล้วก็กินของ...
11/09/2025

"ทำไมเราถึง 'ทำลายตัวเอง' โดยไม่รู้ตัว? รู้จัก 'Self-Sabotage' และวิธีหยุดมัน!"

คุณเคยไหมที่วางแผนจะลดน้ำหนักแล้วก็กินของหวาน, ตั้งใจจะทำงานให้เสร็จแล้วก็ไถโซเชียลทั้งคืน, หรือเจอคนที่ใช่แล้วก็ทำตัวแย่ๆ จนเขาทิ้งไป? นี่คือพฤติกรรมที่เรียกว่า "Self-Sabotage" หรือ การทำลายตัวเอง ซึ่งเป็นกับดักทางจิตวิทยาที่หลายคนติดอยู่โดยไม่รู้ตัว

Self-Sabotage คืออะไร?
คือพฤติกรรมที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจที่จะขัดขวางความสำเร็จหรือความสุขของตัวเอง แม้จะรู้ว่าสิ่งนั้นจะส่งผลเสียในระยะยาวก็ตาม

ทำไมเราถึงทำร้ายตัวเอง?
- พฤติกรรมนี้มักมีรากมาจากความรู้สึกที่ซับซ้อนภายในจิตใจ เช่น
- ความกลัวความสำเร็จ: คนบางคนกลัวความสำเร็จ เพราะความสำเร็จมาพร้อมกับความรับผิดชอบและความคาดหวังที่มากขึ้น
- ความรู้สึกไม่คู่ควร: เชื่อว่าตัวเองไม่สมควรได้รับความสุขหรือความสำเร็จ
- วงจรเดิมๆ ที่คุ้นเคย: แม้จะเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี แต่ก็เป็นสิ่งที่คุ้นเคยและให้ความรู้สึกปลอดภัย
- การปกป้องตัวเอง: ทำร้ายตัวเองก่อนที่คนอื่นจะทำร้ายเราได้

สัญญาณเตือนของ Self-Sabotage
- การผัดวันประกันพรุ่ง: เลื่อนงานหรือสิ่งที่ต้องทำออกไปเรื่อยๆ
- การตำหนิตัวเอง: พูดคำเชิงลบกับตัวเองอยู่เสมอ
- การสร้างปัญหาในความสัมพันธ์: เช่น การเริ่มทะเลาะหรือสร้างสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง
- การทำลายสุขภาพ: เช่น การกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์, การไม่ออกกำลังกาย, การนอนหลับไม่เพียงพอ

วิธีหยุดวงจร Self-Sabotage
1. "ทำความเข้าใจสาเหตุ": ลองถามตัวเองอย่างตรงไปตรงมาว่า "ทำไมเราถึงทำแบบนี้?" การยอมรับและทำความเข้าใจรากของปัญหาคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญ
2. "ฝึกความเมตตาต่อตัวเอง": ยอมรับว่าทุกคนทำผิดพลาดได้ และให้กำลังใจตัวเองเหมือนที่ให้กำลังใจเพื่อน
3. "เริ่มจากก้าวเล็กๆ": แทนที่จะตั้งเป้าหมายใหญ่ๆ ที่อาจทำให้ท้อแท้ ลองแบ่งเป้าหมายออกเป็นส่วนเล็กๆ และทำทีละส่วน

การเอาชนะ Self-Sabotage อาจต้องใช้เวลาและความอดทน แต่เมื่อคุณเริ่มตระหนักถึงพฤติกรรมเหล่านี้ คุณก็ก้าวมาได้ครึ่งทางแล้วค่ะ

"ผีอำ" หรือในทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า ภาวะอัมพาตขณะหลับ (Sleep Paralysis) เป็นปรากฏการณ์ทางสรีรวิทยาที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ...
10/09/2025

"ผีอำ" หรือในทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า ภาวะอัมพาตขณะหลับ (Sleep Paralysis) เป็นปรากฏการณ์ทางสรีรวิทยาที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ไม่ใช่เรื่องของภูตผีปีศาจค่ะ 👻

ผีอำ (ตามความเชื่อ)
ถูกวิญญาณหรือภูตผีมาทับหรือเข้าสิง ทำให้ร่างกายขยับไม่ได้และรู้สึกหนักอึ้งเหมือนถูกกดทับ

ภาวะอัมพาตขณะหลับ (ตามหลักวิทยาศาสตร์)
เป็นความผิดปกติชั่วคราวระหว่างการนอนหลับ ซึ่งสมองและร่างกายทำงานไม่สอดคล้องกัน
ส่งออกไปยังชีต

"ผีอำ" หรือในทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า ภาวะอัมพาตขณะหลับ (Sleep Paralysis) เป็นปรากฏการณ์ทางสรีรวิทยาที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ไม่ใช่เรื่องของภูตผีปีศาจค่ะ 👻

ผีอำ (ตามความเชื่อ) ภาวะอัมพาตขณะหลับ (ตามหลักวิทยาศาสตร์)
ถูกวิญญาณหรือภูตผีมาทับหรือเข้าสิง ทำให้ร่างกายขยับไม่ได้และรู้สึกหนักอึ้งเหมือนถูกกดทับ เป็นความผิดปกติชั่วคราวระหว่างการนอนหลับ ซึ่งสมองและร่างกายทำงานไม่สอดคล้องกัน

ส่งออกไปยังชีต
สาเหตุที่แท้จริงของ "ผีอำ" (Sleep Paralysis)
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงการนอนหลับที่เรียกว่า REM (Rapid Eye Movement) Sleep ซึ่งเป็นช่วงที่สมองของเราทำงานหนักและมีการฝันเกิดขึ้น

กล้ามเนื้อถูกปิดการทำงานชั่วคราว: ในช่วง REM Sleep สมองจะสั่งการให้กล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย (ยกเว้นกล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจและดวงตา) อยู่ในสภาวะเป็นอัมพาตชั่วคราว เพื่อป้องกันไม่ให้เราขยับตัวตามความฝันที่กำลังเกิดขึ้น

สมองตื่นก่อนร่างกาย: ภาวะผีอำเกิดขึ้นเมื่อสมองของคุณตื่นขึ้นมาแล้ว แต่กลไกการสั่งให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาตยังไม่ถูกปลดออก ทำให้คุณรู้สึกตัวและรับรู้สิ่งต่างๆ ได้ แต่ไม่สามารถขยับร่างกายหรือพูดได้

การเห็นภาพหลอน: ขณะที่สมองตื่นแต่ร่างกายยังหลับอยู่ อาจทำให้เกิดภาพหลอนหรือเสียงหลอนในระหว่างที่อยู่ในภาวะนี้ ซึ่งภาพหลอนเหล่านี้เองที่ทำให้หลายคนรู้สึกหวาดกลัวและตีความว่าถูกผีอำ

ภาวะผีอำเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติและมักจะหายไปได้เองภายในไม่กี่วินาทีหรือนาที ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะนี้ได้ง่ายขึ้นคือความเครียด, การนอนหลับไม่เพียงพอ, และการดื่มแอลกอฮอล์

🧠✨ มาลับสมองกันหน่อย! ใครทายได้ถือว่าเก่งมากกกก 💡  #เกมลับสมอง เฉลยใต้คอมเม้น
08/09/2025

🧠✨ มาลับสมองกันหน่อย! ใครทายได้ถือว่าเก่งมากกกก 💡 #เกมลับสมอง
เฉลยใต้คอมเม้น

🌟 ชีวิตดีขึ้น…เริ่มจากการยอมรับว่าเราไม่ต้องเป๊ะเสมอไปหลายครั้งเรากดดันตัวเองให้ “สมบูรณ์แบบ” ทั้งเรื่องงาน ความสัมพันธ์...
07/09/2025

🌟 ชีวิตดีขึ้น…เริ่มจากการยอมรับว่าเราไม่ต้องเป๊ะเสมอไป

หลายครั้งเรากดดันตัวเองให้ “สมบูรณ์แบบ” ทั้งเรื่องงาน ความสัมพันธ์ หรือแม้แต่รูปร่างหน้าตา แต่ความจริงคือ…
การพยายามเป๊ะทุกเรื่อง = การสร้างภาระที่หนักเกินไปให้ใจตัวเอง

สิ่งที่ทำให้ชีวิตดีขึ้นจริง ๆ คือ

ยอมรับข้อผิดพลาดว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

เลือกโฟกัสสิ่งที่สำคัญจริง ๆ ไม่ใช่ทุกเรื่อง

ให้โอกาสตัวเองได้พัก เหมือนที่เราให้โอกาสคนอื่น

เพราะ “ชีวิตที่ดี” ไม่ใช่การเป๊ะ แต่คือการ เบาลง และเป็นสุขมากขึ้นในทุกวัน 🌱

☀️ วันนี้ดูแลตัวเองกันหรือยัง?บางทีเราเผลอทำงาน วุ่นวาย หรือเลื่อนมือถือจนลืมว่า…สุขภาพเล็ก ๆ น้อย ๆ ของวันนี้ คือสิ่งที...
06/09/2025

☀️ วันนี้ดูแลตัวเองกันหรือยัง?

บางทีเราเผลอทำงาน วุ่นวาย หรือเลื่อนมือถือจนลืมว่า…
สุขภาพเล็ก ๆ น้อย ๆ ของวันนี้ คือสิ่งที่จะส่งผลต่ออนาคตเรา 🌱

💡ไอเดียดูแลตัวเองง่าย ๆ วันนี้

ดื่มน้ำให้ครบ 6–8 แก้ว 💧

ขยับร่างกายสัก 15–20 นาที 🚶‍♀️

พักสายตาจากจอมือถือ/คอมพ์ทุก 30 นาที 👀

ยิ้มให้ตัวเองหน้ากระจก 😊

เพราะ “การดูแลสุขภาพวันนี้” = “การสร้างพลังให้วันพรุ่งนี้”

☔ **ฟังเสียงฝน…ปล่อยใจให้ผ่อนคลาย**รู้ไหมว่า **เสียงฝนตก** สามารถช่วยให้สมองของเราผ่อนคลาย ลดความเครียด และทำให้ร่างกายพ...
05/09/2025

☔ **ฟังเสียงฝน…ปล่อยใจให้ผ่อนคลาย**

รู้ไหมว่า **เสียงฝนตก** สามารถช่วยให้สมองของเราผ่อนคลาย ลดความเครียด และทำให้ร่างกายพร้อมพักผ่อนได้ง่ายขึ้น? 😌
ลอง **ปิดไฟ เปิดไฟสลัว ๆ หรือจุดเทียนหอม** พร้อมกับฟังเพลงเบา ๆ และเสียงฝนไปด้วย คุณจะได้ความรู้สึกเหมือนอยู่ใน **สปาส่วนตัวที่บ้าน**

💡 **ไอเดียใช้เวลาช่วงฝนตกให้ผ่อนคลาย**

* จิบกาแฟหรือชาร้อน พร้อมมองหยดฝนกระทบกระจก
* อ่านหนังสือเล่มโปรดหรือฟังพอดแคสต์เรื่องเบาสมอง
* จดบันทึกความคิดหรือทำสมาธิสั้น ๆ 5–10 นาที
* ยืดเหยียดร่างกายเบา ๆ หรือทำโยคะชิล ๆ ร่วมกับเสียงฝน

✨ **ประโยชน์เพิ่มเติม**

* ช่วยปรับสมดุล **อารมณ์และความเครียด**
* ทำให้ **การนอนหลับลึกและมีคุณภาพ** มากขึ้น
* กระตุ้นให้ **สมองสร้างความคิดสร้างสรรค์**
* เป็นเวลาที่ดีในการ **เชื่อมต่อกับตัวเอง** และรีชาร์จพลังสำหรับวันต่อไป

ฝนตกไม่ได้ทำให้วันมืดมน…แต่เป็นโอกาสดีที่จะหยุดพัก ปรับใจ และเติมความสุขง่าย ๆ ให้ตัวเอง ☁️💛

"ทำไมยิ่งสมบูรณ์แบบ...ยิ่งตัดสินใจไม่ได้? เปิดโลกของ 'เพอร์เฟ็กชั่นนิสต์' และวิธีหลุดพ้นจากกับดัก"คุณเคยรู้สึกไหมว่าต้อง...
04/09/2025

"ทำไมยิ่งสมบูรณ์แบบ...ยิ่งตัดสินใจไม่ได้? เปิดโลกของ 'เพอร์เฟ็กชั่นนิสต์' และวิธีหลุดพ้นจากกับดัก"

คุณเคยรู้สึกไหมว่าต้องทำทุกอย่างให้ "ดีที่สุด" จนสุดท้ายก็ไม่ได้เริ่มทำอะไรเลย? นี่คือสัญญาณสำคัญของ "เพอร์เฟ็กชั่นนิสต์" (Perfectionist) หรือคนที่ยึดมั่นในความสมบูรณ์แบบ ซึ่งแม้จะฟังดูดี แต่ก็เป็นดาบสองคมที่ทำให้เราตัดสินใจได้ยากขึ้น

เพอร์เฟ็กชั่นนิสต์กับความกลัวที่จะผิดพลาด
สำหรับคนที่เป็นเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ การตัดสินใจแต่ละครั้งไม่ได้เป็นเพียงแค่การเลือกทางเดิน แต่คือการเดิมพันกับความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น พวกเขาจะใช้เวลามากมายในการหาข้อมูล, วิเคราะห์ทุกตัวเลือก, และคาดการณ์ผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพราะในใจลึกๆ แล้วพวกเขาเชื่อว่า...

- การตัดสินใจที่ผิดพลาด = ความล้มเหลว: พวกเขาตีความความผิดพลาดเป็นการสะท้อนถึงคุณค่าในตัวเอง
- ทุกอย่างต้องถูกต้อง 100%: ไม่มีพื้นที่สำหรับข้อผิดพลาด ทำให้การเริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆ หรือแม้แต่การตัดสินใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่

กับดักที่ทำให้ชีวิตหยุดชะงัก
ความต้องการในความสมบูรณ์แบบนี้จะสร้าง "วงจรแห่งความลังเล" ที่ไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้คุณ...

- ผัดวันประกันพรุ่ง เลื่อนการตัดสินใจออกไปเรื่อยๆ เพราะรู้สึกว่ายังไม่พร้อม หรือยังหาข้อมูลไม่ครบ
- จมอยู่กับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ใช้เวลาไปกับการขัดเกลาสิ่งที่อาจไม่จำเป็น จนมองข้ามภาพรวมไป
- เสียโอกาสในชีวิต เพราะเมื่อถึงเวลาที่จะต้องลงมือทำ พวกเขาจะยังคงลังเลและไม่กล้าที่จะเริ่ม

จะหลุดพ้นจากกับดักนี้ได้อย่างไร?
เปลี่ยนมุมมองต่อ "ความผิดพลาด": ลองมองว่าความผิดพลาดเป็น "โอกาสในการเรียนรู้" ไม่ใช่การสะท้อนความล้มเหลวของตัวคุณเอง

1. ตั้งเป้าหมายแบบ 'พอใช้ได้' แทนที่จะตั้งเป้าว่าต้องสมบูรณ์แบบ 100% ลองตั้งเป้าหมายที่ "ดีพอ" หรือ "พอใช้ได้" ก่อน แล้วค่อยปรับปรุงไปทีละน้อย
2. ฝึกตัดสินใจเรื่องเล็กๆ เริ่มต้นจากเรื่องง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การเลือกเมนูอาหารหรือเสื้อผ้า เพื่อฝึกความมั่นใจในการตัดสินใจของตัวเอง
3.ให้คุณค่ากับ 'การลงมือทำ' มากกว่า 'ผลลัพธ์' ยอมรับว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และการได้เริ่มลงมือทำคือความสำเร็จที่แท้จริง

จำไว้ว่าการเป็นเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ไม่ใช่เรื่องผิด แต่การปล่อยให้มันมาควบคุมชีวิตต่างหากคือสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ที่จะรับมือ

"ใจเย็นไว้ก่อน! ทริกง่ายๆ...เมื่อความโกรธกำลังจะพุ่งปรี๊ด"เคยไหมที่รู้สึกโกรธจนเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้? ความโกรธเป็นอ...
03/09/2025

"ใจเย็นไว้ก่อน! ทริกง่ายๆ...เมื่อความโกรธกำลังจะพุ่งปรี๊ด"

เคยไหมที่รู้สึกโกรธจนเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้? ความโกรธเป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์ แต่ถ้าปล่อยให้มันครอบงำ อาจทำลายความสัมพันธ์และทำให้คุณเสียใจทีหลังได้ ลองใช้ 3 ทริกจิตวิทยาง่ายๆ นี้ เพื่อรับมือกับความโกรธอย่างมีสติ

ใช้ 'กฎ 6 วินาที' เพื่อให้สมองทำงาน

เมื่อรู้สึกโกรธจัด สมองส่วนควบคุมอารมณ์จะทำงานทันที ลองหยุดตัวเองไว้ 6 วินาที ก่อนที่จะพูดหรือทำอะไรออกไป

- ก้าวถอยหลัง: หายจากสถานการณ์นั้นชั่วคราว
- เงียบไว้ก่อน: ไม่ต้องตอบโต้ทันที
- ให้เวลาตัวเองคิด: ถามตัวเองว่า "สิ่งที่กำลังจะทำหรือพูดออกไปมันคุ้มค่าไหม?"

การทำแบบนี้จะช่วยให้สมองส่วนเหตุผลได้มีโอกาสทำงาน และคุณจะสามารถตัดสินใจได้อย่างมีสติมากขึ้น
จำไว้ว่าความโกรธเป็นเรื่องปกติ แต่การควบคุมมันต่างหากคือสิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณมีความสุขและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง

ที่อยู่

152/43 ถ. เฉลิมพระเกียรติ ร. 9 แขวงหนองบอน เขตประเวศ
Bangkok
10250

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ BetterLifeผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram