05/12/2022
นวดราชสำนัก นวดเชลยศักดิ์
การบัญญัติคำว่า "การนวดแบบราชสำนัก/หมอนวดราชสำนัก" และ "การนวดแบบเชลยศักดิ์/หมอนวดเชลยศักดิ์" เมื่อราวสามทศวรรษก่อน (ซึ่งเท่าที่ทราบจากผู้คร่ำหวอดในแวดวงการนวดไทย สองคำนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อนหน้านั้น)
จนกลายเป็นการจำแนกประเภทของการนวดไทยที่ถูกใช้ต่อกันมาจนบัดนี้นั้น
ผมคิดว่ากล่าวอย่างถึงที่สุด คำว่า "นวดแบบราชสำนัก" หลักๆ แล้วน่าจะถูกบัญญัติขึ้นมาเพื่อบ่งบอกอัตลักษณ์ของแบบแผนการนวดของสำนักหรือแนวทางหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากแบบแผนหรือวิธีการนวดของสำนักหรือหมอนวดไทยคนอื่นๆ
พูดอีกอย่างว่า เป็นคำที่ใช้เรียก School of Thai Massage หนึ่ง ซึ่งมีอัตลักษณ์(identity)และเอกลักษณ์(uniqueness)เฉพาะตนแตกต่างจาก School of Thai Massage อื่นๆ
เปรียบได้กับสำนักโยคะหลากหลายสำนักทั่วโลก(ในปัจจุบันสมัย)ซึ่งมีชื่อแตกต่างกันไป
เช่น Ashtanga Yoga ซึ่งก่อตั้งโดย Pattabhi Jois (ซึ่งเป็นคนละอย่างกับ องค์ทั้งแปดของโยคะ - ที่กล่าวถึงในโยคสูตระของปตัญชลิ ซึ่งเป็นหนึ่งในตำราโยคะดั้งเดิม แม้จะมีคำว่า Ashtanga เหมือนกัน), Iyengar Yoga, Sivananda Yoga และอื่นๆ
สำนัก(โยคะ)ต่างๆ เหล่านี้ แม้จะมีคำว่าโยคะห้อยท้าย ทว่าสาระคำสอนในส่วนที่เกี่ยวกับโยคะมาจากแหล่งคือตำราดั้งเดิมเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ เช่น Yoga Suta (เรียบเรียงโดย Patañjali), Haṭha Yoga Pradīpikā (เรียบเรียงโดย Svātmārāma) ฯลฯ
เพราะฉะนั้น ในความเห็นของผม แต่ละสำนัก(ที่มีคำว่า Yoga)เหล่านี้ ก็คือ one school of Asana practice หรือสำนักฝึกและสอนการฝึกอาสนะสำนักหนึ่ง ซึ่งมีแบบแผน แนวทาง และวิธีการฝึกอาสนะแตกต่างจากสำนักอื่นๆ
การตั้งชื่อสำนัก(โยคะ)ที่ต่างกัน มิใช่เป็นการจำแนกประเภทของ(การฝึก)โยคะที่ต่างกันแต่อย่างใด
ด้วยว่าเมธีแห่งโยคะและโยคาจารย์ได้จำแนกวิถีแห่งโยคะเป็น ๓ แนวทางมาแต่ดั้งเดิมแล้ว
วิถีแห่งโยคะที่ว่า ได้แก่ ภักติโยคะ (bhakti yoga), กรรมโยคะ (karma yoga) และชญานโยคะ (jnana yoga)
ว่ากันว่าการจำแนกวิถีแห่งโยคะหรือโยคะมารคะ (yogamarga)เป็น ๓ แบบ ก็เพื่อให้เหมาะกับจริตของแต่ละคน
กลับมาที่ประเด็นที่ผมมองว่า คำว่า "นวดราชสำนัก" น่าจะถูกบัญญัติขึ้นมาเพื่อบ่งบอกอัตลักษณ์ของแบบแผนการนวดของสำนักหรือแนวทางหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากแบบแผนหรือวิธีการนวดของสำนักหรือหมอนวดไทยคนอื่นๆ
การสร้างคำเรียกขึ้นมาเพื่อบ่งบอกอัตลักษณ์ของตนเป็นเรื่องที่เข้าใจได้และสมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าแทนที่จะบัญญัติเพียงคำว่า "นวดราชสำนัก" เพียงคำเดียว เพื่อเป็นชื่อเรียก one school of Thai massage
แต่กลับมีคำว่า "นวดแบบเชลยศักดิ์" ควบคู่มาด้วย
ที่สำคัญกว่านั้นและอาจกล่าวได้ว่าทำให้เกิดปัญหาคาใจในแวดวงหมอนวดไทยมาจนปัจจุบันก็คือ ทั้งสองคำนี้มีนัยถึงสถานภาพที่แตกต่างกัน
(ยิ่งถ้าไปดูคุณสมบัติของหมอนวดสองแบบแผนนี้ในหนังสือคู่มือ ICD 10 การแพทย์แผนไทย ซึ่งจัดพิมพ์โดยกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ จะเห็นได้ว่าสื่อถึงความแตกต่างในลักษณะที่ฝ่ายหนึ่ง superior กว่าอย่างชัดเจน - ซึ่งผมเคยเขียนถึงเรื่องนี้แล้ว)
มิหนำซ้ำไปๆ มาๆ คำว่า "นวดราชสำนัก" และ "นวดเชลยศักดิ์" กลับกลายเป็นการจำแนกประเภทของการนวดและหมอนวดไทยที่ถูก acknowledged หรือรับรองโดยฝ่ายราชการที่เกี่ยวข้อง
ที่น่าแปลกก็คือ การจำแนกประเภทการนวดไทยเป็น "นวดราชสำนัก" และ "นวดเชลยศักดิ์" นั้น มี school of Thai massage เพียงแห่งเดียวที่จัดอยู่ในประเภทหรือแบบแผนที่เรียกว่า "นวดราชสำนัก"
ส่วน school of Thai massage อื่นๆ ถูกจัดให้กลายเป็น "นวดเชลยศักดิ์"
คำถามมีอยู่ว่า การจำแนกประเภทหรือแบบแผนการนวดและหมอนวดไทยดังกล่าวนี้ ผ่าน "ฉันทามติ" ของหมอนวดไทยส่วนใหญ่แล้วกระนั้นหรือ
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเป็นการสวมสถานภาพของการเป็น "หมอนวดเชลยศักดิ์" ให้แก่หมอนวดอื่นๆ ที่อยู่คนละ school of Thai massage ในยุคนั้น.
หมายเหตุ : ผมเคยมีโอกาสคุยกับหนึ่งในครูหมอนวดไทยซึ่งเป็นที่เคารพยกย่องในความเมตตาและทักษะความเชี่ยวชาญการนวดของท่านโดยบรรดาครูหมอนวดด้วยกัน (ปัจจุบันท่านล่วงลับไปแล้ว) เกี่ยวกับเรื่องหมอนวดราชสำนักและหมอนวดเชลยศักดิ์
สถานะความเป็นหมอนวดของท่านตามการจำแนกแยกแบ่งข้างต้นคง(ถูก)จัดอยู่ในประเภทหมอนวดเชลยศักดิ์
ท่านบอกว่าโดยส่วนตัวแล้ว ท่านไม่รู้สึกอะไรกับการถูกสวมหมวก "หมอนวดเชลยศักดิ์"
แต่ท่านไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งและไม่สบายใจอย่างมาก ตั้งแต่ช่วงแรกที่มีการแบ่งและใช้คำสองคำนี้แล้ว
ท่านเห็นว่าการจำแนกแบ่งกลุ่มเช่นนี้ นอกจากไม่มีประโยชน์โพดผลใดแล้ว กลับจะทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่หมอนวดด้วยกัน ทั้งที่หมอนวดที่ถูกแยกเป็นสองแบบต่างก็เป็นหมอนวดไทยเหมือนกัน