Run Along Now วิ่งตามโลก

Run Along Now วิ่งตามโลก ออกกำลัง-กิน-นอน-ไม่เครียด เพื่อชีวิตที่มีคุณภาพ Keep it simple

11/07/2025

เปิดสวิตช์การเผาผลาญ
ให้เป็น Fat Burner

1094.+ จากร่างกายที่เผาผลาญน้ำตาล sugar burner  → ไปสู่การเผาผลาญไขมัน fat burner*[ร่างกายมนุษย์ มีระบบพลังงานที่สามารถใ...
10/07/2025

1094.

+ จากร่างกายที่เผาผลาญน้ำตาล sugar burner → ไปสู่การเผาผลาญไขมัน fat burner
*[ร่างกายมนุษย์ มีระบบพลังงานที่สามารถใช้พลังงานได้จากหลายแหล่ง หลักๆ คือ ใช้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต(น้ำตาล) และจากไขมัน แต่จะไม่สามารถใช้พลังงานจากทั้งสองอย่างพร้อมกันได้]

+ คนส่วนใหญ่รู้สึกเหนื่อยล้า, มึนเบลอ และน้ำหนักขึ้นได้ง่าย เพราะสวิตช์การเผาผลาญของพวกเขาติดอยู่ที่โหมด “น้ำตาล”

+ นี่คือวิธี พลิกสวิตช์ นั้น และฝึกให้ร่างกายกลับมาเผาผลาญไขมันแทน
1
+ ระบบเผาผลาญของคุณถูกออกแบบให้ สลับไปมาระหว่างการเผาผลาญน้ำตาล sugar (carb = sugar) กับ การเผาผลาญไขมัน fat

+ แต่พฤติกรรมการกินในยุคปัจจุบัน ขังคุณไว้ในโหมดเผาน้ำตาล sugar burner ซึ่งนำไปสู่:
• การสะสมไขมัน
• พลังงานต่ำ
• มีความอยากอาหารตลอดเวลา

+ ได้เวลาสับเปลี่ยนสวิตช์การเผาผลาญ (metabolic switch) แล้ว
2
+ เมื่อคุณมีภาวะ ดื้ออินซูลิน insulin resistance เซลล์ของคุณจะไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน

+ น้ำตาลจึงค้างอยู่ในกระแสเลือดนานเกินไป

+ ร่างกายเริ่ม ตื่นตระหนก… และเก็บน้ำตาลไว้ในรูปไขมัน โดยเฉพาะที่ พุง และ อวัยวะภายใน
3
+ สิ่งนี้นำไปสู่ วงจรอุบาทว์:
• เหนื่อยง่าย
• อยากกินของหวาน
• มึนงง สมองเบลอ
• ไขมันสะสมที่หน้าท้อง
• หิวบ่อยๆ

+ ทั้งหมดนี้เพราะ “สวิตช์การเผาผลาญ” ปิดอยู่
4
+ ทางแก้ที่แท้จริง ไม่ใช่ความอดทน(ต่อความหิว) หรือมีวินัยเพิ่มขึ้น
แต่คือ การเรียกคืน ความยืดหยุ่นของการเผาผลาญ (metabolic flexibility)

+ ความยืดหยุ่นของการเผาผลาญ => ความสามารถของร่างกายในการสลับกันใช้แหล่งพลังงานระหว่าง น้ำตาล กับ ไขมัน

+ แต่น่าเศร้า… คนส่วนใหญ่สูญเสียความสามารถนี้ไปโดยไม่รู้ตัว
5
+ อะไรเป็นตัวทำลายความยืดหยุ่นนี้?

• การกินจุบจิบบ่อยๆ Frequent snacking
• คาร์โบไฮเดรตขัดสี Refined carbs
• ขาดการเคลื่อนไหว Sedentary lifestyle
• อินซูลินพุ่งสูงตลอดเวลา insulin spikes

+ ร่างกายไม่เคยได้รับสัญญาณให้เริ่มเผาผลาญไขมันเลย
6
+ ข่าวดีคือ… คุณสามารถฝึกระบบเผาผลาญใหม่ได้

+ คุณสามารถ “เปิดสวิตช์” เผาไขมันกลับมา และฝึกร่างกายให้ใช้ไขมันที่สะสมไว้ที่พุงและส่วนอื่นๆ ในร่างกาย ให้เป็นพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

+ นี่คือวิธีเริ่มต้น: 👇

✅ ลดการกินคาร์โบไฮเดรต Lower Carb Intake
+ โดยเฉพาะคาร์บขัดสี และน้ำตาล
+ ช่วยลดการพุ่งของอินซูลิน และส่งสัญญาณให้ร่างกายหยุดสะสมไขมัน และเริ่ม เผาผลาญไขมัน
✅ เว้นช่วงระหว่างมื้อให้นานขึ้น Extend Time Between Meals
+ การจำกัดช่วงเวลากิน Intermittent Fasting จะช่วยลดระดับอินซูลิน
+ สร้าง “สภาวะเหมาะสม” สำหรับการเผาผลาญไขมันและการปรับสมดุลฮอร์โมน
✅ ขยับตัวหลังอาหาร Move After Eating
+ การเดินสั้นๆ หลังมื้ออาหาร ช่วยให้กล้ามเนื้อดูดซึมน้ำตาลได้เร็วขึ้น
+ ส่งผลให้ ไวต่ออินซูลิน มากขึ้น และ ลดการสะสมไขมัน
✅ กินอาหารจริง (Whole Foods)
+ โฟกัสที่:
• โปรตีน (กินเนื้อเป็นหลัก)
• ไขมันดี (ตามด้วยไขมันดี)
• ใยอาหาร
• ผักที่ไม่ใช่แป้ง (non-starchy vegetables)
+ สิ่งเหล่านี้ช่วย รักษาระดับน้ำตาลให้คงที่ และลดความอยากอาหารได้ตามธรรมชาติ
7
+ เมื่อร่างกายของคุณกลับมาเผาผลาญไขมันได้อีกครั้ง:
• ความหิวลดลง
• พลังงานคงที่
• การอักเสบลดลง
• การลดไขมันง่ายขึ้น
• สมองโล่ง คิดชัดเจน

+ นี่แหละคือ พลังของความยืดหยุ่นของการเผาผลาญ metabolic flexibility
8
+ นี่ไม่ใช่ “เทรนด์ไดเอท” ใหม่แบบตามแฟชั่น

+ แต่นี่คือ วิธีที่ร่างกายของคุณทำงานอย่างถูกต้อง ถ้าได้รับสัญญาณที่ถูกต้อง

+ นี่คือการใช้ชีวิตแบบ ฉลาดเรื่องอินซูลิน (Insulin-smart living)
9
+ คุณไม่ได้เสียหาย แค่ส่ง “สัญญาณผิด” ให้ร่างกายมาตลอด

+ พลิกสวิตช์การเผาผลาญกลับมา
~ เผาผลาญไขมัน
~ ฟื้นฟูร่างกาย และ
~ เรียกคืนพลังงานของคุณ

== บทสรุป ==

+ ร่างกายของคุณถูกออกแบบมาให้เผาผลาญไขมัน แต่ชีวิตยุคใหม่ทำให้ “สวิตช์” นั้นถูกปิดไป

+ แต่คุณสามารถเปิดสวิตช์นี้อีกครั้ง และกลับมารู้สึกยอดเยี่ยมได้อีกครั้ง

Cr : https://x.com/metabolicfactor/status/1941733559263236554?s=61

10/07/2025

ถั่วหมัก ‘นัตโตะ’
ดีต่อหลอดเลือดและหัวใจ
ยิ่งกว่ายา statin

1093.+ Nattokinase เป็นอาหารเสริมอันดับ 1 เพื่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด*[ Nattokinase (นัตโตะคิเนส) เป็นชื่อเอนไซม์ชนิดหน...
09/07/2025

1093.

+ Nattokinase เป็นอาหารเสริมอันดับ 1 เพื่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด

*[ Nattokinase (นัตโตะคิเนส) เป็นชื่อเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่ได้จากการหมักถั่วเหลืองโดยใช้แบคทีเรีย Bacillus subtilis ซึ่งเป็นกระบวนการเดียวกับที่ใช้ทำอาหารญี่ปุ่นที่เรียกว่า “นัตโตะ natto“ ]

+ เอนไซม์ NK ช่วยลด คราบพลัค (plaque), สลายลิ่มเลือด (clots), และลดความดันโลหิต ในการทดลอง พบว่ามันลดคราบพลัคในหลอดเลือดได้ 36.6% (เมื่อเทียบกับ 11.5% ของยากลุ่ม statin)

+ นี่คือทุกสิ่งที่คุณควรรู้:

1.
+ ในปี 1987 ดร. ฮิโรยูกิ ซูมิ (Dr. Hiroyuki Sumi) แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก มีภารกิจในการค้นหา สารละลายลิ่มเลือดที่ทรงพลังที่สุดจากธรรมชาติ

+ เขาทดสอบอาหาร 173 ชนิดบนลิ่มเลือดเทียม (artificial blood clots)

+ อาหารชนิดหนึ่งสามารถสลายลิ่มเลือดได้ภายใน 18 ชั่วโมง เร็วกว่าสิ่งอื่นที่เขาทดลองทั้งหมด => อาหารนั้นคือ? นัตโตะ (Natto)

2.
+ นัตโตะ ทำจากถั่วเหลืองหมัก (fermented soybeans) ที่มีกลิ่นเหมือนถุงเท้าเก่า (และรสชาติแย่ยิ่งกว่า)

+ แต่ระหว่างกระบวนการหมัก แบคทีเรีย Bacillus subtilis จะผลิตเอนไซม์ชื่อว่า nattokinase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ “กิน” ลิ่มเลือดโดยตรง

+ มันเป็นหนึ่งในวิธีดูแลระบบหัวใจและหลอดเลือดที่ทรงพลังที่สุด และมาจากธรรมชาติ!

3.
+ อะไรทำให้ nattokinase NK ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ?

+ มันต่างจากยาแอสไพริน (aspirin) ที่แค่ป้องกันการเกิดลิ่มเลือด, NK สลายลิ่มเลือดที่มีอยู่แล้ว

+ มันทำลาย fibrin ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำหน้าที่เป็น “กาว” ยึดลิ่มเลือดให้ติดกัน

4.
+ มาดูประโยชน์ที่พิสูจน์ทางคลินิกกัน
* [Ref : อ้างอิง แปะอยู่ในช่องคอมเม้นท์]
1) การปกป้องหัวใจและหลอดเลือด Cardiovascular protection
+ ในการทดลองทางคลินิก 26 สัปดาห์ ผู้ที่รับประทาน nattokinase มีคราบพลัคในหลอดเลือดลดลง 36.6% เทียบกับ กลุ่มที่ใช้ statin ลดลงเพียง 11.5%

+ เหมือน NK ช่วยขัดสนิมในท่อ ทำให้หลอดเลือดกว้างขึ้นและสุขภาพดีขึ้น
2) ผลต่อความดันโลหิตก็น่าทึ่งไม่แพ้กัน
+ มีงานวิจัยหลายฉบับกับมนุษย์ แสดงว่า NK ช่วยลดความดันตัวบน ซิสโตลิก (systolic pressure) ลง 5.5-10.9 mmHg

+ ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้ยาลดความดันในขนาดต่ำ low-dose แต่แทนที่จะต้องใช้ใบสั่งยา แค่กินถั่วหมักก็พอ
3) มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด Anticoagulant effect ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง Stroke
+ เนื่องจากโรคหลอดเลือดสมองส่วนใหญ่เกิดจากหลอดเลือดอุดตันหรือลิ่มเลือดในสมอง กลไกการสลายลิ่มเลือดของ NK จึงช่วยป้องกันสโตรคได้

+ รายงานคลินิกจากญี่ปุ่นแสดงว่า NK ช่วยป้องกันการลุกลามของโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยเฉียบพลัน ช่วยให้สมองได้รับเลือดมากขึ้น!
4) ภาวะลิ่มเลือดดำลึก (Deep Vein Thrombosis - DVT)
+ ในการศึกษากับผู้ป่วยหลอดเลือด 153 คน NK ขนาด 100 มก.ต่อวัน ช่วยบรรเทาอาการของ DVT โดยไม่ทำให้เกิดลิ่มเลือดใหม่

*[ภาวะลิ่มเลือดดำลึก (Deep Vein Thrombosis - DVT)
~ คือ ภาวะที่เกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำลึก ซึ่งมักเกิดบริเวณ ขา หรือ ต้นขา มากที่สุด
~ โดยลิ่มเลือดนี้สามารถขัดขวางการไหลเวียนของเลือด และ
~ หากลิ่มเลือดหลุดออกมา อาจเคลื่อนเข้าสู่ปอด และทำให้เกิดภาวะอันตรายที่เรียกว่า Pulmonary Embolism (PE) หรือภาวะลิ่มเลือดอุดตันในปอดได้ ]

+ ไม่มีรายงานการเกิดลิ่มเลือดใหม่ในช่วงติดตามผลเลย

+ มีรายงานว่า ลูกเรือสายการบินญี่ปุ่นใช้ NK เพื่อป้องกัน “โรคชั้นประหยัด” (economy class syndrome)
5) อาจมีผลต่ออายุยืน Longevity
+ พื้นที่ในญี่ปุ่นที่บริโภคนัตโตะมากที่สุด มีอัตราโรคหัวใจต่ำที่สุด และอายุขัยเฉลี่ยยาวนานที่สุด

+ ชาวโอกินาวา (Okinawans) มีอายุยืนที่สุดในโลก และนัตโตะคืออาหารหลักของพวกเขา แม้จะไม่ใช่หลักฐานเชิงสาเหตุ แต่น่าคิด!
5
+ คนส่วนใหญ่มักใช้ขนาด NK ผิด

+ การศึกษาชี้ว่า ขนาดต่ำกว่า 3600 FU (Fibrinolytic Units = หน่วยการสลายลิ่มเลือด) ไม่มีประสิทธิภาพ

+ ขนาด 10,800 FU คือ ขนาดเดียวที่แสดงว่า สามารถย้อนกลับภาวะหลอดเลือดแข็งตัว (atherosclerosis) ได้

+ นอกจากนี้ ผลลัพธ์เหล่านี้มาจากการใช้ร่วมกับวิตามิน K2 ขนาด 180 ไมโครกรัม (μg)

+ หลายบริษัทที่ผลิต NK กลับไม่มีเอนไซม์ nattokinase จริงๆ! ถ้าไม่มีเอนไซม์นี้ นัตโตะก็แค่ถั่วเหม็นธรรมดา

[พื้นที่โฆษณา …. ไปหาอ่านเองนะ] :
+ ผู้เขียนเนื้อหาแสดงความมั่นใจว่า NK จะช่วยผู้มีปัญหาหัวใจได้มาก บริษัทอย่าง Toku (ซึ่งผู้เขียนลงทุนด้วย) ใช้ปริมาณที่พิสูจน์ทางคลินิกคือ 10,800 FU และผสมกับวิตามิน K2 (180μg) และเบต้ากลูแคน (Beta Glucan) เพื่อเพิ่มการดูดซึม

Cr : https://x.com/jwmares/status/1937196388473012319?s=61

09/07/2025

แรงจับมือ Grip Strength
ตัวทำนายอายุขัย

1092.-1(รีโพส เนื่องจากโพสเดิม 1092. แชร์ไปได้เนื้อหาทับภาพคลิป อ่านไม่สะดวก)+ ตัวชี้วัดที่แม่นยำที่สุดตัวหนึ่งว่า เราจะ...
08/07/2025

1092.-1
(รีโพส เนื่องจากโพสเดิม 1092. แชร์ไปได้เนื้อหาทับภาพคลิป อ่านไม่สะดวก)

+ ตัวชี้วัดที่แม่นยำที่สุดตัวหนึ่งว่า เราจะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน:
== แรงจับมือ Grip Strength ==

+ มันไม่ใช่แค่เรื่องของ “ความแข็งแรง”… แต่มันสะท้อนสุขภาพโดยรวมของคุณโดยตรง

+ นี่คือเหตุผลว่า ทำไม แรงจับมือ grip strength ถึงสำคัญ, มันเผยอะไรบ้าง, และจะพัฒนาได้อย่างไร:

1. แรงจับมือ Grip Strength คือ อะไร?

+ Grip strength คือ ความแข็งแรงของมือของเรา ที่สามารถออกแรงบีบได้ [แรงบีบเหมือนก้ามปู]

+ แต่มันไม่ใช่แค่ “พลังของมือ” เท่านั้น มันสะท้อนถึง:
• สุขภาพของระบบประสาท (Nervous system health)
• คุณภาพของกล้ามเนื้อ (Muscle quality)
• การประสานงานของร่างกาย (Coordination)
• ความสมดุลของฮอร์โมน (Hormonal balance)
และมันเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสุขภาพที่เชื่อถือได้มากที่สุดที่เรามี

2. ทำไม Grip Strength ถึงทำนายอายุขัยได้

+ งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า :
ยิ่งคุณมี grip อ่อนแรงเท่าไร, ยิ่งมีความเสี่ยงของ:
• โรคหัวใจ
• โรคหลอดเลือดสมอง
• มะเร็ง
• ภาวะสมองเสื่อม
• การเสียชีวิตก่อนวัยอันควร,
เพิ่มสูงขึ้นมากเท่านั้น

+ มันทำนายได้แม่นยำยิ่งกว่า ความดันโลหิต, ค่าดัชนีมวลกาย (BMI), หรือตัวเลขคอเลสเตอรอล

3. วิทยาศาสตร์(เหตุผล) ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

+ Grip strength คือ สิ่งที่ใช้แทนความแข็งแรงและความมีชีวิตชีวาของร่างกายทั้งตัว (proxy for total-body strength and vitality)

+ Grip ต่ำ มักหมายถึง:
• ภาวะสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ Sarcopenia
• การอักเสบเรื้อรัง Chronic inflammation
• สัญญาณจากระบบประสาทที่อ่อนแอ Weak nervous system signaling
• พฤติกรรมเนือยนิ่ง อยู่เฉยๆ ทั้งวัน Sedentary habits
+ สรุป: ระบบของคุณเริ่มเสื่อมแล้ว

4. มันไม่ใช่แค่เรื่องของ “อายุ”

+ คนส่วนใหญ่มักคิดว่า “Grip strength” สำคัญแค่ตอนอายุ 70+, ผิด

+ แรงกำมือเริ่มลดลงตั้งแต่อายุ 30 ถ้าคุณไม่เคลื่อนไหวไม่ออกกำลัง

+ และเมื่อคุณเริ่มรู้สึกว่าอ่อนแรง… นั่นแปลว่ามันสายไปแล้ว เริ่มฝึกตั้งแต่ตอนนี้

5. สัญญาณว่า Grip ของคุณอ่อนแรง

+ ถ้าคุณลำบากกับสิ่งเหล่านี้:
• เปิดฝาขวดโหล
• จับบาร์เบล หรือบาร์ดึงข้อไม่ไหว
• รู้สึกเหนื่อยล้าที่มือ หรือปลายแขน
• ขาด “ความว่องไว” หรือความแม่นยำในการใช้นิ้วมือ dexterity

+ คุณไม่ได้แค่กำไม่อยู่… คุณกำลังสูญเสียเวลาชีวิต

6. วิธีเพิ่ม Grip Strength แบบธรรมชาติ

+ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์หรูหรา เริ่มจาก:
• Dead hangs (โหนตัวจากบาร์ 30–60 วินาที)
• Farmer’s carries (เดินถือของหนัก)
• Towel hangs (ห้อยด้วยผ้าขนหนู)
• Deadlifts แบบไม่ใช้สายรัดมือ
• บีบลูกเทนนิส หรือบีบ gripper
• บีบจานน้ำหนัก (Plate pinches)

+ ฝึกสัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง, เพิ่มน้ำหนักตามลำดับ, รักษาความสม่ำเสมอ

7. มันช่วยอะไรได้อีกบ้าง

+ Grip แข็งแรง = ผลลัพธ์สุขภาพดีในหลายด้าน:
• เทสโทสเตอโรนสูงขึ้น Higher testosterone
• บุคลิกภาพดีขึ้น Better posture
• มวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น
• การประสานงานร่างกายดีขึ้น
• ต้านทานการหกล้ม, กระดูกหัก, และทนต่ออาการปวดได้ดีขึ้น

+ Grip คือ แกนกลางของสมรรถภาพทางกาย

สรุปสุดท้าย ;
+ Grip strength คือ รหัสลัดในการทำนายอนาคตของคุณ :
ถ้ามันอ่อนแอ → เวลาของคุณกำลังลดน้อยลง
ถ้ามันแข็งแรง → คุณกำลังเติบโตและแข็งแรงขึ้น

+ ฝึกมันเหมือนกับชีวิตของคุณขึ้นอยู่กับมัน เพราะมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

Cr : https://x.com/joeyyochheim/status/1940405949081976849?s=61

08/07/2025

1092.

+ ตัวชี้วัดที่แม่นยำที่สุดตัวหนึ่งว่า เราจะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน:
== แรงจับมือ Grip Strength ==

+ มันไม่ใช่แค่เรื่องของ “ความแข็งแรง”… แต่มันสะท้อนสุขภาพโดยรวมของคุณโดยตรง

+ นี่คือเหตุผลว่า ทำไม แรงจับมือ grip strength ถึงสำคัญ, มันเผยอะไรบ้าง, และจะพัฒนาได้อย่างไร:

1. แรงจับมือ Grip Strength คือ อะไร?

+ Grip strength คือ ความแข็งแรงของมือของเรา ที่สามารถออกแรงบีบได้ [แรงบีบเหมือนก้ามปู]

+ แต่มันไม่ใช่แค่ “พลังของมือ” เท่านั้น มันสะท้อนถึง:
• สุขภาพของระบบประสาท (Nervous system health)
• คุณภาพของกล้ามเนื้อ (Muscle quality)
• การประสานงานของร่างกาย (Coordination)
• ความสมดุลของฮอร์โมน (Hormonal balance)
และมันเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสุขภาพที่เชื่อถือได้มากที่สุดที่เรามี

2. ทำไม Grip Strength ถึงทำนายอายุขัยได้

+ งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า :
ยิ่งคุณมี grip อ่อนแรงเท่าไร, ยิ่งมีความเสี่ยงของ:
• โรคหัวใจ
• โรคหลอดเลือดสมอง
• มะเร็ง
• ภาวะสมองเสื่อม
• การเสียชีวิตก่อนวัยอันควร,
เพิ่มสูงขึ้นมากเท่านั้น

+ มันทำนายได้แม่นยำยิ่งกว่า ความดันโลหิต, ค่าดัชนีมวลกาย (BMI), หรือตัวเลขคอเลสเตอรอล

3. วิทยาศาสตร์(เหตุผล) ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

+ Grip strength คือ สิ่งที่ใช้แทนความแข็งแรงและความมีชีวิตชีวาของร่างกายทั้งตัว (proxy for total-body strength and vitality)

+ Grip ต่ำ มักหมายถึง:
• ภาวะสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ Sarcopenia
• การอักเสบเรื้อรัง Chronic inflammation
• สัญญาณจากระบบประสาทที่อ่อนแอ Weak nervous system signaling
• พฤติกรรมเนือยนิ่ง อยู่เฉยๆ ทั้งวัน Sedentary habits
+ สรุป: ระบบของคุณเริ่มเสื่อมแล้ว

4. มันไม่ใช่แค่เรื่องของ “อายุ”

+ คนส่วนใหญ่มักคิดว่า “Grip strength” สำคัญแค่ตอนอายุ 70+, ผิด

+ แรงกำมือเริ่มลดลงตั้งแต่อายุ 30 ถ้าคุณไม่เคลื่อนไหวไม่ออกกำลัง

+ และเมื่อคุณเริ่มรู้สึกว่าอ่อนแรง… นั่นแปลว่ามันสายไปแล้ว เริ่มฝึกตั้งแต่ตอนนี้

5. สัญญาณว่า Grip ของคุณอ่อนแรง

+ ถ้าคุณลำบากกับสิ่งเหล่านี้:
• เปิดฝาขวดโหล
• จับบาร์เบล หรือบาร์ดึงข้อไม่ไหว
• รู้สึกเหนื่อยล้าที่มือ หรือปลายแขน
• ขาด “ความว่องไว” หรือความแม่นยำในการใช้นิ้วมือ dexterity

+ คุณไม่ได้แค่กำไม่อยู่… คุณกำลังสูญเสียเวลาชีวิต

6. วิธีเพิ่ม Grip Strength แบบธรรมชาติ

+ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์หรูหรา เริ่มจาก:
• Dead hangs (โหนตัวจากบาร์ 30–60 วินาที)
• Farmer’s carries (เดินถือของหนัก)
• Towel hangs (ห้อยด้วยผ้าขนหนู)
• Deadlifts แบบไม่ใช้สายรัดมือ
• บีบลูกเทนนิส หรือบีบ gripper
• บีบจานน้ำหนัก (Plate pinches)

+ ฝึกสัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง, เพิ่มน้ำหนักตามลำดับ, รักษาความสม่ำเสมอ

7. มันช่วยอะไรได้อีกบ้าง

+ Grip แข็งแรง = ผลลัพธ์สุขภาพดีในหลายด้าน:
• เทสโทสเตอโรนสูงขึ้น Higher testosterone
• บุคลิกภาพดีขึ้น Better posture
• มวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น
• การประสานงานร่างกายดีขึ้น
• ต้านทานการหกล้ม, กระดูกหัก, และทนต่ออาการปวดได้ดีขึ้น

+ Grip คือ แกนกลางของสมรรถภาพทางกาย

สรุปสุดท้าย ;
+ Grip strength คือ รหัสลัดในการทำนายอนาคตของคุณ :
ถ้ามันอ่อนแอ → เวลาของคุณกำลังลดน้อยลง
ถ้ามันแข็งแรง → คุณกำลังเติบโตและแข็งแรงขึ้น

+ ฝึกมันเหมือนกับชีวิตของคุณขึ้นอยู่กับมัน เพราะมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

Cr : https://x.com/joeyyochheim/status/1940405949081976849?s=61

08/07/2025

วิตามิน D ทำหน้าที่มากกว่า
เป็นแค่ “วิตามิน”

1091.+ คุณได้รับผลตรวจร่างกายกลับมา หลังจากไปตรวจสุขภาพประจำปี=> รายงานบอกว่า “ขาดวิตามิน D (Vitamin D deficient).”+ คุณ...
07/07/2025

1091.

+ คุณได้รับผลตรวจร่างกายกลับมา หลังจากไปตรวจสุขภาพประจำปี
=> รายงานบอกว่า “ขาดวิตามิน D (Vitamin D deficient).”

+ คุณจึงเริ่มกินอาหารเสริม แต่ไม่เกิดอะไรขึ้นเลย เพราะคุณกลับถูกบอกถึง “เรื่องโกหกที่ฟังดูสะดวก” เกี่ยวกับ “ความจริงที่ซับซ้อน”

+ มันไม่ใช่แค่เรื่องวิตามิน แต่มันคือ การที่ระบบทั้งหมดถูกออกแบบมาให้คุณ “รู้สึกว่าตัวเองป่วย” 👇
1
+ ในปี 2011 ค่ามาตรฐานขั้นต่ำของวิตามิน D ที่ “แนะนำ” ถูกปรับเพิ่มขึ้นเป็น 30 ng/mL โดยอ้างอิงจาก “งานวิจัยเชิงสังเกตเพียงฉบับเดียว” (observational study)

+ และแค่ชั่วข้ามคืน คนนับล้านที่ร่างกายปกติ ก็ถูกระบุว่า “ขาดวิตามิน D”
ที่มา: รายงานของสถาบันการแพทย์แห่งชาติสหรัฐฯ (NAM / Institute of Medicine) ปี 2011

+ เป็นการเปิดตลาดใหม่ที่สมบูรณ์แบบ
2
+ ใครได้ประโยชน์?
~ ห้องแล็บตรวจเลือด
~ บริษัทขายอาหารเสริม (ที่ขายยาวิตามิน D เพิ่ม)

+ พวกเขาสร้างปัญหา แล้วขาย “ทางออก” ให้คุณ

+ นี่คือหนึ่งในกลโกงครั้งใหญ่ที่สุดของโลกสุขภาพยุคใหม่
3
+ จบเรื่องไหม? วิตามิน D = การหลอกลวง?

+ ไม่ใช่ และนี่แหละคือกับดักอันตรายที่หลอกคนได้เป็นล้าน

+ ปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่วิตามิน แต่มันคือ “คำโกหกแบบไซส์เดียวใช้ได้กับทุกคน one-size-fits-all lie” ที่พวกเขายัดใส่คุณมาพร้อมกัน
4
+ ก่อนอื่น มาทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อน:
== วิตามิน D ไม่ใช่แค่ทำหน้าที่เป็น “วิตามิน” ==

+ แต่มันคือ ฮอร์โมนสเตียรอยด์ (steroid hormone) ที่ร่างกายคุณ “สังเคราะห์เองได้จากแสงแดด”

+ มันสำคัญต่อ “สุขภาพกระดูก” เพราะช่วยในการขนส่งแคลเซียม

+ การบอกว่า “คุณไม่ต้องการมันเลย” ก็ผิดพอๆ กับการปลูกฝังความกลัวแบบสุดโต่งของอุตสาหกรรมนี้
5
+ วายร้ายที่แท้จริงคือ แนวคิดที่ว่า : เราควรมีวิตามินใน “ปริมาณมาตรฐานเดียวสำหรับทุกคน”

+ แต่ระดับวิตามิน D ที่เหมาะสมของคุณนั้น แตกต่างกันอย่างมากกับคนข้างๆ

+ มีมากถึง 50% ของความแตกต่างนี้ เกิดจากพันธุกรรมของคุณล้วนๆ

+ ค่าที่แนะนำอย่างเป็นทางการ ก็แค่ “ค่าเฉลี่ย” - เป็นแค่เครื่องมือหยาบๆ ที่พอใช้ได้เท่านั้น
6
+ ลองคิดว่า ระดับวิตามิน D ในเลือดของคุณ ก็เหมือนกับ มาตรวัดน้ำมันในรถยนต์

+ มันบอกว่า “มีน้ำมันอยู่ในถังแค่ไหน” * แต่มันไม่บอกเลยว่า เครื่องยนต์ของคุณใช้พลังงานได้ “มีประสิทธิภาพ” แค่ไหน

+ และชิ้นส่วนสำคัญของเครื่องยนต์นั้นคือ: แมกนีเซียม Magnesium
7
+ หากคุณขาดแมกนีเซียม ร่างกายของคุณจะไม่สามารถ “เปิดใช้งาน” วิตามิน D ที่มีอยู่ได้เลย

+ คุณอาจจะกินอาหารเสริมมาเป็นเดือน แต่ไม่เห็นผลอะไรเลย ถ้าแมกนีเซียมในร่างกายต่ำ

+ นี่คือ “ความลับ” ที่อุตสาหกรรมอาหารเสริม “ไม่เคยพูดถึง”, พวกเขาแค่ขายวิตามิน D3 ให้คุณมากขึ้น
8
+ อีกปัจจัยหนึ่ง: สีผิว และตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของคุณ
• คนผิวเข้ม ต้องได้รับแสงแดดมากกว่า คนผิวขาว เพื่อผลิตวิตามิน D ในปริมาณเท่ากัน
• และ “แดด 20 นาทีในฤดูหนาวของอังกฤษ” ไม่เท่ากับ “แดด 20 นาทีในหน้าร้อนของสเปน”

+ บริบท (สิ่งแวดล้อมตัวเรา) = ทุกสิ่ง
9
+ แล้ว “ครีมกันแดด” ล่ะ?
+ ความเชื่อผิดๆ: “ครีมกันแดดขัดขวางการสร้างวิตามิน D ทั้งหมด”

+ ความจริง: งานวิจัยปี 2019 ในนิตยสาร British Journal of Dermatology พบว่า เมื่อใช้ครีมกันแดดอย่างถูกต้อง ครีมกันแดด “ไม่” ขัดขวางการผลิตวิตามิน D

+ มันแค่ป้องกัน “การไหม้แดด sunburn” ซึ่งการ burn ต่างหากที่คืออันตรายแท้
10
+ แล้วทางออกที่แท้จริงคืออะไร?

+ ✅ แนวทางที่แท้จริง:
1️⃣ ตรวจเลือดเพื่อดูค่าพื้นฐานของคุณ
2️⃣ ให้แขนและขา ได้รับแดดช่วงกลางวัน 15–20 นาที
3️⃣ กินอาหารที่มีแมกนีเซียมสูง (เช่น ผักโขม อัลมอนด์ ดาร์กช็อกโกแลต)
4️⃣ กินอาหารเสริม เฉพาะเมื่อจำเป็น (โดยเฉพาะในฤดูหนาว)

+ วิตามิน K2 ก็เป็นอีกชิ้นส่วนสำคัญ

+ มันทำหน้าที่เหมือน “ตำรวจจราจร” ช่วยบอกทางให้แคลเซียมที่วิตามิน D พามา ไปสู่กระดูก ไม่ใช่ไปสะสมในหลอดเลือด ซึ่งอาจทำให้เกิดคราบแคลเซียม calcification

+ การกินวิตามิน D3 ขนาดสูง โดยไม่มีวิตามิน K2 คือ ความผิดพลาดของมือใหม่
12
+ หยุดไล่ล่า “ยาอัศจรรย์” แล้วเริ่มเข้าใจร่างกายของคุณอย่างเป็นระบบ

+ เหมือนกับเรื่องวิตามิน D - การดูแลสุขภาพที่แท้จริงไม่ใช่แค่เทคนิคเดียว

+ แต่มันคือ การวาง “ความเครียดเชิงบวก” (เช่น ความร้อน, ความเย็น) ที่เหมาะสม เพื่อกระตุ้นระบบธรรมชาติในร่างกายให้ทำงานอย่างทรงพลัง

Cr : https://x.com/thehydragun/status/1939982195176951966?s=61

07/07/2025

20 นิสัยเล็กๆ เพื่อให้ชีวิตเราดีขึ้น

1090.20 นิสัยเล็กๆ เพื่อให้ชีวิตเราดีขึ้น1. ดื่มน้ำหนึ่งแก้วทันทีที่ตื่นนอน2. เก็บที่นอนทันทีหลังจากลุกจากเตียง3. เขียนส...
06/07/2025

1090.

20 นิสัยเล็กๆ เพื่อให้ชีวิตเราดีขึ้น

1. ดื่มน้ำหนึ่งแก้วทันทีที่ตื่นนอน
2. เก็บที่นอนทันทีหลังจากลุกจากเตียง
3. เขียนสิ่งที่คุณรู้สึกอยากขอบคุณ 3 อย่างในแต่ละวัน
4. หายใจเข้าลึกๆ สักสองสามครั้งก่อนเริ่มวัน
5. ใช้เวลา 5 นาทีทำสมาธิหรือฝึกสติ (mindfulness)

6. ตั้งเป้าหมายเล็กๆ สำหรับวันนั้น
7. ทำสิ่งหนึ่งในแต่ละวันที่ทำให้คุณมีความสุข
8. เดินเล่นวันละ 10-15 นาที
9. อ่านหนังสือ 10-15 นาที ก่อนเข้านอน
10. ปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอนอย่างน้อย 30 นาที

11. ยืดเหยียดร่างกาย 5-10 นาทีในตอนเช้า
12. ฟังพอดแคสต์หรือหนังสือเสียงระหว่างเดินทาง
13. ยิ้มให้ตัวเองหน้ากระจก
14. โทรหาคนในครอบครัวหรือเพื่อน เพื่อถามไถ่
15. รักษาท่าทางที่ดีตลอดทั้งวัน

16. เขียนรายการสิ่งที่ต้องทำในวันนั้นหรือวันถัดไป
17. ใช้เวลาสักครู่เพื่อทบทวนวันของคุณก่อนนอน
18. ฝึกพูดว่า “ไม่” กับสิ่งที่คุณไม่อยากทำมันจริงๆ
19. ใช้เวลา 5-10 นาทีในการจัดระเบียบหรือเก็บของเล็กๆ น้อยๆ
20. ทำสิ่งดีๆ ให้ใครสักคนแบบไม่หวังผลตอบแทน

ขออีกสัก 4-5 ข้อครับ

โปรแกรมเวทเทรนนิ่ง สำหรับนักวิ่ง ลุงเตรียมซ้อมสำหรับงานฮาล์ฟ ATM Bangkok Marathon ปลายปีนี้
06/07/2025

โปรแกรมเวทเทรนนิ่ง สำหรับนักวิ่ง
ลุงเตรียมซ้อมสำหรับงานฮาล์ฟ ATM Bangkok Marathon ปลายปีนี้

ที่อยู่

M. BannRomMai, Soi WatYaiRom Rama2-33 Road Thakham Bangkhuntien
Bangkok
10150

เบอร์โทรศัพท์

+66818295551

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Run Along Now วิ่งตามโลกผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Run Along Now วิ่งตามโลก:

แชร์