NT Healthcare.THAILAND

NT Healthcare.THAILAND ทุกเรื่องของสุขภาพ ปรึกษาเรา
Healthcare & Wellness -
Holistic medicine clinic ไม่ได้เพียงแต่รักษาสุขภาพ แต่เรารักษาชีวิต

13/07/2025

แค่เงินเดือนไม่พอ?! ไม่สนใจทำงานให้บริษัทที่ไม่มีห้องงีบหลับ-ห้องสันทนาการในออฟฟิศ เมื่อสมดุลชีวิตสำคัญกับคนรุ่นใหม่
วัยทำงานรุ่น Gen Z กำลังสร้างนิยามใหม่ให้โลกการทำงาน! ลืมภาพพนักงานก้มหน้าก้มตาทำงานหามรุ่งหามค่ำไปได้เลย เพราะคนรุ่นใหม่สมัยนี้ไม่ได้มองหาแค่เงินเดือนหรือสวัสดิการพื้นฐานอย่างประกันสุขภาพอีกต่อไป แต่พวกเขากำลังมองหาสภาพแวดล้อมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ และส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีแบบสุดๆ
ผลสำรวจล่าสุดที่น่าตกใจจาก เผยให้เห็นว่า คน Gen Z เกือบ 1 ใน 6 ที่มีอายุต่ำกว่า 28 ปี จะไม่แม้แต่จะชายตามองงานด้วยซ้ำ หากออฟฟิศไม่มี "ห้องงีบหลับ" หรือพื้นที่สำหรับพักผ่อนยามบ่าย
อแมนด้า ออกัสทีน (Amanda Augustine) โค้ชด้านอาชีพการงานและผู้เชี่ยวชาญจากเว็บไซต์สร้างเรซูเม่ Resume.io ซึ่งได้สำรวจวัยทำงานคนรุ่นใหม่ในสหรัฐกว่า 1,000 คน เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่พวกเขาต้องการในการเลือกงาน หรือเลือกบริษัทที่อยากทำงานด้วย
เธอชี้ว่า "เป็นที่ชัดเจนว่าคน Gen Z ไม่ลังเลที่จะเรียกร้องถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการจากสถานที่ทำงานในปัจจุบัน และสำหรับความต้องการของพวกเขาหลายๆ คน มันไม่ใช่แค่เรื่องเงินเดือนหรือประกันสุขภาพอีกต่อไป"
สำหรับคน Gen Z การได้งีบระหว่างทำงาน รวมถึงข้อเรียกร้องอื่นๆ ไม่ใช่แค่เป็นสวัสดิการประเภทที่ 'มีก็ดี ไม่มีก็ได้' แต่พวกเขาเรียกร้องให้มีขึ้นจริงๆ ในที่ทำงาน ซึ่งมันสะท้อนถึงมุมมองที่เปลี่ยนไปเกี่ยวกับสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน รวมถึงความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวมในออฟฟิศด้วย
โดยข้อมูลที่น่าสนใจจากผลสำรวจนี้ ได้แก่
Gen Z ประมาณ 1 ใน 5 ของกลุ่มตัวอย่างระบุว่า "ห้องแห่งความสนุก" ที่มีเกมให้เล่น อย่างปิงปองและกิจกรรมสันทนาการอื่นๆ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสภาพแวดล้อมการทำงานของพวกเขา
ในขณะที่ 25% ของ Gen Z กลุ่มตัวอย่าง จะไม่พิจารณาสมัครงานกับบริษัทนั้นๆ เลย หากออฟฟิศไม่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้าออฟฟิศได้
อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1187878?anm=
#กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจLifestyle #กรุงเทพธุรกิจWorklife

13/07/2025

เอกชนกระทุ้งรัฐหนุนมาตรการจูงใจ ‘ช้อปปิ้ง-เวลเนส’ เจาะตลาดคุณภาพปั๊มรายได้ท่องเที่ยวไทย
ภาคเอกชนเสนอให้ภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวเพื่อเจาะตลาดคุณภาพ ใช้จ่ายสูง ผ่านโมเดลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการอำนวยความสะดวกแก่ทัวริสต์ต่างชาติ ขอคืนแวต (Tax Refund) ได้โดยตรงที่ร้านค้าเหมือนในประเทศญี่ปุ่น หรือการขับเคลื่อน “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” ของไทยอย่างจริงจังก้าวสู่ TOP 5 “ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพโลก” ล้วนเป็นฟันเฟืองสำคัญผลักดันรายได้รวมการท่องเที่ยวของประเทศไทยไปให้ถึงเป้าหมาย 3 ล้านล้านบาทในปี 2568
หนุนการเติบโตของจีดีพีต่อเนื่องและยั่งยืน ด้วยการตอบโจทย์เน้นรายได้มากกว่าพึ่งเชิงปริมาณ ท่ามกลางการแข่งขันของประเทศต่างๆ ที่ออกมาตรการกระตุ้นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกเข้าไปจับจ่าย สร้างรายได้หมุนเวียนภายในประเทศ
ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนาจำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพลักษณ์การเป็นชอปปิง เดสติเนชัน (Shopping Destination) ของประเทศไทยในปัจจุบันถือว่าขึ้นชื่อและสามารถแข่งขันกับฮ่องกงและสิงคโปร์ได้ เพราะราคาสินค้าและการจัดโปรโมชันแทบไม่ต่างกัน แต่ในประเทศไทยนั้นมีจุดขายเรื่องความหลากหลายของสินค้า ทั้งแฟชั่น อาหาร งานคราฟต์ต่างๆ และมีความคุ้มค่าเงิน (Value for Money) เข้ากับเทรนด์การจับจ่ายของโลก หรือแม้แต่สินค้าแบรนด์เนมในประเทศไทยก็ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ มียอดการจับจ่ายมากกว่าในสิงคโปร์แล้ว
“ทั้งนี้มีข้อเสนอเกี่ยวกับการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นชอปปิง เดสติเนชัน อย่างสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ว่าควรอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถขอคืน VAT (ภาษีมูลค่าเพิ่ม)ได้ที่ร้านค้าโดยตรงเหมือนโมเดลของประเทศญี่ปุ่น เพราะปัจจุบันในไทยยังต้องยื่นขอคืน VAT ที่สนามบินอย่างเดียว”
อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1188244?anm=
#กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจBusiness

13/07/2025

คนไทย 'สมองเสื่อม' เกือบ 8 แสนคน คาดทะลุ 1 ล้านคน ในอีก 10 ปี และประเมินอายุตัวเองน้อยไป 7-8 ปี เสี่ยงวางแผนการเงินผิดพลาด ไม่มีเงินใช้ตอนแก่
[เรื่องโดย ดร.มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด | ประเทศไทย iCare]
ถ้าจะถามว่า คนไทยสนใจเกี่ยวกับชีวิตในอนาคตไหม คำตอบก็คือเรื่องนี้น่าจะอยู่ในความสนใจคนไทย เมื่อดูจากคำถามยอดฮิตที่ชอบถามหมอดูว่าแก่แล้วจะรวยหรือสบายไหม
หรือดูจากการทำบุญเพื่อหวังว่าจะได้ขึ้นสวรรค์หรือสบายในชาติหน้า แต่ที่คนไทยยังไม่ค่อยสนใจนักก็คือว่า เมื่อสูงวัยแล้วจะมีชีวิตที่มีสุขภาพดี มีความสุขได้กี่ปีก่อนเสียชีวิต เนื่องจากในอดีตคนไทยอายุไม่ยืนนัก
อายุคาดเฉลี่ย (เมื่อแรกเกิด) เมื่อปี 2500 สำหรับผู้ชายเท่ากับ 54 ปี และ 59 ปีสำหรับผู้หญิง แต่ในปี 2567 ตัวเลขนี้ขึ้นเป็น 72 ปี และ 81 ปีตามลำดับ เพิ่มสูงขึ้นประมาณ 18 ปีสำหรับผู้ชาย และ 22 ปีสำหรับผู้หญิง ในปัจจุบันประเทศไทยได้เข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์แล้ว ในปี 2567 คนไทยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปมีจำนวนกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด หรือเท่ากับ 13.4 ล้านคน ในอีก 10 ปีข้างหน้าก็จะเพิ่มเป็น 17.3 ล้านคน
ที่น่าเป็นห่วงก็คือ ในปัจจุบันประเทศไทยคาดว่ามีผู้ป่วย “สมองเสื่อม” ถึงเกือบ 8 แสนคน และในอีก 10 ปีข้างหน้าก็จะเพิ่มเป็น 1 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
กล่าวคือ เป็นหญิงถึง 6 แสนคน หมายความว่าจะมีผู้สูงวัยจำนวนมากมีคุณภาพชีวิตที่ลดลง ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวัน มิหนำซ้ำยังอาจเกิดการพลัดหลงออกจากบ้าน ถูกล่อลวงโดยผู้ไม่ประสงค์ดี (ปราโมทย์ ประสาทกุล ศุทธิดา ชวนวัน และกาญจนา เทียนลาย, 2568)
การเพิ่มขึ้นของสัดส่วนผู้สูงวัยและจำนวนผู้สูงวัยที่สมองเสื่อมมีผลกระทบต่อสังคมค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่องบประมาณของรัฐ เนื่องจากสังคมสูงวัยจะมีจำนวนผู้อยู่ในกำลังแรงงานลดลงไปเรื่อยๆ ประสิทธิภาพในการผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ ก็จะลดลง ทำให้ภาษีรายได้ของรัฐจะลดลงตามไปด้วย แต่ในขณะเดียวกันรายจ่ายของรัฐก็กลับเพิ่มขึ้นมากเพื่อมาดูแลผู้สูงวัย
ที่น่าเป็นห่วงก็คือ งานวิจัยภายใต้แผนงานคนไทย 4.0 ซึ่งได้รับทุนอุดหนุนวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดย ศ. ดร.นพพล วิทย์วรพงศ์ พบว่า คนไทยส่วนใหญ่คาดคะเนอายุที่คาดว่าจะตายของตัวเองน้อยไป 7-8 ปี
มิหนำซ้ำคนไทยส่วนใหญ่ก็มีเงินออมน้อยและไม่เพียงพอที่จะดูแลชีวิตและสุขภาพของตนในวัยชรา ความเจ็บป่วยและความตายจะกลายเป็นภาระของสังคมมากขึ้น สำหรับในแต่ละครอบครัว คนหนุ่มคนสาวก็จะมีภาระในการดูแลคนแก่มากขึ้นทำให้ต้องจัดสรรเงินระหว่างการดูแลผู้สูงวัยกับการลงทุนเพื่อสร้างอนาคต
ดังนั้น คนไทยต้องมีการเตรียมตัวก่อนเกษียณ ไม่ใช่เกษียณแล้วจึงมาตั้งรับปรับตัว เพื่อไม่ให้เป็นผู้สูงวัยที่เป็นภาระของลูกหลานและสังคม การเตรียมตัวโดยสะสมเงินส่วนหนึ่งไว้ใช้ตอนแก่และเป็นค่ารักษาพยาบาลจะต้องวางแผนกันตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาวมิฉะนั้นจะไม่ทันการณ์
อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/health/well-being/1187290?anm=
#กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจHealth #กรุงเทพธุรกิจLifestyle

24/06/2025

ตลาดสมุนไพรไทยผงาด โตพุ่ง 14% รัฐอัดฉีดปั้นแสนล้านสู่ศูนย์กลางโลก
ตลาดสมุนไพรไทยกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเติบโต จากความตระหนักด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก และแรงหนุนจากนโยบายภาครัฐที่มุ่งผลักดันอุตสาหกรรมนี้ให้ก้าวสู่ระดับสากล
ตลาดสมุนไพรไทยกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเติบโต จากความตระหนักด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก และแรงหนุนจากนโยบายภาครัฐที่มุ่งผลักดันอุตสาหกรรมนี้ให้ก้าวสู่ระดับสากล หลังสถานการณ์โควิด-19 ผู้คนทั่วโลกหันมาใส่ใจสุขภาพตนเองและพึ่งพาสิ่งที่มาจากธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งสมุนไพรไทยถือเป็นทางเลือกสำคัญในกลุ่ม “Primary Care” ที่ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ แนวโน้มนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ได้รับประโยชน์
“ดร.ภญ.มณฑกา ธีระชัยสกุล” ผู้อำนวยการกองเศรษฐกิจสมุนไพร กรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก เปิดเผย “กรุงเทพธุรกิจ”ว่า จากข้อมูลที่มีอยู่ตลาดสมุนไพรไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี หากย้อนไปตั้งแต่ปี 2563-2567 อัตราการเติบโตอยู่ที่ 14 % ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับ GDP โดยรวมของประเทศ ปัจจุบันมูลค่ารวมของตลาดสมุนไพรไทยในประเทศอยู่ที่ประมาณ 40,000 ถึง 50,000 ล้านบาท โดยปี 2567 อยู่ที่เกือบ 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 5 ของเอเชีย รองจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และอินเดีย แต่มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าญี่ปุ่นและเกาหลี
📌 รัฐหนุนเต็มที่ตั้งเป้าแสนล้านบาท
ทั้งนี้ ตลาดสมุนไพรของไทยมีการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต รัฐบาลมีแผนที่จะเพิ่มมูลค่าตลาดนี้เป็น 100,000 ล้านบาทหรือประมาณ 2,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ.ภายใน 5 ปีข้างหน้าโดยมีความพยายามในการส่งเสริมสมุนไพรผ่านการร่วมมือระหว่างกระทรวงต่าง ๆ เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตร และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อใช้สมุนไพรในบริการสุขภาพมากขึ้น​
คณะกรรมการนโยายสมุนไพรแห่งชาติ มีเป้าหมายชัดเจนในการผลักดันสมุนไพรไทยให้เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ โดยเพิ่มงบประมาณสนับสนุนเฉพาะส่วนของยาสมุนไพร ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท และปีหน้าจะเพิ่มงบประมาณให้เป็น 2,000 ล้านบาทให้เกิดการพัฒนาทั้ง กลางน้ำ และต้นน้ำ ตามมา โดยมีแผนการขับเคลื่อนสมุนไพร Herb of the year ปี 2568 – 2570 จำนวน 3 รายการ ได้แก่ ไพล กระชายดำ และกระท่อม นำสมุนไพรสู่การสร้างเศรษฐกิจ
อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/health/well-being/1186245?anm=
#กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจBusiness

18/06/2025

AI ตรวจจับ-แจ้งเตือน ‘คู่ยา’ ห้ามใช้คู่กันกว่า 1,300 คู่ ช่วยแพทย์-ผู้ป่วยปลอดภัยขึ้น
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ได้พัฒนาระบบ AI Drug Interaction ซึ่งเป็นการใช้ AI ตรวจจับและแจ้งเตือนคู่ยาที่ใช้ร่วมกันแล้วส่งผลกระทบ เช่น ทำให้ฤทธิ์ของยาเพิ่มขึ้นหรือลดลง เกิดผลข้างเคียงมากขึ้น หรือเป็นอันตรายถึงชีวิต รวมถึงแจ้งเตือนยาที่แพ้และยาที่ต้องเฝ้าระวัง โดยเชื่อมโยงฐานข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคลของสถานพยาบาลในสังกัดกับฐานข้อมูลคู่ยาที่ทำปฏิกิริยาระหว่างกัน และฐานข้อมูลการแพ้ยาและยีนแพ้ยา
เมื่อระบบตรวจสอบพบจะทำการแจ้งเตือนแพทย์ในการสั่งจ่ายยา เช่น ผู้ป่วยที่ได้รับยาลดไขมันในเลือด ซิมวาสแตติน (Simvastatin) ระบบจะแจ้งเตือนว่า การใช้ร่วมกับยาต้านไวรัสริโทนาเวียร์ (Ritonavir) อาจส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อโรคกล้ามเนื้อหรือการสลายตัวของกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น เป็นต้น ทำให้ผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาหลายชนิดพร้อมกัน หรือผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษากับสถานพยาบาลหลายแห่งมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น
อ่าน: https://www.bangkokbiznews.com/health/public-health/1185370?anm=
#กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจHealth

21/05/2025

การค้นพบที่ปฏิวัติวงการ neuroscience คือแนวคิดเรื่อง neuroplasticity - ความสามารถของสมองในการ reorganize ตัวเองตลอดชีวิต

06/05/2025
05/05/2025

All I need😍

12/04/2025

iWard Solutions จาก Advantech กุญแจสำคัญในการยกระดับระบบสาธารณสุขของไทยให้ก้าวสู่มาตรฐานสากล พร้อมดันไทยก้าวสู่การเป็น M...

03/04/2025
27/03/2025

ประธาน กมธ.สาธารณสุข เผย หารือ “สหภาพแพทย์ฯ - สธ.” ปมขาดแคลนหมอ พบสาเหตุใหญ่มาจากลาออก หลังเจอภาระงานหนัก ค่าตอบแทนน้อย แถมมีเงื่อนไขออกจากระบบง่ายเกินไป ส่วนทางแก้ระยะสั้นต้องเพิ่มคณะกรรมการ ก.พ. ในสัดส่วนของ สธ. ต่อรองตำแหน่งหมอในระบบให้มากขึ้น ระยะยาวดันคลอด “พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการสาธารณสุข” ให้ สธ. จัดการกำลังคนเอง
------------------------------
จากกรณีที่ นพ.ทศพร เสรีรักษ์ ประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร (กมธ.การสาธารณสุข) ทำหนังสือเชิญสหภาพแพทย์ผู้ปฏิบัติงาน และตัวแทนกะทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมประชุมเพื่อหารือปัญหาการลาออกของแพทย์และบุคลากรด้านการสาธารณสุขในสังกัด สธ. ร่วมกับ กมธ.การสาธารณสุข พร้อมกับขอรับฟังข้อคิดเห็นเกี่ยวกับสาเหตุการลาออกของแพทย์ และแนวทางการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2568 ที่ผ่านมา นั้น
------------------------------
อ่านเพิ่มเติมได้ที่คอมเมนต์
------------------------------
#ข่าวสุขภาพ #ข่าวสาธารณสุข

ที่อยู่

Amphoe Nong Sua

เบอร์โทรศัพท์

+66928545874

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ NT Healthcare.THAILANDผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์