ผลิตภัณ์เสริมอาหารบำรุงดวงตา D-contact & viewo by นภัส 0839793942

ผลิตภัณ์เสริมอาหารบำรุงดวงตา D-contact & viewo by นภัส 0839793942 แสบตา เคืองตา เป็นต้อเนื้อ ต้อกระจก ต้อลม ต้อหิน วุ้นในตาเสื่อม เหยื่อตาอักเสบ สายตาสั้น สายตาเอียง จอประสาทตาเสื่อม แพ้แสง ตาแห้ง สายตาพร่ามัว

ตาพร่ามัว อาการผิดปกติที่ควรไปตรวจตาหลายๆ คนคงจะคิดว่าแม้ไม่มีดวงตา หรือตาบอดก็ยังไม่ถึงแก่ชีวิต ทำให้การระวังรักษาดวงตา...
31/07/2017

ตาพร่ามัว อาการผิดปกติที่ควรไปตรวจตา

หลายๆ คนคงจะคิดว่าแม้ไม่มีดวงตา หรือตาบอดก็ยังไม่ถึงแก่ชีวิต ทำให้การระวังรักษาดวงตากลายเป็นเรื่องรองจากการรักษาโรคทางกายอื่นๆ ความคิดเช่นนี้มีส่วนถูกต้องอยู่ก็จริง แต่ก็คงต้องยอมรับว่า การมีสายตาปกติตั้งแต่เกิดไปจนเสียชีวิต จะทำให้เราสามารถประกอบภารกิจต่างๆ ได้ดี มีคุณภาพชีวิต ได้เห็นโลกกว้าง และมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข สามารถช่วยเหลือสังคม และไม่เป็นภาระของรัฐที่ต้องให้ความช่วยเหลือ ซึ่งหนึ่งในวิธีการดูแลดวงตาก็คือการไปตรวจตา โดยเฉพาะเมื่อเกิดอาการผิดปกติต่างๆ
อาการผิดปกติควรใส่ใจ

เพราะอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นเป็นการแสดงว่าเกิดพยาธิสภาพของอวัยวะนั้นๆ เป็นการเตือนให้เราไปรับการตรวจจากแพทย์ สำหรับอาการผิดปกติของดวงตาที่เราควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติก็ ได้แก่
ความผิดปกติของการมองเห็น ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายอย่าง เช่น ตาพร่ามัว

– ตามัวลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะเคยมองเห็นได้ดีกว่านี้ หรือมองเห็นได้น้อยกว่าผู้อื่นในวัยเดียวกัน เช่น เด็กนักเรียนยืนอยู่หลังชั้น เพื่อนๆ เห็นตัวหนังสือบนกระดานดำ แต่เราไม่เห็น หรือเคยมองเห็นป้ายบอกทางในระยะนี้ แต่บัดนี้มองไม่ชัด เป็นต้น ซึ่งโดยทั่วไปต้องคอยทดลองตาทั้ง 2 ข้าง ด้วยการปิดตาเพื่อเทียบการมองเห็นจากตา 2 ข้าง เพราะมีอยู่บ่อยมากที่ผู้ป่วยไม่ทราบว่า มองเห็นข้างเดียวมานาน เพราะตาที่เป็นโรคมัวลงอย่างช้าๆ จนเจ้าตัวไม่ได้สังเกต

– เห็นภาพบิดเบี้ยว อาจจะเห็นเส้นตรงเป็นโค้งหรือหงิกๆ งอๆ มักเป็นตาเดียว ซึ่งอาจทดสอบด้วยตัวเองโดยเทียบกับตาข้างดี อาการอย่างนี้จะบ่งถึงว่ามีความผิดปกติของจอประสาทตาส่วนกลาง (macula)

– เห็นภาพขาดหายไป เช่น มองหน้าคนไม่เห็นลูกตา หรือมองภาพคล้ายๆ ใครเอาผ้าม่านมาปิดบางส่วน หรือเห็นภาพดำๆ ตรงกลาง อาการแบบนี้เป็นความผิดปกติของลานสายตา บางคนอาจมาด้วยลานสายตาซีกขวาไม่เห็น หรือมาด้วยอาการมักจะเดินชนวัตถุที่มาทางด้านขวา เป็นต้น ภาวะดังกล่าวอาจเกิดจากความผิดปกติของจอประสาทตา ประสาทตา ตลอดจนสมอง ตาพร่ามัว.

อาการเหล่าฟื้นฟูได้ด้วย ดีคอนแทค

ติดต่อเราคลิกที่นี่

https://line.me/R/ti/p/%40iaz4122q

สั่งชื้อติดต่อ ☎ 083-979-3942 ต้อม

สนใจดูแลดวงตา ติดต่อได้เลยครับติดต่อเราคลิกที่นี่https://line.me/R/ti/p/%40iaz4122qสั่งชื้อติดต่อ  ☎ 083-979-3942 ต้อม
26/07/2017

สนใจดูแลดวงตา ติดต่อได้เลยครับ

ติดต่อเราคลิกที่นี่

https://line.me/R/ti/p/%40iaz4122q

สั่งชื้อติดต่อ ☎ 083-979-3942 ต้อม

ความดันสูง ความดันต่ำ (หมอชาวบ้าน)โดย นพ.พินิจ ลิ้มสุคนธ์          หากจะพูดถึงโรคความดันโลหิตสูง เชื่อว่าผู้อ่านคงคุ้นเค...
21/07/2017

ความดันสูง ความดันต่ำ (หมอชาวบ้าน)
โดย นพ.พินิจ ลิ้มสุคนธ์

หากจะพูดถึงโรคความดันโลหิตสูง เชื่อว่าผู้อ่านคงคุ้นเคย เพราะเป็นปัญหาที่พบบ่อย แต่ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจผิดกันได้บ่อยๆ ทั้งหมอและคนไข้ ที่ว่าเข้าใจผิดนั้นไม่ได้หมายความว่า ตัวเลขความดันโลหิตเท่าไหร่ที่จัดว่าสูง เพราะโดยทั่วไปก็เข้าใจกันถูกต้องอยู่แล้วว่าถ้าตัวเลขสูงเกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอท ก็จะถือว่ามีความดันโลหิตสูงกว่าปกติ แต่ปัญหามักจะอยู่ตรงที่ว่า เมื่อไหร่ถึงจะเรียกว่าป่วยเป็น "โรคความดันโลหิตสูง" กันแน่

คนส่วนใหญ่อาจคิดว่าอาการของโรคความดันโลหิตสูงคือ ปวดศีรษะ หรือเวียนศีรษะ ซึ่งที่จริงแล้ว จากประสบการณ์การเป็นหมอมา 30 ปีของผู้เขียน พบว่าคนไข้ที่ปวดศีรษะจากความดันโลหิตสูงมีเพียงไม่กี่รายเท่านั้น และทุกรายที่พบจะมีความดันสูงมากชนิดเฉียบพลัน ซึ่งเกิดจากโรคที่พบได้น้อย โดยจะเป็นคนละเรื่องกันกับคนส่วนใหญ่ที่มีอาการปวดศีรษะพร้อม ๆ กับที่มีความดันโลหิตสูง และบ่อยครั้งที่พบว่าเกิดจากความเครียด หรือความกลัวเมื่อปวดศีรษะจนทำให้ความดันสูงได้

คนที่มีความดันโลหิตสูงอาจไม่มีอาการป่วยให้เห็น แต่ถ้าแสดงอาการ แสดงว่าผลของความดันสูงนั้นกระทบต่อหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจโต บีบตัวไม่ปกติ หัวใจล้มเหลว มีอาการเหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ส่วนปัญหาต่อหลอดเลือด เช่น ตามัว ไตเสื่อม กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เป็นต้น

การวัดความดันโลหิตเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นความดันโลหิตสูงหรือ ไม่นั้นสำคัญมาก เพราะถ้าไม่สูงจริงแล้วไปกินยาลดก็จะเกิดอันตราย และต้องเข้าใจก่อนว่า ความดันโลหิตของคนปกติจะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงได้ในช่วงหนึ่ง การแกว่งตัวของค่าความดันนี้จะมากขึ้นเมื่อเกิดความไม่ปกติ เช่น ความเจ็บปวด ตื่นเต้น ตกใจ เครียด กังวล เป็นต้น

การวัดความดันโลหิตเพื่อดูว่ามีความดันสูงจริงหรือไม่ ต้องวัดหลาย ๆ ครั้งหลังจากที่นั่งพักและผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจแล้ว และนำค่าทั้งหมดมาพิจารณาดูการแกว่งตัว หากค่าที่วัดได้ส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ปกติก็ยังไม่ต้องไปใช้ยา ในบางกรณีหมออาจต้องพิจารณาจากสภาพร่างกายหรือความเจ็บป่วยอื่นประกอบด้วย ไม่ใช่ดูแค่ตัวเลขเท่านั้น

สำหรับเรื่องของความดันโลหิตต่ำนั้น พบว่าเข้าใจผิดกันบ่อยและต้องอธิบายกันยาว เพราะความดันต่ำนั้นไม่ใช่โรค แต่เป็นความผิดปกติของแรงดันโลหิตที่มีค่าต่ำกว่าปกติ ซึ่งมักจะพบในผู้ป่วยที่มีอาการหนัก เช่น บาดเจ็บรุนแรงจนเสียเลือดมาก เสียน้ำและเกลือแร่มาก โลหิตเป็นพิษ หัวใจล้มเหลว หรือระบบประสาทอัตโนมัติผิดปกติ เป็นต้น

บางกรณีก็พบในคนที่ป่วยเป็นความดันโลหิตสูง แล้วได้รับยาลดความดันโลหิต จนทำให้ความดันลดต่ำลง ซึ่งอาจมีอาการหน้ามืดหรือเป็นลมเมื่อเปลี่ยนท่าเป็นนั่งหรือยืน แต่ก็จะมีอาการอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น

การรักษาความดันโลหิตต่ำจริง ๆ นั้น จะใช้ยาเพิ่มความดันชนิดฉีดในกรณีฉุกเฉินและทำในโรงพยาบาล ดังนั้นคนไข้ที่ไปซื้อยาเพิ่มความดันมากิน อาจเป็นเหยื่อของการโฆษณาสรรพคุณยาที่เกินจริง มีหลายคนไปหาหมอบ่อยๆ ด้วยอาการหน้ามืดตาลาย เวียนหัว มึนหัว ซึ่งเข้าข่ายอาการผิดปกติเล็กน้อยของระบบประสาททรงตัว ประกอบกับความวิตก กังวล ถ้าไปเจอหมอบางคนที่ขี้เกียจอธิบายมาก อาจจะบอกว่าเป็น "โรคความดันต่ำ" หรือที่หนักไปกว่านั้นคือบอกว่า "เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ" ทั้ง ๆ ที่ไม่มีหลักฐานมาสนับสนุน

คนไข้บางคนยังดูแข็งแรง อยู่ในวัยหนุ่มสาว เอะอะอะไรก็ "เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ" เสียแล้ว ถ้าเป็นคนแก่ก็ว่าไปอย่าง แต่ถึงแม้เป็นคนแก่ ก็ต้องมีเหตุผลสนับสนุนและบ่งว่าสมองผิดปกติ เช่น พูดไม่ชัด เห็นภาพซ้อน กลืนลำบาก ชา ชัก หรือเป็นอัมพาต ไม่ใช่แค่อาการ มึนงง เวียนศีรษะ ก็หาว่าความดันต่ำหรือเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ อย่างนี้ผู้เขียนเคยใช้คำว่า "โรคมั่ว" มาแล้ว

การพิจารณาค่าความดันโลหิตและการรักษานั้น ควรดูหลายอย่างประกอบกัน เช่น สภาพร่างกายและจิตใจ การวัดหลายๆ ครั้งในสภาวะที่ผ่อนคลาย รวมทั้งพิจารณาอาการพื้นฐานของร่างกาย และความเจ็บป่วยประกอบกับตัวเลข ส่วนคนไข้ก็อย่าวิตกกังวลจนเกินเหตุ ควรพิสูจน์ให้แน่นอนโดยมีเหตุผลสนับสนุนอย่างเพียงพอว่า เป็นความดันสูงหรือ ความดันต่ำจริงๆ

ติดต่อเราคลิกที่นี่

https://line.me/R/ti/p/%40iaz4122q

สั่งชื้อติดต่อ ☎ 083-979-3942 ต้อม

ตาแพ้แสง  ภาวะตาแพ้แสงไม่ใช่โรค แต่เป็นอาการผิดปกติทางตาด้วยอาการแสบตา เคืองตา ปวดตา เวลาตามองแสงที่มีความสว่างในขนาดที่...
21/07/2017

ตาแพ้แสง

ภาวะตาแพ้แสงไม่ใช่โรค แต่เป็นอาการผิดปกติทางตาด้วยอาการแสบตา เคืองตา ปวดตา เวลาตามองแสงที่มีความสว่างในขนาดที่คนปกติไม่รู้สึกอะไร ซึ่งอ่จเป็นอาการของโรคหลายโรค ได้แก่ โรคทางสมอง เช่น เนื้อสมองหรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ปวดศีรษะไมเกรน และอื่นๆ

อย่างไรก็ตามปัญหาตาแพ้แสงส่วนใหญ่ยังคงมาจากความผิดปกติทางตาในที่นี้จะพูดถึงเฉพาะปัญหาทางตาที่พบบ่อยๆ ได้แก่

ตาแห้ง

เป็นความผิดกติของน้ำตาและผิวหน้าดวงตา ส่งผลให้ความคงตัวของน้ำตาผิดปกติ ความเข้มข้นของน้ำตาเพิ่มขึ้น ทำให้ผิวตาถูกทำลาย ถือเป็นสารเหตุของอาการแพ้แสงที่พบบ่อยในคนวัยทำงาน เกิดจากหลายสาเหตุ ได้แก่ การใช้เลนส์สัมผัสหรือคอมแทคเลนส์นาน จ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ โรคของเปลือกตา ต่อมไมโบเมียนทำงานผิดปกติ อยู่ในที่มีความช้ำต่ำ (ในห้องแอร์) ลมแรง สูบบุหรี่ หรือแม้แต่การรับประทานยาบางตัว เช่น ยารักษาสิว ยาแก้แพ้ ตลอดจนยาหยอดตาที่มีสารกันเสีย หากมีอาการแพ้แสงจากภาวะตาแห้ง คงต้องหลีกเลี่ยงหรือรักษาที่ต้นเหตุ ตลอดจนใช้น้ำตาเทียมช่วย

ความผิดปกติของกระจกตา

กระจกตาหรือตาดำคนเราอยู่ส่วนหน้าสุด เป็นอวัยวะที่สำคัญเกี่ยวกับการมองเห็น มีเส้นประสาทมาเลี้ยงมาก จึงไวต่อความรู้สึกมาก ความผิดปกติเพียงเล็กน้อยจะก่อให้เกิดอาการเจ็บ ระคายเคือง และแพ้แสงได้มาก ความผิดปกติของกระจกตา ที่เป็นสาเหตุของตาแพ้แสงมีดังนี้

• ผิวกระจกตาถลอก เป็นการหลุดลอกของผิวกระจกตาที่บางมาก มักเกิดจากอุบัติเหตุถูกกิ่งไม้หรือใบไม้บาดตา หรือเศษผงเข้าตาแล้วเผลอขยี้ตาการถอดคอนแทคเลนส์ที่ผิดพลาด สารเคมีเข้าตาภาวะนี้ก่อให้เกิดความเจ็บปวดอย่างมาก ตาแพ้แสงอย่างรุนแรง


• แผลจุดเล็กๆ ที่ผิวกระจกตา อาจเกิดจากรังสียูวี พบในช่างอ๊อกเหล็กที่ไม่สวมแว่นกันแสง มีการติดเชื้อไวรัส และอื่นๆ


• สิ่งแปลกปลอม เศษผงติดบนกระจกตา


• การอักเสบติดเชื้อของกระจกตา


• กระจกตาบวมจากสาเหตุต่างๆ เช่น ต้อหินเฉียบพลัน การใส่คอนแทคเลนส์นานเกินไปทำให้กระจกตาขาดออกซิเจน สารเคมีเข้าตา เป็นต้น


ม่านตาอักเสบ

ด้วยเหตุที่ม่านตาเป็นอวัยวะอยู่ข้างในลูกตาที่มีเลือดไหลผ่านสูง จึงอาจทำให้มีการอักเสบที่มาทางหลอดเลือดหรือแม้แต่สารสร้างภูมิคุ้มกันมาสู่ม่านตา ก่อให้เกิดการอักเสบ เกิดอาการสู้แสงไม่ได้ขึ้นมา ม่านตาอักเสบอาจเกิดจากการติดเชื้อ จากปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันของร่างกายอุบัติเหตุ และหลายคนมีการอักเสบร่วมกับโรคทางกายตลอดจนที่หาสาเหตุไม่พบก็มีมาก ม่านตาอักเสบเป็นภาวะที่อันตราย อาจนำไปสู่การสูญเสียสายตาและตาบอดได้ ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีอาการแพ้แสงร่วมด้วย

นอกจากนี้ยังมีความผิดปกติทางตาอื่นๆ เช่น เปลือกตาขาวอักเสบ ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อ และบางกรณีก็ไม่ทราบสาเหตุ มักพบร่วมกับผู้ที่มีข้ออักเสบ แต่พบไม่บ่อยนัก มักมีอาการปวดและตาแพ้แสงร่วมด้วย เยื่อบุตาอักเสบ ส่วนมากก่อให้เกิดตาแดง มีขี้ตา ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการแพ้แสงร่วมด้วย โดยเฉพาะรายที่มีการอักเสบกินเข้าไปขอบตาดำ เลือดออกในช่องหน้าตา อาจเป็นจากอุบัติเหตุหรือมีความผิดปกติภายในดวงตา ที่ก่อให้เกิดหลอดเลือดใหม่ มักจะร่วมกับการอักเสบภายในช่องหน้าตา จึงมักจะมีอาการแพ้แสงร่วมด้วย ต้อลม ต้อเนื้อ การอักเสบของต้อลมและต้อเนื้ออาจทำให้เกิดการแพ้แสงได้ในบางราย ต้อหินเฉียบพลัน อาการหลักๆ คือ ตามัว ปวดตา และมักจะมีอาการแพ้แสงร่วมด้วย

โดยสรุปอาการแพ้แสงมักเกิดจากความผิดปกติ หรือมีโรคตาส่วนหน้า ซึ่งประกอบด้วย ผิวตาส่วนหน้า กระจกตา ตาขาว ช่องหน้าตา ม่านตา มีทั้งที่เป็นการอักเสบเล็กๆ รักษาหรือแก้ไขได้ง่ายๆ มักไม่มีผลต่อสายตาแต่อาจก่อความรำคาญเล็กน้อยไปจนถึงการอักเสบของเนื้อเยื่อที่สำคัญภายใน หากรักษาช้าหรือไม่ถูกต้องอาจทำให้ตาบอดได้

วิธีปฏิบัติเมื่อรู้สึกว่าตาแพ้แสง

• สังเกตว่าอาการมากน้อยเพียงใด เช่น อยู่ในที่แสงจ้ามากถึงมีอาการ อย่างนี้คงเป็นภาวะปกติ ใช้วิธีหลีกเลี่ยงจากบริเวณนั้น หรือใช้แว่นกรองแสงหรือแว่นกันแดดช่วย

• เป็นเวลาใดบ้าง เช่น ใช้คอมพิวเตอร์นานๆ เล่นโทรศัพท์มือถือหรือเล่นเกมเป็นเวลานาน มักจะเกิดจากภาวะตาแห้ง ลองพักสายตาโดยการหลัตาหรือมองไกลๆ สลับกันเวลาทำงาน หรืออาจใช้น้ำตาเทียมหยอดตาช่วย

• นอกจากตาสู้แสงไม่ได้ มีอาการอื่นร่วมด้วยหรือไม่ เช่น มีตาแดง ขี้ตา น้ำตาไหล ตลอดจนมีคนใกล้เคียงเป็นก่อน อาจเป็นตาแดง โดยเป็นการติดเชื้อไวรัสที่เยื่อบุตา สมควรไปพบแพทย์ หรือถ้าไม่สะดวกอาจซื้อยาหยอดตาฆ่าเชื้อโดยสอบถามจากเภสัชกร

• หากมีอาการอื่นร่วมกับตาแพ้แสง เช่น ปวดตา ตามัว ถือเป็ภาวะแพ้แสงที่อันตราย มักจะมีโรคที่ร้ายแรง สมควรปรึกษาแพทย์ทันที

การใช้แว่นกรองแสงหรือแว่นกันแดดเป็นรักษาที่ปลายเหตุ แต่เมื่อมีแสงจ้าเข้าตา การลดแสงโดยใช้แว่นกรองแสงก็ดูสมเหตุสมผลอยู่ หากมีอาการตาแพ้แสง แนะนำให้ใช้แว่นกรองแสงช่วย ขณะเดียวกันควรไปรับการตรวจว่ามีความผิดปกติหรือมีโรคตาอะไรเป็นเหตุ การรักษาต้นเหตุทำให้อาการหายขาดได้

ศ.พญ.สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต
จักษุแพทย์

ติดต่อเราคลิกที่นี่

https://line.me/R/ti/p/%40iaz4122q

สั่งชื้อติดต่อ ☎ 083-979-3942 ต้อม

รู้จัก "โรคภูมิแพ้ตา" ไม่รีบรักษามีสิทธิ์ตาบอดโรคภูมิแพ้ของตานั้น เป็นอาการของภูมิแพ้อย่างหนึ่ง สามารถเกิดได้แทบทุกส่วนข...
21/07/2017

รู้จัก "โรคภูมิแพ้ตา" ไม่รีบรักษามีสิทธิ์ตาบอด

โรคภูมิแพ้ของตานั้น เป็นอาการของภูมิแพ้อย่างหนึ่ง สามารถเกิดได้แทบทุกส่วนของดวงตา ตั้งแต่เปลือกตา หนังตา เยื่อบุตาขาว กระจกตา ท่อน้ำตา ไปจนถึงต่อมน้ำตา แต่ส่วนมากมักจะเกิดกับเยื่อบุตาขาว

ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ตา มักจะเป็นผู้ที่มีอาการของโรคภูมิแพ้อื่นๆ อยู่แล้ว เช่น แพ้อากาศ แพ้อาหาร เป็นต้น โดยอาการมักจะแสดงออกในระบบอื่นด้วย เช่น มีอาการของลมพิษ หรือผื่นคันตามผิวหนัง คัดจมูก มีน้ำมูกใส แต่ก็มีไม่น้อย ที่ผู้ป่วยมีอาการปรากฏที่ตาเพียงอย่างเดียว อาทิเช่น คันตามาก อาจมีอาการหนังตา หรือเปลือกตาบวมร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ มักมีขี้ตาเยอะ โดยเฉพาะในเวลาตื่นนอนตอนเช้า ขี้ตามีลักษณะเป็นสีขาวขุ่น หรือเหลืองอ่อนๆ หากมีอาการติดเชื้อของดวงตาร่วมด้วย ขี้ตาจะเป็นสีเขียว

เยื่อบุตาขาวอาจมีสีแดงเรื่อๆ ไปจนถึงแดงก่ำ บางรายที่เป็นมากอาจมีอาการปวดตาร่วมด้วย ในรายที่อาการแพ้เป็นอย่างรุนแรง อาจทำให้การมองเห็นแย่ลง มีตามัวกระจกตาเกิดเป็นแผล และอาจถึงตาบอดได้ หากปล่อยทิ้งเอาไว้ไม่ได้รับการรักษา

รู้จัก “โรคภูมิแพ้ตา” ไม่รีบรักษามีสิทธิ์ตาบอด

ภูมิแพ้ตา สามารถรักษาให้หายได้ โดยเฉพาะหากทราบว่าแพ้อะไร ก็ให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารนั้น ก็จะทำให้อาการแพ้หายไป ส่วนการกินยาหรือหยอดยาแก้แพ้จะช่วยบรรเทาอาการขณะที่แพ้เท่านั้น แต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ นอกจากนี้ควรรักษาความสะอาดบริเวณเปลือกตาและขนตามากขึ้น ไม่ควรขยี้ตา ควรหลีกเลี่ยงอากาศที่มีสารก่อความระคายเคืองหรือสารก่อภูมิแพ้มาก เช่น ควันธูป ควันบุหรี่

อย่าลืมว่าสุขภาพของเราเป็นสิ่งสำคัญ การออกกำลังกายเป็นประจำ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบหมวดหมู่ ดื่มน้ำสะอาด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และทำจิตใจให้สดชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ

ติดต่อเราคลิกที่นี่

https://line.me/R/ti/p/%40iaz4122q

สั่งชื้อติดต่อ ☎ 083-979-3942 ต้อม

การที่เรามี "ขี้ตา" นี่ร้ายแรงมาก ? สีขาวใสบ่งบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตาเรา... ขี้ตาของคนเราเกิดจากเมือกในน้ำตาและเซลล์ห...
21/07/2017

การที่เรามี "ขี้ตา" นี่ร้ายแรงมาก ? สีขาวใสบ่งบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตาเรา...

ขี้ตาของคนเราเกิดจากเมือกในน้ำตาและเซลล์หนังในตาของเราผสมกัน ส่วนมากแล้วจะเป็นสีใสหรือสีขาวอ่อนๆ มีไม่เยอะ จะไม่ทำให้ไม่สบายตา มิฉะนั้นคนเราจะมองข้ามไป แต่ถ้าเริ่มมีมากขึ้นหรือมีสีที่แปลกๆ นั้นหมายความว่าตาเราเริ่มผิดปกติ ต้องระวังกันแล้ว

ขี้ตาสีเหลืองเหมือนหนอง : การติดเชื้อแบคทีเรีย
ในตามีขี้ตาสีขาวขุ่นหรือเหลืองมาก และมีอาการเหมือนร้อนๆในตา เจ็บ และตาขาวของเราแดง นั่นก็คือตาได้มีการติดเชื้อแบคทีเรียอย่างชัดเจน ถ้ามือที่มีเชื้อ E. coli เชื้อ Staphylococcus aureus แล้วมาขยี้ตา ก็จะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ คนที่มีอาการแบบนี้ ในตอนค่ำคืนหรือตอนอ่านหนังสือ จะมีอาการไม่สบายตาอย่างชัดเจน และจะรู้สึกเมื่อยๆตา

ขี้ตาสีขาวปนใสๆ : มีการติดเชื้อไวรัส
เมื่อตื่นนอน ถ้ามีขี้ตามากผิดปกติ และมีสีขาวปนใสๆ และตาขาวกลายเป็นสีแดง มีอาการไอ ไข้ขึ้น ไวรัสมีผลต่อระบบทางเดินหายใจ ถ้าไวรัสได้ส่งผลต่อตาเราแล้ว อาจก่อให้เกิดโรคตาแดงจากเชื้อไวรัสแบบเฉียบพลันได้
ผู้ป่วยที่นอนไม่เป็นเวลา นอนดึก เป็นไข้ ภูมิต้านทานต่ำ ไวรัสจะเข้าสู่ร่างกายง่ายขึ้น สาเหตุการกำเริบของโรคเยื่อบุตาอักเสบ และทำให้รุนแรงมากขึ้น

ขี้ตาเป็นน้ำใสๆ: ตาเกิดอาการแพ้
บางคนรู้สึกว่าตัวเองปกติดี แต่ก็รู้สึกตาคันๆ ดูในกระจก ตาเริ่มแดง และยังมีน้ำใสๆหลั่งออกมาจากตา เยื่อบุของเปลือกตาบวมพอง นี่แสดงให้เห็นว่า เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ โดยปกติแล้วคนที่มีอาการแพ้ และชอบย้อมสีผม และชอบแต่งหน้า จะก่อให้เกิดอาการแพ้ที่ตาได้
สำหรับผู้ป่วยโรคตาแดงจากอาการแพ้ สิ่งแรกให้ห่างออกจากสิ่งของที่แพ้ และเวลาสระผม ล้างหน้า พยายามอย่าให้ตาโดนกับสารเคมีทั้งหลาย ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า เวลาสระผมให้ใช้ผ้าขนหนูปิดตาไว้ก็ได้

การป้องกันไม่ให้เกิดโรคที่ตา
การติดเชื้อแบคทีเรีย: ให้ล้างมือบ่อยๆ ให้ร่างกายสะอาดอยู่เสมอ ป้องกันการติดเชื้อจากผู้อื่น ห้ามใช้ยาหยอดตาของคนอื่น และอย่าใช้ของร่วมกัน
การติดเชื้อไวรัส: ใช้ยาหยอดตากันไวรัสได้
เกิดอาการแพ้: อย่าใช้ยาปฏิชีวนะและยาต้านไวรัส เพราะนอกเหนือจากสิ่งที่ก่อภูมิแพ้แล้ว แถมยังจะแพ้ยาเพิ่มเข้าไปอีก

มิฉะนั้นต้องหมั่นดูแลสุขภาพของตัวเองแล้ว ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะได้ไม่ลดลงนะ!

ติดต่อเราคลิกที่นี่

https://line.me/R/ti/p/%40iaz4122q

สั่งชื้อติดต่อ ☎ 083-979-3942 ต้อม

แค่เห็นภาพ ก็เจ็บแล้ว 😢😢😢การผ่าตัดลอกต้อเนื้อ          ต้อเนื้อแม้ไม่ใช่โรคร้ายแรง  แต่การผ่าตัดลอกต้อเนื้อควรทำโดยจักษุ...
21/07/2017

แค่เห็นภาพ ก็เจ็บแล้ว 😢😢😢

การผ่าตัดลอกต้อเนื้อ

ต้อเนื้อแม้ไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่การผ่าตัดลอกต้อเนื้อควรทำโดยจักษุแพทย์ เพราะในบางรายที่ลอกต้อเนื้อไปแล้วอาจมีโอกาสกลับเป็นซ้ำได้ ซึ่งเมื่อเป็นซ้ำมักจะมีลักษณะที่หนาและแดงกว่าเดิม และการรักษาโดยการลอกอีกครั้งจะทำยากกว่าการลอกครั้งแรก

การผ่าตัดลอกต้อเนื้อทำได้หลายวิธีคือ

1.ลอกต้อเนื้อโดยวิธีธรรมดา
2.ลอกต้อเนื้อตามวิธีที่ 1 ร่วมกับการวางแร่ซึ่งจะให้รังสีเบต้าออกมา ป้องกันการกลับเป็นซ้ำได้
3.ลอกต้อเนื้อตามวิธีที่ 1 ร่วมกับการตัดเอาเยื่อบุตาที่ปกติจากส่วนบนของลูกตา มาปะลงบริเวณตาขาวที่ได้รับการลอกต้อเนื้อออกไปแล้ว เป็นการป้องกันการกลับเป็นซ้ำซึ่งได้ผลดีมากกว่าวิธีอื่นๆ
4.ทำผ่าตัดเช่นเดียวกับวิธีที่ 3 แต่ใช้เยื่อหุ้มรกซึ่งผ่านการเตรียมและเก็บรักษาไว้ มาใช้ปะแทนเยื่อบุตา

ไม่อยากลอก ไม่ต้องจ่ายแพง ที่นี้มีคำตอบ

ติดต่อเราคลิกที่นี่

https://line.me/R/ti/p/%40iaz4122q

สั่งชื้อติดต่อ ☎ 083-979-3942 ต้อม

มีคำพูดเชิงสัพยอกว่า คนมีอายุมักจะมีวิสัยทัศน์กว้างไกล .. คำพูดนี้จริงทั้งสองแง่ แง่หนึ่งเป็นเรื่องของภูมิความรู้ที่สะสม...
21/07/2017

มีคำพูดเชิงสัพยอกว่า คนมีอายุมักจะมีวิสัยทัศน์กว้างไกล .. คำพูดนี้จริงทั้งสองแง่ แง่หนึ่งเป็นเรื่องของภูมิความรู้ที่สะสมขึ้นตามวัยและประสบการณ์ และในอีกแง่หนึ่ง เป็นเรื่องที่อาจจะหยอกล้อกันขำ ๆ ด้วยคำว่า วิสัยทัศน์ไกลนั้น เป็นที่รู้กันว่า คนเริ่มแก่ สายตาก็เริ่มยาว แม้บางคนจะพยายามปกปิดวัยของตัวเอง ไม่ว่าจะด้วยการย้อมปิดผมขาว หรือแต่งองค์ทรงเครื่องให้ดูวัยรุ่นทันสมัย แต่สิ่งที่ยังซ่อนไม่ได้และจะเผยถึงอายุของคน ๆ นั้นขึ้นมา ก็เมื่อตอนที่ เขาหรือเธอ ยกหนังสือหรือโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านในระยะที่ไกลกว่าคนปกติทั่วไป...

ภาวะสายตายาวตามอายุ หรือ ทางการแพทย์เรียกว่า Presbyopia เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับคนที่เริ่มมีอายุมากขึ้น ซึ่งโดยเฉลี่ยจะเริ่มเกิดกับผู้มีอายุ 40 ปีขึ้นไปและจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงแม้ว่า อาการนี้จะเป็นเรื่องของธรรมชาติและสามารถแก้ไขได้โดยการสวมแว่นสายตายาวหรือแว่นอ่านหนังสือก็ตาม แต่ก็มีส่วนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันอยู่ไม่น้อย Wellness Talk ฉบับนี้จึงขอแนะนำเทคนิคที่ช่วยให้การมองเห็นดียิ่งขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยแว่นตา จากจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลกรุงเทพ ภูเก็ต นพ. กัปตัน วิริยะลัพภะ จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดต้อกระจกและเปลี่ยนเลนส์แก้วตา (RLE: Refractive Lens Exchabge) และจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคจอประสาทตา ให้ได้ทราบกันค่ะ

“ในกลุ่มคนที่มีอายุ จะเริ่มมีข้อจำกัดในเรื่องการของมองเห็นมากขึ้น คือถ้าเคยสายตาดีอยู่แล้วหรือตอนเด็ก ๆ ไม่ใส่แว่นเลย เขาก็จะต้องพึ่งพาแว่นอ่านหนังสือหรือแว่นสายตายาวขึ้นมา เพราะจะเริ่มอ่านหนังสือไม่ได้เนื่องจากความสามารถในการปรับเปลี่ยนโฟกัสของสายตาจะค่อย ๆ ลดลง ทำให้กิจวัตรบางอย่างที่เคยทำเป็นปกติกลับทำไม่ได้ อย่างเช่น เล่นเทนนิสก็ตีลูกไม่ถูก แต่งหน้าก็ต้องใส่แว่นเพราะมองใกล้ไม่เห็น จะหั่นผักก็ต้องใส่แว่น เป็นต้น”

คุณหมอกัปตันอธิบายว่า ตาคนเราก็มีเลนส์เหมือนกล้องถ่ายรูปที่จะสามารถโฟกัสภาพที่เห็นได้ตามระยะที่เปลี่ยนแปลงไปและปรับให้ชัดเจนเหมือนกับการถ่ายรูปโดยใช้กล้องสมาร์ทโฟน แต่พออายุเลย 40 สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือเลนส์ในตาไม่สามารถหดยืดและปรับเปลี่ยนโฟกัสตามระยะการมองเห็นได้ดีเหมือนเดิม ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการสายตายาว และในบางคน เลนส์ในตาจะเริ่มขุ่นมัวหรือแข็งเมื่ออายุเลย 60 ซึ่งก็จะกลายเป็นภาวะที่เรียกว่า “ต้อกระจก” นั่นเอง

“วิธีการรักษาหรือทำให้การมองเห็นดีขึ้น โดยทั่วไปแล้ว คนที่มีอาการนี้ก็จะเลือกใส่แว่นสายตา ซึ่งก็ต้องมีการตัดใหม่เรื่อย ๆ เพราะระยะในการโฟกัสเปลี่ยนไป และปัญหาที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันก็คือ แว่นนี้จะมีการใส่ ๆ ถอด ๆ เพราะระยะของการใช้สายตาในแต่ละกิจกรรมไม่เหมือนกัน อย่างเวลาขับรถ ก็อาจจะมองไกลได้ชัดแต่จะมองหน้าปัดรถไม่เห็นเป็นต้น ดังนั้น วิธีการที่จะช่วยลดการใช้แว่นในกลุ่มคนที่มีอาการนี้ก็คือ Bright View Surgery คือการผ่าตัดเพื่อทำให้เกิดไบรท์วิว คือมองเห็นได้ดียิ่งขึ้นครับ”

การผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์แก้วตานั้น หลักการคือ แพทย์จะทำการสลายเลนส์แก้วตาเดิมแล้วดูดออก จากนั้นจึงใส่เลนส์แก้วตาเทียมที่มีกำลังโฟกัสที่ดีกว่าเดิมและสามารถโฟกัสภาพได้หลายระยะ (Multifocal artificial lens) เข้าไปแทน

“การผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์แก้วตานี้ จะช่วยลดการพึ่งพาแว่นสายตาได้มาก เช่นจากเดิมใช้แว่น 60 - 90% ก็จะลดลงเหลือพึ่งพาแว่นแค่ 10-15% เทคนิคนี้มีมานานแล้วแต่เมื่อก่อนจะเน้นในเรื่องของการเปลี่ยนเลนส์ตาเพื่อรักษาภาวะต้อกระจก แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีดีขึ้นมาก จึงได้ถูกนำมาใช้แก้ไขและลดการพึ่งพาแว่น ซึ่งในต่างประเทศรู้จักกันดีครับ”

หลายคนจินตนาการเรื่องของการผ่าตัดตาเป็นเรื่องใหญ่และน่ากลัว เพราะตาถือว่าเป็นอวัยวะที่สำคัญยิ่ง แต่การผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาด้วยเทคนิคใหม่สมัยนี้ ไม่ได้น่ากลัวและใช้เวลานานอย่างที่คิด คุณหมอกัปตันบอกว่า เวลาที่ใช้ในการผ่าตัด ใช้เพียงประมาณ 40 นาทีถึงหนึ่งชั่วโมงต่อดวงตาหนึ่งข้างเท่านั้น และในการผ่าตัดจะไม่ทำทั้งสองข้างพร้อมกันเนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การทำทั้งสองข้างจะใช้เวลาสองวัน แต่ละวันจะใช้เวลาไม่นานและผู้รับการผ่าตัดไม่จำเป็นต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลด้วยซ้ำ

“ข้อดีของการเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียมก็คือ เราจะสามารถปรับระยะโฟกัสของเลนส์ให้เข้ากันได้กับสภาพและภาวะสายตา (สั้น/ยาว/เอียง) ของแต่ละคน และเลนส์แก้วตาเทียมผลิตมาจากวัสดุคล้าย ๆ พลาสติกซึ่งจะมีความยืดหยุ่นและทนทาน ดังนั้นเวลาใส่จึงสามารถเข้าไปอยู่ได้อย่างถาวร มีอายุการใช้งานยาวนาน”


คุณหมอกัปตันฝากทิ้งท้ายไว้ว่า ปัจจุบันเทคนิคการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์แก้วตามีความทันสมัยมาก และผู้มารับการรักษาก็จะได้รับการตรวจและให้คำแนะนำในการปฏิบัติตนอย่างถูกต้องทั้งก่อนและหลังการผ่าตัด รวมทั้งความเชื่อเดิมที่คนมักเข้าใจผิดกันว่า การผ่าตัดจะต้องเจ็บ ก็ไม่เจ็บอีกแล้ว เพราะเป็นการทำ Micro Surgery ที่จะมีการเปิดแผลเล็กมาก รวมทั้งไม่จำเป็นต้องใช้ยาสลบและใช้เวลาพักฟื้นไม่นานอีกด้วย
ทราบเทคนิคดี ๆ อย่างนี้แล้ว เชื่อว่า หลายท่านที่มีวิสัย (ทัศน์) ในการมองเห็นไกล และไม่ต้องการใช้แว่นเพื่อบ่งบอกอายุ คงต้องพิจารณาทางเลือกดี ๆ แบบนี้กันบ้างแล้วค่ะ…

หมายเหตุ: การผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเพื่อการมองเห็นจะแนะนำสำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป

ติดต่อเราคลิกที่นี่

https://line.me/R/ti/p/%40iaz4122q

สั่งชื้อติดต่อ ☎ 083-979-3942 ต้อม

สนใจสั่งซื้อได้เลยครับของมีพร้อมส่งครับติดต่อเราคลิกที่นี่https://line.me/R/ti/p/%40iaz4122qสั่งชื้อติดต่อ ☎ 083-979-394...
21/07/2017

สนใจสั่งซื้อได้เลยครับของมีพร้อมส่งครับ

ติดต่อเราคลิกที่นี่

https://line.me/R/ti/p/%40iaz4122q

สั่งชื้อติดต่อ ☎ 083-979-3942 ต้อม

ทดสอบสายตา ภาพนี้มีสัตว์ทั้งหมดกี่ชนิดกันหน๋อ???ติดต่อเราคลิกที่นี่https://line.me/R/ti/p/%40iaz4122qสั่งชื้อติดต่อ ☎ 08...
21/07/2017

ทดสอบสายตา ภาพนี้มีสัตว์ทั้งหมดกี่ชนิดกันหน๋อ???

ติดต่อเราคลิกที่นี่

https://line.me/R/ti/p/%40iaz4122q

สั่งชื้อติดต่อ ☎ 083-979-3942 ต้อม

เตือน!! สำหรับคนที่มีลูกน้อย 👪การใช้โทรศัพท์ของคุณพ่อคุณแม่ สามารถส่งผลเสียกับพัฒนาการของลูกได้ บางครั้งการให้ลูกรับโทรศ...
21/07/2017

เตือน!! สำหรับคนที่มีลูกน้อย 👪

การใช้โทรศัพท์ของคุณพ่อคุณแม่ สามารถส่งผลเสียกับพัฒนาการของลูกได้ บางครั้งการให้ลูกรับโทรศัพท์ให้หรือให้ลูกเล่นเกมในโทรศัพท์ทั้งวันจะทำให้พัฒนาการของลูกหยุดนิ่ง

เพราะในขณะที่มือถือทำงานอยู่นั้น จะมีรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเป็นรังสีเดียวกันกับรังสีคลื่นวิทยุ และรังสีไมโครเวฟ รังสีตัวนี้จะทำให้ระบบการทำงานของ ดีเอ็นเอ เสียหายได้ เมื่อใช้มือถือบ่อย ๆ เด็ก ๆ อาจจะมีอาการปวดหัว มึนงง อ่อนเพลีย หรือนอนไม่หลับ หรือที่ร้ายแรงที่สุดคือ อาจเกิดเนื้องอกตรงประสาทหู ประสาทตา ลูกตา ต่อมน้ำลาย และสมอง

คุณแม่ที่มีลูกอายุไม่เกิน 9 ขวบไม่ควรปล่อยให้ลูกใช้โทรศัพท์มากเกินไป เพราะระบบประสาทของลูกยังทำงานไม่สมบูรณ์ คลื่นรังสีนี้อาจเข้าไปทำลายได้ เนื่องจากกะโหลกศีรษะของลูกยังไม่หนาพอที่จะผลกระทบจากรังสีตัวนี้ค่ะ

พัฒนาการลูกเสีย จากสมาร์ทโฟน ของพ่อแม่

นอกจากจะทำลายระบบประสาทของลูกแล้ว การใช้มือถือมากเกินไปยังทำให้ พัฒนาการของเด็ก เสียอีกด้วยค่ะ ถ้าคุณแม่ปล่อยให้ลูกใช้มือถือบ่อย ๆ ลูกจะชินอย่างเช่นลูกเอาไว้เล่นเกม ลูกก็จะติดเกมในมือถือ ทำให้ลูกไม่อยากเล่นหรือสำรวจสิ่งใหม่ ๆ รอบตัว ทำให้พัฒนาการทางด้านนี้เสียไป และการที่ลูกไม่ออกไปเล่นนอกบ้านหรือทำกิจกรรมอย่างอื่น เล่นแต่เกมในมือถือ กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายลูกก็จะไม่เกิดการพัฒนาอาจทำให้ร่างกายของลูกไม่แข็งแรงเท่าเด็กคนอื่น ๆ

นอกจากจะไม่พัฒนาด้านร่างกายแล้ว การพัฒนาด้านสังคมของลูกก็เสียไปด้วยเนื่องจากลูกไม่อยากเล่นกับกลุ่มเพื่อน พูดคุยกับเพื่อนรุ่นเดียวกันไม่ค่อยรู้เรื่อง ทำให้พัฒนาการด้าน การพูด การอ่าน และ การเขียนช้าลงกว่าเด็กวัยเดียวกันค่ะ

คนในครอบครัวสามารถช่วยเด็ก ๆ ไม่ให้ติดมือถือได้ โดยการชวนลูกทำกิจกรรมที่ทำด้วยกันได้ เช่น ชวนเล่นจิ๊กซอว์ ต่อบล็อก ชวนเล่นเกมต่าง ๆ ลูกจะลืมเรื่องมือถือไปเองค่ะ แต่ถ้าจำเป็นต้องให้ลูกใช้มือถือก็ควรให้ลูกพูดให้สั้น ๆ เข้าใจง่ายที่สุด หรือให้ใช้อุปกรณ์เสริมเช่น แฮนด์ฟรี เพื่อลดความเสี่ยงของคลื่นไฟฟ้าจะส่งตรงเข้าสมองของลูก และควรวางมือถือให้ไกลจากลูกมากที่สุดลูกจะได้ไม่หยิบมาเล่นจนเคยตัวค่ะ

ติดต่อเราคลิกที่นี่

https://line.me/R/ti/p/%40iaz4122q

สั่งชื้อติดต่อ ☎ 083-979-3942 ต้อม

แนะอายุเกิน 40 ปีตรวจ "ต้อหิน" ก่อนตาบอดถาวร    แพทย์แนะอายุเกิน 40ปีขึ้นไปตรวจตาต้อหินประจำ ชี้พบตั้งแต่ระยะแรก ช่วยรัก...
21/07/2017

แนะอายุเกิน 40 ปีตรวจ "ต้อหิน" ก่อนตาบอดถาวร

แพทย์แนะอายุเกิน 40ปีขึ้นไปตรวจตาต้อหินประจำ ชี้พบตั้งแต่ระยะแรก ช่วยรักษาให้และป้องกันตาบอดถาวรได้ ย้ำปล่อยทิ้งไว้นานจนตาบอด จะไม่สามารถทำให้กลับคืนมาได้
นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า วันที่ 6 มี.ค.ของทุกปีเป็นวันต้อหินโลก ซึ่งโรคนี้เป็นสาเหตุปัญหาตาบอดหรือสายตาพิการถาวร หากเป็นแล้วจะรักษาให้เหมือนปกติไม่ได้ โดยทั่วไปผู้ป่วยโรคต้อหินมักจะมีความดันลูกตาสูงกว่าปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีการทำลายของประสาทตา ซึ่งถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษาประสาทตาก็จะถูกทำลายลงเรื่อยๆ จนทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร แต่ถ้าสามารถวินิจฉัยได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และรักษาอย่างทันท่วงที ก็จะสามารถรักษาการมองเห็นไว้ได้ โดยอาการของโรคต้อหินในระยะแรกจะไม่มีอาการใดๆ ต่อมาเมื่อประสาทตาถูกทำลายไปมากกว่า 40% ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการสูญเสียการมองเห็นโดยลานสายตาจะแคบลงเรื่อยๆ และถ้าไม่ได้รับการรักษา ประสาทตาก็จะสูญเสียไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งมองไม่เห็นในที่สุด
นพ.สุพรรณ กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต้อหินคืออายุมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่วัยชรา มีประวัติต้อหินในครอบครัว เคยมีอุบัติเหตุที่ตา หรือเคยได้รับการผ่าตัดตา มีโรคประจำตัวบางชนิดเช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง รวมทั้งผู้ที่มีกระจกตาบางกว่าปกติ ทั้งนี้ สามารถพบผู้ป่วยโรคนี้ได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงผู้สูงอายุ ซึ่งกลุ่มที่พบมากที่สุดคือผู้สูงอายุโดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป รวมทั้งผู้ที่มีญาติใกล้ชิด เช่น พี่น้องบิดามารดาเป็นต้อหิน จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อหินมากกว่าบุคคลอื่นๆ และผู้ที่มีระดับความดันตาค่อนข้างสูงโดยเฉพาะสูงมากกว่า 21 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป ซึ่งในอนาคตจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อหิน นอกจากนี้ ยังพบคนที่สายตาสั้น หรือยาวมากๆ ก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อหิน
"การรักษาโรคต้อหินทำเพื่อเป็นการป้องกันและยับยั้งการสูญเสียของชั้นประสาทตาจากโรคต้อหินเนื่องจากประสาทตาส่วนที่เสียไปแล้วจะไม่สามารถกลับคืนมาได้ การรักษาในปัจจุบันทำโดยการลดความดันลูกตาเพื่อควบคุมโรคต้อหิน ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การใช้ยาหยอดตา รับประทานยา ยิงแสงเลเซอร์ และการทำผ่าตัด แต่ละวิธีมีข้อจำกัดขึ้นอยู่กับตัวผู้ป่วยและประเภทของต้อหินสำหรับการป้องกัน แนะนำให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป กลุ่มผู้สูงอายุผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นต้อหิน ผู้ที่มีสายตาสั้นหรือยาวมาก ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับเลือดและหลอดเลือดซึ่งเลือดไหลเวียนขึ้นไปประสาทตาไม่ดี และผู้ที่ใช้ยาหยอดตาจำพวกสเตียรอยด์โดยไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของจักษุแพทย์ ควรได้รับการตรวจคัดกรองความดันลูกตาและตรวจขั้วประสาทตา อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และอาจตรวจซ้ำตามคำแนะนำของแพทย์ หากเกิดความผิดปกติกับดวงตาจะได้รับการดูแลรักษาอย่างรวดเร็วและสามารถใช้งานดวงตาได้ยาวนานมากขึ้น" นพ.สุพรรณ

ติดต่อเราคลิกที่นี่

https://line.me/R/ti/p/%40iaz4122q

สั่งชื้อติดต่อ ☎ 083-979-3942 ต้อม

อยากให้คำว่า" แพง " มาทำลาย "ดวงตา" คุณ รีบดูแลเถอะครับ ก่อนที่จะสายเกินแก้ ติดต่อเราคลิกที่นี่https://line.me/R/ti/p/%4...
21/07/2017

อยากให้คำว่า" แพง " มาทำลาย "ดวงตา" คุณ รีบดูแลเถอะครับ ก่อนที่จะสายเกินแก้

ติดต่อเราคลิกที่นี่

https://line.me/R/ti/p/%40iaz4122q

สั่งชื้อติดต่อ ☎ 083-979-3942 ต้อม

ระวัง!! ยาหยอดตาและน้ำตาเทียมเป็นภัยต่อกระจกตามากที่สุด!!ปัจจุบันยาหยอดตาวางขายในท้องตลาดหลายสิบชนิดและสามารถขอซื้อได้โด...
21/07/2017

ระวัง!! ยาหยอดตาและน้ำตาเทียมเป็นภัยต่อกระจกตามากที่สุด!!

ปัจจุบันยาหยอดตาวางขายในท้องตลาดหลายสิบชนิดและสามารถขอซื้อได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ ผู้ป่วยที่มี ปัญหาทางตาและไม่มีเวลาไปพบแพทย์จึงนิยมไปหาซื้อยามาจากร้านขายยา โดยมีบุคลากรที่ไม่ใช่แพทย์เป็นผู้รับฟังอาการและ เลือกยาให้แก่ผู้ป่วย หรือบางครั้งผู้ป่วยจะนำขวดยาเก่าที่เคยใช้และได้ผลดีไปให้ร้านขายยาดูพร้อมทั้งขอซื้อยาแบบเดิมมาใช้ต่อ เนื่อง และมีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่ใช้ยาแล้วรู้สึกสบายตาจึงใช้ยาต่อเนื่องไปเรื่อยๆโดยไม่เคยไปรับการตรวจ จึงเกิดปัญหาจาก การใช้ยาอย่างไม่เหมาะสมขึ้นได้บ่อยครั้งและอาจนำไปสู่การสูญเสียสายตาอย่างถาวรได้

อันตรายจากการใช้ยาหยอดตาที่ไม่เหมาะสม

1. การได้รับยาที่ไม่เหมาะสมกับโรคที่เป็นและยาดังกล่าวจะทำให้โรคเลวลง เช่น ผู้ป่วยมีอาการเคืองตา ตาแดงหลังถอดคอนแทค เลนส์ ได้รับยาหยอดตาลดการอักเสบชนิดมีสเตียรอยด์ หากผู้ป่วยมีแผลติดเชื้อที่กระจกตา แผลอาจลุกลามอย่างรวดเร็วและ ควบคุมยาก ทำให้กระจกตาทะลุหรือสูญเสียการมองเห็น หรือ กรณีผู้ป่วยโรคเริมที่กระจกตา ในระยะต้นจะมีอาการตาแดงและ เคืองตาคล้ายกับผู้ป่วยเยื่อบุตาอักเสบ หากผู้ป่วยใช้สเตียรอยด์หยอดตาจะทำให้เชื้อเริมลุกลามเกิดแผลที่กระจกตาได้อย่างรวดเร็ว เป็นต้น

2. ได้รับยาที่เหมาะสมกับโรค แต่ใช้ยาโดยไม่ได้ระวังผลข้างเคียงจากการใช้ยาต่อเนื่อง จนทำให้เกิดผลข้างเคียงจากยาขึ้น เช่น ผู้ป่วยที่มีการอักเสบในตาจากสาเหตุต่างๆหรือเป็นภูมิแพ้ที่ตาและเคยได้รับยาลดการอักเสบที่มีสเตียรอยด์แล้วอาการดีขึ้น ผู้ป่วย มักซื้อยาดังกล่าวมาใช้เองเป็นครั้งคราวหรือต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้เกิดภาวะต้อหินซึ่งหากเป็นอยู่นานและไม่ได้รับการวินิจฉัย และรักษาจะทำให้ประสาทตาถูกทำลายได้ หรือกรณีแผลเริมที่กระจกตา และใช้ยาต้านไวรัสชนิดหยอดหรือป้ายตาอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ได้รับการปรับขนาดยาตามความเหมาะสม อาจทำให้อาการเลวลงเนื่องจากแผลที่กระจกตาไม่ยอมหาย

3. ได้ยาหยอดบางชนิดที่ไม่สมควรนำมาใช้นอกโรงพยาบาลเนื่องจากไม่มีข้อบ่งชี้ในการรักษา ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยเคยได้รับการ หยอดยาชาที่ตาเพื่อทำหัตถการหรือตรวจตาบางอย่างแล้วรู้สึกว่าอาการเคืองตาดีขึ้น จึงไปหาซื้อยาชาสำหรับหยอดตามาใช้เพื่อ ลดอาการเคืองตา ทำให้เกิดแผลเรื้อรังที่กระจกตาและกระจกตาบางตัวลง

4. ยาบางชนิดอาจคล้ายคลึงกันแต่มีความแตกต่างกันในการรักษา ทำให้ผู้ป่วยหรือเภสัชกรเลือกใช้ได้ไม่ถูกกับภาวะของโรค ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยภาวะตาแห้งรุนแรงบางรายมีความจำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียมและสเตียรอยด์ชนิดปลอดสารกันเสีย หากผู้ป่วยไม่ ทราบและใช้ตัวยาดังกล่าวแต่เป็นชนิดที่มีสารกันเสีย อาจทำให้อาการทางตาเลวลงกว่าเดิมได้

ที่มา ... ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย

================

ติดต่อเราคลิกที่นี่

https://line.me/R/ti/p/%40iaz4122q

สั่งชื้อติดต่อ ☎ 083-979-3942 ต้อม

วันนี้ส่งของคร้าบ สนใจสั่งซื้อสั่งได้เลยนะคร้าบ ติดต่อเราคลิกที่นี่https://line.me/R/ti/p/%40iaz4122qสั่งชื้อติดต่อ  ☎ 0...
20/07/2017

วันนี้ส่งของคร้าบ สนใจสั่งซื้อสั่งได้เลยนะคร้าบ

ติดต่อเราคลิกที่นี่

https://line.me/R/ti/p/%40iaz4122q

สั่งชื้อติดต่อ ☎ 083-979-3942 ต้อม

การขับรถบนท้องถนนถือว่าเป็นเรื่องประจำวันที่เราต้องทำกันอยู่แล้ว อาจเป็นเพราะต้องขับไปไปทำงานตอนเช้าหรือเป็นเพราะหน้าที่...
19/07/2017

การขับรถบนท้องถนนถือว่าเป็นเรื่องประจำวันที่เราต้องทำกันอยู่แล้ว อาจเป็นเพราะต้องขับไปไปทำงานตอนเช้าหรือเป็นเพราะหน้าที่ที่เราต้องทำเพราะบางคนมันคืออาชีพ ดังนั้น "ดวงตา" ถือว่าเป็นอวัยวะสำคัญในการดำรงชีวิตเลยทีเดียว รักดวงตาอยากให้ดวงตาสว่าง สดใส อยู่ตลอดเวลา ต้องหันมาดูแลดวงตาตัวเองด้วยนะค่ะ ดูแลฟื้นฟูดวงตากับสารสกัดเข้มข้นจากธรรมชาติกับ ผลิตภัณฑ์ดีคอนแทคค่ะ

ติดต่อเราคลิกที่นี่

https://line.me/R/ti/p/%40iaz4122q

สั่งชื้อติดต่อ ☎ 083-979-3942 ต้อม

ติดต่อเราคลิกที่นี่https://line.me/R/ti/p/%40iaz4122qสั่งชื้อติดต่อ ☎ 083-979-3942 ต้อม
19/07/2017

ติดต่อเราคลิกที่นี่

https://line.me/R/ti/p/%40iaz4122q

สั่งชื้อติดต่อ ☎ 083-979-3942 ต้อม

โรคต้อกระจก คือต้อกระจก (Cataract) เป็นภาวะที่แก้วตา (Lens) ภายในลูกตาเสื่อมลงจนมีลักษณะขุ่นขาวจากปกติที่มีลักษณะโปร่งใส...
19/07/2017

โรคต้อกระจก คือ
ต้อกระจก (Cataract) เป็นภาวะที่แก้วตา (Lens) ภายในลูกตาเสื่อมลงจนมีลักษณะขุ่นขาวจากปกติที่มีลักษณะโปร่งใสเหมือนกระจก เมื่อแก้วตาขุ่นขาวก็จะมีลักษณะทึบแสง ทำให้บดบังแสงที่จะผ่านเข้าไปในตา แสงจึงส่งผ่านเข้าสู่ลูกตาไปรวมตัวที่จอประสาทตาหรือเรตินาได้ไม่เต็มที่ ทำให้เกิดอาการสายตาฝ้าฟางหรือสายตามัวคล้ายหมอกบัง

แก้วตา หรือ เลนส์ตา (Lens) เป็นเลนส์นูนใสที่อยู่หลังม่านตา มีลักษณะเหมือนเลนส์นูนทั่วไปทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งด้านหน้าจะแบนกว่าด้านหลัง มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 9 มิลลิเมตร และมีความหนาประมาณ 5 มิลลิเมตร มีหน้าที่ร่วมกับกระจกตาในการหักเหแสงจากวัตถุให้ตกโฟกัสที่จอประสาทตา (Retina) จึงทำให้เกิดการมองเห็น อีกทั้งแก้วตายังสามารถเปลี่ยนกำลังการหักเหได้ด้วยตัวเองเพื่อให้สามารถโฟกัสภาพในระยะต่าง ๆ ได้ชัดขึ้น ทำให้มองเห็นได้ชัดทั้งในระยะไกลและระยะใกล้ ด้วยความสำคัญนี้เอง ธรรมชาติจึงสร้างแก้วตาให้มาอยู่ในที่ที่ปลอดภัย โดยอยู่ตรงใจกลางของดวงตาเพื่อไม่ให้ได้รับอันตรายได้โดยง่าย

สาเหตุของต้อกระจก
ส่วนใหญ่แล้วประมาณ 80% ต้อกระจกจะเกิดจากภาวะเสื่อมตามวัยหรือจากวัยชรา โดยผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปจะเป็นต้อกระจกกันแทบทุกราย แต่อาจจะเป็นมากหรือน้อยแตกต่างกันไป เรียกว่า “ต้อกระจกในผู้สูงอายุ” (Senile cataract) และในส่วนน้อยอีกประมาณ 20% อาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ที่ไม่ใช่จากวัยชรา เช่น

เป็นต้อกระจกมาแต่กำเนิด ได้แก่ ต้อกระจกในเด็กทารกที่เกิดจากแม่ซึ่งเป็นหัดเยอรมันในช่วงระยะ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์, ต้อกระจกในเด็กที่มีภาวะทุพโภชนาการหรือขาดอาหาร และต้อกระจกแต่กำเนิดชนิดกรรมพันธุ์ที่ไม่ทราบสาเหตุ
เกิดจากการได้รับบาดเจ็บหรือกระทบกระเทือนที่ตาอย่างแรง (โดยเฉพาะในวัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาว) เช่น การเล่นกีฬาบางประเภท อาทิ โดนลูกเทนนิสพุ่งเข้าตา โดนลูกขนไก่, การประกอบอาชีพเกี่ยวกับการเชื่อมโลหะโดยไม่ได้ใส่อุปกรณ์ป้องกันดวงตา, การเกิดอุบัติเหตุถูกของมีคมทิ่มแทง เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์แล้วถูกกระจกทิ่มแทงในตา หรือมีเศษเหล็กกระเด็นเข้าตาในโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งอาการเหล่านี้ แม้ว่าจะให้การรักษาอุบัติเหตุระยะต้นถูกต้องแล้วก็ตาม แต่อาจเป็นต้อกระจกได้ในอีก 2-3 ปีต่อมา
โรคประจำตัวในวัยกลางคน เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ต่อมไทรอยด์ผิดปกติ โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ โรคขาดสารอาหาร ก็มักจะเกิดต้อกระจกก่อนวัยได้
เกิดจากความผิดปกติของตาหรือเป็นโรคเกี่ยวกับตา เช่น ต้อหิน ม่านตาอักเสบ ตาติดเชื้อ
เกิดจากการใช้ยาบางชนิด เช่น การใช้ยาลดความอ้วนบางชนิด การใช้ยาหยอดตาที่เข้าสเตียรอยด์หรือกินยาสเตียรอยด์นาน ๆ (เช่น ยาเพรดนิโซโลน (Prednisolone) ซึ่งเป็นยาที่นิยมใช้รักษาโรคเรื้อรังต่าง ๆ อย่างโรคภูมิแพ้ โรคหืด โรคไต โรคข้อ ถ้าผู้ป่วยได้รับยาในกลุ่มนี้อยู่เป็นประจำ ควรพึงระลึกไว้เสมอว่าตนก็อาจเป็นต้อกระจกก่อนวัยอันควรได้ เพราะมีผู้ป่วยอยู่จำนวนไม่น้อยที่เป็นโรคภูมิแพ้และซื้อยามารับประทานเอง พอนาน ๆ เข้าตาก็เริ่มมัวลงเรื่อย ๆ จากการเป็นโรคต้อกระจก แต่หากหยุดใช้ยาดังกล่าว แม้ว่าต้อที่เป็นแล้วจะไม่หายไป แต่ก็ช่วยระงับไม่ให้โรคลุกลามเร็วขึ้นได้)
เกิดจากการถูกรังสีที่บริเวณตาเป็นเวลานาน (เช่น ในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งที่เบ้าตาและรักษาด้วยรังสีบ่อย ๆ) หรือถูกแสงแดดหรือแสงอัลตราไวโอเลตเป็นเวลานาน ๆ ก็อาจทำให้เกิดต้อกระจกได้เช่นกัน
เกิดจากการสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์จัด อาจทำให้เกิดต้อกระจกได้เร็วกว่าปกติ

ติดต่อเราคลิกที่นี่

https://line.me/R/ti/p/%40iaz4122q

สั่งชื้อติดต่อ ☎ 083-979-3942 ต้อม

ที่อยู่

Bangkok
10510

เบอร์โทรศัพท์

0839793942

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ผลิตภัณ์เสริมอาหารบำรุงดวงตา D-contact & viewo by นภัส 0839793942ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง ผลิตภัณ์เสริมอาหารบำรุงดวงตา D-contact & viewo by นภัส 0839793942:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram