NT Healthcare.THAILAND

NT Healthcare.THAILAND ทุกเรื่องของสุขภาพ ปรึกษาเรา
Healthcare & Wellness -
Holistic medicine clinic ไม่ได้เพียงแต่รักษาสุขภาพ แต่เรารักษาชีวิต

10/08/2025

ความเครียดจำเป็นต่อความสำเร็จ? เมื่อแรงกดดันระดับเหมาะสมช่วยกระตุ้นสมอง เฉียบคม คิดไว ผลักดันให้เติบโตทางอาชีพได้ไวขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นวัยทำงานรุ่นไหนๆ ในออฟฟิศ เชื่อว่าทุกคนต่างก็เคยรู้สึกเหนื่อยล้าหรือท้อแท้กับความเครียดจากการทำงานที่ถาโถมเข้ามา บางวันแค่คิดจะลุกจากเตียงไปทำงานในตอนเช้า ก็ดูจะเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ แต่รู้หรือไม่ว่า ไม่ใช่ความเครียดทุกประเภทจะเป็นสิ่งเรื่องเลวร้ายต่อใจเสมอไป!
งานวิจัยใหม่ๆ จำนวนไม่น้อยในช่วงหลายปีมานี้ เปิดเผยว่า ความเครียดในปริมาณที่พอเหมาะและถูกประเภท หรือ "ความเครียดเชิงบวก" (Positive Stress หรือ Eustress) สามารถช่วยให้คุณมีความสุข และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อความก้าวหน้าในอาชีพการงาน
คนที่มองความเครียดว่าเป็นความท้าทายที่ต้องเผชิญ มักจะมีผลิตภาพสูงขึ้น มีสมาธิดีขึ้น และรู้สึกมีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น
และนี่คือเหตุผลหลายประการที่ "ความเครียด" อาจเป็นเพื่อนร่วมทางที่ดีสำหรับอาชีพของคุณ
📌เป็นแรงผลักดันชั้นยอด (A Powerful Motivator)
เมื่อเผชิญหน้ากับเดดไลน์ที่กระชั้นชิด หรือโปรเจกต์ท้าทาย แรงกดดันเล็กน้อยจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งอะดรีนาลีน ทำให้ตื่นตัว มีสมาธิ และพร้อมที่จะลงมือทำอย่างรวดเร็ว
📌ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน (Improves Work Efficiency)
ผู้ที่ประสบความสำเร็จสูง มักใช้ความเครียดในเชิงบวก เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงและกิจกรรม ความเครียดช่วงสั้นๆ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้
📌สิ่งแวดล้อมที่มีความเครียดพอดีๆ ผลักดันสู่ความสำเร็จได้ (Breeds Success)
เช่น ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีการแข่งขันสูง ความกังวลเล็กน้อยไม่ใช่ข้อเสีย แต่เป็นสิ่งที่ดีและจำเป็น
📌ความเครียดต่ำๆ ดีต่อร่างกายและจิตใจ (Beneficial for Health and Well-being)
มีการศึกษาทางการแพทย์หลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า ความเครียดช่วงสั้นๆ ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยกระตุ้นเซลล์สมอง
(ลิงก์อ่านต่อในคอมเมนต์)
#กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจLifestyle #กรุงเทพธุรกิจWorklife

04/08/2025

หนุมานประสานกาย (ชื่อวิทยาศาสตร์: Schefflera leucantha) เป็นพืชชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์เล็บครุฑ (Araliaceae)

เป็นไม้พุ่มสูงประมาณ 1-4 เมตร แตกกิ่งก้านต่ำใกล้พื้นดิน เปลือกต้นสีเรียบเป็นสีน้ำตาล ใบเป็นใบประกอบแบบนิ้วมือ ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ดอกมีขนาดเล็กสีขาว ผลมีเนื้อนิ่มรูปทรงกลมขนาดเล็ก

หนุมานประสานกาย ใช้เป็นพืชสมุนไพรไทย ใช้ประโยชน์ในการรักษาโรค โดยใช้ใบสดเล็ก ๆ เคี่ยวให้เหลือ 1 ใน 3 ดื่มเป็นน้ำวันละ 2 ครั้ง ก่อนมื้ออาหารเช้า-เย็น เป็นเวลา 49 วัน รักษาโรคหืด ปอดอักเสบ ปอด หลอดลมอักเสบ เยื่อหุ้มปอด

03/08/2025

ธรรมะเพื่อชีวิต

หิวข้าวจัง
03/08/2025

หิวข้าวจัง

"กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา"

25/07/2025

ไทยจ่ายอ่วม! ‘โรคเบาหวาน’ 2 หมื่นล้าน/ปี เร่งคัดกรอง ช่วยลดโรค NCDs
"โรค NCDs (Non-Communicable Diseases)" หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทยและทั่วโลก โดยประชากรโลกเสียชีวิตประมาณ 41 ล้านรายต่อปี ประชากรไทยเสียชีวิตประมาณ 4 แสนรายต่อปี และ NCD ยังทำให้เกิดความพิการและเสียชีวิตก่อนวัยอันควร โดยมีผลกระทบทางเศรษฐกิจโลก ประมาณ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี และ ผลกระทบทางเศรษฐกิจของไทย ประมาณ 1.6 ล้านล้านบาทต่อปี (คิดเป็น 9.7% ของ GDP ประเทศไทย)
สำหรับ #โรคเบาหวาน มีแนวโน้มจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคนไทยป่วยเป็นเบาหวานประมาณ 6.5 ล้านคน และมีผู้ป่วยเบาหวานใหม่ ปีละประมาณ 350,000 ราย ปัจจัยที่ทำให้มีจำนวนผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มมากขึ้น เกิดจากการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม ขาดการออกกำลังกายและการเพิ่มขึ้นของภาวะอ้วน ไทยต้อง เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคเบาหวานกว่า 20,000 ล้านบาทต่อปี
อีกทั้งจะต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเพิ่มอีก อาทิ กรณีไตวายเรื้อรัง เพิ่ม 400,000 ถึง 500,000 บาทต่อรายต่อปี กรณีมีการตัดขา เพิ่ม 150,000 ถึง 300,000 บาทต่อรายต่อปี กรณีเกิดตาบอด เพิ่ม 50,000 ถึง 100,000 บาทต่อรายต่อปี ตามที่ WHO ได้กำหนดเป้าหมาย ในการลดอัตราตายก่อนวัยอันควรจากโรค NCD ให้ได้ 25% ภายในปี 2020 แต่ก็ยังไม่ได้ตามเป้าหมาย
📍ผู้ป่วย เสียชีวิต 400,000 รายต่อปี
โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ร่วมกับโนโว นอร์ดิสค์ แถลงข่าว “การดำเนินโครงการเพื่อความเป็นเลิศด้านโรค CRM (Cardio-Renal-Metabolic) และบทสรุปความสำเร็จโครงการ Affordability Project" ณ โรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งมีบุคลากรทางการแพทย์ 13 เขตสุขภาพ 800 กว่าคนเข้าร่วม
โดยมี นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน อธิบดีกรมการแพทย์ เป็นประธาน พร้อมปาฐกถา “บทบาทของกรมการแพทย์ด้านการพัฒนาระบบการดูแลรักษา รับส่งต่อ และคลินิกเชื่อมต่อ โรคหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน และโรคอ้วน” ว่าประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ตั้งแต่ คศ. 2005 โดยมีประชากรที่อายุ มากกว่า 60 ปี มากกว่า 20% และอาจจะเพิ่มถึง 35% ใน คศ. 2050 โดยโรค NCDs เช่น โรคอ้วน เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคมะเร็ง มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และยังคงเป็นความท้าทายด้านสาธารณสุขที่เพิ่มมากขึ้น
“โรค NCDs เป็นสาเหตุการเสียชีวิตประมาณ 400,000 รายต่อปีในประเทศไทย คิดเป็น 81% ของอัตราการเสียชีวิตทั้งหมด โดยเกือบครึ่งหนึ่งเป็นการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงอายุ 30 ถึง 70 ปีโดยในส่วนของจำนวนผู้ป่วยเบาหวานที่มีความดันโลหิตสูง 3,761,208 คน ควบคุมระดับความดันโลหิต ตามเป้าหมาย 48.31% อีกทั้งคาดการณ์ว่าโรคอ้วนจะส่งผลกระทบต่อ GDP มากกว่า 4.9% ภายใน คศ. 2060 หากรัฐบาลไม่สามารถจัดการโรคอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงค่าใช้จ่ายโรคเบาหวาน คิดเป็น 3% ของค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
(ลิงก์อ่านต่อในคอมเมนต์)
#กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจHealth

21/07/2025

งานสัมมนาวิชาการ การแพทย์ผสมผสาน ประจำปี 2563� เรื่อง การแพทย์บูรณาการสำหรับมะเร็ง (Integrative Medical Oncology)

13/07/2025

แค่เงินเดือนไม่พอ?! ไม่สนใจทำงานให้บริษัทที่ไม่มีห้องงีบหลับ-ห้องสันทนาการในออฟฟิศ เมื่อสมดุลชีวิตสำคัญกับคนรุ่นใหม่
วัยทำงานรุ่น Gen Z กำลังสร้างนิยามใหม่ให้โลกการทำงาน! ลืมภาพพนักงานก้มหน้าก้มตาทำงานหามรุ่งหามค่ำไปได้เลย เพราะคนรุ่นใหม่สมัยนี้ไม่ได้มองหาแค่เงินเดือนหรือสวัสดิการพื้นฐานอย่างประกันสุขภาพอีกต่อไป แต่พวกเขากำลังมองหาสภาพแวดล้อมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ และส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีแบบสุดๆ
ผลสำรวจล่าสุดที่น่าตกใจจาก เผยให้เห็นว่า คน Gen Z เกือบ 1 ใน 6 ที่มีอายุต่ำกว่า 28 ปี จะไม่แม้แต่จะชายตามองงานด้วยซ้ำ หากออฟฟิศไม่มี "ห้องงีบหลับ" หรือพื้นที่สำหรับพักผ่อนยามบ่าย
อแมนด้า ออกัสทีน (Amanda Augustine) โค้ชด้านอาชีพการงานและผู้เชี่ยวชาญจากเว็บไซต์สร้างเรซูเม่ Resume.io ซึ่งได้สำรวจวัยทำงานคนรุ่นใหม่ในสหรัฐกว่า 1,000 คน เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่พวกเขาต้องการในการเลือกงาน หรือเลือกบริษัทที่อยากทำงานด้วย
เธอชี้ว่า "เป็นที่ชัดเจนว่าคน Gen Z ไม่ลังเลที่จะเรียกร้องถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการจากสถานที่ทำงานในปัจจุบัน และสำหรับความต้องการของพวกเขาหลายๆ คน มันไม่ใช่แค่เรื่องเงินเดือนหรือประกันสุขภาพอีกต่อไป"
สำหรับคน Gen Z การได้งีบระหว่างทำงาน รวมถึงข้อเรียกร้องอื่นๆ ไม่ใช่แค่เป็นสวัสดิการประเภทที่ 'มีก็ดี ไม่มีก็ได้' แต่พวกเขาเรียกร้องให้มีขึ้นจริงๆ ในที่ทำงาน ซึ่งมันสะท้อนถึงมุมมองที่เปลี่ยนไปเกี่ยวกับสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน รวมถึงความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวมในออฟฟิศด้วย
โดยข้อมูลที่น่าสนใจจากผลสำรวจนี้ ได้แก่
Gen Z ประมาณ 1 ใน 5 ของกลุ่มตัวอย่างระบุว่า "ห้องแห่งความสนุก" ที่มีเกมให้เล่น อย่างปิงปองและกิจกรรมสันทนาการอื่นๆ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสภาพแวดล้อมการทำงานของพวกเขา
ในขณะที่ 25% ของ Gen Z กลุ่มตัวอย่าง จะไม่พิจารณาสมัครงานกับบริษัทนั้นๆ เลย หากออฟฟิศไม่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้าออฟฟิศได้
อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1187878?anm=
#กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจLifestyle #กรุงเทพธุรกิจWorklife

13/07/2025

เอกชนกระทุ้งรัฐหนุนมาตรการจูงใจ ‘ช้อปปิ้ง-เวลเนส’ เจาะตลาดคุณภาพปั๊มรายได้ท่องเที่ยวไทย
ภาคเอกชนเสนอให้ภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวเพื่อเจาะตลาดคุณภาพ ใช้จ่ายสูง ผ่านโมเดลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการอำนวยความสะดวกแก่ทัวริสต์ต่างชาติ ขอคืนแวต (Tax Refund) ได้โดยตรงที่ร้านค้าเหมือนในประเทศญี่ปุ่น หรือการขับเคลื่อน “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” ของไทยอย่างจริงจังก้าวสู่ TOP 5 “ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพโลก” ล้วนเป็นฟันเฟืองสำคัญผลักดันรายได้รวมการท่องเที่ยวของประเทศไทยไปให้ถึงเป้าหมาย 3 ล้านล้านบาทในปี 2568
หนุนการเติบโตของจีดีพีต่อเนื่องและยั่งยืน ด้วยการตอบโจทย์เน้นรายได้มากกว่าพึ่งเชิงปริมาณ ท่ามกลางการแข่งขันของประเทศต่างๆ ที่ออกมาตรการกระตุ้นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกเข้าไปจับจ่าย สร้างรายได้หมุนเวียนภายในประเทศ
ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนาจำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพลักษณ์การเป็นชอปปิง เดสติเนชัน (Shopping Destination) ของประเทศไทยในปัจจุบันถือว่าขึ้นชื่อและสามารถแข่งขันกับฮ่องกงและสิงคโปร์ได้ เพราะราคาสินค้าและการจัดโปรโมชันแทบไม่ต่างกัน แต่ในประเทศไทยนั้นมีจุดขายเรื่องความหลากหลายของสินค้า ทั้งแฟชั่น อาหาร งานคราฟต์ต่างๆ และมีความคุ้มค่าเงิน (Value for Money) เข้ากับเทรนด์การจับจ่ายของโลก หรือแม้แต่สินค้าแบรนด์เนมในประเทศไทยก็ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ มียอดการจับจ่ายมากกว่าในสิงคโปร์แล้ว
“ทั้งนี้มีข้อเสนอเกี่ยวกับการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นชอปปิง เดสติเนชัน อย่างสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ว่าควรอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถขอคืน VAT (ภาษีมูลค่าเพิ่ม)ได้ที่ร้านค้าโดยตรงเหมือนโมเดลของประเทศญี่ปุ่น เพราะปัจจุบันในไทยยังต้องยื่นขอคืน VAT ที่สนามบินอย่างเดียว”
อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1188244?anm=
#กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจBusiness

13/07/2025

คนไทย 'สมองเสื่อม' เกือบ 8 แสนคน คาดทะลุ 1 ล้านคน ในอีก 10 ปี และประเมินอายุตัวเองน้อยไป 7-8 ปี เสี่ยงวางแผนการเงินผิดพลาด ไม่มีเงินใช้ตอนแก่
[เรื่องโดย ดร.มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด | ประเทศไทย iCare]
ถ้าจะถามว่า คนไทยสนใจเกี่ยวกับชีวิตในอนาคตไหม คำตอบก็คือเรื่องนี้น่าจะอยู่ในความสนใจคนไทย เมื่อดูจากคำถามยอดฮิตที่ชอบถามหมอดูว่าแก่แล้วจะรวยหรือสบายไหม
หรือดูจากการทำบุญเพื่อหวังว่าจะได้ขึ้นสวรรค์หรือสบายในชาติหน้า แต่ที่คนไทยยังไม่ค่อยสนใจนักก็คือว่า เมื่อสูงวัยแล้วจะมีชีวิตที่มีสุขภาพดี มีความสุขได้กี่ปีก่อนเสียชีวิต เนื่องจากในอดีตคนไทยอายุไม่ยืนนัก
อายุคาดเฉลี่ย (เมื่อแรกเกิด) เมื่อปี 2500 สำหรับผู้ชายเท่ากับ 54 ปี และ 59 ปีสำหรับผู้หญิง แต่ในปี 2567 ตัวเลขนี้ขึ้นเป็น 72 ปี และ 81 ปีตามลำดับ เพิ่มสูงขึ้นประมาณ 18 ปีสำหรับผู้ชาย และ 22 ปีสำหรับผู้หญิง ในปัจจุบันประเทศไทยได้เข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์แล้ว ในปี 2567 คนไทยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปมีจำนวนกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด หรือเท่ากับ 13.4 ล้านคน ในอีก 10 ปีข้างหน้าก็จะเพิ่มเป็น 17.3 ล้านคน
ที่น่าเป็นห่วงก็คือ ในปัจจุบันประเทศไทยคาดว่ามีผู้ป่วย “สมองเสื่อม” ถึงเกือบ 8 แสนคน และในอีก 10 ปีข้างหน้าก็จะเพิ่มเป็น 1 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
กล่าวคือ เป็นหญิงถึง 6 แสนคน หมายความว่าจะมีผู้สูงวัยจำนวนมากมีคุณภาพชีวิตที่ลดลง ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวัน มิหนำซ้ำยังอาจเกิดการพลัดหลงออกจากบ้าน ถูกล่อลวงโดยผู้ไม่ประสงค์ดี (ปราโมทย์ ประสาทกุล ศุทธิดา ชวนวัน และกาญจนา เทียนลาย, 2568)
การเพิ่มขึ้นของสัดส่วนผู้สูงวัยและจำนวนผู้สูงวัยที่สมองเสื่อมมีผลกระทบต่อสังคมค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่องบประมาณของรัฐ เนื่องจากสังคมสูงวัยจะมีจำนวนผู้อยู่ในกำลังแรงงานลดลงไปเรื่อยๆ ประสิทธิภาพในการผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ ก็จะลดลง ทำให้ภาษีรายได้ของรัฐจะลดลงตามไปด้วย แต่ในขณะเดียวกันรายจ่ายของรัฐก็กลับเพิ่มขึ้นมากเพื่อมาดูแลผู้สูงวัย
ที่น่าเป็นห่วงก็คือ งานวิจัยภายใต้แผนงานคนไทย 4.0 ซึ่งได้รับทุนอุดหนุนวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดย ศ. ดร.นพพล วิทย์วรพงศ์ พบว่า คนไทยส่วนใหญ่คาดคะเนอายุที่คาดว่าจะตายของตัวเองน้อยไป 7-8 ปี
มิหนำซ้ำคนไทยส่วนใหญ่ก็มีเงินออมน้อยและไม่เพียงพอที่จะดูแลชีวิตและสุขภาพของตนในวัยชรา ความเจ็บป่วยและความตายจะกลายเป็นภาระของสังคมมากขึ้น สำหรับในแต่ละครอบครัว คนหนุ่มคนสาวก็จะมีภาระในการดูแลคนแก่มากขึ้นทำให้ต้องจัดสรรเงินระหว่างการดูแลผู้สูงวัยกับการลงทุนเพื่อสร้างอนาคต
ดังนั้น คนไทยต้องมีการเตรียมตัวก่อนเกษียณ ไม่ใช่เกษียณแล้วจึงมาตั้งรับปรับตัว เพื่อไม่ให้เป็นผู้สูงวัยที่เป็นภาระของลูกหลานและสังคม การเตรียมตัวโดยสะสมเงินส่วนหนึ่งไว้ใช้ตอนแก่และเป็นค่ารักษาพยาบาลจะต้องวางแผนกันตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาวมิฉะนั้นจะไม่ทันการณ์
อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/health/well-being/1187290?anm=
#กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจHealth #กรุงเทพธุรกิจLifestyle

24/06/2025

ตลาดสมุนไพรไทยผงาด โตพุ่ง 14% รัฐอัดฉีดปั้นแสนล้านสู่ศูนย์กลางโลก
ตลาดสมุนไพรไทยกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเติบโต จากความตระหนักด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก และแรงหนุนจากนโยบายภาครัฐที่มุ่งผลักดันอุตสาหกรรมนี้ให้ก้าวสู่ระดับสากล
ตลาดสมุนไพรไทยกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเติบโต จากความตระหนักด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก และแรงหนุนจากนโยบายภาครัฐที่มุ่งผลักดันอุตสาหกรรมนี้ให้ก้าวสู่ระดับสากล หลังสถานการณ์โควิด-19 ผู้คนทั่วโลกหันมาใส่ใจสุขภาพตนเองและพึ่งพาสิ่งที่มาจากธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งสมุนไพรไทยถือเป็นทางเลือกสำคัญในกลุ่ม “Primary Care” ที่ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ แนวโน้มนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ได้รับประโยชน์
“ดร.ภญ.มณฑกา ธีระชัยสกุล” ผู้อำนวยการกองเศรษฐกิจสมุนไพร กรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก เปิดเผย “กรุงเทพธุรกิจ”ว่า จากข้อมูลที่มีอยู่ตลาดสมุนไพรไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี หากย้อนไปตั้งแต่ปี 2563-2567 อัตราการเติบโตอยู่ที่ 14 % ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับ GDP โดยรวมของประเทศ ปัจจุบันมูลค่ารวมของตลาดสมุนไพรไทยในประเทศอยู่ที่ประมาณ 40,000 ถึง 50,000 ล้านบาท โดยปี 2567 อยู่ที่เกือบ 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 5 ของเอเชีย รองจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และอินเดีย แต่มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าญี่ปุ่นและเกาหลี
📌 รัฐหนุนเต็มที่ตั้งเป้าแสนล้านบาท
ทั้งนี้ ตลาดสมุนไพรของไทยมีการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต รัฐบาลมีแผนที่จะเพิ่มมูลค่าตลาดนี้เป็น 100,000 ล้านบาทหรือประมาณ 2,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ.ภายใน 5 ปีข้างหน้าโดยมีความพยายามในการส่งเสริมสมุนไพรผ่านการร่วมมือระหว่างกระทรวงต่าง ๆ เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตร และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อใช้สมุนไพรในบริการสุขภาพมากขึ้น​
คณะกรรมการนโยายสมุนไพรแห่งชาติ มีเป้าหมายชัดเจนในการผลักดันสมุนไพรไทยให้เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ โดยเพิ่มงบประมาณสนับสนุนเฉพาะส่วนของยาสมุนไพร ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท และปีหน้าจะเพิ่มงบประมาณให้เป็น 2,000 ล้านบาทให้เกิดการพัฒนาทั้ง กลางน้ำ และต้นน้ำ ตามมา โดยมีแผนการขับเคลื่อนสมุนไพร Herb of the year ปี 2568 – 2570 จำนวน 3 รายการ ได้แก่ ไพล กระชายดำ และกระท่อม นำสมุนไพรสู่การสร้างเศรษฐกิจ
อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/health/well-being/1186245?anm=
#กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจBusiness

18/06/2025

AI ตรวจจับ-แจ้งเตือน ‘คู่ยา’ ห้ามใช้คู่กันกว่า 1,300 คู่ ช่วยแพทย์-ผู้ป่วยปลอดภัยขึ้น
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ได้พัฒนาระบบ AI Drug Interaction ซึ่งเป็นการใช้ AI ตรวจจับและแจ้งเตือนคู่ยาที่ใช้ร่วมกันแล้วส่งผลกระทบ เช่น ทำให้ฤทธิ์ของยาเพิ่มขึ้นหรือลดลง เกิดผลข้างเคียงมากขึ้น หรือเป็นอันตรายถึงชีวิต รวมถึงแจ้งเตือนยาที่แพ้และยาที่ต้องเฝ้าระวัง โดยเชื่อมโยงฐานข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคลของสถานพยาบาลในสังกัดกับฐานข้อมูลคู่ยาที่ทำปฏิกิริยาระหว่างกัน และฐานข้อมูลการแพ้ยาและยีนแพ้ยา
เมื่อระบบตรวจสอบพบจะทำการแจ้งเตือนแพทย์ในการสั่งจ่ายยา เช่น ผู้ป่วยที่ได้รับยาลดไขมันในเลือด ซิมวาสแตติน (Simvastatin) ระบบจะแจ้งเตือนว่า การใช้ร่วมกับยาต้านไวรัสริโทนาเวียร์ (Ritonavir) อาจส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อโรคกล้ามเนื้อหรือการสลายตัวของกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น เป็นต้น ทำให้ผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาหลายชนิดพร้อมกัน หรือผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษากับสถานพยาบาลหลายแห่งมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น
อ่าน: https://www.bangkokbiznews.com/health/public-health/1185370?anm=
#กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจHealth

ที่อยู่

อาคารสำนักงาน
Amphoe Nong Sua
12000

เบอร์โทรศัพท์

+66928545874

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ NT Healthcare.THAILANDผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram