30/07/2025
โยคะมีมาก่อนศาสนาพุทธ ใครเคยฝึกโยคะ แล้วได้มาฝึกปฏิบัติสมาธิตามแนวทางของพระพุทธศาสนา จะรู้ได้ด้วยตัวเองว่ามันมีบางอย่างเชื่อมโยงถึงกันจริงๆ
บางคนบอกว่า
ศาสนาพุทธมีที่มาจากโยคะ
ผลคือเถียงกันจนวงแตก
แทบจะฆ่ากันตาย
🌻
โยคะมีรากฐานในอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ เมื่อราว 5,000 ปีก่อน ได้รับการพัฒนาเป็นระบบปรัชญาชัดเจนโดยปตัญชลิในโยคสูตร ราว 400 ปีก่อนคริสตกาล
โยคะเป็นหนึ่งในปรัชญาหลักของอินเดียโบราณ มุ่งเน้นการควบคุมจิตและการรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล
ปตัญชลี (Patanjali) เป็นนักปราชญ์ชาวอินเดียโบราณที่มีชีวิตอยู่ราว 400 ปีก่อนคริสตกาล เป็นผู้รวบรวมและเรียบเรียง "โยคสูตร" ซึ่งถือเป็นคัมภีร์สำคัญที่สุดของปรัชญาโยคะ
โยคสูตรประกอบด้วยสูตร (ข้อความสั้นๆ) 196 ข้อ แบ่งเป็น 4 บท อธิบายหลักการและวิธีปฏิบัติโยคะเพื่อควบคุมจิตและบรรลุสมาธิขั้นสูง โดยนิยามโยคะว่าเป็น "การหยุดความปรวนแปรของจิต"
ปตัญชลีได้เสนอแนวทางปฏิบัติที่เรียกว่า "อัษฎางคโยคะ" (Ashtanga Yoga) หรือโยคะแปดองค์ ซึ่งประกอบด้วย ยมะ นิยมะ อาสนะ ปราณยามะ ปรัตยาหาระ ธารณา ธยานะ และสมาธิ
โยคสูตรยังอธิบายเรื่องเกลศ (Klesha : สิ่งที่ทำให้จิตเศร้าหมอง) และวิธีการขจัดเกลศเพื่อบรรลุโมกษะ (การหลุดพ้น)
โยคสูตรของปตัญชลีได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของปรัชญาและการปฏิบัติโยคะในยุคต่อมา และยังคงมีอิทธิพลต่อการสอนโยคะในปัจจุบัน
ในยุคกลาง โยคะได้ผสมผสานกับแนวคิดตันตระ พัฒนาเป็น“หฐโยคะ”(Hatha Yoga) ที่เน้นการฝึกร่างกายควบคู่กับจิตใจ ในศตวรรษที่ 19-20 โยคะเริ่มแพร่หลายสู่ตะวันตก โดยครูโยคะชาวอินเดียหลายท่าน เช่น สวามี วิเวกานันทะ
(Swami Vivekananda)
ปัจจุบัน โยคะได้รับความนิยมทั่วโลกในฐานะวิธีการออกกำลังกายและพัฒนาจิตใจ มีรูปแบบหลากหลาย เช่น อัษฎางคโยคะ ไอเยนการ์โยคะ วินยาสะ โดยยังคงรักษาแก่นของการพัฒนากายและจิตเพื่อบรรลุสภาวะสูงสุดของการหลุดพ้น
🌻
พุทธศาสนาก่อกำเนิดในอินเดียราว 2,500 ปีก่อน โดยเจ้าชายสิทธัตถะ หลังจากตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ได้เผยแผ่คำสอนเรื่องอริยสัจ 4 และมรรคมีองค์ 8 เพื่อดับทุกข์
ศาสนาพุทธแพร่หลายในอินเดียและเอเชียใต้ ต่อมาแยกเป็นนิกายหลัก คือ เถรวาท และมหายาน
พุทธศาสนาเถรวาทแพร่หลายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนมหายานแพร่หลายในจีน เกาหลี ญี่ปุ่น และทิเบต ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13-18 พุทธศาสนาเสื่อมลงในอินเดีย แต่ยังคงเจริญรุ่งเรืองในประเทศอื่นๆ
ปัจจุบัน พุทธศาสนามีผู้นับถือทั่วโลกกว่า 500 ล้านคน โดยยังคงเน้นหลักคำสอนเรื่องการดับทุกข์ การปฏิบัติสมาธิ และการพัฒนาปัญญาเพื่อหลุดพ้นจากวัฏสงสาร
🌻
จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ จึงเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าพระพุทธเจ้าได้เคยศึกษาโยคะมาก่อน โดยมีหลักฐานและเหตุผลสนับสนุนดังนี้
1. บริบททางประวัติศาสตร์ โยคะมีรากฐานมาจากอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ซึ่งเก่าแก่กว่าสมัยพุทธกาลหลายพันปี
2. การศึกษาของเจ้าชายสิทธัตถะ ตามประวัติ ก่อนตรัสรู้ พระองค์ได้ศึกษาวิธีปฏิบัติทางจิตวิญญาณต่างๆ ที่มีอยู่ในอินเดียสมัยนั้น ซึ่งรวมถึงรูปแบบของโยคะด้วย
3. ครูของพระพุทธเจ้า มีบันทึกว่าพระองค์ได้ศึกษากับอาฬารดาบสและอุทกดาบส ซึ่งสอนเทคนิคการทำสมาธิที่คล้ายคลึงกับโยคะ
4. ความคล้ายคลึงของวิธีปฏิบัติ หลายเทคนิคในพุทธศาสนา เช่น อานาปานสติ มีลักษณะคล้ายคลึงกับเทคนิคในโยคะ
5. การปฏิเสธวิธีทรมานร่างกาย พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธวิธีบำเพ็ญทุกรกิริยา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโยคะบางสำนักในสมัยนั้น แสดงให้เห็นว่าพระองค์คุ้นเคยกับวิธีปฏิบัติเหล่านี้เป็นอย่างดี
6. ทางสายกลาง: แนวคิดนี้อาจเป็นการสังเคราะห์ของพระพุทธเจ้าจากประสบการณ์การศึกษาโยคะและวิธีปฏิบัติอื่นๆ
จึงไม่ถูกต้องนักหากจะสรุปว่าพุทธศาสนาเป็นเพียงการต่อยอดจากโยคะ เพราะพระพุทธเจ้าได้พัฒนาแนวคิดและวิธีปฏิบัติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ โดยเฉพาะหลักอริยสัจสี่และมรรคมีองค์แปด
กล่าวคือแม้จะมีความเป็นไปได้สูงที่พระพุทธเจ้าได้ศึกษาโยคะมาก่อน แต่พุทธศาสนาก็มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากโยคะอย่างมีนัยสำคัญ
🌻
โยคะและพุทธศาสนามีความเชื่อมโยงกันในหลายด้าน แม้ว่าทั้งสองจะมีต้นกำเนินและพัฒนาการที่แตกต่างกัน
ทั้งโยคะและพุทธศาสนามีจุดมุ่งหมายเน้นการพัฒนาจิตใจและการหลุดพ้นจากความทุกข์ ทั้งสองใช้เทคนิคการทำสมาธิและการฝึกสติเพื่อพัฒนาจิตใจ
ทั้งสองมีความเชื่อในกฎแห่งกรรมและผลของการกระทำ ทั้งโยคะและพุทธศาสนาสอนวิธีควบคุมความคิดและอารมณ์ มุ่งสู่การหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นและกิเลส
แม้ว่าโยคะจะเน้นการฝึกร่างกายมากกว่า แต่พุทธศาสนาก็ยอมรับความสำคัญของสุขภาพกายต่อการปฏิบัติธรรม
ในประวัติศาสตร์ ทั้งสองได้มีการแลกเปลี่ยนแนวคิดและวิธีปฏิบัติระหว่างกัน
โยคะมีมาก่อนศาสนาพุทธ
แต่พุทธศาสนาไม่ได้นำโยคะมาใช้โดยตรง
🌻
โยคะในพุทธศาสนามีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน พุทธศาสนาและโยคะพัฒนาขึ้นในอินเดียในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน แต่เป็นอิสระจากกัน
เทคนิคการทำสมาธิและฝึกสติที่พัฒนาขึ้นก็แยกกัน แต่มีลักษณะคล้ายคลึงกันในบางแง่มุม
ในยุคหลัง บางสำนักของพุทธศาสนาอาจนำเทคนิคบางอย่างของโยคะมาประยุกต์ใช้ มีการพัฒนาแนวทางที่เรียกว่า "พุทธโยคะ" ซึ่งผสมผสานแนวคิดของทั้งสองเข้าด้วยกัน แต่นี่เป็นการพัฒนาในยุคหลังๆ
🌻
พุทธโยคะ (Buddhist Yoga) เป็นการผสมผสานระหว่างหลักปฏิบัติของพุทธศาสนากับเทคนิคของโยคะ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจควบคู่กันไป
ลักษณะสำคัญของพุทธโยคะ เป็นการผสมผสานการปฏิบัติ นำเอาการฝึกอาสนะ (ท่ากาย) และปราณยามะ (การควบคุมลมหายใจ) จากโยคะมาประยุกต์ใช้ร่วมกับการเจริญสติและวิปัสสนาของพุทธศาสนา ใช้การฝึกโยคะเป็นพื้นฐานในการพัฒนาสติ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการปฏิบัติธรรมตามแนวพุทธ
แม้จะใช้เทคนิคจากโยคะ แต่ไม่ยึดติดกับอัตตา ยังคงยึดหลักอนัตตาตามแนวพุทธ ไม่เน้นการรวมอาตมันกับพรหมัน
🌻
"อาตมัน"(Atman) ในโยคะและปรัชญาฮินดูหมายถึงตัวตนที่แท้จริงหรือวิญญาณนิรันดร์ เชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของพรหมัน (Brahman) หรือจิตสากล เป้าหมายของโยคะคือการตระหนักรู้ถึงอาตมันและรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพรหมัน ซึ่งนำไปสู่การหลุดพ้น (โมกษะ)
ในพุทธศาสนาปฏิเสธแนวคิดเรื่องอาตมันหรือตัวตนถาวร แต่สอนหลักอนัตตา (Anatta) ว่าไม่มีตัวตนที่แท้จริงและถาวร ทุกสิ่งล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยและไม่เที่ยง การยึดมั่นในตัวตนถาวรถือเป็นสาเหตุของทุกข์ การเข้าใจอนัตตาจึงเป็นส่วนสำคัญในการบรรลุนิพพาน
ความแตกต่างในมุมมองเรื่องอาตมันนี้เป็นหนึ่งในความแตกต่างที่สำคัญระหว่างโยคะ/ฮินดูกับพุทธศาสนา
พุทธศาสนามีเป้าหมายสูงสุดคือการบรรลุนิพพาน ไม่ใช่การรวมเป็นหนึ่งกับจักรวาลอย่างในโยคะดั้งเดิม การปฏิบัติก็เป็นแบบองค์รวม เน้นการพัฒนาทั้งกาย วาจา และใจไปพร้อมกัน
🌻
การพัฒนาพุทธโยคะไม่ได้มีผู้คิดค้นเพียงคนเดียว แต่เป็นการพัฒนาที่เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปผ่านการผสมผสานแนวคิดและการปฏิบัติของทั้งพุทธศาสนาและโยคะ มีบุคคลสำคัญจำนวนมากที่มีส่วนในการพัฒนาและเผยแพร่แนวคิดนี้ อาทิ
1. อนาคาริก ธรรมปาละ (Anagarika Dharmapala : 1864-1933) ชาวศรีลังกาที่มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูพุทธศาสนาและผสมผสานแนวคิดโยคะเข้ากับการปฏิบัติธรรม
2. นยานโปนิกะ เถระ (Nyanaponika Thera : 1901-1998) พระภิกษุชาวศรีลังกาที่นำเทคนิคการหายใจแบบโยคะมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติวิปัสสนา
3. เอส.เอ็น.โกเอ็นกา (S.N. Goenka : 1924-2013) ผู้เผยแพร่เทคนิควิปัสสนาที่ผสมผสานแนวคิดของโยคะเข้ากับการปฏิบัติธรรมแบบพุทธ
4. ติช นัท ฮันห์ (Thich Nhat Hanh : 1926-2022): พระภิกษุชาวเวียดนามที่นำเสนอแนวทางการปฏิบัติที่ผสมผสานระหว่างเซนและโยคะ
5. บี.เค.เอส. ไอเยนการ์ (B.K.S. Iyengar:1918-2014)แม้จะไม่ได้เน้นพุทธศาสนาโดยตรง แต่เป็นผู้พัฒนาวิธีการสอนโยคะที่เน้นการมีสติ ซึ่งสอดคล้องกับหลักพุทธศาสนา
6.ไมเคิล สโตน ( Michael Stone : 1974-2017) นักเขียนและครูโยคะชาวแคนาดาที่เชี่ยวชาญในการผสมผสานโยคะ จิตวิทยา และพุทธศาสนา
7. ซาราห์ เพาเวอร์ (Sarah Powers: 1962-ปัจจุบัน) ผู้พัฒนา Insight Yoga ซึ่งผสมผสานโยคะ ไทชิ และการปฏิบัติธรรมแบบพุทธ
แม้ว่าจะไม่มีผู้คิดค้นคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ แต่บุคคลเหล่านี้และอีกจำนวนมากก็ได้มีส่วนสำคัญในการพัฒนาและเผยแพร่แนวคิดพุทธโยคะให้เป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลาย
ทำให้เกิดการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างการปฏิบัติโยคะและหลักธรรมในพุทธศาสนา
🌻
นานมาแล้วที่มีการนำหลักการทั้งจากโยคะและพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน
ตัวอย่างการปฏิบัติพุทธโยคะ
- เริ่มด้วยการฝึกอาสนะเพื่อเตรียมร่างกาย*
- ใช้ปราณยามะเพื่อสงบจิตใจ*
- ต่อด้วยการเจริญสติและวิปัสสนาตามแนวพุทธ*
- ปิดท้ายด้วยการแผ่เมตตา*
🌻
อาสนะ คือท่าทางต่างๆในโยคะที่ใช้ฝึกร่างกาย ช่วยเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการปฏิบัติขั้นสูงต่อไป โดยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ปรับสมดุลระบบต่างๆในร่างกาย ช่วยให้นั่งสมาธิได้นานขึ้น เมื่อร่างกายพร้อม จิตใจก็จะพร้อมสำหรับการฝึกสมาธิและวิปัสสนาต่อไป
แนวคิดนี้สอดคล้องกับหลักพุทธศาสนาที่เน้นการพัฒนาทั้งกายและใจควบคู่กันไป การเริ่มด้วยอาสนะจึงเป็นการวางรากฐานที่ดีสำหรับการปฏิบัติธรรมในขั้นสูงต่อไป
การฝึกอาสนะในชีวิตประจำวันมีขั้นตอนปฏิบัติดังนี้
1. เตรียมความพร้อม:
- เลือกพื้นที่สะอาด เงียบสงบ
- ใช้เสื่อโยคะหรือผ้าปูพื้น
- สวมใส่เสื้อผ้าสบายๆ
- ฝึกตอนท้องว่าง (2-3 ชั่วโมงหลังอาหาร)
2. เริ่มด้วยการผ่อนคลาย:
- นั่งหรือนอนในท่าสบาย
- หายใจลึกๆ ช้าๆ
- ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทีละส่วน
3. อบอุ่นร่างกาย:
- ทำท่าง่ายๆ เช่น หมุนข้อต่อ ยืดเหยียดเบาๆ
- เพิ่มการไหลเวียนเลือด
4. ฝึกท่าอาสนะ:
- เริ่มจากท่าง่ายไปยากลำดับดังนี้:
4.1 ท่าง่าย:
- ท่าภูเขา (Tadasana)
- ท่าแมว-วัว (Cat-Cow Pose)
- ท่าเด็ก (Child's Pose)
- ท่าสุนัขหมอบ (Downward Facing Dog)
- ท่าต้นไม้ (Tree Pose)
4.2 ท่าปานกลาง:
- ท่านักรบ 1 และ 2 (Warrior I and II)
- ท่าสามเหลี่ยม (Triangle Pose)
- ท่าคันไถ (Plow Pose)
- ท่าก้มตัวไปข้างหน้า (Forward Bend)
- ท่าบิดตัว (Seated Twist)
4.3 ท่ายาก:
- ท่าคันธนู (Bow Pose)
- ท่าสะพานโค้ง (Bridge Pose)
- ท่าพีระมิด (Forearm Stand)
- ท่าหางนกยูง (Peacock Pose)
- ท่ายืนด้วยศีรษะ (Headstand)
4.4 ท่าขั้นสูง:
- ท่าลอยตัว (Crow Pose)
- ท่าพระจันทร์ครึ่งดวง (Half Moon Pose)
- ท่าผีเสื้อ (Butterfly Pose)
- ท่าล็อตัส (Lotus Pose)
- ท่าสกอร์เปี้ยน (Scorpion Pose)
ควรเริ่มจากท่าง่ายและค่อยๆ เพิ่มความยากขึ้นตามความสามารถของร่างกาย ไม่ควรรีบร้อนหรือฝืนทำท่ายากเกินไป เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ
- ทำแต่ละท่าช้าๆ ควบคุมลมหายใจ
- รักษาท่าตามกำลังความสามารถ
- ผ่อนคลายระหว่างท่า
5. ท่าผ่อนคลาย:
- จบด้วยท่านอนศพ (ศวาสนะ)
- ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทั้งร่างกาย
6. สม่ำเสมอ:
- ฝึกเป็นประจำทุกวัน หรืออย่างน้อย 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์
- เริ่มจาก 15-20 นาที ค่อยๆ เพิ่มเวลา
7. ปรับให้เหมาะกับตนเอง:
- เลือกท่าที่เหมาะกับร่างกายและเป้าหมายของตน
- ปรับความยากง่ายตามความสามารถ
8. ใส่ใจความปลอดภัย:
- ไม่ฝืนร่างกายจนเกินไป
- หากมีอาการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
🌻
* ปราณยามะ (Pranayama) เป็นเทคนิคการควบคุมลมหายใจในโยคะ คำว่า "ปราณ" (Prana) หมายถึงลมหายใจหรือพลังชีวิต และ "ยามะ" (Yama) หมายถึงการควบคุม
“การใช้ปราณยามะเพื่อสงบจิตใจ”จึงหมายความว่า…
1. การควบคุมลมหายใจ: ใช้เทคนิคการหายใจแบบต่างๆ เช่น การหายใจลึกๆ ช้าๆ หรือการหายใจสลับรูจมูก
2. ผลต่อจิตใจ: การควบคุมลมหายใจช่วยลดความเครียด ความวิตกกังวล และความฟุ้งซ่านของจิตใจ
3. เชื่อมโยงกาย-จิต: ปราณยามะช่วยสร้างความเชื่อมโยงระหว่างร่างกายและจิตใจ
4. เตรียมพร้อมสำหรับสมาธิ: การทำให้จิตใจสงบผ่านก