Media Planner - Pr.Agency

Media Planner - Pr.Agency ดำเนินธุรกิจวางกลยุทธ์การสื่อสาร?

บริษัท มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์ จำกัด

ก่อตั้งเมื่อเดือนสิงหาคม 2553โดยกลุ่มผู้บริหารรุ่นใหม่
ซึ่งมีประสบการณ์ด้านการ สื่อสารมวลชนด้านการประชาสัมพันธ์ รวมถึงงานด้านอีเวนท์
จากประสบการณ์งานด้านสื่อสารมวลชน ตลอดจนการวางแผนด้านกลยุทธ์ด้านการประชาสัมพันธ์
ทำให้บริษัทฯ ได้รับความน่าเชื่อถือและไว้วางใจ จากลูกค้าองค์กรทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน
โดยมอบหมายให้ดูแลงานด้าน สร้างภาพลักษณ์องค์กร และการประชาสัมพันธ์ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

ดำเนินธุรกิจวางกลยุทธ์การสื่อสารและประชาสัมพันธ์ แบบครบวงจร
ไม่ว่าจะเป็น การวางกลยุทธ์ด้านการสื่อสารการตลาด หรือแม้แต่การเป็นที่ปรึกษาทางกลยุทธ์ในการประชาสัมพันธ์ เพื่อนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนี้ เพื่อให้บริโภค หรือนักลงทุน ตระหนักถึงความน่าเชื่อถือ คุณภาพของสินค้า และภาพลักษณ์ขององค์กร อย่างมากที่สุด

ที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์
กำหนดกลยุทธ์และแผนงานการสื่อสาร เพื่อก่อให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์การ สินค้า และโครงการต่างๆ

สื่อมวลชนสัมพันธ์
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับสื่อมวลชน เสริมทักษะในการสัมภาษณ์

กิจกรรมสนับสนุนภาพลักษณ์
เสนอรูปแบบ องค์ประกอบ และการดำเนินการ กิจกรรมในส่วนของ Event นิทรรศการ Road Show

ผลิตสื่อเพื่อการประชาสัมพันธ์
ออกแบบสื่อเพื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ อาทิ Video Present สิ่งพิมพ์ สปอตวิทยุ

Media Planner Consultants Co.,Ltd.
72/84 หมู่บ้านประภาทรัพย์2 ซอยคู้บอน 48 แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร 10510

WHAUP โชว์รายได้ครึ่งปีแรก 1,898 ล้านบาท กำไรปกติแตะ 460 ล้านบาทลุยขยายธุรกิจต่อเนื่อง รับดีมานด์ Data Center พุ่งกรุงเท...
08/08/2025

WHAUP โชว์รายได้ครึ่งปีแรก 1,898 ล้านบาท กำไรปกติแตะ 460 ล้านบาท
ลุยขยายธุรกิจต่อเนื่อง รับดีมานด์ Data Center พุ่ง

กรุงเทพฯ - บมจ. ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ “WHAUP” ประกาศงบงวด 6 เดือนแรก ปี 2568 มีรายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติ จำนวน 1,898 ล้านบาท กำไรปกติ 460 ล้านบาท ด้าน CEO “สมเกียรติ เมสันธสุวรรณ” เดินเกมรุก ขยายการให้บริการระบบสาธารณูปโภคภายในนิคมอุตสาหกรรม WHA พร้อมรองรับลูกค้ากลุ่ม Data Center ที่มีความต้องการใช้น้ำสูง

บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (“WHAUP”) แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทฯ มีรายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติ จำนวน 1,898 ล้านบาท มีกำไรปกติ (Normalized Net Profit) จำนวน 460 ล้านบาท ลดลง 33% และมีกำไรสุทธิซึ่งรวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 365 ล้านบาท ลดลง 54% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการลดลงของกำไรปกติมีสาเหตุหลักมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้าลดลง โดยเฉพาะจากธุรกิจโรงไฟฟ้า SPP ที่ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 มีการบันทึกรายการพิเศษเกี่ยวกับต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นจากการชำระคืนส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติที่เคยได้รับการตรึงราคาโดยภาครัฐในอดีต รวมถึงในช่วง 6 เดือนแรกของปีก่อน บริษัทฯ มีการรับรู้รายการพิเศษเกี่ยวกับรายได้เงินชดเชยจากการประกันภัย อย่างไรก็ตาม รายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของกำลังการผลิตไฟฟ้า รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในธุรกิจน้ำที่เวียดนามยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (“WHAUP”) เปิดเผยว่า WHAUP ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าขยายธุรกิจการให้บริการด้านสาธารณูปโภคและพลังงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการเติบโตของลูกค้า และตอบโจทย์ความต้องการด้านสาธารณูปโภคและพลังงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและดิจิทัลที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว สำหรับภาพรวมธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,216 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทฯ ได้รับปัจจัยบวกจากการเริ่มทยอยรับรู้รายได้ค่าใช้น้ำส่วนเกิน (Excessive Charge) จากลูกค้ากลุ่ม Data Center และการเติบโตของยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม แม้ว่าปริมาณยอดจำหน่ายน้ำดิบและน้ำอุตสาหกรรมจะลดลงก็ตาม

สำหรับปริมาณยอดจำหน่ายน้ำในต่างประเทศยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยหลักมาจากยอดจำหน่ายน้ำที่เพิ่มขึ้นของโครงการ Doung River โดยในงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจน้ำในประเทศเวียดนามทั้งสิ้น 48 ล้านบาท เติบโต 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ ภาพรวมของธุรกิจน้ำในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 คาดว่ายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการลงทุนขยายการให้บริการแก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่ม Data center ที่มีปริมาณความต้องการใช้น้ำสูง โดยคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้จากลูกค้ากลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้นในครึ่งปีหลัง

ด้านธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ในส่วนของธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทฯ รับรู้รายได้จากสัญญา Private PPA รวมทั้งสิ้น 241 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% โดยใน 6 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทฯ ได้มีการลงนามในสัญญาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ Solar Rooftop เพิ่มจำนวน 21 สัญญา กำลังการผลิตรวมประมาณ 26 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2568 มีจำนวนเซ็นสัญญาโครงการ Solar Private PPA สะสมจำนวน 315 เมกะวัตต์ และมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวมตามสัดส่วนการถือหุ้นจากโรงไฟฟ้าทุกประเภทอยู่ที่ราว 991 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นจำนวนกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ดำเนินการแล้ว จำนวน 706 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนา จำนวน 285 เมกะวัตต์

ในส่วนของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า ในงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 มีส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้าจำนวน 347 ล้านบาท ลดลง 31% ปัจจัยหลักมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้า SPP ที่ลดลงจากการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษจากการชำระคืนส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติที่เคยได้รับการตรึงราคาโดยภาครัฐในอดีต ทำให้มีต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น รวมถึงในงวด 6 เดือนแรกของปี 2567 กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP มีการรับรู้รายได้ชดเชยจากการประกันภัย

สำหรับภาพรวมธุรกิจไฟฟ้าในครึ่งปีหลัง บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนเพื่อสร้างการเติบโตทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ โดยมุ่งเน้นการลงทุนในโครงการโซลาร์รูฟท็อป โครงการ Direct PPA และโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in-Tariff เป็นต้น

นายสมเกียรติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2568 มูลค่ารวม 3,500 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกยังเผชิญความท้าทายและความไม่แน่นอน เป็นการสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อศักยภาพของบริษัทฯ ในการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคง นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้รับการคัดเลือกจากสถาบันไทยพัฒน์ให้เข้าอยู่ในทำเนียบกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ประจำปี 2568 เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน






#บริการPRงานประชาสัมพันธ์
ัมพันธ์
#วางกลยุทธ์สื่อสารประชาสัมพันธ์
#สร้างสัมพันธ์นักลงทุนMediaPlanner
ี่

ุ้นไฟแนนซ์
ุ้นไฟแนนซ์

Tiktok : .creators
X :
youtube : Media planner - Pr.Agency

WHA Group โชว์ฟอร์ม 6 เดือนแรกปี 68 รายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 9,325 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% (Y-Y) ด้านกำไรปกติพุ่งแตะ 3...
08/08/2025

WHA Group โชว์ฟอร์ม 6 เดือนแรกปี 68 รายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 9,325 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% (Y-Y)
ด้านกำไรปกติพุ่งแตะ 3,148 ล้านบาท เติบโต 24% (Y-Y)
ส่งสัญญาณบวกต่อเนื่อง พร้อมมั่นใจสร้าง All-Time High เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน

กรุงเทพฯ - บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น โชว์ฟอร์มแกร่งด้วยงบ 6 เดือนแรกปี 2568 รายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 9,325 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% (Y-Y) ด้านกำไรปกติพุ่งแตะ 3,148 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% (Y-Y) และมี ด้าน Group CEO “จรีพร จารุกรสกุล” มั่นใจศก.ไทยยังน่าสนใจ แม้เผชิญความท้าทายรอบด้าน ด้วยภูมิรัฐศาสตร์และที่ตั้งที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ของประเทศไทย การเป็นศูนย์รวม Supply Chain ที่ครบวงจรที่มีความพร้อมทั้งจากระบบสาธารณูปโภค ความมั่นคงด้านพลังงาน - พลังงานหมุนเวียน และแรงงานที่มีศักยภาพเชี่ยวชาญอย่างเพียงพอ โดยปัจจัยเหล่านี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนในการดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมเผยครึ่งปีหลังปี 2568 จ่อเซ็นสัญญาขายที่ดินลูกค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิค-เครื่องใช้ไฟฟ้า-กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ รวมกว่า 1,000 ไร่

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) WHA Group เปิดเผย ผลการดำเนินงาน สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทมีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 9,398 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% (Y-Y) และกำไรสุทธิ 3,056 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% (Y-Y) โดยเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 9,325 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% (Y-Y) และกำไรปกติ 3,148 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% (Y-Y) เป็นผลมาจากผลการดำเนินงานที่เติบโตโดดเด่นของ 5 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย ธุรกิจโลจิสติกส์ - ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม - ธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) และไฟฟ้า - ธุรกิจดิจิทัล - ธุรกิจโมบิลิตี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ที่ได้รับอานิสงส์จากการดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศได้ต่อเนื่อง ธุรกิจโลจิสติกส์ที่เติบโตตามพื้นที่ให้เช่าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการรรับรู้รายได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ WHART มูลค่ารวม 808 ล้านบาท ทั้งนี้ WHA Group ยังคงขับเคลื่อนธุรกิจตามแผนกลยุทธ์ที่มุ่งสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ภายใต้ "WHA: WE SHAPE THE FUTURE" ซึ่งสอดรับกับความมั่นคงและความยั่งยืนของประเทศ

ธุรกิจโลจิสติกส์ : เติบโตโดดเด่น โดยมีพื้นที่คลังสินค้าภายใต้การถือครองและบริหารรวม 3,163,552 ตร.ม. โดยรับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจให้เช่าและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ สำหรับไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2568 ทั้งสิ้น 556 ล้านบาท และ 1,048 ล้านบาท ตามลำดับ เป็นผลจากการตอบรับที่ดี จากลูกค้าชั้นนำจากหลายอุตสาหกรรม ส่งผลให้สามารถลงนามสัญญาเช่าโครงการ Built-to-Suit และโรงงาน/ คลังสินค้าสำเร็จรูปเพิ่ม รวม 123,237 ตร.ม. คิดเป็นมูลค่ารวม 2,153 ล้านบาท และมีสัญญาเช่าระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนสูง จำนวน 46,540 ตร.ม. และยังได้รับการคัดเลือก (Award) จากกลุ่มลูกค้าผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ ที่มีความต้องการเช่าคลังสินค้าคุณภาพสูง พื้นที่รวม 32,000 ตร.ม. คิดเป็นมูลค่าสัญญากว่า 1,300 ล้านบาท

บริษัทเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่บนทำเลที่มีศักยภาพในประเทศไทย พื้นที่กว่า 380,000 ตร.ม. ได้แก่ WHA Mega Logistics Center ชลหารพิจิตร กม.4 โครงการ 2 WHA Mega Logistics Center เทพารักษ์ กม. 21 เฟส 3 และ WHA Mega Logistics Center บางนา - ตราด กม. 23 Inbound ขณะเดียวกัน ศูนย์โลจิสติกส์เซ็นเตอร์แห่งแรกในประเทศเวียดนาม พื้นที่ 37,500 ตร.ม. ภายในนิคมอุตสาหกรรมมินห์กวาง จังหวัดฮึงเอียน ล่าสุดมีกลุ่มลูกค้าให้ความสนใจและทยอยลงนามเช่าพื้นที่อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังได้ลงนามบันทึกข้อตกลง MOU กับรัฐบาลท้องถิ่น จังหวัด Thanh Hoa เพื่อศึกษาการพัฒนาโครงการโลจิสติกส์ในพื้นที่ 300 ไร่

“ล่าสุด บริษัทประสบความสำเร็จในการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ WHART พื้นที่รวม 32,524 ตร.ม. คิดเป็นมูลค่ารวม 808 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากเป้าหมายทั้งปี ในการขายทรัพย์สินเข้ากองทรัสต์ฯ พื้นที่ราว 70,000 ตร.ม. มูลค่าประมาณ 1,500 ล้านบาท”

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม : ครึ่งปีแรก 2568 มียอดขายที่ดินรวม จำนวน 1,105 ไร่ โดยสามารถรับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจที่ดินในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2568 รวม 1,276 ล้านบาท และ 4,857 ล้านบาท ตามลำดับ โดยสาเหตุที่รายได้และส่วนแบ่งกำไรครึ่งปีแรก 2568 ปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลจากราคาขายที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับยอดโอนที่ดินรวมในครึ่งปีแรกที่ยังอยู่ในระดับสูง ตามภาวะการลงทุนที่ได้รับปัจจัยหนุนจากการย้ายฐานการลงทุน/การผลิต (Relocation) และการขยายธุรกิจ (Business Expansion) มายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับภาวะการส่งเสริมการลงทุนครึ่งแรกปี 2568 ของไทยที่มีมูลค่ารวมกว่า 1.05 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 138% โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2568 มียอดขายที่ดินรอการโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) ให้กับลูกค้า 1,467 ไร่ และยอด Outstanding LOI/ MOU ที่อยู่ในระดับสูง จำนวน 1,427 ไร่ สะท้อนถึงความต้องการที่ดินอุตสาหกรรมที่อยู่ในระดับสูง

“ไตรมาส 2 ปี 2568 บริษัทได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินกับบริษัท Beijing Haoyang เพื่อสร้าง Data Center ระดับไฮเปอร์สเกล มูลค่า 72,670 ล้านบาท ซึ่งเป็นสเกลที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำของไทยในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล นอกจากนี้ ยังมีลูกค้ากลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ อีกหลายรายที่อยู่ระหว่างเจรจา”

ขณะที่ลูกค้ารายใหญ่จากภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลง (MOU) เพื่อซื้อที่ดิน อาทิ บริษัทอิเล็กทรอนิคและเครื่องใช้ไฟฟ้า พื้นที่รวม 530 ไร่ และบริษัทชิ้นส่วนยานยนต์ ที่มีแผนซื้อที่ดิน กว่า 470 ไร่ เพื่อตั้งฐานการผลิตในไทย โดยคาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินกับลูกค้า ภายในครึ่งปีหลังปี 2568 นี้

ปัจจุบัน WHA Group มีทั้งหมด 16 นิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยและเวียดนาม และมีพื้นที่นิคมฯ ในประเทศไทย ที่กำลังก่อสร้างและรอการพัฒนา รวม 7 โครงการ บนพื้นที่ 8,900 ไร่ โดยโครงการล่าสุด ได้แก่ WHA Eastern Seaboard Industrial Estate 5 เฟส 1 และ 2 พื้นที่รวมกว่า 5,000 ไร่ ซึ่งเป็นนิคมภายใต้แนวคิด “Smart Eco Industrial Estate” ที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเร่งพัฒนาโครงการ และคาดว่าที่ดินแปลงแรกพร้อมโอนให้แก่ลูกค้าได้ภายในไตรมาส 1 ปี 2569 นี้

ส่วนการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนาม บริษัทมีนิคมฯ ที่พัฒนาแล้ว พื้นที่ 3,125 ไร่ (500 เฮกตาร์) ได้แก่ WHA Industrial Zone 1 – Nghe An ที่จังหวัดเหงะอาน (Nghe An) และอีก 3 โครงการมีแผนการดำเนินการก่อสร้างในช่วงปี 2568 – 2569 พื้นที่รวม 3,353 ไร่ (537 เฮกตาร์) และยังได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับรัฐบาลท้องถิ่นประจำจังหวัดทัญฮว้า (Thanh Hóa), จังหวัดดานัง (Da Nang) และจังหวัดฮึงเอียน (Hung Yen) เพื่อพัฒนาเขตอุตสาหกรรมในอนาคตอีกด้วย

ธุรกิจสาธารณูปโภค(น้ำ) : ครึ่งปีแรก 2568 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง รับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจสาธารณูปโภครวม โดยในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2568 เท่ากับ 824 ล้านบาท และ 1,572 ล้านบาท ตามลำดับ จากปริมาณยอดขายและบริหารน้ำทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2568 เท่ากับ 40.3 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 80.3 ล้านลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ โดยเป็นยอดจำหน่ายน้ำภายในประเทศ ในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2568 จำนวน 30.8 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 61.7 ล้านลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนหน้า จากปริมาณยอดขายน้ำให้กับลูกค้ากลุ่มโรงไฟฟ้าและปิโตรเคมีที่ลดลง ขณะที่ปริมาณยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value-added Product) มีการเติบโตโดดเด่น ปรับตัวเพิ่มขึ้น 29% (Y-Y) เนื่องจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของลูกค้าใหม่ โดยในไตรมาส 2 ปี 2568 บริษัทรับรู้รายได้ค่าธรรมเนียมจากการขอใช้น้ำเกินกว่าที่จัดสรร (One-time Charge) จำนวน 84 ล้านบาท จากลูกค้าที่มีความต้องการใช้น้ำปริมาณมาก

ด้านประเทศเวียดนาม บริษัทมียอดจำหน่ายน้ำรวมตามสัดส่วนการถือหุ้นในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2568 เท่ากับ 9.5 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 18.6 ล้านลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของยอดจำหน่ายน้ำของโครงการ Duong River ที่เติบโตขึ้นจากการขยายพื้นที่การให้บริการให้กับลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่

ธุรกิจไฟฟ้า : ในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2568 รับรู้รายได้จากธุรกิจพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์เท่ากับ 123 ล้านบาท และ 254 ล้านบาท ตามลำดับ และมีส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้าเท่ากับ 162 ล้านบาท และ 338 ล้านบาท ตามลำดับ โดยในไตรมาส 2 ปี 2568 มีการเซ็นสัญญาโครงการ Private PPA เพิ่มจำนวน 13 สัญญา กำลังการผลิตรวมประมาณ 11 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2568 มีจำนวนเซ็นสัญญาโครงการ Private PPA สะสม จำนวน 315 เมกะวัตต์ และมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมตามสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 991 เมกะวัตต์ ซึ่งแบ่งเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ดำเนินการแล้วจำนวน 706 เมกะวัตต์ (เป็นพลังงานหมุนเวียนจำนวน 178 เมกะวัตต์) และที่อยู่ระหว่างการพัฒนา จำนวน 285 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโครงการพลังงานหมุนเวียนทั้งหมด

“ครึ่งปีแรก 2568 บริษัทมีปริมาณการขายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์รวม 98 กิกะวัตต์-ชั่วโมง เพิ่มขึ้น 18% (Y-Y) และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยมีโครงการระหว่างก่อสร้างที่คาดจะแล้วเสร็จภายในปี 2568 จำนวนกว่า 100 เมกะวัตต์ และยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ทั้งภายในและภายนอกนิคมฯ ดับบลิวเอชเอทั้งในและต่างประเทศ

ธุรกิจดิจิทัล : ผลักดันสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี (Technology-driven Organization) จากการส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรในด้านนวัตกรรมและการทำโครงการ Digital Transformation ในทุกมิติ พร้อมหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ จากการพัฒนาแพลตฟอร์ม ได้แก่ Mobilix Software Solution แพลตฟอร์มสำหรับจัดการยานพาหนะไฟฟ้า (EV) และแบตเตอรี่ เพื่อสนับสนุนธุรกิจโมบิลิตี้ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากตลาด และยังได้เปิดให้บริการ WHASApp แอปพลิเคชันที่ปฏิวัติการสื่อสารระหว่างลูกค้าและทีมงาน WHA อย่างมีประสิทธิภาพ โดยล่าสุดได้พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ CO2ZERO สำหรับการบริหารจัดการข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ที่พร้อมรายงานแสดงผลตามมาตรฐาน ส่งผลให้ในปัจจุบัน WHASApp มีผู้ใช้งานกว่า 1,500 ราย และเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มธุรกิจ WHA Group ผ่านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมล้ำสมัย อย่าง Artificial Intelligence (AI), Internet-of-Thing (IoT) ทำให้ปัจจุบันมีโครงการ AI Transformation ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาถึง 12 โครงการ อาทิ Drone Inspection Solution และ IoX Platform for Solar เป็นต้น

ธุรกิจโมบิลิตี้ : มุ่งขยายธุรกิจโมบิลิตี้ Built-to-Suit EV ecosystem of Logistics ให้ครอบคลุมทั้งระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า และการให้บริการอย่างครบวงจรรายแรกในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ Mobilix ซึ่งประกอบด้วย 3 บริการหลัก คือ บริการให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้า (EV Rental Service) เป็นบริการให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (On Premise & Public EV Charging Solution) บริการเครื่องชาร์จและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า โมบิลิกส์ซอฟต์แวร์โซลูชัน (Mobilix Software Solution) แพลตฟอร์มดิจิทัลอัจฉริยะสำหรับจัดการรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2568 มียอดการให้บริการเช่ารถยนต์ไฟฟ้าสะสมรวม 372 คัน

จากความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจของ WHA Group สะท้อนถึงความสำเร็จผ่านการการันตีโดยรางวัล อาทิ รางวัล S&P Global Sustainability Yearbook ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยได้รับคะแนนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ในการจัดอันดับความยั่งยืนของ S&P Global หรือ Top 1% S&P Global CSA Score ปี 2567 เป็นปีแรกในกลุ่มอุตสาหกรรมบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Management & Development) และยังได้รับการคัดเลือกเข้าอยู่ในทำเนียบหุ้น ESG 100 ปี 2568 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 จากสถาบันไทยพัฒน์ ขณะที่บริษัทในเครืออย่าง WHAUP ติดโผหุ้น ESG 100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และกองทรัสต์ WHAIR ติดโผหุ้น ESG 100 ปี 2568 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ส่วนกองทรัสต์ WHART ได้รับการคัดเลือกให้เข้าอยู่ในทำเนียบ หุ้น ESG 100 ปี 2568 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7

WHA Group ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน Top 50 บริษัทจดทะเบียนอาเซียน (Top 50 ASEAN Public Listed Companies) จากเวทีการประเมิน ASEAN Corporate Governance Scorecard (ACGS) ประจำปี 2567 เป็นครั้งแรก ตอกย้ำการยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการสู่ระดับภูมิภาค พร้อมกันนี้ Group CEO “จรีพร จารุกรสกุล” ได้รับรางวัล “Thailand Top CEO of The Year 2025” ในอุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์ (Transportation & Logistics) ตอกย้ำความเป็นผู้นำธุรกิจโลจิสติกส์ครบวงจรของประเทศไทย






#บริการPRงานประชาสัมพันธ์
ัมพันธ์
#วางกลยุทธ์สื่อสารประชาสัมพันธ์
#สร้างสัมพันธ์นักลงทุนMediaPlanner
ี่

ุ้นไฟแนนซ์
ุ้นไฟแนนซ์

Tiktok : .creators
X :
youtube : Media planner - Pr.Agency

QTC กวาดรายได้ 6 เดือน 695 ล้านบาทจ่อคว้างานใหม่เข้าพอร์ต พร้อมขับเคลื่อนสู่ธุรกิจ Green Energyกรุงเทพฯ - บมจ.คิวทีซี เอ...
08/08/2025

QTC กวาดรายได้ 6 เดือน 695 ล้านบาท
จ่อคว้างานใหม่เข้าพอร์ต พร้อมขับเคลื่อนสู่ธุรกิจ Green Energy

กรุงเทพฯ - บมจ.คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ (QTC) โชว์งบ 6 เดือนแรก กวาดรายได้รวม 695 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% (YoY) รับดีมานด์การใช้หม้อแปลงจากการเปิดโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพิ่ม ด้าน CEO “พูลพิพัฒน์ ตันธนสิน” ส่งสัญญาณครึ่งปีหลังตุน Backlog ใหม่เข้าพอร์ต 500-600 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าก้าวสู่ปีที่ 30 สู่การขับเคลื่อนธุรกิจ Green Energy ตอกย้ำความมุ่งมั่นด้าน ESG

นายพูลพิพัฒน์ ตันธนสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ QTC ผู้ผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าตามคำสั่งซื้อของลูกค้า (Made to Order) เปิดเผยว่า ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนจากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้กำลังซื้อชะลอตัวและภาคอุตสาหกรรมเผชิญความท้าทายอย่างหนัก ผู้ประกอบการหลายรายต่างปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับ QTC ที่มีการบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี ส่งผลให้ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 QTC มีรายได้รวม 695 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นรายได้จากธุรกิจหลักคือหม้อแปลงไฟฟ้ารวม 432 ล้านบาท ส่วนธุรกิจโซลาร์สร้างรายได้ 212 ล้านบาท เติบโต 22% จากกลยุทธ์ขยายช่องทางจำหน่ายและเพิ่มทีมขาย พร้อมการร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ HUAWEI, LONGI และ FOX ESS ทำให้สร้างการเข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ มีรายได้รวม 425 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51% (YoY) แบ่งเป็นการรับรู้รายได้จากธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า 279 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% (YoY) และมีรายได้จากธุรกิจโซลาร์ จำนวน 124 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57% (YoY)

อย่างไรก็ตามทิศทางธุรกิจช่วงครึ่งปีหลังทาง QTC เตรียมเดินหน้าเข้าร่วมประมูลงานโครงการภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันแนวโน้มความต้องการหม้อแปลงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากการเปิดโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ส่งผลให้บริษัทฯ คาดการณ์ว่าจะมีงานใหม่เข้ามาราว 500-600 ล้านบาท ส่งผลให้ในปีนี้ผลประกอบการมีแนวโน้มแตะระดับ 1,800 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

นายพูลพิพัฒน์ กล่าวทิ้งท้ายถึงการก้าวสู่ปีที่ 30 ของ QTC ว่า บริษัทฯ วางกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน สอดรับกับนโยบายที่มุ่งสู่การเป็นธุรกิจ Green Energy พลังงานสีเขียว ภายใต้วิสัยทัศน์การเป็นผู้นำด้านการผลิต จำหน่าย และให้บริการด้านเทคโนโลยีที่มีคุณภาพครบวงจรในธุรกิจพลังงานและไฟฟ้า พร้อมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ กระบวนการ และดำเนินธุรกิจตอกย้ำความมุ่งมั่นด้าน ESG สะท้อนความสำเร็จครบทุกมิติผ่านการรับรองในระดับประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ประกาศนียบัตร “Carbon Footprint for Organization (CFO)” จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ร่วมเป็นองค์กรประกาศเจตนารมณ์เครือข่ายอนุรักษ์พลังงาน “Energy Beyond Standards 2025” กับ กระทรวงพลังงาน ซึ่งบริษัทยังได้รับรางวัลองค์กรต้นแบบสุขภาวะ “ระดับเป็นเลิศ” เพื่อคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ดี จาก สสส. รวมถึงการเป็นสมาชิกแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) ซึ่งมีบริษัทที่ผ่านการรับรองเพียง 72 รายเท่านั้น






#บริการPRงานประชาสัมพันธ์
ัมพันธ์
#วางกลยุทธ์สื่อสารประชาสัมพันธ์
#สร้างสัมพันธ์นักลงทุนMediaPlanner
ี่

ุ้นไฟแนนซ์
ุ้นไฟแนนซ์

Tiktok : .creators
X :
youtube : Media planner - Pr.Agency

BAM ผนึก BKA UOB วางกลยุทธ์ 3 มิติ“ทรัพย์ – พัฒนา – การเงิน” สร้างมูลค่าอสังหาครบวงจรBAM พลิกทรัพย์ร้าง เป็นทรัพย์สร้างก...
07/08/2025

BAM ผนึก BKA UOB วางกลยุทธ์ 3 มิติ
“ทรัพย์ – พัฒนา – การเงิน” สร้างมูลค่าอสังหาครบวงจร

BAM พลิกทรัพย์ร้าง เป็นทรัพย์สร้างกำไร พร้อมช่วยกลั่นกรองและปรับสภาพหนี้ (Buffer) เพื่อลดภาระหนี้สถาบันการเงิน ร่วมจับมือ "BKA" ผู้นำธุรกิจบ้านมือสองตกแต่งใหม่ พร้อมทั้งสถาบันการเงิน "UOB" ในการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้แก่พันธมิตรที่เข้าร่วมโครงการ ชี้การร่วมมือครั้งนี้จะช่วยเพิ่มความสำเร็จในกลยุทธ์หลักของ BAM ในการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน

วันนี้ (7 ส.ค. 68) บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (BAM) ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางธุรกิจ (MOU) กับ บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (BKA) และ ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) (UOB) เพื่อพลิกทรัพย์ร้างเป็นทรัพย์สร้างกำไร

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM กล่าวว่า BAM ในฐานะที่เป็นผู้บริหารสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในตลาดได้ขยายความร่วมมือในการพัฒนาและบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ให้เกิดมูลค่าเพิ่ม และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้แก่พันธมิตรที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งเกิดขึ้นจากเป้าหมายร่วมกันในการพัฒนาและยกระดับศักยภาพของทรัพย์ที่ BAM ถือครอง เพื่อพลิกทรัพย์ร้าง เป็นทรัพย์สร้างกำไร ให้สามารถกลับเข้าสู่ตลาดในรูปแบบที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อจริง โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดระดับกลางถึงบน สำหรับ BKA ในฐานะ Developer จะเข้ามาบริหารและพัฒนาทรัพย์ให้มีศักยภาพสูงขึ้น โดยเน้นกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับราคา 5 ล้านบาท ขึ้นไป ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการในตลาดเมืองขยายและเขตชานเมือง โดยคาดว่าเป้าที่จะจัดทำร่วมกับ BKA ภายในสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ประมาณกว่า 100 ล้านบาท ขณะเดียวกัน BAM ยังมีหน้าที่ในการช่วยกลั่นกรองและปรับสภาพหนี้ (Buffer) ของลูกหนี้ เพื่อเป็นการลดภาะหนี้ของสถาบันการเงิน และจะช่วยให้สถาบันการเงินสามารถปล่อยสินเชื่อออกมาได้มากขึ้น ซึ่ง UOB จะเข้ามาเป็นพันธมิตรทางการเงินที่พร้อมสนับสนุนโครงการอย่างเป็นรูปธรรม

สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ ไม่จำกัดเฉพาะ BKA เท่านั้น แต่ BAM พร้อมเปิดประตูให้กับพันธมิตรภาคเอกชนรายอื่นๆ ที่ลงนาม MOU กับ BAM เข้าร่วมโครงการ โดย UOB จะพิจารณาการสนับสนุนทางการเงินแบบ case by case ตามความเหมาะสมของแต่ละดีล “นี่คือก้าวสำคัญในการ Re-Activate ทรัพย์ที่หลับใหล ให้กลายเป็นโอกาสที่จับต้องได้” โดย BAM มุ่งมั่นผลักดันให้ทรัพย์ NPA ไม่ใช่เพียง ‘ภาระ’ แต่กลายเป็น ‘ต้นทุนแห่งโอกาส’ ที่นักลงทุนและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์สามารถใช้ต่อยอดได้จริง ซึ่งเชื่อมั่นว่าความร่วมมือระหว่าง BAM, BKA และ UOB จะช่วยจุดประกายความเป็นไปได้ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งโครงการนี้นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของ New Asset Ecosystem ที่เชื่อมโยงผู้ถือทรัพย์ – ผู้พัฒนา – สถาบันการเงิน เข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ โดยเปลี่ยนทรัพย์ที่เคยถูกทิ้งร้าง ให้กลับมามีชีวิต สร้างมูลค่า และหมุนเวียนกลับสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ

นายพชร ธนวงศ์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BKA ผู้นำบริการซื้อ-ขายบ้านมือสองตกแต่งใหม่ เปิดเผยว่า การจับมือกับ BAM และ UOB ครั้งนี้ ทำให้เกิดโมเดลใหม่ที่ครบวงจร โดย BAM ในฐานะผู้ที่มีทรัพย์ NPA คุณภาพหลากหลาย พร้อมสำหรับการพัฒนา ขณะที่ BKA เป็นผู้ให้บริการโดยการนำทรัพย์ NPA มาปรับปรุง-ฟื้นฟู-ต่อยอด-พร้อมอยู่ รวมถึงทำการขายอย่างครบวงจร ด้าน UOB มีบทบาทในการสนับสนุนด้านสินเชื่อ ส่งผลให้ BKA จะอยู่ระหว่างกลางการเชื่อมต่อ "ทรัพย์-การพัฒนา-การเงิน" เพื่อให้บ้านมือสองกลายเป็น "บ้านพร้อมอยู่" ที่มีศักยภาพสูง และเพิ่มพอร์ตบ้านในมือให้ครอบคลุม และหลากหลายพื้นที่มากขึ้น

อีกทั้งยังเป็นการร่วมมือในการสร้างโมเดลใหม่ที่ครบวงจร โดยร่วมกันพัฒนาทรัพย์ที่เคยถูกมองว่า ไม่มีศักยภาพ หรือ ขายยากได้อย่างถูกวิธี ทำให้ทรัพย์รอการขาย สามารถกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อีกครั้ง ทำให้ บ้านมือสองไม่ใช่แค่ทางเลือกสำรอง แต่คือโอกาสใหม่ของตลาด และด้วยจุดแข็งของ BKA ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญและ มีประสบการณ์ในการปรับปรุงให้บริการบ้านมือสองแบบครบวงจรมาเป็นระยะเวลากว่า 15 ปี ทำให้เข้าใจตลาดและสามารถปรับรูปแบบให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ พร้อมรับประกันผลงานหลังโอน ทำให้ลูกค้ามั่นใจในคุณภาพและมาตรฐานการทำงานของเรา และด้วยสถานะในการเป็นบริษัทมหาชนที่ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงให้ความมั่นใจได้ว่า BKA เป็นบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ โปร่งใส และตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน

“การผนึกกำลังร่วมกันในครั้งนี้เปรียบเสมือนการสร้างโมเดลความร่วมมือที่ครบวงจรอย่างแท้จริง จากความแข็งแกร่งของ BAM ในฐานะผู้ที่มีทรัพย์ NPA คุณภาพหลากหลายรอการพัฒนา UOB ทีมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนสินเชื่ออย่างครบวงจร และ BKA ของเราทำหน้าที่เป็น "แกนกลาง" ในการเชื่อมต่อ “ทรัพย์ – การพัฒนา – การเงิน” เข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ และคาดหวังว่าในอนาคตเราจะสามารถขยายพอร์ตได้เพิ่มสูงขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ”

นายยุทธชัย เตยะราชกุล กรรมการผู้จัดการ บุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าว “บ้านในทำเลดี คุณภาพได้ ราคาไม่ไกลเกินฝัน คือสิ่งที่ผู้บริโภคมองหาในยุคนี้ ความร่วมมือครั้งนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์นั้นอย่างเป็นรูปธรรม บ้านมือสองที่ผ่านการรีโนเวทโดยมืออาชีพภายใต้มาตรฐานที่ธนาคารเชื่อมั่น ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น พร้อมความมั่นใจในคุณภาพของบ้านที่พร้อมอยู่อาศัยจริง

ยูโอบีออกแบบข้อเสนอสินเชื่อพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี และฟรีค่าประเมินหลักประกัน เพื่อให้ลูกค้ามีภาระผ่อนที่คาดการณ์ได้ และสามารถตัดสินใจเป็นเจ้าของบ้านได้ในเวลาที่ใช่ เราเชื่อว่าการปลดล็อกศักยภาพของบ้านมือสอง คืออีกหนึ่งคำตอบสำคัญของตลาดที่อยู่อาศัยในวันนี้”






#บริการPRงานประชาสัมพันธ์
ัมพันธ์
#วางกลยุทธ์สื่อสารประชาสัมพันธ์
#สร้างสัมพันธ์นักลงทุนMediaPlanner
ี่

ุ้นไฟแนนซ์
ุ้นไฟแนนซ์

Tiktok : .creators
X :
youtube : Media planner - Pr.Agency

GCAP GOLD ชี้ สหรัฐฯ วิกฤตศรัทธาข้อมูลเศรษฐกิจแนะลงทุนทองคำรุ่ง โอกาสทำกำไรสูงกรุงเทพฯ - บริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP GO...
07/08/2025

GCAP GOLD ชี้ สหรัฐฯ วิกฤตศรัทธาข้อมูลเศรษฐกิจ
แนะลงทุนทองคำรุ่ง โอกาสทำกำไรสูง

กรุงเทพฯ - บริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP GOLD ประเมินราคาทองคำฟื้นตัวเข้าสู่ช่วงขาขึ้น ในระยะสั้น พร้อมระบุเกิดวิกฤตศรัทธาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฉุดความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก ส่งผลบวกต่อสินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง ”ทองคำ” แนะกลยุทธ์ทยอยสะสม โดยมีแนวรับ $3,325 และ $3,305 (เทียบเท่าราคาทองคำไทยประมาณ 51,100–50,900 บาท)

นางสาว อารีรัตน์ มุราชัย หัวหน้านักวิเคราะห์ บริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP GOLD เปิดเผยว่า ทิศทางราคาทองคำในสัปดาห์นี้มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังนโยบายด้านภาษีสามารถบรรลุข้อตกลงได้ชัดเจน โดยประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ได้รับการชี้แจงเกี่ยวกับอัตราภาษีเป็นไปตามที่คาดหวัง ส่งผลให้แรงกดดันต่อราคาทองคำจากประเด็นภาษีระหว่างประเทศเริ่มเบาลง

ขณะเดียวกัน นักลงทุนเริ่มหันมาจับตาความน่าเชื่อถือของข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยชนวนของเรื่องเริ่มจากตัวเลขการจ้างงานล่าสุดที่ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ และมีการปรับลดตัวเลขย้อนหลังทั้งในเดือนมิ.ย.และเดือนพ.ค.ลงเป็นอย่างมาก ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การปลดผู้บริหารระดับสูงจากสำนักงานสถิติแรงงานโดยทรัมป์ พร้อมกล่าวหาว่าเป็นแทรกแซงข้อมูลเศรษฐกิจ ทำให้เกิดความวิตกกังวลในวงกว้างว่าข้อมูลเศรษฐกิจซึ่งเคยถูกยกเป็น “มาตรฐานทองคำ” อาจสูญเสียความเป็นกลาง

ทั้งนี้หากมีการแทรกแซงข้อมูลทางเศรษฐกิจจริง อาจส่งผลเชิงลบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก และส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการตัดสินใจด้านเศรษฐกิจ และการลงทุนในระยะต่อไป ทำให้ส่งผลเชิงบวกต่อราคาทองคำ เพราะเกิดความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น และการเสื่อมศรัทธาต่อข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนมีแนวโน้มลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง และหันไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำมากขึ้น ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนทิศทางของนโยบายการเงินจาก Fed ก็เป็นอีกปัจจัยสนับสนุน เนื่องจากหากข้อมูลทางเศรษฐกิจหลัก เช่น การจ้างงานและเงินเฟ้อ ขาดความน่าเชื่อถือ Fed อาจจำเป็นต้องตัดสินใจผ่อนคลายนโยบายเร็วกว่าคาดการณ์ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อทิศทางราคาทองคำในระยะสั้นถึงระยะกลาง

กลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์นี้ รอย่อซื้อ $3,325 และ $3,305 โดยราคาทองคำเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวเข้าสู่ช่วงขาขึ้นในระยะสั้น และมีแนวโน้มสูงที่จะสามารถเบรกกรอบสามเหลี่ยมด้านบนได้ภายใน1-2 สัปดาห์ข้างหน้า จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ที่ยังไม่มีสถานะในการทยอยสะสม โดยมีแนวรับที่น่าจับตาอยู่บริเวณ $3,325 และ $3,305 (เทียบเท่าราคาทองคำไทยประมาณ 51,100–50,900 บาท) ขณะที่เป้าหมายการทำกำไรระยะสั้นอยู่ที่ $3,400 (ราคาทองคำไทยประมาณ 52,000 บาท) และหากสามารถยืนเหนือแนวต้านดังกล่าวได้อย่างมั่นคง มีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับขึ้นต่อเนื่องเพื่อทดสอบ ATH เดิมที่ $3,500 ในระยะถัดไป






#บริการPRงานประชาสัมพันธ์
ัมพันธ์
#วางกลยุทธ์สื่อสารประชาสัมพันธ์
#สร้างสัมพันธ์นักลงทุนMediaPlanner
ี่

ุ้นไฟแนนซ์
ุ้นไฟแนนซ์

Tiktok : .creators
X :
youtube : Media planner - Pr.Agency

https://youtu.be/gXGHsFdMAIw?si=_9ZVFRCuIpTqghKN
06/08/2025

https://youtu.be/gXGHsFdMAIw?si=_9ZVFRCuIpTqghKN

ทุนเคลื่อนย้ายครั้งนี้ ใครเห็นคือโอกาสครั้งใหญ่ - Money Chat Thailandจรีพร จารุกรสกุลประธานคณะกรรมการบริหารและประธาน...

UAC ฤกษ์ดี เปิดโรงงานผลิต RDF3 ของ C*C ในอินโดนีเซียลุยขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนระดับอาเซียนกรุงเทพฯ - บมจ.ยูเอซี โกลบอ...
05/08/2025

UAC ฤกษ์ดี เปิดโรงงานผลิต RDF3 ของ C*C ในอินโดนีเซีย
ลุยขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนระดับอาเซียน

กรุงเทพฯ - บมจ.ยูเอซี โกลบอล (UAC) เสิร์ฟข่าวดี เปิดโรงงานผลิต RDF3 ของ C*C ในอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการ เสริมศักยภาพทางธุรกิจของ UAC ในต่างประเทศ ตอกย้ำความสำเร็จในการเดินหน้าสู่การลงทุนด้านพลังงานที่ยั่งยืนสำหรับภูมิภาคอาเซียน

นายชัชพล ประสพโชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) หรือ “UAC” เปิดเผยว่า ภายหลังที่ PT CAHAYA YASA CIPTA (C*C) ผู้ผลิตเชื้อเพลิงขยะมูลฝอย (RDF3) ซึ่งถือหุ้น 60% โดยบริษัท ยูเอซี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด บริษัทย่อยของ UAC ได้ลงทุนโครงการโรงงานผลิต RDF3 ที่เมือง Sukabumi ประเทศอินโดนีเซีย ล่าสุดได้เปิดโรงงานผลิต RDF3 อย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยภายในงานมีนายกิตติ ชีวะเกตุ ประธานกรรมการบริหาร พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร UAC, PT Terang Raya และ SCG ให้การต้อนรับผู้แทนระดับสูง โดยได้รับเกียรติจาก Dr. Hanif Faisol Nurofiq Minister of Environment เป็นประธานในพิธีเปิด ร่วมด้วย Secretary of the Province of West Java Government, Bupati of Sukabumi Regency และ คุณประพันธ์ ดิษยทัต เอกอัครราชทูตไทย ประจำประเทศอินโดนีเซีย ที่ร่วมให้เกียรติในพิธีเปิดโรงงานผลิต RDF3 ของ C*C ในครั้งนี้

สำหรับโรงงานผลิต RDF3 ของ C*C เป็นการนำขยะชุมชนมาผลิตตามแนวคิด Turn Waste to Value โดยมีกำลังการผลิตที่ออกแบบไว้ 150 ตันต่อวัน เพื่อจำหน่ายให้กับโรงปูนซีเมนต์ PT Semen Jawa บริษัทในเครือ SCG ที่ตั้งอยู่ใกล้พื้นที่โครงการ ซึ่งจะช่วยกำจัดขยะได้ไม่น้อยกว่า 300 ตันต่อวัน หรือประมาณ 100,000 ตันต่อปี และทดแทนการใช้ถ่านหิน ช่วยลดคาร์บอนทั้งระบบได้ 30,000 ตันคาร์บอนต่อปี

“โครงการนี้เป็นอีกหนึ่งโครงการในการขยายธุรกิจพลังงานสะอาดในระดับภูมิภาค สู่การต่อยอดทางธุรกิจในการดำเนินธุรกิจแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ภายใต้การคำนึงถึงความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (ESG) ซึ่งเป็นหลักการในการวางรากฐานความยั่งยืนและเสริมสร้างความมั่นคงและผลตอบแทนให้กับบริษัทฯ ได้ในระยะยาว”






#บริการPRงานประชาสัมพันธ์
ัมพันธ์
#วางกลยุทธ์สื่อสารประชาสัมพันธ์
#สร้างสัมพันธ์นักลงทุนMediaPlanner
ี่

ุ้นไฟแนนซ์
ุ้นไฟแนนซ์

Tiktok : .creators
X :
youtube : Media planner - Pr.Agency

ที่อยู่

Bangkok
10510

เบอร์โทรศัพท์

029432681

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Media Planner - Pr.Agencyผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Media Planner - Pr.Agency:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram