Trust.นักจิตวิทยาการปรึกษา

Trust.นักจิตวิทยาการปรึกษา นักจิตวิทยาการปรึกษา - ให้บริการด้านสุขภาพจิต
บทความเกี่ยวกับความรู้และแนวคิดทางด้านจิตวิทยา

13/08/2025

การเป็นพ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบให้ลูกเห็น
แต่ไม่ได้ให้ความใกล้ชิดและความผูกพันธ์กับลูกมากพอ

อาจจะทำให้เด็กคนนึงพัฒนาความรู้สึกวิตกกังวลทางจิตใจผ่านการเลี้ยงดูและบุคลิกภาพของพ่อแม่
มันคือความรู้สึกที่เห็นพ่อแม่ดีเลิศ และสมบูรณ์แบบ
จนตัวเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามองไปทางไหน
พ่อแม่ก็ไม่ได้มีข้อเสียอะไร

แต่ทำไมในใจของฉันมันถึงรู้สึกขาด
ทำไมถึงไม่รู้สึกเพียงพอกับความรักที่พ่อแม่ให้
ทำไมถึงไม่ได้รู้สึกใกล้ชิดและอบอุ่นใจกับพ่อแม่

ทั้งที่พ่อแม่ก็ไม่ได้ผิดอะไร
หรือเป็นตัวฉันเองที่ผิดและดีไม่พอ
ความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ที่กำลังสับสน
อาจจะสร้างความกดดันตามมา

แล้วก่อให้เกิดรูปแบบความคิดแบบโทษตัวเอง
เพราะพ่อแม่ก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่ฉันยังรู้สึกขาด
เหมือนไม่ได้ถูกเติมเต็มจากพ่อแม่

จนต้องปลดปล่อยความกังวลในความสับสนนี้
ด้วยการหาใครสักคนที่เป็นต้นเหตุ
ซึ่งคน ๆ นั้นก็คือตัวฉันเอง
จนในที่สุด ลูกก็รู้สึกว่า พ่อแม่ยังอยู่ในสายตา
แต่ไม่ได้อยู่ใกล้กันมากพอ
ที่จะเชื่อมโยงกันด้วยความรู้สึก

และเมื่อการโทษตัวเองและความรู้สึกดีไม่พอ
สะสมและก่อตัวขึ้นอย่างแข็งแรง

ก็อาจทำให้คน ๆ นึงมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง
ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เขาดีไม่พอ แต่เพราะพ่อแม่ดูดีเกินไป
และไม่เคยให้ความรักที่ใกล้ชิดกับเขา

13/08/2025

ปฏิเสธไม่ได้ว่า พออยู่ในบทบาทนักวิชาชีพ
สังคมย่อมมีภาพการรับรู้ต่อวิชาชีพ
ให้ความน่าเชื่อถือ โดยอัตโนมัติ

เหมือนกับที่เราจะเชื่อหมอเรื่องโภคภัยไข้เจ็บ
เหมือนกับที่เราเชื่อทนายเรื่องกฎหมาย
เหมือนกับที่เราเชื่อนักจิตเรื่องสุขภาพจิต
ทำให้นักวิชาชีพต้องมีความตระหนักรู้ในวิชาชีพ
เพราะมีส่วนสำคัญต่อสังคม แม้ว่าจะไม่ 100%

แต่ก็มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแบบชัดเจน
สำหรับด้านนักจิตวิทยา ก็เป็นสิ่งสำคัญ
แล้วถูกระบุไว้ในจรรยาบรรณ
สำหรับผมเอง มองว่านี่คือความรับผิดชอบ
หากจะดำเนินอาชีพในวิชาชีพนี้
ก็ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบนี้ได้

เพราะฉะนั้นแล้ว จะใช้ความเห็นส่วนตัว
ในการแสดงออกผ่านบทบาทวิชาชีพอย่างเดียว
เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมที่จะกระทำแบบนั้น
นักจิตวิทยา ก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง
ไม่ได้มีความวิเศษมากไปกว่าใคร

สิ่งที่ตอบได้ดี มาจากพื้นฐานด้านองค์ความรู้
และการตกตะกอนในประสบการณ์การทำงาน
ซึ่งไตร่ตรองด้วยมาตรฐานทางจรรยาบรรณ

10/08/2025

การสูญเสียคนรักในความสัมพันธ์
จากการมีแฟน สู่สถานะโสด

ความเหงาที่เกิดขึ้น อาจเป็นช่วงเวลาหนึ่ง
ที่เราต้องปรับตัว กลับมาเรียนรู้ชีวิตโสดอีกครั้ง

ซึ่งจะมีช่องว่างของการมีใครสักคน
ที่เคยอยู่และใช้ชีวิตร่วมกันกับเรามา
หากเราตระหนักต่อความเหงา ว่า
นี่คือช่องว่างของอะไร และสะท้อนถึงความต้องการอะไร

พร้อมทั้งตระหนักถึง
การกลับมารับผิดชอบชีวิตที่ต้องเดินต่อไป
โดยที่ไม่มีเขาคนเดิมอยู่กับเรา
ชีวิตของเราก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง
กลับมารู้จักตัวเองที่ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง

แล้วความเหงา ก็จะไม่ใช่ศัตรูที่ทำร้าย
และคุกคามจิตใจในการดำเนินขีวิตของเรา

06/08/2025

มีหลายเรื่องที่มันวนกลับเข้ามาในหัวของผม
ส่วนใหญ่เป็นคำถามที่คนอยากให้ผมตอบ

ผมพยายามทำการบ้านกับตัวเองอยู่เสมอว่า
ผมตอบได้ไหม ต้องตอบอย่างไร

ให้มีความเหมาะสมกับบทบาท
สอดคล้องกับจรรยาบรรณวิชาชีพ
นักจิตวิทยามีหลายสาขา
ความเชี่ยวชาญก็จะแตกต่างกันออกไป

บางประเด็นสามารถให้คำตอบร่วมกันได้
แต่มุมมองในคำตอบ ก็จะแตกต่างตามความเชี่ยวชาญ
แต่ถ้าประเด็นไหน ผมไม่สามารถให้คำตอบที่
สอดคล้องกับคำถามและองค์ความรู้ของผม
ผมก็เลือกที่จะไม่ตอบ และไม่พูดถึง

ไม่ใช่ว่าผมไม่รับผิดชอบต่อคำถามนั้น
แต่ถ้าเราให้คำตอบที่ชัดเจนและเหมาะสมไม่ได้

ความรับผิดชอบหนึ่งที่ควรปฏิบัติ คือ
การไม่ให้คำตอบที่ไม่ชัดเจน ไม่เหมาะสมเกิดขึ้น
ในจรรยาบรรณไม่ได้ระบุวิธีการตอบคำถามไว้ในบริบทบุคคลสาธารณะ หรือ ในพื้นที่สาธารณะไว้อย่างชัดเจน

แต่ก็ได้ให้กรอบแนวทางไว้อย่างชัดเจน
เพื่อให้ตัวนักจิตวิทยาได้มีสิทธิในการพิจารณา
ในการคิด วิเคราะห์ก่อนที่จะให้คำตอบอะไรสู่สังคม
ผมพยายามสื่อสารในอีกด้านเหมือนกันว่า
นักจิตวิทยา 1 คน ก็ตอบทุกเรื่องไม่ได้

ความรู้ความเชี่ยวชาญนอกจากต่างสาขาแล้ว
ในประเด็นแต่ละประเด็น ก็มีความชำนาญต่างกันอีก
นักจิตวิทยามีภาพลักษณ์บางอย่าง
ที่ได้รับความเชื่อถือต่อสังคม

จึงได้มีการระบุการปฏิบัติตัวบางส่วน
ที่จะยึดถือร่วมกันผ่านจรรยาบรรณ
เพื่อให้สังคมรับรู้บทบาทวิชาชีพนักจิตวิทยาอย่างตรงไปตรงมา

รวมไปถึงการไม่ทำตนเป็นต้นแบบ
พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์
ต่อสุขภาวะทางจิตที่ไม่ดีต่อสังคม
ผมตกตะกอนได้ว่า
การที่ผมปฏิเสธที่จะตอบ
พร้อมให้เหตุผลที่เหมาะสม

ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้การรับรู้ต่อบทบาทวิชาชีพนักจิตวิทยาเสื่อมเสีย

หากแต่เป็นการแสดงถึงบทบาทอีกด้านหนึ่ง
ว่าตัวนักจิตวิทยาเอง เราก็ไม่สามารถตอบได้ทุกอย่างจริง ๆ

ถ้าพูดกันแบบง่าย ๆ คือ "ถึงเราจะเป็นนักจิต เราก็ไม่ได้รู้ลึกซึ้งในทุกเรื่องนะ"

Send a message to learn more

ผมซีเรียสกับเรื่องนี้มากนะ หลายครั้งที่เห็นคนที่มีความรู้และคนที่ไม่มีความรู้ ออกมาพูดถึงอีกบุคคลหนึ่งวิเคราะห์และกล่าวว...
05/08/2025

ผมซีเรียสกับเรื่องนี้มากนะ หลายครั้งที่เห็นคนที่มีความรู้และคนที่ไม่มีความรู้ ออกมาพูดถึงอีกบุคคลหนึ่ง

วิเคราะห์และกล่าวว่าเขาคนนั้น มีอาการทางจิตเวชแบบนี้ ป่วยเป็นโรคนี้ ทั้งที่ผู้พูดขาดการตรวจวินิจฉัยตามมาตรฐาน #การกระทำนี้เป็นการตัดสินผู้อื่น

#เป็นสิ่งที่ผิดจรรยาบรรณวิชาชีพ สำหรับผู้ที่เป็นนักวิชาชีพที่มีองค์ความรู้ด้านจิตเวชศาสตร์

และสำหรับคนที่ไม่ได้เป็นนักวิชาชีพ ไม่ได้มีองค์ความรู้ที่ชัดเจนเพียงพอ ก็ไม่ใช่สิ่งที่สมควรทำ
มันไม่เกี่ยวเลยว่า สิ่งที่พูดและวิเคราะห์ออกมานั้น
มันผิด หรือ ถูกต้อง ประเด็นก็คือ นี่คือสิ่งที่ไม่ควรทำ

ถ้ายิ่งเป็นเรื่องที่มีความสนใจจากสังคม
ก็จะมีความดีใจ สะใจ ชอบใจ
ที่เห็นคน ๆ นึงถูกตัดสินว่าป่วย แล้วนำไปโจมตีหรือบอกต่อกันเป็นทอด ๆ (เพราะมันจะมีเหตุการณ์แบบนี้ จรรยาบรรณจึงห้ามไม่ให้ทำ)

การกระทำแบบนี้มีความเสี่ยงหลายอย่าง เช่น การนำสารที่มีการวิเคราะห์หรือพูดถึงไปโจมตีบุคคลที่ถูกกล่าวถึง หรือ นำข้อมูลนี้ไปตัดสินคนอื่นต่ออีกที
ผมไม่อยากเห็นสังคมไทย ใช้ความเจ็บปวดทางจิตใจ และอาการทางจิตเวชซึ่งมีความซับซ้อนในการวินิจฉัย

นำสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการทำร้ายผู้อื่น
ความเจ็บปวดไม่ควรเป็นเครื่องมือในการทำร้ายใคร
มันส่งผลกระทบวงกว้างได้มากมาย
มันก็น่าเศร้าใจที่ว่า
เราควรจะได้เห็นนักวิชาชีพได้แสดงออก
ถึงประเด็นที่มีความสนใจทางสังคมอย่างเหมาะสม

โดยทำให้สังคมมีการขับเคลื่อนไปในหนทางที่ดีต่อสุขภาวะทางจิต และส่งผลกระทบเชิงบวกในระดับมิติพลวัตทางสังคม แต่กลับเป็นภาพที่ต่างกัน

หากอิงตามจรรยาบรรณ ก็ควรจะ 100% เพราะจรรยาบรรณคือสิ่งที่นักวิชาชีพต้องยึดถือและปฏิบัติตาม
ผมก็ยังคาดหวังที่จะเห็นสังคมที่ดีขึ้นในทุก ๆ วัน
เพื่อเป็นบรรยากาศที่เอื้อต่อการดำเนินชีวิตด้วยสุขภาวะทางจิตอันดีในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

อยากให้ทุกท่านได้ตระหนักว่า การกระทำเช่นนี้ที่ผมพูดถึง สิ่งสำคัญลำดับแรก นี่คือการกระทำที่ผิดต่อจรรยาบรรณวิชาชีพ โดยไม่เกี่ยวว่า การพูดถึงหรือการวิเคราะห์นั้นถูกต้องหรือไม่

ภาพที่เราเห็นสังคมส่วนหนึ่งดีใจ ชอบใจ สะใจเมื่อเห็นคน ๆ หนึ่งถูกวินิจฉัยทางจิตเวช ด้วยวิธีการที่ไม่ตรงตามมาตรฐานและผิดจรรยาบรรณ นี่น่าจะไม่ใช่ภาพที่จะสะท้อนถึงความก้าวหน้าและการเติบโตทางพลวัตของสังคมที่เราอาศัยอยู่
หมายเหตุ : โพสต์นี้ ผมสื่อสารโดยอ้างอิงถึงจรรยาบรรณวิชาชีพเป็นหลัก และอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเข้ามาด้วย และแม้ผมจะใช้ความคิดเห็นส่วนตัว แต่เป็นความคิดเห็นภายใต้ความเป็นนักจิตวิทยาการปรึกษา ซึ่งผมพิจารณาแล้วว่าไม่ได้ขัดต่อจรรยาบรรณ

โพสต์นี้ผมไม่ได้จะโจมตีใครใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะสิ่งที่ผมมองว่ามันผิดจรรยาบรรณ คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง และไม่ว่าใครจะทำแบบนี้ ผมก็ไม่เห็นด้วยและไม่โอเคกับการกระทำเช่นนี้เหมือนกัน

เจตนาของผม มีเพียงการสร้างการตระหนักรู้ต่อหน้าที่และบทบาทของนักวิชาชีพด้านสุขภาพจิตในบริบทการแสดงออกในพื้นที่สาธารณะให้แก่สังคมเท่านั้น

Trust.นักจิตวิทยาการปรึกษา

รู้สึกแย่ และ รู้สึกผิด กับตัวเองทุกครั้ง เมื่อตัวเองไม่ productive ไม่มี positive thinking หรือเป็นเพราะเรายอมรับตัวเอง...
03/08/2025

รู้สึกแย่ และ รู้สึกผิด กับตัวเองทุกครั้ง

เมื่อตัวเองไม่ productive
ไม่มี positive thinking

หรือเป็นเพราะเรายอมรับตัวเองในด้านที่ย่ำแย่ไม่ได้
ค่านิยม productive เป็นสิ่งที่ตามมา
หลังจากกระแส self improvement ด้วย positive think

การจะเป็นคน productive หรือ positive thinking ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ในขณะเดียวกันมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีหรือมีคุณค่ามากเท่าที่กระแสสังคมตั้งไว้

toxic positivity คือ หลักฐานของเรื่องนี้
การพยายามคิดบวกอยู่ตลอดเวลา
หรือการผลักดันให้ตัวเอง เป็นคนที่ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ หรือมีความก้าวหน้าในทุก ๆ วัน อาจจะไม่ได้ส่งผลดีกับคุณ

หากท้ายที่สุด คุณจะล้มเหลว และ มีอารมณ์ทางลบ แต่ตัวคุณเองไม่สามารถเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านนี้ได้อย่างตรงไปตรงมา
การเป็นคน productive หรือ มี positive thinking
เป็นแนวทางพัฒนาตัวเองอย่างหนึ่ง
แต่ไม่ใช่วิธีการสำหรับการแก้ไขปัญหาซะทีเดียว

สมมติว่าวันหนึ่ง คุณเสียใจที่แฟนนอกใจคุณ
การคิดว่าได้เสียคนแย่ ๆ ไปก็คือสิ่งที่คิดได้
หากมันคือความเป็นจริงที่เป็นแบบนั้น

หากแต่การพยายามมองโลกในแง่ดี
หรือทำอะไรดี ๆ เพื่อตัวเอง โดยที่...
คุณเองก็ไม่ได้มองความเป็นจริง
แม้กระทั่งความรู้สึกที่แท้จริงภายในใจ

มันก็ไม่ต่างอะไรกับการสร้างเรื่องดี ๆ เรื่องหนึ่งมาปกปิดความเจ็บปวดในใจ และเมื่อคุณทำสิ่งนี้บ่อย ๆ มันจะส่งผลระยะยาว
ในจุดเริ่มต้น มันอาจจะทำให้คุณผ่านพ้นวิกฤตในชีวิตไปได้ ซึ่งถ้ามันเป็นแบบนั้น ก็คงไม่สามารถตัดสินวิธีการนี้ได้ว่า ดีหรือไม่ดี

แต่ผลพวงสำคัญคือการกระทำหรือการใช้วิธีนี้ในระยะยาว เมื่อคุณพยายามสร้างเรื่องดี ๆ ขึ้นมาเพื่อกลบความเจ็บปวดในใจ

ท้ายที่สุด คุณจะขาดความสามารถในการอดทนกับความรู้สึกทางลบ และสูญเสียความสามารถในการอยู่กับความรู้สึกในใจอย่างตรงไปตรงมา

ในท้ายที่สุด คุณจะไม่สามารถสร้างสรรควิธีรับมือกับความรู้สึกนั้น หรือ อยู่ร่วมกับตัวเองในเวอร์ชั่นที่ตัวคุณเองก็ไม่พอใจที่คุณเป็นคนแบบนี้
เมื่อไม่สามารถ productive ได้
สร้าง positive thinking ไม่ได้
แล้วเกิดความรู้สึกแย่ และ รู้สึกผิดกับตัวเอง

นั่นคือสัญญาณว่าตัวคุณกำลังเกิดปัญหา
เพราะนี่คือกลวิธีในการพัฒนาตัวเองเท่านั้น

ทำไมคุณถึงรู้สึกแย่และรู้สึกผิดในเวลาเดียวกัน
เพียงเพราะวันนี้คุณพัฒนาตัวเองในวันนี้ไม่ได้
หรือ เป็นคนที่มีความคิดเชิงบวกไม่ได้ ?
ชีวิตคนเรา ไม่มีทางที่จะสวยงาม และ ดีเลิศอยู่ตลอดเวลา
ความเป็นจริงในชีวิตคือ คนเราก็มีทั้งช่วงเวลาที่ดีและไม่ดีไปพร้อม ๆ กัน

การผลักดันในตัวเอง productive และ positive thinking อยู่ตลอด เมื่อทำไม่ได้ก็รู้สึกแย่และรู้สึกผิด มันคือภาพสะท้อนความล้มเหลวของกระบวนการที่คุณเอามาใช้ในการจัดการหรือแก้ไขปัญหาชีวิต

เมื่อคุณอยู่ในจุดที่ไม่น่ารัก
ไม่ใช่ตัวเองที่คุณจะชื่นชอบได้
มีความรู้สึกที่ไม่น่าพอใจเกิดขึ้้น

จุดจบของเรื่องทั้งหมดจบที่การสร้างเรื่องดี ๆ มาแทนที่หรือปกปิด ไม่ใช่การนำสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่จริง ๆ มาใช้ ท้ายที่สุดมันลดทอนศักยภาพสำคัญของคุณ นั่นก็คือ #การยอมรับตัวเอง
เมื่อคุณยอมรับตัวเองไม่ได้
วิธีการที่ใช้ก็ทำออกมาดีไม่ได้
ชีวิตคุณเริ่มเข้าสู่ทางตัน

เดินหน้าไปก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้
ไม่มีทางเลี้ยวซ้ายหรือขวาให้คุณอีกต่อไป

นั่นคือจุดที่ย่ำแย่และเลวร้ายที่สุด จากสิ่งที่เรียกว่า Toxic positivity ซึ่งมีรากฐานจากความพยายามที่จะ productive แบะ fixed mindset ตัวเองไปแล้วว่า เราต้องเป็นคน Positive thinking
เมื่อถึงคุณนี้ เราจะทำยังไงดี ?

การบอกให้กลับมายอมรับตัวเอง ดูจะเป็นอะไรที่เรียบง่าย แต่การกระทำนั้่างทำได้ยาก เพราะมันเป็นเรื่องศักยภาพภายในตนเอง ไม่ใช่การคิดขึ้นมาแล้วลงมือกระทำ

แต่ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหน คุณต้องเปิดใจที่จะเรียนรู้ในการทำสิ่งนี้
ยอมรับตัวเองในขั้นต้นว่า คุณก็คือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ที่สำเร็จได้และล้มเหลวได้อยู่เสมอ เพื่อคลายตัวเองจากความกดดันที่คุณสร้างขึ้นให้ตัวเองที่จะต้องทำอะไรก็ต้องออกมาดีอยู่เสมอ ๆ

เรียนรู้ที่จะให้อภัยตัวเองในวันที่ล้มเหลวและผิดพลาด
อ่อนโยนกับตัวเองในวันที่เสียใจและมีนน้ำตา รู้สึกอย่างไรก็ให้ตัวเองรู้สึกอย่างนั้น ไม่ตอกย้ำซ้ำเติมหรือดูแคลนตนเองที่เป็นแบบนี้

ไม่แม้แต่จะตั้งคำถามว่าทำไมตัวเราถึงได้แย่และห่วยแตกแบบนี้ นี่ไม่ใชช่จุดที่จะต้องหาวิธีการแก้ไขหรือทำให้ตัวเองดีขึ้นโดยเร็ว แต่คือสถานการณืที่จะอยู่กับตัวเองในแบบที่เราเป็นอย่างตรงไปตรงมา แล้วเรียนรู้ที่จะอนุญาตให้ตัวเองเป็นคนในแบบที่เราไม่พึงพอใจบ้าง เพื่อที่จะได้รู้จักตัวเองในแง่มุมนี้
การยินยอมให้ตัวเองเป็นอะไรซักอย่างเมื่อเราต้องเป็นคนแบบนั้น ในสถานการณ์และบริบทนั้น และน้อมรับตัวเอง ไม่ปฏิเสธ ไม่ตั้งคำถามเพื่อแก้ไขหลีกหนี อยู่กับตัวเองในแบบนั้นให้ได้

นี่คือ ความหมายของ #การยอมรับตัวเอง

มันไม่ใช่กระบวนการที่ทำแล้วจบลง
ทำแล้วจะดีขึ้นในทันที มันมีระยะเวลาของมัน

แต่มันจะค่อยดี ๆ ขึ้น เมื่อคุณได้เรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับอารมณ์ทางลบและตัวเองในเวอร์ชั่นที่คุณไม่ชื่นชอบตัวเองแล้ว

มันจะพาคุณไปกลับไปค้นพบความรู้สึกที่แท้จริงในจิตใจอีกครั้ง ได้ใกล้ชิด ได้อดทน ได้รู้จักกับสิ่งที่อยู่ในใจจริง ๆ

ความสามารถในการอยุ่ร่วมกับอารมณ์ทางลบจะเริ่มรื้อฟื้นขึ้นอีกครั้ง และ ศักยภาพในการยอมรับตัวเองก็จะถูกฟื้นฟูกลับมาด้วยเช่นกัน
มันจะไม่จบแค่ครั้งหรือสามครั้ง
มันจะเป็นกระบวนการที่ค่อย ๆ พาคุณเข้าไปในจิตใจตัวเอง

เมื่อมันเข้มข้นพอ จะสร้างความมั่นคงทางจิตใจให้คุณได้อีกครั้ง แล้วคุณจะหลุดพ้นกับความรู้สึกแย่และความรู้สึกผิดของตัวเองเมื่อคุณไม่ได้ productive หรือ ไม่มี positive thinking

เพราะคุณสามารถอยู่กับตัวเองในวันที่ตัวเองย่ำแย่ได้ และยอมรับตัวเองในวันนั้นได้จากหัวใจภายในจริง ๆ
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็พูดด้วยความยุติธรรมว่า
มันไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่าย ๆ
แต่ละคนมีเงื่อนไขและอุปสรรคต่างกันออกไป

ความพยายามทำได้ด้วยตนเองเป็นสิ่งที่ดี
แต่หากทำไม่ได้ก็ไม่ควรฝืน
มิเช่นนั้น คุณก็จะกลับมารู้สึกไม่ดีและรู้สึกแย่กับตัวเองอีกครั้งเพราะคุณยอมรับตัวเองไม่ได้

ในกระบวนการที่ซับซ้อนนี้ การทำไม่ได้ด้วยตัวเอง
ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือต้องต่อว่ากันเลยจริง ๆ
หากมันยากจริง ๆ ขอแนะนำให้คุณพบนักจิตวิทยาซักคนที่คุณสะดวกใจ พร้อมในการเข้าพบนัดหมายพูดคุย ด้วยฐานความรู้สึกที่ว่า เขาน่าจะเข้าใจคุณได้ เพื่อช่วยเหลือคุณต่อไปในอนาคต :)

Trust.นักจิตวิทยาการปรึกษา

31/07/2025

สำหรับบางคน
การบอกรักไม่ใช่เรื่องยาก
ความยากที่แท้จริงก็คือ

การต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตามมาหลังการบอกรัก
พอไม่ได้ตระหนักว่า สิ่งที่ยากกับตัวเอง
แท้จริงนั้นคือความกลัวและภาระในใจ

การรับรู้ต่อปัญหา จึงโฟกัสไปที่พฤติกรรม
แล้วตั้งใจแก้ไขแต่พฤติกรรมของตนเอง

ซึ่งอาจจะไม่ได้เปลี่ยนความรู้สึกภายในใจ
หรืออาจจะสร้างปัญหาใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมาได้

ควรให้โอกาสครั้งที่สองกับคู่ที่นอกใจหรือไม่ ?นี่คงเป็นคำถามที่ตอบยากที่สุดที่ใครหลาย ๆ คนไม่อยากเจอหลายครั้งการนอกใจเป็น...
29/07/2025

ควรให้โอกาสครั้งที่สองกับคู่ที่นอกใจหรือไม่ ?

นี่คงเป็นคำถามที่ตอบยากที่สุด
ที่ใครหลาย ๆ คนไม่อยากเจอ

หลายครั้งการนอกใจเป็นจุดจบของความสัมพันธ์
บางครั้งการนอกใจเป็นการเริ่มต้นใหม่ของความสัมพันธ์
จุดชี้วัดสำคัญอยู่ที่ ความรับผิดชอบ
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในความสัมพันธ์

หากมีการละเลยกันเกิดขึ้น
ความสัมพันธ์จะถูกบั่นทอน
ยิ่งกับเรื่องการนอกใจซึ่งเป็นเรื่องร้ายแรง
หากผู้ที่นอกใจยังละเลย ไม่รับผิดชอบ
ไม่ยอมรับผิด และยังกล่าวโทษอีกฝ่าย

ศักยภาพในการซ่อมแซมความสัมพันธ์
อาจจะไม่ได้ถูกประเมินให้มองเห็นว่า
เขาจะตั้งใจและทุ่มเทเพื่อซ่อมแซม

ซึ่งหากเกิดการนอกใจซ้ำ ๆ
แล้วไม่เคยมีการรับผิดชอบเกิดขึ้น
นี่คงเป็นสัญญาณอันตรายที่ชัดเจน
หากคู่ของคุณแสดงออกถึงความรับผิดชอบ
พูดความจริง รู้สึกสำนึกผิด กล่าวคำขอโทษ

ไม่โยนความผิดให้คุณ
ไม่ได้บอกว่าคุณคือสาเหตุของการนอกใจ

นี่อาจจะเป็นสัญญาณที่ดี
ที่พอจะมองเห็นศักยภาพของคู่รัก
ที่จะซ่อมแซมความสัมพันธ์ได้
สัญญาณเหล่านี้ อาจจะช่วยให้คาดคะเนได้
ว่ามันพอที่จะซ่อมแซมความสัมพันธ์
แล้วมีแนวโน้มว่า จะเดินไปด้วยกันต่อได้ไหม

สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งก็คือ #ตัวเราเอง
การถูกนอกใจ นำมาซึ่งความรู้สึกมากมาย
พร้อมกับคำถามหลาย ๆ อย่างในหัว

นี่ฉันผิดอะไร ? ฉันไม่ดีตรงไหน ?
ถ้าฉันทำแบบนี้ เขาจะไม่นอกใจใช่ไหม ? ฯลฯ
ไม่มีใครตอบได้ว่าควรให้โอกาสไหม
นอกจากตัวของเราเอง

สำหรับบางคนครั้งเดียวก็เกินไป
สำหรับบางคนลองอีกครั้งไม่เสียหาย
เราอาจจะต้องใช้เวลาในการทบทวนกับตัวเอง
เพื่อมองเห็นและรับฟังเสียงในใจของเรา

ว่าตัวเรานั้นตัดสินใจอย่างไร
แล้วค่อยมาพิจารณาว่า
คู่ของเรามีศักยภาพขนาดไหน

สำหรับการซ่อมแซมความสัมพันธ์
สำหรับการรับผิดชอบต่อสิ่งที่เขาทำ
เพราะมันไม่ใช่แค่การไปคบหากับอีกคน
เพราะมันไม่ใช่แค่การไปมี s*x กับคนอื่น

แต่มันคือการทำลายความเชื่อใจในความสัมพันธ์
ความรู้สึกที่ถูกทำร้าย ความหวาดระแวง
คำถามที่ว่าจะไว้ใจกันได้อีกหรือเปล่า

นี่คือสิ่งที่จะตามมา เมื่อความสัมพันธ์หลังการนอกใจ ได้ดำเนินต่อไป
คำแนะนำเบื้องต้นสำหรับการพบนักจิตวิทยา

หากเรายังตัดสินใจอะไรไม่ได้
ยังไม่ได้คำตอบใด ๆ กับตัวเอง
สิ่งที่สามารถทำได้คือ การรับบริการแบบรายบุคคล

หากมีการพูดคุยกันกับคู่ของเราแล้ว
มีการตกลงกันเราทั้งคู่จะไปกันต่อนะ
ฉันให้โอกาสเธอ เธอตกลงที่จะแสดงความรับผิดชอบ
ทั้งคู่สามารถตกลงเข้าร่วม การปรึกษาแบบคู่รัก หรือ คู่รักบำบัดได้

Trust.นักจิตวิทยาการปรึกษา

คำว่า move on แปลต่าง ๆ ก็คือการก้าวไปข้างหน้าแต่ก็มีความหมายแฝงว่า #การก้าวข้าม สิ่งที่ผ่านมาแล้วเพื่อเดินไปข้างหน้าต่อ...
28/07/2025

คำว่า move on แปลต่าง ๆ ก็คือ
การก้าวไปข้างหน้า

แต่ก็มีความหมายแฝงว่า
#การก้าวข้าม สิ่งที่ผ่านมาแล้ว
เพื่อเดินไปข้างหน้าต่อ

เป็นการทำให้เราเห็นภาพว่า
ถ้าเราโดนอะไรฉุดรั้งเอาไว้
เราจะก้าวต่อไปไม่ได้

แล้วก็เป็นเราเองนี่แหละ
ที่ต้องทำอะไรซักอย่าง
เพื่อ move on ต่อไปได้
คำว่า move on ก็เป็นคำที่นิยมใช้กัน
กับเรื่องความสัมพันธ์ของคนในยุคนี้

แต่ดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่
จะสนใจและให้ความสำคัญที่

การเริ่มต้นใหม่ หรือ การลืมคนเก่า
โดยตัดสินมีความสัมพันธ์ใหม่หรือยัง
หรือลืมคนเก่าได้หรือยัง ไม่คิดถึงแล้วใช่ไหม ?
ความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่สำคัญต่อมนุษย์
การมีความสัมพันธ์สร้างความเปลี่ยนแปลง
ในการใช้ชีวิตของคนหนึ่งคนได้เลย

มันไม่ใช่เพียงการได้มีคนรัก ได้มีแฟน
ได้แต่งงาน ได้ถ่ายรูปคู่

สิ่งเหล่านี้ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไป
การตื่นนอนขึ้นมาที่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
การกินข้าวที่จะรู้สึกแตกต่างไปจากเดิม

ชีวิตประจำวันที่อาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ความคิดถึงที่รอเจอใครสักคนตอนเลิกงาน
ความรู้สึกตื่นเต้นในวันหยุดที่จะได้ไปเดท
ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจทำให้เรายึกติดกับความสัมพันธ์
หรือหลงลืมการใช้ชีวิตด้วยตัวเราไปเลยก็ได้

บางครั้งที่เรา "ดูเหมือน" move on ไม่ได้
เพราะเรายังคุ้นชินกับชีวิตแบบเดิม
เหมือนตอนที่ยังมีใครอีกคน

แล้วยังรับมือกับการเปลี่ยนแปลง
ที่เขาจากเราไปแล้วไม่ได้
ซึ่งเราอาจจะไม่ได้ยึดติดทางความรู้สึก
แล้วก็พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่ด้วยซ้ำ

แต่ชีวิตเรายังชินกับการมีเขาคนนั้นอยู่เลย
แล้วอาจจะไม่ได้ตระหนักว่า

ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์จบลง
แต่ชีวิตเราเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วนะ

จากมีคู่สู่การใช้ชีวิตแบบไม่มีเขาแล้ว
หากจะบอกว่า move on ไม่ได้
ก็คงต้องตระหนักว่า มันคือมิติไหนของชีวิต

ซึ่งเราได้เหมือนแล้วว่า
ความสัมพันธ์มีผลกระทบต่อชีวิตเราหลากหลายมิติ

หากเช่นนั้นแล้ว การ move on
คงไม่ได้จำกัดแค่ว่า
เราเริ่มต้นใหม่หรือไง เราลืมคนเก่าได้แล้วใช่ไหม
มันคงครอบคลุมไปถึง
ความรับผิดชอบในการดำเนินชีวิต

ค่อย ๆ เข้าใจและปรับตัว
ในมิติตต่าง ๆ ของตัวเอง

ที่ครั้งหนึ่ง เคยมีใครสักคน
เข้ามาใช้พื้นที่และเวลาร่วมกัน
Trust.นักจิตวิทยาการปรึกษา

27/07/2025

ผมเน้นย้ำเสมอว่า
หากเราติดตามข่าวสารอะไร เพราะเราสนใจ
มันไม่ใช่เรื่องที่ผิดเลย

แต่ถ้าความสนใจนั้น
กำลังบั่นทอนและทำร้ายคุณภาพชีวิต

เราต้องพิจารณาอะไรสักอย่างไหม ?
ในชีวิตจริงของคนเรา
อะไรมากไปมันก็ไม่ดี
อะไรน้อยไปมันก็ไม่ดี

ความพอดีหรือความสมดุล
ก็ไม่ใช่จุดตรงกลาง

แต่เป็นกระบวนการที่เราเข้าใจตัวเอง
ผ่านการทบทวนตัวเองอย่างดี
แล้วเกิดการตระหนักรู้ต่อตนเอง

จนสามารถตอบได้ว่า
จุดสมดุลของชีวิตเรานั้นเป็นอย่างไร
ในช่วงนี้มีข่าวหลายข่าวที่น่าติดตาม
ก็ขอให้ทุกท่านระมัดระวังสุขภาพใจไว้ด้วย

การมีอยู่ของ social media ทำให้เข้าถึงข่าวได้ง่ายมากขึ้น และเสี่ยงต่อพฤติกรรมเสพติด (โดยไม่รู้ตัว)
หากเราเริ่มไม่สบายใจ
อารมณ์แปรปรวน
หรือรู้สึกวิตกกังวล

จากการติดตามข่าวสารมากเกินไป
เราอาจจะต้องเปลี่ยนกิจกรรม

พักความสนใจ เพื่อผ่อนคลายจิตใจของเรา
ยังไม่นับ fake news ที่ทำกันง่ายมากขึ้น

ที่จะทำให้เรารู้สึกแย่และสับสน
ระมัดระวังจิตใจของตัวเองกันด้วยนะครับ
: )

Send a message to learn more

23/07/2025

เวลาอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เยียวยาทุกสิ่ง
เวลาอาจะเป็นเพียงปัจจัยนึงเท่านั้น

สิ่งที่สำคัญที่เราต้องตระหนัก
ในการเยียวยาความรู้สึก

ก็คือตัวเราเป็นอันดับแรก
หากเรามีเวลามากมาย
แต่ไม่ทำอะไรเลย
ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

หากเราตั้งใจจะทำทุกอย่าง
แต่เวลานั้นไม่เพียงพอ
ก็คงจะเปลี่ยนอะไรได้ยาก
สิ่งสำคัญคือการตระหนักว่า
ตัวเรานั้นเป็นหลักสำคัญ

เวลาเป็นปัจจัยเสริม
ที่ขาดไปไม่ได้
เมื่อเรามองเห็นเช่นนี้
เราจะไม่เผลอคิดไปว่า

การใช้ชีวิตต่อไปเรื่อย ๆ
โดยที่เฝ้ารอการเปลี่ยนแปลง
เพราะเชื่อว่าเวลาจะทำให้ดีขึ้นได้

ซึ่งเราไม่ได้ใช้ศักยภาพของเรา
กำหนดก้าวเดินในชีวิตของเรา

Send a message to learn more

22/07/2025

ความเป็นห่วงของพ่อแม่
ที่พยายามชี้ให้เห็นแต่ข้อเสียของลูก

แต่ขาดการปลอบใจ และความเข้าใจ
ก็อาจจะสร้างความวิตกกังวลในตนเอง
และทำให้ขาดความมั่นใจในตัวเอง
บางครั้ง ก็จะเกิดความรู้สึกในใจว่า
ฉันดีพอแล้วหรือยัง ?

ดีพอไหม ที่พ่อแม่จะไม่บอกว่าฉันพลาดยังไง
ฉันผิดพลาดตรงไหน ฉันทำอะไรที่มันไม่ดี
การที่ต้องให้พ่อแม่เป็นบรรทัดฐาน
เพื่อพิสูจน์ตัวเองและได้รับการยอมรับ

ก็คงจะเหนื่อยไม่น้อย
หากพ่อแม่ของเรา ไม่ค่อยได้ชื่นชมหรือเข้าใจเรา
ความเป็นห่วง ที่แสดงออกผ่านการวางกรอบ
และสร้างไม้บรรทัดที่คอยแต่ชี้วัดความผิดพลาด

อาจจะกลายเป็นบรรทัดฐานที่ไม่มีเส้นชัย
ที่ไม่ว่าจะพิสูจน์ตัวเองได้ดีแค่ไหน
ก็ยังมองเห็นข้อผิดพลาดของตัวเองอยู่

เราจะอยู่ท่ามกลางกระจกสะท้อน
ที่สะท้อนให้เห็นแต่ความบกพร่อง
แม้ว่าจะทำดีมากแล้วก็ตาม

ที่อยู่

279 ม. หมู่บ้านบุรีรมย์ ประชาอุทิศ 76/1 ทุ่งครุ
Bangkok
10140

เวลาทำการ

อังคาร 09:00 - 23:00
พุธ 09:00 - 23:00
พฤหัสบดี 09:00 - 23:00
ศุกร์ 09:00 - 00:00
เสาร์ 09:00 - 23:00
อาทิตย์ 09:00 - 23:00

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Trust.นักจิตวิทยาการปรึกษาผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Trust.นักจิตวิทยาการปรึกษา:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ทำไมถึงชื่อ Trust.นักจิตวิทยาการปรึกษา

ผมเป็นคนไม่ถนัดเรื่องตั้งชื่อหรือไอเดียสร้างสรรค์เท่าไหร่ อาจจะเพราะเป็นคนที่ใช้การคิดวิเคราะห์อย่างมากมาตลอด พอจะตั้งชื่อหรือนึกชื่อให้คนจดจำก็นึกไม่ออก แต่ก็มีไอเดียว่าอยากให้เป็นชื่อที่มันเกิดขึ้นได้เพราะตัวตนของผม มีอุดมการณ์ของผมแฝงอยู่ในชื่อนั้น มีแก่นของชีวิตของผมแทรกซึมอยู่ในชื่อนั้น ทุกอย่างก็เริ่มต้นจากการทบทวนตนเอง

ผมถามตัวเองว่าตัวตนในงานปรึกษาและบำบัดของผมคือะไร ผมก็รู้สึกว่างานของเราเนี่ยบางทีมันก็ย้อนแย้งในตัวเองนะ ผมมีหน้าที่ให้ผู้รับบริการเข้าใจตัวเอง เข้าถึงตัวตนที่แท้จริงของตนเองโดยที่ก้าวผ่านหน้ากากบางอย่างที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ชีวิตในสังคม แต่ในขณะเดียวกันนักจิตวิทยาการปรึกษาอย่างผมกลับต้องสร้างภาพพจน์บางอย่างขึ้นมาเพื่อความสะดวกในการทำงาน แต่ถึงท้ายที่สุดเราก็ใช้ความจริงใจและความเป็นตัวเองพูดคุยกับผู้บริการอยู่ดี ก็เลยได้ไอเดียว่า งานของเราเนี่ยมันขับเคลื่อนผ่านสิ่งที่เรียกว่า “Trust” ถ้าไม่มี Trust นี้งานเราก็ไปไหนไม่ได้ มันไม่เกิดความก้าวหน้า และเราเองก็พยายามสร้าง Trust นี้ในความสัมพันธ์ระหว่างเรากับผู้รับบริการ. ก็พูดขึ้นมาว่า “เอ้อ นี่แหละตัวตนของเราเลย” งั้นใช้ชื่อว่า Trust นี่แหละ มันใช่ที่สุดแล้ว แต่ก็รู้สึกว่ามันสั้นไปนะ ดูยังไม่อิน งั้นเอาเป็น Trust.นักจิตวิทยาการปรึกษา แล้วกัน ใส่หัวใจในเนื้องานเราเข้าไป ผสมผสานกับอาชีพของเรา เพื่อให้คนได้สัมผัสถึงตัวตนของเรา

.

Trust.นักจิตวิทยาการปรึกษา มันแฝงไปด้วยอุดมการณ์และแก่นของชีวิตอย่างไร? ผมมีความเชื่อว่าที่ผู้คนยังไม่นิยมเดินมาพบนักจิตวิทยาเพื่อดูแลจิตใจตนเองนั้น เป็นเพราะพวกเขาเหล่านั้นยังขาดข้อมูลที่ถูกต้อง ขาดความเข้าใจที่เป็นจริง. ผมไม่ได้อยากหาเลี้ยงชีพด้วยอาชีพนักจิตวิทยาการปรึกษาเท่านั้น ผมมีความต้องการที่จะขับเคลื่อนวงการนักจิตวิทยาการปรึกษาและวงการสุขภาพภาพจิตในสังคมไทย ผมรู้สึกว่าเมื่อนักจิตวิทยาการปรึกษาอย่างผมหรือคนอื่น ๆ ก้าวออกมาสื่อสารกับผู้คนในสังคม สร้างความเชื่อที่ดี ความเข้าใจที่ถูกตัว ให้พวกเขาได้รับข้อมูลจากนักจิตวิทยาการปรึกษาที่ได้ทำงานด้านนี้จริง ๆ เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นผู้คนก็จะมีความเชื่อใหม่ ๆ ที่ดี มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ต้องมาคิดเรื่องกล้าหรือไม่กล้ามาพบนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ เพราะความกล้ามันไม่ควรมาเป็นประเด็นในการตัดสินใจ เมื่อต้องชั่งใจกับความกล้า นั่นอาจจะหมายถึงมีความกลัวบางอย่างอยู่ในใจ ซึ่งผมมองว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเลยนะ ประเด็นที่ผู้คนควรขบคิดเรื่องที่ว่า ฉันอยากมาพบหรือไม่อยากมาพบกันแน่นะ? ฉันจะสำรวจตัวเองอย่างไรว่าควรมาพบได้หรือยัง และถ้าอยากมาพบจะไปเจอกันที่ไหนบ้าง และผู้คนในสังคมก็ควรยินดีที่เพื่อมนุษย์เลือกที่จะใส่ใจดูแลตนเอง ไม่ใช่ไปหยอกล้อซ้ำเติมตามความเชื่อเดิม ๆ ทั้งที่ในความจริงตรงหน้า “เขาเพียงแค่ดูแลจิตใจของตนเองร่วมกับนักวิชาชีพด้านสุขภาพจิต” เท่านั้นเอง!