พ่อแม่พอเพียง by DBP

พ่อแม่พอเพียง by DBP ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก พ่อแม่พอเพียง by DBP, พัฒนาการเด็ก, Bangkok.

พ่อแม่พอเพียงคือพื้นที่ที่พ่อแม่ธรรมดา ๆ จะได้เรียนรู้ เข้าใจ และเติบโตไปพร้อมกับลูก ด้วยวิธีที่เรียบง่าย ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ — เพจนี้จัดทำโดยหมอเด็กที่เข้าใจทั้ง ‘วิชาการ’ และ ‘หัวใจพ่อแม่’ อย่างแท้จริง

23/09/2025

👶 การมีลูก… ไม่ได้หมายความว่าชีวิตต้องเต็มไปด้วย “ความสุข” อย่างเดียว

ความจริงคือ… การมีลูกคือการเดินทางที่มีทั้ง
✨ ความสุขที่ยิ้มออกมาเองได้แค่เห็นลูกหัวเราะ
✨ ความเหนื่อยจากการตื่นดึก ป้อนข้าว อุ้มกล่อม
✨ ความกังวลเรื่องอนาคต และการดูแลให้ดีที่สุด

แต่ลูกความหมายที่ยิ่งใหญ่ ที่ทำให้หัวใจพ่อแม่อบอุ่นเสมอ และทำให้ได้รู้ว่า…ชีวิตของเรามี “ความหมาย” มากขึ้น

🔢 รู้จัก Numberblocks การ์ตูนปูพื้นฐานคณิตศาสตร์สำหรับเด็ก📺 Numberblocks เป็นอนิเมชันจาก BBC (UK) ที่สร้างขึ้นคู่กับ Alp...
22/09/2025

🔢 รู้จัก Numberblocks การ์ตูนปูพื้นฐานคณิตศาสตร์สำหรับเด็ก

📺 Numberblocks เป็นอนิเมชันจาก BBC (UK) ที่สร้างขึ้นคู่กับ Alphablocks แต่แทนที่จะเป็น “ตัวอักษร” → ใช้ “ตัวเลข” มาสวมบทบาท

เช่น 1 = ตัวละครเดี่ยว
2 = มี 2 บล็อกต่อกัน
10 = สูงขึ้นมี 10 บล็อก

ทำให้เด็กเห็นว่า “ตัวเลข = ปริมาณจริง” ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์บนกระดาษ

👶 มุมมองด้านพัฒนาการ

• Number Sense: เด็กเข้าใจความหมายของตัวเลขกับปริมาณ (เช่น 3 = ของจริง 3 ชิ้น)

• Conceptual Learning: เด็กเรียนรู้เรื่องบวก ลบ คูณ หาร ผ่านการ “รวมบล็อก” และ “แยกบล็อก”

• Pattern Recognition: การจัดเรียงบล็อกช่วยให้เด็กเห็นรูปแบบ (patterns) เช่น เลขคู่ เลขคี่

• การเรียนรู้ผ่านการเล่น: เด็กเห็นคณิตศาสตร์เป็นเรื่องสนุก → ลดความกังวลเมื่อโตขึ้น


🎯 เหมาะกับวัยไหน

• 3–4 ปี → สร้างความคุ้นเคยกับการนับและปริมาณ 1–10
• 5–6 ปี → วัยทองของการเรียนรู้บวก–ลบง่าย ๆ เสริมพื้นฐานคณิตศาสตร์แนวคิด


💡 พ่อแม่ต่อยอดอย่างไร

1. เล่นตัวต่อบล็อกจริง เช่น Lego หรือบล็อกไม้ → ให้ลูกต่อ-แยกเอง
2. เชื่อมกับชีวิตประจำวัน เช่น นับขนม นับของเล่น → ให้ลูกเห็นว่าตัวเลขอยู่รอบตัว
3. ชวนลูกเล่าเรื่อง หลังดู เช่น “4 รวมกับ 1 ได้เท่ากับอะไร”
4. เล่นเกมหาเลข รอบบ้าน ป้ายราคา ป้ายลิฟต์ → ต่อกับสิ่งที่เจอจริง
5. ใช้คู่กับ Alphablocks → พัฒนาไปพร้อมกันทั้งภาษาและคณิตศาสตร์

🌱 Numberblocks ไม่ใช่แค่การ์ตูน แต่เป็น “เครื่องมือปูพื้นฐานคณิตศาสตร์” สำหรับเด็ก 3–6 ปี เมื่อพ่อแม่ดูไป-เล่นไป-ต่อยอดในชีวิตจริง เด็กจะรักตัวเลข และมองคณิตศาสตร์เป็นเรื่องสนุกตั้งแต่เล็ก


#พัฒนาการเด็ก
#การเรียนรู้คณิตศาสตร์
#การเรียนรู้ผ่านการเล่น

#พ่อแม่พอเพียง

“ในโลกยุคนี้ พ่อแม่เลี่ยงสื่อ (media) ได้ยาก แต่เราสามารถ เลือกสื่อคุณภาพ เพื่อเปลี่ยนเวลาหน้าจอให้กลายเป็นการเรียนรู้ได...
21/09/2025

“ในโลกยุคนี้ พ่อแม่เลี่ยงสื่อ (media) ได้ยาก แต่เราสามารถ เลือกสื่อคุณภาพ เพื่อเปลี่ยนเวลาหน้าจอให้กลายเป็นการเรียนรู้ได้ สำหรับเด็กวัย 3–6 ปีที่กำลังเริ่มต้นพื้นฐานการอ่าน หมออยากแนะนำ Alphablocks รายการสร้างสรรค์จาก BBC ที่ทำให้เด็ก ๆ สนุกกับตัวอักษรและการสะกดคำอย่างเป็นธรรมชาติ”

รู้จัก Alphablocks รายการสร้างสรรค์ที่ช่วยให้เด็กสนุกกับ “การอ่าน”

📺 Alphablocks เป็นการ์ตูนอนิเมชันจาก BBC (UK) ที่ใช้ตัวอักษร A–Z มาเป็นตัวละคร แต่ละตัวมีบุคลิกและเสียงเฉพาะตัว เช่น “A” จะร้องเสียงสั้น ๆ แอ- “M” ก็จะพูดว่า มึม-มึม- เวลามารวมกันก็จะเกิดเป็น “คำ” เด็ก ๆ เลยได้เรียนรู้การผสมเสียง (phonics) แบบเป็นธรรมชาติผ่านการ์ตูนที่ดูสนุก

👶 มุมมองด้านพัฒนาการ

• Phonological Awareness (การรับรู้หน่วยเสียง): เด็กเรียนรู้ว่าตัวอักษรมีเสียงเฉพาะ และการรวมเสียงทำให้เกิดคำ → พื้นฐานสำคัญของการอ่าน

• Visual Association: เด็กเห็นตัวอักษรกับเสียงตรงกัน ทำให้เชื่อมโยง “สัญลักษณ์ → เสียง → ความหมาย”

• การเรียนรู้เชิงเล่น (Play-based Learning): เด็กซึมซับการเรียนรู้โดยไม่รู้สึกว่ากำลังเรียน → สนุกและจดจำได้ดีกว่า

• กระตุ้น EF (Executive Functions): เด็กต้องฟัง จับคู่ และทดลองสะกดตาม ช่วยฝึกความจำใช้งาน (working memory) และการควบคุมตนเอง

🎯 Alphablocks เหมาะกับเด็กวัยไหน?

3–4 ปีขึ้นไป
🔹 เริ่มรู้จักตัวอักษร A–Z แล้ว แต่ยังไม่เข้าใจการสะกดคำ
🔹 เหมาะเป็นการ “ปูพื้นฐาน” ให้คุ้นเคยกับเสียงและรูปตัวอักษร

• 5–6 ปี
🔹 วัยทองของการเรียนรู้ phonics
🔹 เด็กสามารถต่อเสียง (blending) เช่น c-a-t → cat ได้
🔹 ช่วยเสริมทักษะการอ่านขั้นต้น (early literacy)

💡 พ่อแม่ต่อยอดอย่างไรได้บ้าง

1. ดูไป-เล่นไป: หยุดคลิปตรงคำง่าย ๆ ชวนลูกออกเสียง เช่น c-a-t = cat

2. ทำ Flashcards ตัวอักษร: ใช้การ์ดให้ลูกลอง “เล่นบท” ตัวอักษรเหมือนใน Alphablocks

3. ร้องเพลง ABC + เสียงสั้น: ไม่ใช่แค่ชื่อ “A B C” แต่สอนเสียงจริง เช่น A = แอ, B = บึ

4. สร้างคำในชีวิตจริง: เวลาเจอคำง่าย ๆ เช่น “dog” “sun” ชวนลูกลองสะกดตามเสียงที่เคยดู

5. ใช้กับภาษาไทยได้: แม้ Alphablocks เป็นภาษาอังกฤษ แต่แนวคิด “ตัวอักษรมีเสียง + รวมกันเป็นคำ” สามารถประยุกต์กับภาษาไทย เช่น “ก-า = กา”

Alphablocks ไม่ใช่แค่การ์ตูน แต่เป็น “เครื่องมือเสริมพัฒนาการการอ่าน” ที่สนุก เข้าใจง่าย และพ่อแม่สามารถต่อยอดได้ทั้งภาษาอังกฤษและไทย


#พัฒนาการเด็ก
#การอ่านของลูก
#สื่อการเรียนรู้เด็ก

#พ่อแม่พอเพียง

พื้นที่ปลอดภัยของเด็ก = รากฐานชีวิต
21/09/2025

พื้นที่ปลอดภัยของเด็ก = รากฐานชีวิต

พื้นที่ปลอดภัยของเด็ก สำคัญกว่าที่คุณคิด เพราะมันคือ ‘รากฐานชีวิต’

ในโลกที่เด็กต้องเผชิญปัญหามากมาย คำสั่ง เสียงตำหนิ และการเปรียบเทียบ

คำถามสำคัญคือ—เขามีที่ไหนบ้างที่ “ไม่ต้องเข้มแข็ง” ตลอดเวลา?

เพราะเด็กๆจะกล้าเติบโต เมื่อเขามั่นใจว่า…เขาปลอดภัยพอที่จะลองผิด ลองถูก ดังนั้น เด็กที่มีพื้นที่ปลอดภัยจะกล้าคิด กล้าพูด และกล้าล้มเพื่อจะเรียนรู้ ตรงกันข้าม…เด็กที่เติบโตในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความคาดหวังและความกลัว จะเรียนรู้ว่าความเงียบปลอดภัยกว่าเสียงของตนเอง

มารู้จักและช่วยกันสร้างพื้นที่ปลอดภัยกันเถอะ

พื้นที่ปลอดภัย (Safe zone) สำหรับเด็กจึงไม่ใช่แค่ “ห้อง” หรือ “บ้าน” แต่คือ พื้นที่ที่เด็ก “รู้สึกว่า” เขาสามารถเป็นตัวเองได้โดยไม่ถูกตัดสิน ไม่ถูกตำหนิ และไม่ต้องกลัวว่าจะถูกละเลยหรือทำร้าย เช่น

- เป็นบ้านที่เขากล้าบอกความรู้สึก ไม่ว่าจะเศร้า ผิดหวัง หรือสับสน
- เป็นห้องเรียนที่เขากล้าตั้งคำถามโดยไม่กลัวถูกหัวเราะ
- เป็นอ้อมกอดที่เขารู้ว่าต่อให้ทำผิดพลาดก็ยังได้รับความรักเหมือนเดิม
- เป็นสายตารับฟังของพ่อแม่ ครู หรือผู้ใหญ่ที่ “ตั้งใจฟังจริง ๆ”

พ่อแม่ คุณครู จะสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กๆได้อย่างไร?

เริ่มจาก…

1. ฟังโดยไม่รีบตัดสิน – แค่ฟังด้วยใจ เด็กก็กล้าพูด
2. ยอมรับอารมณ์ทุกแบบ – เด็กควรมีโอกาสรู้สึกได้ทุกอารมณ์ ไม่ใช่แค่ “ดี” หรือ “เรียบร้อย”
3. แยกการกระทำออกจากตัวตน – บอกลูกว่า “พฤติกรรมนี้ไม่เหมาะ” ดีกว่า “ลูกดื้อมากเลย”
4. อยู่เคียงข้างแม้ในวันที่เขาไม่น่ารัก – เพราะรักที่มั่นคงคือรากฐานของความมั่นใจ
5. เป็นตัวอย่างของการจัดการอารมณ์ – เด็กเรียนรู้ความปลอดภัยจากการเห็นผู้ใหญ่ควบคุมตนเอง

ในโลกที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง การแข่งขัน และการเปรียบเทียบ เด็กจะยืนหยัดได้ ก็ต่อเมื่อเขามี Safe zone เป็นฐานมั่น

บ้านของคุณอาจมีรั้วสูง แต่คำถามคือ…

ใจของคุณเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับลูกหรือเปล่า?

#พื้นที่ปลอดภัยทางใจ #จิตวิทยาเด็ก #พ่อแม่ยุคใหม่

🧩 ลูกอ่านยาก อ่านช้า ใช่ “การเรียนรู้ช้า (LD)” ไหม?🔎 การเรียนรู้ช้า (Learning Disability: LD) คืออะไร • เด็กบางคนมีสมองท...
21/09/2025

🧩 ลูกอ่านยาก อ่านช้า ใช่ “การเรียนรู้ช้า (LD)” ไหม?

🔎 การเรียนรู้ช้า (Learning Disability: LD) คืออะไร

• เด็กบางคนมีสมองที่เรียนรู้ การอ่าน เขียน หรือคำนวณได้ช้ากว่าเพื่อน
• ไม่ใช่เพราะลูกขี้เกียจ ❌
• ไม่ใช่เพราะสายตาไม่ดี ❌

➡️ แต่เป็นเพราะ สมองจัดการข้อมูลภาษาได้ยากกว่าปกติ ซึ่งพบได้บ่อย ~5–10% ของเด็กวัยเรียน

🧠 สัญญาณเตือนที่พ่อแม่ควรรู้
• อ่านคำง่าย ๆ ผิดบ่อย หรืออ่านช้า
• สะกดคำผิดซ้ำ แม้เคยเจอแล้ว
• อ่านออก แต่ ไม่เข้าใจเนื้อหา
• เขียนประโยคยาก
• อาจมีปัญหาเรื่องสมาธิหรือความจำร่วมด้วย

💡 ถ้าลูกพยายามแล้ว แต่ยังเรียนรู้ได้ยากกว่าที่ควร → อาจเข้าข่าย “การเรียนรู้ช้า”

📚 อะไรคือทักษะสำคัญของการอ่าน

1️⃣ Phonemic Awareness (การรับรู้เสียง)
เริ่ม 3–4 ปี → เล่นคำคล้องจอง, ตบมือตามพยางค์

2️⃣ Phonics (เสียง-ตัวอักษร)
เริ่ม 5–7 ปี → รู้ว่า “ก” = /ก/, อ่านคำง่าย ๆ

3️⃣ Vocabulary (คลังคำศัพท์)
เริ่มตั้งแต่ขวบแรก → ฟังนิทาน พูดคุย

4️⃣ Fluency (อ่านคล่อง)
ประถมต้น (7–8 ปี) → อ่านเร็วขึ้น เข้าใจมากขึ้น

5️⃣ Comprehension (เข้าใจความหมาย)
อนุบาลปลาย–ประถม → เข้าใจเรื่องราว ตอบคำถามจากสิ่งที่อ่าน

🛠️ พ่อแม่ช่วยลูกได้ที่บ้าน

• 📖 อ่านนิทานกับลูกทุกวัน
• 👏 เล่นเกมคำ-เสียง เช่น ตบมือเมื่อได้ยินคำคล้องจอง
• 🏪 ใช้ชีวิตประจำวันเป็นบทเรียน เช่น อ่านป้ายร้าน
• 💕 ชื่นชมความพยายาม มากกว่าผลลัพธ์
• 🤝 ปรึกษาครูหรือคุณหมอ หาวิธีที่เหมาะกับลูก

💡 ข้อความถึงพ่อแม่

✨ “ลูกไม่ได้ขี้เกียจ แต่สมองของเขาต้องการวิธีเรียนรู้ที่ต่างออกไป” ✨

การช่วยเหลือตั้งแต่เล็ก = กุญแจสำคัญ 🔑
ที่จะทำให้ลูกพัฒนาเต็มศักยภาพ และเรียนรู้ได้ใกล้เคียงเพื่อนมากที่สุด

#พ่อแม่พอเพียง
#การเรียนรู้ช้า
็ก
#ลูกอ่านช้า
#ลูกอ่านยาก

📌 การตัดรางวัลใช้ไม่เป็น ก็ไร้ความหมายถ้าเด็ก ยังไม่เคยได้รับ หรือ ไม่เห็นคุณค่า ของรางวัลนั้น → การ “ตัดรางวัล” เช่น ตั...
21/09/2025

📌 การตัดรางวัลใช้ไม่เป็น ก็ไร้ความหมาย

ถ้าเด็ก ยังไม่เคยได้รับ หรือ ไม่เห็นคุณค่า ของรางวัลนั้น → การ “ตัดรางวัล” เช่น ตัดดาว ไม่ให้สติกเกอร์ หรือห้ามเล่นกิจกรรมพิเศษ จะไม่เกิดผล เพราะเด็กไม่ได้รู้สึกว่าเสียอะไรไป

✅ ก่อนใช้วิธี “ตัดรางวัล”
• ต้องให้เด็ก ได้รางวัลจริง ๆ และ รู้สึกอยากรักษามันไว้
• เมื่อตัดรางวัล เด็กจึงเข้าใจว่า พฤติกรรมที่ทำ มีผลเสียตามมา

#เลี้ยงลูกเชิงบวก #วินัยเชิงบวก

🗣️ ลูกพูดไทยปนอังกฤษ ต้องกังวลไหม?👶 ทำไมเด็กถึงพูดปนภาษา? • เด็กที่โตมาในบ้านสองภาษา มัก “สลับภาษา” (code-switching) ได้...
21/09/2025

🗣️ ลูกพูดไทยปนอังกฤษ ต้องกังวลไหม?

👶 ทำไมเด็กถึงพูดปนภาษา?

• เด็กที่โตมาในบ้านสองภาษา มัก “สลับภาษา” (code-switching) ได้ เป็นเรื่องปกติ
• เขาจะเลือกคำที่นึกออกก่อน เช่น “แม่ หนู want น้ำ”
• นี่คือขั้นตอนธรรมชาติของการเรียนรู้ ไม่ได้แปลว่าลูกสับสน

✅ เมื่อไหร่ยังไม่ต้องกังวล
• ต่ำกว่า 5–6 ปี พูดปนภาษาได้ ถือว่าปกติ
• ลูกพูดเป็นประโยคได้ แม้มีผสมภาษาบ้าง
• เข้าใจคำสั่งได้ทั้งไทยและอังกฤษ
• คำศัพท์รวม (ไทย+อังกฤษ) ตามวัย

💡 พ่อแม่รับมืออย่างไรดี

1. อย่าดุ เวลาลูกพูดปนภาษา → เป็นกระบวนการเรียนรู้

2. สะท้อนกลับด้วยประโยคเต็ม
ลูก: “แม่ หนู want น้ำ”
แม่: “โอเคจ้ะ หนูอยากได้น้ำใช่ไหมลูก”

3. สร้างบริบท เช่น “เวลานิทาน = ภาษาอังกฤษ” “คุยเรื่องบ้าน = ภาษาไทย”

4. เพิ่ม input คุณภาพ ทั้งสองภาษา → หนังสือ เพลง การ์ตูน กิจกรรมกับครูเจ้าของภาษา

5. ผู้ใหญ่ควรใช้ประโยคเต็ม ลดการปนภาษาโดยไม่จำเป็น

🌍 แล้วควรทำ One Person One Language (OPOL) ไหม?

• OPOL คือ: แต่ละคนพูดกับลูกเพียงภาษาเดียว เช่น พ่อพูดอังกฤษ แม่พูดไทย
• ข้อดี: เด็กแยกภาษาได้ง่าย, ได้ input ชัดเจน สม่ำเสมอ
• ข้อควรคิด: ต้องทำต่อเนื่อง, ถ้าผู้ใหญ่ไม่ถนัดภาษา → input อาจไม่พอ

✨ ถ้า OPOL ไม่สะดวก ยังมีทางเลือกอื่น

• Time & Place: แบ่งตามเวลา/สถานการณ์ เช่น อ่านนิทานใช้ภาษาอังกฤษ

• Mixed but mindful: พูดสองภาษาได้ แต่ควรใช้ประโยคเต็มในภาษาหนึ่งก่อน แล้วค่อยเสริมอีกภาษา

🎯 สรุป
• การพูดไทยปนอังกฤษในเด็กเล็ก เป็นพัฒนาการปกติ
• สิ่งสำคัญคือ ให้ลูกได้รับ input คุณภาพและต่อเนื่อง ทั้งสองภาษา
• ไม่ว่าจะ OPOL หรือวิธีอื่น ขอเพียงสม่ำเสมอ เด็กก็เติบโตสองภาษาได้อย่างมั่นใจ

#เลี้ยงลูกสองภาษา
#เด็กสองภาษา
#พัฒนาการเด็ก
#พูดไทยปนอังกฤษ
#พ่อแม่พอเพียง

พัฒนาการของการเขียน ลูกเราเป็นอย่างไรนะ
11/09/2025

พัฒนาการของการเขียน ลูกเราเป็นอย่างไรนะ

🌸✨ “มือเล็ก ๆ ที่กำลังเรียนรู้… ดินสอแท่งแรกของลูกสำคัญกว่าที่คิด” ✨🌸

👶 ทุกการลากเส้น ทุกครั้งที่จับดินสอ… คือก้าวแรกของการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ของลูก 💛

แต่พ่อแม่หลายคนอาจไม่รู้ว่า…
👉 การจับดินสอของลูกก็มีพัฒนาการตามวัย
👉 ถ้าเราสังเกตและส่งเสริมอย่างเข้าใจ ลูกจะสนุกกับการเขียน โดยไม่ต้องฝืน

🎨 มาดูกันว่า… “การจับดินสอ” ของลูกในแต่ละวัยเป็นอย่างไรบ้าง?

✏️ 👶 1–2 ปี: จับกำเต็มมือ (Palmar grasp)

ลูกใช้กำปั้นจับดินสอ เคลื่อนไหวทั้งแขนเพื่อวาด ข้อมือยังพลิกไม่คล่อง
✨ พ่อแม่ช่วยเสริม: ให้ลูกสีด้วยสีเทียนก้อนใหญ่ หรือไม้สีแท่งใหญ่ และเล่นกิจกรรมกำ/ปล่อย เช่น ขยำกระดาษ ปั้นดินน้ำมัน

✏️ 👧 2–3 ปี: จับกำแต่คว่ำมือ (Digital pronate grasp)
ลูกคว่ำข้อมือขณะจับดินสอ แต่ยังใช้แขนมากกว่านิ้ว
✨ พ่อแม่ช่วยเสริม: ให้ลูกลากเส้นบนกระดาษใหญ่ ๆ ฝึกบังคับแขน และเล่นคีบของ เช่น เสียบหลอด

✏️ 🧒 3–4 ปี: จับแบบ 4 นิ้ว (Quadrupod grasp)
เริ่มใช้ 4 นิ้วจับดินสอ ใกล้เคียงการจับแบบผู้ใหญ่แต่ยังไม่คล่อง
✨ พ่อแม่ช่วยเสริม: ให้ลูกใช้สีไม้แท่งสามเหลี่ยม ฝึกตามเส้นประง่าย ๆ

✏️ 👦 4–6 ปี: จับ 3 นิ้วแบบผู้ใหญ่ (Dynamic tripod grasp)
การจับดินสอ 3 นิ้ว (นิ้วโป้ง, ชี้, กลาง) เริ่มนิ่งขึ้น บังคับปลายนิ้วได้ดี
✨ พ่อแม่ช่วยเสริม: ฝึกวาดรูป เขียนเส้นตรง-โค้ง ระบายสีในกรอบ และเล่นเกมคีบของเล็ก

✅ เมื่อไหร่ควรกังวล?
ถ้าอายุ 5–6 ปี แล้วยังกำดินสอแน่นแบบเด็กเล็ก หรือยังบังคับเส้นไม่แม่น
มืออ่อนแรง เขียนแล้วเมื่อยง่าย หรือไม่อยากเขียนเลย
👉ควรประเมินเพิ่มเติม

💛 “เพราะมือเล็กนี้… จะเป็นมือที่เขียนอนาคตของเขาเอง” มาเข้าใจและส่งเสริมลูกให้สนุกกับการจับดินสอในทุกก้าวของพัฒนาการกันค่ะ 🌱

#พ่อแม่พอเพียงbydbp
#พัฒนาการเด็ก

รับมือ และเตรียมใจอย่างไร เมื่อลูกแพ้อาหาร วันที่รู้ว่าลูกแพ้อาหาร… เราไม่พร้อมยอมรับ แต่วันหนึ่งก็ต้องเผชิญความจริงจากป...
11/09/2025

รับมือ และเตรียมใจอย่างไร เมื่อลูกแพ้อาหาร

วันที่รู้ว่าลูกแพ้อาหาร… เราไม่พร้อมยอมรับ แต่วันหนึ่งก็ต้องเผชิญความจริง

จากประสบการณ์คุณแม่ที่ลูกแพ้ไข่รุนแรง และการปรับตัว
จึงมีหลายประเด็นที่อยากแชร์ให้พ่อแม่ที่เจอปัญหานี้เหมือนกัน

สิ่งที่อยากบอกคุณพ่อ คุณแม่

1. อย่าโทษตัวเอง มันไม่ใช่ความผิดของเรา และมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในการดูแลเรื่องอาหารเด็กเล็ก คอยเติมกำลังใจให้ตัวเอง แม้เส้นทางนี้จะยาก แต่เราไม่ใช่คนเดียวนะที่ต้องเดินผ่านมัน
2. อย่ากังวลมากจนทำให้ลูกกลัวอาหาร แม่เองเคยผ่านประสบการณ์อ่านทุกฉลากอาหาร แสดงท่าทาง สีหน้ากังวลเรื่องอาหารนอกบ้านต่อหน้าลูก จนวันนึงพบว่า ความกังวลส่งต่อไปให้ลูกโดยไม่รู้ตัว ทำให้ลูกกลัวอาหารใหม่ๆ
3. ยอมรับว่าการระวัง 100% ทำไม่ได้ เราพลาดได้ แต่เราเรียนรู้และป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกได้ แม้คุณแม่เป็นหมอ ก็มีเรื่องที่ไม่รู้ เช่น เราไม่รู้เลยว่าลูกแพ้รุนแรงมาก และแค่สูดดมควันไข่จากการประกอบอาหารก็อันตราย แม่จำเหตุการณ์วันนั้นได้เป็นอย่างดี ที่ให้เด็ก 3 ขวบไปร่วมกิจกรรมเจียวไข่กับเพื่อน จนน้องหน้าบวม ตาบวม ปากบวม จนต้องรีบไปรับน้องมาโรงพยาบาล ดังนั้นอย่ากดดันตัวเอง และ อย่าลืมให้อภัยตัวเองเมื่อพลาด
4. ลูกอาจมีปัญหากินยากได้ ต้องเข้าใจไม่กดดัน ค่อยๆสนับสนุนให้ลูกคุ้นเคยกับอาหาร ลองจับ ลองชิมน้อยๆ อย่าบังคับให้ลูกกิน ระยะยาวลูกจะเริ่มอาหารใหม่ๆได้ดีขึ้น
5. พาลูกไปเที่ยว/เข้าโรงเรียนต้องเตรียมพร้อม เตรียมอาหาร เตรียมยา โรงเรียนควรมีครูพยาบาลหรือครูที่พร้อมจะช่วยดูแลเด็กแพ้อาหารรุนแรง เพราะกรณีฉุกเฉิน คุณครูอาจจะมีความจำเป็นต้องฉีดยาให้เด็ก
6. วัคซีน เช่น ไข้หวัดใหญ่ แม้มีส่วนประกอบของไข่ แต่น้อยมากๆ มักไม่เกิดปัญหา ฉีดให้ลูกได้ น้องเองก็ฉีดตั้งแต่อายุ 6 เดือน ไม่มีอาการแพ้ส่วนประกอบของวัคซีนเลย

สำหรับการดูแลรักษาเบื้องต้นคือ หลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้ และคุณหมอจะตามผลเลือดดูค่าแพ้อาหารเป็นระยะ ของน้องแม่ตามทุก 6 เดือน และเมื่อการแพ้อาหารทำเนินต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ต้องตัดสินใจเริ่มรักษาโดยกระบวนการรับประทานอาหารก็จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการยืนยันการวินิจฉัยและรักษา ซึ่งจะมีคำที่คุณพ่อ คุณแม่ ควรรู้จักอยู่ 2 คำคือ OFC และ OIT

✅ OFC (Oral Food Challenge) = การวินิจฉัย

ขั้นตอนคือ ให้ลูกกินอาหารที่แพ้ โดยเพิ่มปริมาณทีละนิด จน ครบจำนวนที่คุณหมอกำหนด สังเกตอาการ และ วัดความดัน ทุก 30 นาทีก่อนเพิ่มปริมาณอาหาร
ถ้ากินได้ครบตามจำนวน —> ช่วยยืนยันว่าลูกไม่แพ้อาหารชนิดนั้นแล้ว
ถ้ามีอาการต้องหยุดกิน —-> ยืนยันว่าแพ้ และช่วยให้คุณหมอทราบปริมาณอาหารที่ลูกเราสามารถกินได้โดยไม่เกิดอาการ และเข้าสู่กระบวนการรักษา

✅ OIT (Oral Immunotherapy) = การรักษา

ขั้นตอนนี้ใช้เวลาต่อเนื่องยาวนานหลายปี(3-5ปี) และ ต้องทำทุกวัน การทำ OIT ไม่ใช่การรักษาให้หายขาด แต่ช่วยเพิ่มความทนทาน (threshold) เพื่อให้ร่างกายลูกทนต่อการรับอาหารชนิดนั้นได้มากขึ้น

ขั้นตอนคือการรับประทานอาหารชนิดนั้นๆจากปริมาณน้อยๆที่ร่างกายรับได้ทุกวันและค่อยๆนัดเพิ่มปริมาณอาหารภายใต้การดูแลรักษาของแพทย์ ของลูกสาวนัดเพิ่ม 20%ทุก 2 สัปดาห์

เมื่อสามารถกินอาหารที่แพ้ได้ตามจำนวนที่คุณหมอกำหนด คุณหมอจะเริ่มให้กินอาหารที่แพ้ต่อเนื่องโดยไม่กินยาแก้แพ้ และหากสำเร็จด้วยดี ก็จะเว้นระยะการกินจนให้หยุดกินอาหารที่แพ้ และนัดกลับมาทำ OFC ใหม่อีกครั้ง และก็จะทราบว่าน้องหาย หรือ ยังแพ้อาหาร หากยังแพ้อาหาร ก็จะได้ปริมาณอาหารใหม่ที่ร่างกายทนได้ และเข้าสู่กระบวนการ OIT อีกครั้ง

🩵 การเตรียมตัวก่อนทำ OFC
1. ก่อนทำ OFC ต้องหยุดยาแก้แพ้ 3-7 วันแล้วแต่ชนิดของยา
2. เตรียมตัวเตรียมใจ พูดคุยให้ลูกเข้าใจว่าจะทำอะไรบ้าง เพราะเป็นธรรมดาที่ลูกจะต้องกลัว และ ลูกจะได้ให้ร่วมมือมากขึ้น
3. ลดความกลัวอาหาร โดยให้ลูกคุ้นเคยกับอาหาร กลิ่น จับ สัมผัส
4. บางครั้งการกินอาหารรสธรรมชาติอาจจะยากสำหรับเด็ก เตรียมซอส เครื่องปรุงรสเพื่อช่วยให้ลูกกินได้ง่าย

💚 การเตรียมตัวก่อนทำ OIT
1. กินยาแก้แพ้ก่อนกินอาหารอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
2. สำหรับน้องที่แพ้ไข่ หลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีวิตามินซีนสูงอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงหลังกินไข่ เพราะเพิ่มการดูดซึม
3. ไม่กินอาหารที่แพ้ตอนท้องว่าง
4. งดออกกำลังกายหลังรับประทาน
5. งดกินอาหารที่แพ้ในวันที่มีไข้สูง แต่หากงดนานเกิน 3 วันจะต้องติดต่อแพทย์เพื่อกลับมาสังเกตุอาการขณะกินที่โรงพยาบาล

ดังนั้นการจะเริ่มรักษาแพ้อาหารในเด็กแต่ละคน จะต้องดูความพร้อมของเด็กและครอบครัวเป็นหลักด้วย หากยังไม่พร้อมและไม่กระทบคุณภาพชีวิตก็สามารถใช้วิธีการเลี่ยงอาหารไปก่อนได้

❗️อาการที่ต้องเฝ้าระวังและแจ้งให้แพทย์ทราบ คือ
1 ลูกบ่นปวดท้องเรื้อรัง
2 กลืนอาหารลำบาก
3 อาเจียนบ่อย
4 ท้องเสียเรื้อรัง
5 น้ำหนักไม่ขึ้น การเจริญเติบโตล่าช้า
เนื่องจากระหว่างการทำ OIT พบภาวะ EGID หรือ Eosinophilic Gastrointestinal Disorder ได้ ซึ่งจำเป็นต้องยุดหรือเปลี่ยนแนวทางการรักษา

แม้ว่าขั้นตอนการรักษาจะยาวนาน เต็มไปด้วยความกังวลและความกลัว แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เราคิด

เราไม่อาจปฏิเสธเส้นทางนี้ และ เมื่อมันเป็นเส้นทางของลูกเรา เราเลือกที่จะเดินไปด้วยกัน แก้ปัญหาไปด้วยกันและทุกก้าวเล็กๆของลูก ก็คือความก้าวหน้าที่ภูมิใจเสมอ

เป็นกำลังใจให้ทุกบ้านนะคะ
ตอนนี้น้องอยู่ในขั้นตอนการ OIT ที่ปรับปริมาณไข่ขาวทุก 2 สัปดาห์ มาส่งต่อประสบการณ์และก้าวเดินไปด้วยกันนะคะ

#พ่อแม่พอเพียง
#ลูกแพ้อาหาร

วันหยุด ชวนลูกๆมาเก็บของเล่นกันค่ะ
05/09/2025

วันหยุด ชวนลูกๆมาเก็บของเล่นกันค่ะ

🏡 พัฒนาการ & “งานบ้าน” ของลูก: เริ่มเมื่อไหร่ดี?“งานบ้านไม่ใช่แค่งาน แต่เป็นบทเรียนชีวิตของลูก” 💛หลายงานวิจัยยืนยันว่า ก...
31/08/2025

🏡 พัฒนาการ & “งานบ้าน” ของลูก: เริ่มเมื่อไหร่ดี?

“งานบ้านไม่ใช่แค่งาน แต่เป็นบทเรียนชีวิตของลูก” 💛

หลายงานวิจัยยืนยันว่า การให้เด็กมีส่วนร่วมในงานบ้านตั้งแต่เล็ก ไม่เพียงช่วยให้บ้านเป็นระเบียบ
แต่ยัง เสริมพัฒนาการสมอง อารมณ์ และทักษะชีวิต อย่างมหาศาล 🌱

📚 หลักฐานจากงานวิจัย

🔹 เริ่มเร็ว = พื้นฐานชีวิตที่แข็งแรง

เด็กที่เริ่มทำงานบ้านตั้งแต่ วัยอนุบาล (5–6 ปี) พบว่าผลการเรียนดีกว่า, เข้าสังคมได้ดี และ มีความสุขกับชีวิต มากกว่าเพื่อนที่ไม่ค่อยทำงานบ้าน

งานวิจัยแบบติดตาม (longitudinal cohort) ยังยืนยันว่า งานบ้านช่วยให้เด็กมี ความมั่นใจในตัวเอง (self-efficacy) และพัฒนา ทักษะสังคม (prosocial skills) ได้อย่างชัดเจน

🔹 งานบ้านช่วยฝึก “สมองส่วนจัดการ” (Executive Functions)

งานบ้านบางอย่าง เช่น การช่วยทำอาหาร หรือดูแลสัตว์เลี้ยงด้วยตัวเอง จะช่วยฝึก การคิดเป็นขั้นตอน (planning), การควบคุมอารมณ์ (inhibition) และ ความจำทำงาน (working memory)

ผลวิจัยบอกชัดว่าเด็กที่ทำงานบ้านเป็นประจำจะมี EF (Executive Function) ดีกว่า และ พร้อมเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนขึ้น

🧾 ตัวอย่างงานบ้าน “ตามวัย”

👶 วัยอนุบาล (2–4 ปี)
• เก็บของเล่นใส่กล่อง
• ช่วยเช็ดโต๊ะหลังทานข้าว
• รดน้ำต้นไม้เล็ก ๆ

เหมาะกับวัยที่เริ่มทำตามคำสั่งง่าย ๆ สมาธิสั้น ทำแบบสนุก ๆ จะดีที่สุด

🧒 วัย 4–6 ปี
• เก็บผ้าสกปรกใส่ตะกร้า
• จัดที่นอนง่าย ๆ
• ช่วยหยิบของหรือตั้งโต๊ะอาหาร
• เช็ดฝุ่นหรือรดน้ำต้นไม้

วัยนี้พัฒนาการด้านกล้ามเนื้อดีขึ้น งานซับซ้อนขึ้นเล็กน้อยได้

👦 วัยประถมต้น (6–8 ปี)
• พับผ้าขนหนูหรือเสื้อผ้าบางชิ้น
• ป้อนอาหารสัตว์
• ช่วยล้างจานง่าย ๆ
• ช่วยเก็บกวาดห้องหรือล้างโต๊ะ

เริ่มเข้าใจความรับผิดชอบ ทำงานต่อเนื่องได้ดีขึ้น

👧 วัยประถมปลาย (8–12 ปี)
• กวาดบ้าน ถูบ้าน
• ล้างจานครบขั้นตอน
• จัดเสื้อผ้าในตู้ให้เป็นระเบียบ
• ทำอาหารง่าย ๆ เช่น ต้มไข่ หรือทำแซนด์วิช

สมาธิยาวขึ้น พร้อมจัดการงานที่ซับซ้อนได้

🧑 วัยรุ่น (12 ปีขึ้นไป)
• ซักผ้า ตากผ้า เก็บผ้า
• ทำอาหารเองบางมื้อ
• ช่วยดูแลน้องหรือสัตว์เลี้ยง
• รับผิดชอบงานบ้านแทบทุกอย่างได้เอง

ความคิดวางแผนและความรับผิดชอบพัฒนาใกล้ผู้ใหญ่แล้ว

🌱 เคล็ดลับให้ลูก “รักงานบ้าน”
• เริ่มจาก งานง่าย ๆ และทำให้เป็น “เกมสนุก”
• ทำงานบ้านเป็นกิจวัตรในบรรยากาศอบอุ่น ไม่ใช่คำสั่งหรือบทลงโทษ
• แบ่งงานตามวัยและความสามารถ เพื่อให้ลูกทำสำเร็จจริงและรู้สึกภูมิใจ
• ทำร่วมกันในช่วงแรก ค่อย ๆ ให้ทำเอง
• ชื่นชมทุกครั้งที่ช่วย เพื่อสร้างแรงจูงใจเชิงบวก
• ไม่คาดหวังความเป๊ะ แต่เน้นให้ลูก ภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือ

✨ สรุป

งานบ้านไม่ใช่ภาระของเด็ก แต่คือ โอกาสทอง ในการฝึก ทักษะชีวิต EF ความรับผิดชอบ และความมั่นใจ

เริ่มง่าย ๆ ได้ตั้งแต่ 2–3 ปี
แล้วค่อยเพิ่มความซับซ้อนเมื่อโตขึ้น
ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่แค่บ้านที่เรียบร้อย
แต่คือ เด็กที่เติบโตอย่างมั่นใจ พร้อมรับมือโลกจริง 🤍

#พ่อแม่พอเพียง #พัฒนาการเด็ก #งานบ้านสร้างคน

ให้เราเป็นหนึ่งแรงใจ ที่จะช่วยให้การพัฒนาเด็กเป็นเรื่องที่เข้าใจ และทำได้จริงในทุกบ้าน 💛 #พ่อแม่พอเพียง  #โอกาสของเด็กทุ...
31/08/2025

ให้เราเป็นหนึ่งแรงใจ ที่จะช่วยให้การพัฒนาเด็กเป็นเรื่องที่เข้าใจ และทำได้จริงในทุกบ้าน 💛

#พ่อแม่พอเพียง #โอกาสของเด็กทุกคน #พัฒนาการเด็ก

เพราะเด็กทุกคน… ควรได้รับโอกาสในการเติบโต และเรียนรู้ตามศักยภาพของตัวเอง 🌱

ให้เราเป็นหนึ่งแรงใจ ที่จะช่วยให้การพัฒนาเด็กเป็นเรื่องที่เข้าใจ และทำได้จริงในทุกบ้าน 💛

#พ่อแม่พอเพียง #โอกาสของเด็กทุกคน #พัฒนาการเด็ก

ที่อยู่

Bangkok
10700

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ พ่อแม่พอเพียง by DBPผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram