ทำไมถึงชื่อ Trust.นักจิตวิทยาการปรึกษา
ผมเป็นคนไม่ถนัดเรื่องตั้งชื่อหรือไอเดียสร้างสรรค์เท่าไหร่ อาจจะเพราะเป็นคนที่ใช้การคิดวิเคราะห์อย่างมากมาตลอด พอจะตั้งชื่อหรือนึกชื่อให้คนจดจำก็นึกไม่ออก แต่ก็มีไอเดียว่าอยากให้เป็นชื่อที่มันเกิดขึ้นได้เพราะตัวตนของผม มีอุดมการณ์ของผมแฝงอยู่ในชื่อนั้น มีแก่นของชีวิตของผมแทรกซึมอยู่ในชื่อนั้น ทุกอย่างก็เริ่มต้นจากการทบทวนตนเอง
ผมถามตัวเองว่าตัวตนในงานปรึกษาและบำบัดของผมคือะไร ผมก็รู้สึกว่างานของเราเนี่ยบางทีมันก็ย้อนแย้งในตัวเองนะ ผมมีหน้าที่ให้ผู้รับบริการเข้าใจตัวเอง เข้าถึงตัวตนที่แท้จริงของตนเองโดยที่ก้าวผ่านหน้ากากบางอย่างที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ชีวิตในสังคม แต่ในขณะเดียวกันนักจิตวิทยาการปรึกษาอย่างผมกลับต้องสร้างภาพพจน์บางอย่างขึ้นมาเพื่อความสะดวกในการทำงาน แต่ถึงท้ายที่สุดเราก็ใช้ความจริงใจและความเป็นตัวเองพูดคุยกับผู้บริการอยู่ดี ก็เลยได้ไอเดียว่า งานของเราเนี่ยมันขับเคลื่อนผ่านสิ่งที่เรียกว่า “Trust” ถ้าไม่มี Trust นี้งานเราก็ไปไหนไม่ได้ มันไม่เกิดความก้าวหน้า และเราเองก็พยายามสร้าง Trust นี้ในความสัมพันธ์ระหว่างเรากับผู้รับบริการ. ก็พูดขึ้นมาว่า “เอ้อ นี่แหละตัวตนของเราเลย” งั้นใช้ชื่อว่า Trust นี่แหละ มันใช่ที่สุดแล้ว แต่ก็รู้สึกว่ามันสั้นไปนะ ดูยังไม่อิน งั้นเอาเป็น Trust.นักจิตวิทยาการปรึกษา แล้วกัน ใส่หัวใจในเนื้องานเราเข้าไป ผสมผสานกับอาชีพของเรา เพื่อให้คนได้สัมผัสถึงตัวตนของเรา
.
Trust.นักจิตวิทยาการปรึกษา มันแฝงไปด้วยอุดมการณ์และแก่นของชีวิตอย่างไร? ผมมีความเชื่อว่าที่ผู้คนยังไม่นิยมเดินมาพบนักจิตวิทยาเพื่อดูแลจิตใจตนเองนั้น เป็นเพราะพวกเขาเหล่านั้นยังขาดข้อมูลที่ถูกต้อง ขาดความเข้าใจที่เป็นจริง. ผมไม่ได้อยากหาเลี้ยงชีพด้วยอาชีพนักจิตวิทยาการปรึกษาเท่านั้น ผมมีความต้องการที่จะขับเคลื่อนวงการนักจิตวิทยาการปรึกษาและวงการสุขภาพภาพจิตในสังคมไทย ผมรู้สึกว่าเมื่อนักจิตวิทยาการปรึกษาอย่างผมหรือคนอื่น ๆ ก้าวออกมาสื่อสารกับผู้คนในสังคม สร้างความเชื่อที่ดี ความเข้าใจที่ถูกตัว ให้พวกเขาได้รับข้อมูลจากนักจิตวิทยาการปรึกษาที่ได้ทำงานด้านนี้จริง ๆ เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นผู้คนก็จะมีความเชื่อใหม่ ๆ ที่ดี มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ต้องมาคิดเรื่องกล้าหรือไม่กล้ามาพบนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ เพราะความกล้ามันไม่ควรมาเป็นประเด็นในการตัดสินใจ เมื่อต้องชั่งใจกับความกล้า นั่นอาจจะหมายถึงมีความกลัวบางอย่างอยู่ในใจ ซึ่งผมมองว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเลยนะ ประเด็นที่ผู้คนควรขบคิดเรื่องที่ว่า ฉันอยากมาพบหรือไม่อยากมาพบกันแน่นะ? ฉันจะสำรวจตัวเองอย่างไรว่าควรมาพบได้หรือยัง และถ้าอยากมาพบจะไปเจอกันที่ไหนบ้าง และผู้คนในสังคมก็ควรยินดีที่เพื่อมนุษย์เลือกที่จะใส่ใจดูแลตนเอง ไม่ใช่ไปหยอกล้อซ้ำเติมตามความเชื่อเดิม ๆ ทั้งที่ในความจริงตรงหน้า “เขาเพียงแค่ดูแลจิตใจของตนเองร่วมกับนักวิชาชีพด้านสุขภาพจิต” เท่านั้นเอง!
เพราะฉะนั้นผมจึงอยากจะเข้าไปสื่อสารกับผู้คน เข้าไปพูดคุยกับผู้คนในเรื่องของจิตใจ ให้ความรู้ที่ถูกต้อง เข้ามามีส่วนร่วมในการทำความเข้าใจในประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพจิต ร่วมสร้างความเชื่อใหม่ ๆ ซึ่งเป็นความเชื่อที่มีประโยชน์ต่อตนเองและสังคม ซึ่งผมก็มีความซื่อตรงบางอย่างที่อาจจะถูกมองเป็นข้อเสียนะ จริงอยู่ที่ผมต้องทำให้ผู้คนผู้คนเข้าถึงงานบริการของผมเพื่อหาเลี้ยงชีพ แต่นั่นไม่ใช่ความคิดแรกของผมในการตั้งชื่อนี้และสร้างเพจนี้ขึ้น ผมจึงไม่อยากให้มีลักษณะทางการค้าใด ๆ ปะปนอยู่ในชื่อ ๆ นี้.
ชื่อ Trust.นักจิตวิทยาการปรึกษา จึงเป็นชื่อที่เหมาะสมและเป็นชื่อที่ผมรักมากที่สุด มีคำว่า Trust ซึ่งเป็นหัวใจในการทำงานของผมอยู่ในนั้น มีคำว่า นักจิตวิทยาการปรึกษา ร่วมอยู่ด้วยซึ่งเป็นอาชีพที่ผมใฝ่ฝันมาตลอด ภาพที่ผู้คนมองมาจึงไม่ใช่ศูนย์บริการหรือสถานบริการปรึกษาเชิงจิตวิทยาที่พูดคุยกับเขา แต่เป็นนักจิตวิทยาการปรึกษาที่กำลังพูดคุยและสื่อสารกับพวกเขาอยู่ โดยนักจิตฯ คนนี้พร้อมให้ผู้คนรู้จักเขาเบื้องต้นในนามว่า “Trust”
.
อธิบายเพิ่มเติมอีกนิดสำหรับคำว่า “Trust”
ในภาษาไทย Trust มีความหมายว่าไว้วางใจ แต่ในการทำงานของผมจะไม่ได้จำกัดเพียงเท่านี้ มนุษย์ทุกคนเกิดมาบนโลกล้วนต้องมี Basic Trust (ความไว้วางใจความเชื่อใจขั้นพื้นฐาน) เป็นสิ่งที่ค่อย ๆ ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ยังเป็นทารก เป็นกระบวนการทางจิตใจที่จับต้องไม่ได้ แต่มีอยู่จริงในชีวิตมนุษย์เรา สิ่งนี้จะเกิดขึ้นอย่างดีได้ต้องอาศัยการเลี้ยงดูที่ดี เปี่ยมไปด้วยความรัก ความอบอุ่น การอบรมสั่งสอนที่ดี หากไม่ได้รับสิ่งเหล่านี้ดีพอก็จะสร้าง Basic Mistrust(ความไม่ไว้วางใจการขาดความเชื่อใจขั้นพื้นฐาน)
ในการทำงานของนักจิตวิทยาการปรึกษาของผม จะต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้รับบริการ เนื่องจากเรื่องราวในชีวิตหรือปัญหาทางจิตใจในกระบวนการปรึกษาหรือกระบวนการบำบัดจะต้องอาศัยการเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตที่ผู้รับบริการพบเจอมา หากไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน ไม่มีความสนิทกันมากพอ สิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมาก็เกิดขึ้นไม่ได้ และถ้าไม่มีสิ่ง ๆ นี้การทำงานของผมก็จะไม่เกิดความก้าวหน้า
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมต้องสร้าง Trust ในเกิดขึ้นในการทำงานให้ได้ และ Trust ในที่นี้ก็ยังมีความลึกซึ้งอีกว่า “ไม่เพียงแต่ไว้วางใจว่าจะเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง แต่ยังเชื่อใจว่าถ้าเล่าไปแล้วจะต้องมีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นแน่ ๆ. คนที่อยู่ตรงหน้าฉันถ้าได้รับฟังเรื่องราวตรงนี้จะต้องเข้าใจฉันได้แน่ ๆ. เขาจะต้องช่วยฉันได้แน่ ๆ ฉันรู้สึกดีและอบอุ่นทุกครั้งที่ได้พูดคุยกับเขา ฉันศรัทธาจากหัวใจเลยว่าเขาคือคนที่เข้าใจและจะช่วยให้ฉันผ่านพ้นกับปัญหาในชีวิตไปได้”
ถ้า Trust ได้สร้างขึ้นมาแล้ว สิ่งที่ผมพูดมาข้างต้นก็จะเกิดขึ้นในงานของผม : )