Rojana Dhamma Foundation

Rojana Dhamma Foundation สถานปฏิบัติธรรม และ ศูนย์กิจกรรม

มูลนิธิโรจนธรรม เป็นความร่วมมือระหว่าง บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด(มหาชน) กับ ธรรมสถานเฉลิมพระเกียรติรัชกาลที่ 9 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินกิจกรรมด้านจิตอาสาเพื่อพัฒนาสังคมตามหลักพระพุทธศาสนา
Contact: rojana.dhamma@gmail.com

ขอเรียนเชิญทุกท่านร่วมใส่บาตร พระอาจารย์ครรชิต อกิญจโน และหลวงพี่โจ ณ บริเวณด้านหน้ามูลนิธิโรจนธรรม วันที่ 19 - 21 ก.ย.6...
17/09/2025

ขอเรียนเชิญทุกท่านร่วมใส่บาตร พระอาจารย์ครรชิต อกิญจโน และหลวงพี่โจ ณ บริเวณด้านหน้ามูลนิธิโรจนธรรม
วันที่ 19 - 21 ก.ย.68 เวลา 07.15 น. และขอเชิญร่วมถวายภัตตาหารเช้า ในเวลาต่อมาค่ะ
📿📿📿📿📿📿
มูลนิธิโรจนธรรม เป็นความร่วมมือระหว่าง บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด(มหาชน) กับ ธรรมสถานเฉลิมพระเกียรติรัชกาลที่ 9 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินกิจกรรมด้านจิตอาสาเพื่อพัฒนาสังคมตามหลักพระพุทธศาสนา
📿📿📿📿📿📿
🔻ช่องทางติดต่อและติดตามข่าวสาร🔻
☎️โทร : 026642095
📲Line : https://lin.ee/jvi1BMC
🏢ที่อยู่📌Google Maps: https://bit.ly/4eMWjI5
⏰วันเวลาทำการ : จันทร์ - เสาร์ 09.00น. - 17.00น.
#มูลนิธิโรจนธรรม #โรจนธรรมสถาน #สุขุมวิท23 #ธรรมใดก็ไร้ค่าถ้าไม่ทำ #ศูนย์ปฎิบัติธรรม

🪷 เวลาเราซื้อของ แล้วมาพบภายหลังว่าเงินทอนที่ได้รับขาดไป 20 บาทบ้าง 50 บาทบ้าง หรือไม่ก็ซื้อของ ซื้อผลไม้ ซื้อรองเท้า ซื...
16/09/2025

🪷 เวลาเราซื้อของ แล้วมาพบภายหลังว่าเงินทอนที่ได้รับขาดไป 20 บาทบ้าง 50 บาทบ้าง หรือไม่ก็ซื้อของ ซื้อผลไม้ ซื้อรองเท้า ซื้อเสื้อออนไลน์ จ่ายเงินไปแล้ว มาพบทีหลังว่าแม่ค้าคิดเงินเกิน 100 บาทบ้าง 150 บาทบ้าง หลายคนย่อมรู้สึกไม่พอใจ เสียดายเงิน

และถ้าทำได้ก็อยากจะไปทวงเงินจากแม่ค้า และบางทีไม่ได้แค่ทวงเงินเฉย ๆ ต่อว่าด้วย บางทีก็เขียนข้อความไปต่อว่าแม่ค้า ทำไมคิดเงินเกิน บางทีด่าเขารุนแรง เพราะอะไร เพราะว่าเขาทำไม่ถูก ทอนเงินไม่ครบ คิดเงินเกิน

แต่ถ้าเกิดว่าเราไปซื้อของแล้วแม่ค้าเขาทอนเงินเกิน 20 บาทบ้าง 50 บาทบ้าง หรือมิฉะนั้นไปซื้อของออนไลน์แล้วเขาคิดผิด คิดต่ำกว่าราคาจริงไป 100-200 เรารู้สึกอย่างไร บางคนนอกจากดีใจแล้ว ยังเฉย แทนที่จะไปบอกแม่ค้าว่าทอนเงินเกิน หรือว่าคิดเงินน้อยไป กลับเงียบ กลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

ทำนองเดียวกัน เวลาเราทำงานได้โบนัส จะเป็นเรือนหมื่นเรือนแสนก็ตาม ถ้าเรารู้ว่าเราได้โบนัสน้อยกว่าคนอื่น เพื่อนร่วมงานได้มากกว่าเรา เราก็โวยวาย โวยวายเจ้านาย หาว่าไม่แฟร์ แต่พอเราได้มากกว่าคนอื่น เราเงียบเลย ความคิดว่ามันไม่แฟร์หายไปเลย แปลว่าอะไร

แปลว่าความไม่พอใจ การโวยวายของเราไม่ใช่เพราะว่าคนอื่นเขาทำไม่ถูกต้อง แต่เป็นเพราะไม่ #ถูกใจ เราต่างหาก

แม่ค้าทอนเงินผิด แต่ถ้าหากว่าทอนเงินมาเกิน ผิดก็จริง แต่มันถูกใจเรา หรือว่าแม่ค้าคิดเงินผิด แต่ถ้าคิดน้อยกว่าความเป็นจริง ไม่ถูกต้องก็จริง แต่มันถูกใจเรา เราก็เงียบ

ได้โบนัส ถ้าได้น้อยกว่าคนอื่น ไม่แฟร์ แต่พอเราได้มากกว่าคนอื่น มันก็ไม่ถูกต้องเหมือนกัน มันก็ไม่แฟร์ แต่ทำไมเราเงียบ ดีใจด้วยซ้ำ

หลายสิ่งหลายอย่างที่เราทำโดยอ้างว่ามันไม่ถูกต้อง ที่จริงเพราะว่ามันไม่ถูกใจเราต่างหาก ความไม่ถูกต้อง ความไม่แฟร์เป็นแค่ข้ออ้างที่กลบความไม่พอใจเอาไว้ แต่ถ้าใครทำอะไรถูกใจเรา แม้มันจะไม่แฟร์ แม้มันจะไม่ถูกต้อง แม้มันจะผิดพลาด เรากลับดีใจ นี่แสดงว่าเราไม่ได้สนใจความถูกต้อง แต่เราสนใจสิ่งที่ถูกใจเรามากกว่า

ทำนองเดียวกัน เวลาคนเขาชมเรา ป้อยอเรา เราเพลิน เราดีใจ ทั้งที่เรารู้ว่ามันเกินจริง แต่พอมีเพื่อนบางคนเขาทักเราท้วงเรา ทั้งที่สิ่งที่เขาทักท้วงมันจริง เรากลับโกรธ อันนี้เพราะอะไร

เพราะว่าเราสนใจความถูกใจมากกว่าความถูกต้อง พูดประจบประแจงเรา ถูกใจ แม้ไม่ถูกต้อง เราก็โอเค แต่ถ้าพูดความจริง แม้จะถูกต้อง แถมมีประโยชน์ด้วยถ้ารู้จักมอง เรากลับไม่พอใจ

อันนี้มักจะเกิดขึ้นแม้กระทั่งผู้ใฝ่ธรรม ผู้สนใจธรรมะ หรือผู้ปฏิบัติธรรมด้วย ฉะนั้น ถ้าเราปล่อยให้ใจเราโอนเอียงไปทางด้านความถูกใจมากกว่าความถูกใจ มันก่อปัญหา ทั้งกับตัวเราและกับคนอื่น มันทำให้จิตใจเราไม่เจริญงอกงาม เป็นทาสของกิเลสได้ง่าย

ฉะนั้นต้องฝึกใจ ฝึกใจเอาไว้ อย่าให้ความถูกใจมาเป็นใหญ่เหนือความถูกต้อง

ต้องหมั่นสังเกตเวลาใครเขาพูดอะไรกับเรา ทำอะไรกับเราแล้วเรารู้สึกขุ่นเคือง ใจกระเพื่อม หรือว่าเข็มกระดิก ให้ลองพิจารณาว่าเป็นเพราะเขาทำไม่ถูกใจ หรือไม่ถูกต้อง บางทีเขาอาจจะทำถูกต้อง แต่ไม่ถูกใจ อย่าไปโวยวาย อย่าไปปล่อยให้ความโกรธครอบงำ

ถ้าเราไม่หมั่นสังเกตดูใจ เราจะสับสนระหว่าง ความถูกใจ กับ ความถูกต้อง หรือสับสนระหว่าง ความไม่ถูกใจ กับ ความไม่ถูกต้อง

ที่โวยวายไม่ได้เพราะมันไม่ถูกต้องหรอก แต่เพราะมันไม่ถูกใจ เพราะว่าถ้าหากว่าแม้จะไม่ถูกต้อง แต่ถ้ามันถูกใจเรา เราก็เงียบ เราก็ยินดีเพลิดเพลิน

พระไพศาล วิสาโล
~~~~~~
📿📿📿📿📿📿
🔻ช่องทางติดต่อและติดตามข่าวสาร🔻
☎️โทร : 026642095
📲Line : https://lin.ee/jvi1BMC
🏢ที่อยู่📌Google Maps: https://bit.ly/4eMWjI5
⏰วันเวลาทำการ : จันทร์ - เสาร์ 09.00น. - 17.00น.

Credits: 🙏🏻ขอขอบคุณบทความดีๆค่ะ

#มูลนิธิโรจนธรรม #โรจนธรรมสถาน #สุขุมวิท23 #ธรรมใดก็ไร้ค่าถ้าไม่ทำ #ศูนย์ปฎิบัติธรรม

🙏ขออนุญาตประกาศรายชื่อผู้เข้าร่วมกิจกรรมค่ะ🙏คอร์ส "กลับมารู้สึกตัว” (คอร์สเบื้องปลาย) วันที่ 19 - 21 ก.ย.68โดย  พระอาจาร...
15/09/2025

🙏ขออนุญาตประกาศรายชื่อผู้เข้าร่วมกิจกรรมค่ะ🙏
คอร์ส "กลับมารู้สึกตัว” (คอร์สเบื้องปลาย)
วันที่ 19 - 21 ก.ย.68
โดย พระอาจารย์ครรชิต อกิญจโน จากวัดวีรวงศาราม จ.ชัยภูมิ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
📲Line : https://lin.ee/jvi1BMC
📿📿📿📿📿📿
มูลนิธิโรจนธรรม เป็นความร่วมมือระหว่าง บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด(มหาชน) กับ ธรรมสถานเฉลิมพระเกียรติรัชกาลที่ 9 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินกิจกรรมด้านจิตอาสาเพื่อพัฒนาสังคมตามหลักพระพุทธศาสนา
📿📿📿📿📿📿
🔻ช่องทางติดต่อและติดตามข่าวสาร🔻
☎️โทร : 026642095
📲Line : https://lin.ee/jvi1BMC
🏢ที่อยู่📌Google Maps: https://bit.ly/4eMWjI5
⏰วันเวลาทำการ : จันทร์ - เสาร์ 09.00น. - 17.00น.
#มูลนิธิโรจนธรรม #โรจนธรรมสถาน #สุขุมวิท23 #ธรรมใดก็ไร้ค่าถ้าไม่ทำ #ศูนย์ปฎิบัติธรรม

🪷 อุบายแก้ความโกรธถ้ามีคนไม่ดีมาด่าเรา หากเราคิดว่า การพูดจาหยาบคายด่าคน เป็นของไม่ดี และเราก็ไม่ชอบใจให้ใครมาด่าเรา  เร...
14/09/2025

🪷 อุบายแก้ความโกรธ
ถ้ามีคนไม่ดีมาด่าเรา หากเราคิดว่า การพูดจาหยาบคายด่าคน เป็นของไม่ดี และเราก็ไม่ชอบใจให้ใครมาด่าเรา เราก็ไม่ควรไปพูดจาหยาบคายด่าคนอื่น มิฉะนั้น เราก็จะพลอยเป็นคนไม่ดีเหมือนเขาไปด้วย
อย่างที่มีใครชอบพูดกันว่า ถ้ามีหมาเห่า ก็อย่าไปเห่าตอบ เดี๋ยวจะมีหมาเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งตัว มันก็จริงอย่างนั้น แต่ทุกครั้งที่มีหมาเห่า ก็จะมีหมาอีกหลาย ๆ ตัวมาช่วยกันเห่า อันนี้สิ! จริงยิ่งกว่าจริง หมาบางตัวก็ทำตัวเป็นแขกไม่ได้รับเชิญ เห็นเขาเห่า ก็เห่าบ้าง เห่ารับกันเป็นทอด ๆ เลยทีเดียว
บางทีเราอาจรู้สึกโกรธที่มีคนมาด่าเรา หรือมาทำอะไรให้เราไม่พอใจ ก็ไม่ต้องไปโกรธเขาหรอก แต่ถ้ามันเกิดโกรธไปแล้ว ก็จงใช้โอกาสนั้น ฝึกตนให้เป็นคนมีสติ ใช้สติข่มกลั้นความโกรธนั้นเสีย ฝึกตนให้มีปัญญา ใช้ปัญญาบดขยี้ทำลายความโกรธนั้นไปให้ได้
หมั่นฝึกฝนอบรมตนไว้เช่นนี้ทุกครั้งที่มีความโกรธเกิดขึ้น ก็เอาความโกรธนั่นแหละ เป็นหินลับสติ เป็นหินลับปัญญาให้คมกล้า อย่าให้ใจตกเป็นทาสของความโกรธ เดี๋ยวใจจะแปลงร่างเป็นหมาไปเห่าใส่กัน แล้วกัดกันจนเลือดสาด
เพราะถ้าโกรธเขา ความโกรธก็จะเผาใจเราเองก่อน ทำให้เรากลายเป็นคนขี้โมโห หงุดหงิดงุ่นง่าน อารมณ์ร้อนเอาแต่ใจตัวเอง หนักเข้าก็จะลุกลามออกไปทางกาย ทางวาจา พาให้ไปทำร้ายคนอื่น
ชื่อว่า ความโกรธเห็นมีแต่สร้างความหายนะใส่ตัวโดยถ่ายเดียว หาคุณความดีอันใดมิได้แม้แต่นิดเดียว พยายามสอนใจให้เห็นโทษของความโกรธ ฝึกหัดใช้สติปัญญาสอนจิตบ่อย ๆ ฝึกจิตให้รู้จักอดทนข่มกลั้น ฝึกจิตให้ทำลายความโกรธ ฝึกบ่อย ๆ ฝึกทุกครั้งที่มันโกรธ เดี๋ยวมันก็เบื่อที่จะโกรธไปเอง
ถ้าฝึกทำลายความโกรธได้ ความโลภมันก็จะถูกทำลายไปด้วยกัน เพราะความโลภกับความโกรธ มันเป็นเพื่อนซี้กัน แต่มันจะผลัดกันแสดงตัว
ถ้าความโลภออกหน้า ความโกรธจะเป็นเงาซุกอยู่ข้างหลัง เวลาความโกรธออกหน้า ความโลภก็จะเป็นเงาซุกอยู่ข้างหลัง ส่วนความหลงก็เป็นตัวบงการอยู่หลังฉาก ปั่นให้โลภ ปั่นให้โกรธ สลับกันไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ จนกว่าจะฆ่ามันตายเกลี้ยงหมดทั้งโคตร มันก็จึงจะยอมยุติบทบาท
การให้อภัยกับคนที่ทำไม่ดีกับเราได้ จึงชื่อว่า เป็นคนใจกว้าง ใจใหญ่ ใจเสียสละ ใจมีเมตตา ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น แต่ต้องรู้ประมาณความพอดี ทางใจอาจให้อภัยได้ในทุกกรณี แต่ทางกาย ทางวาจา ก็ต้องมีการกำหนดโทษ คาดโทษ ตักเตือน ตามสมควรแก่ความผิด เพื่อป้องกันไม่ให้มากระทำผิดซ้ำซาก
หากเราปล่อยใจให้โกรธบ่อย ๆ ใจก็เป็นทุกข์อยู่ร่ำไป จะสละความโกรธออกไปเสียได้ ก็ต้องด้วยการให้อภัยเท่านั้น อภัยทานจึงเป็นทานที่ยิ่งใหญ่ เพราะสามารถทานกิเลสให้ออกไปจากใจได้นี่เอง ผู้ที่จะให้อภัยทานได้ ผู้นั้นจึงต้องมีสติปัญญาที่แหลมคมไม่ใช่น้อย
เราจะดีจะชั่วก็อยู่ที่เราทำตัวเราเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการด่าว่าของใคร ดังนั้น ใครด่าเราจึงไม่จำเป็นต้องไปโกรธเขา ทำเฉย ๆ เสีย เป็นการฝึกใจให้หนักแน่นมั่นคงยิ่งขึ้น
ถ้าหากเราผิดจริง เขาด่าเรา มันก็ดีแล้ว เราจะได้รู้ตัว และแก้ไขตัวเราให้ดีขึ้นได้ ต้องขอบคุณเขาด้วยซ้ำไป ที่เขามาช่วยชี้แนะให้เราเห็นโทษความผิดของตัวเอง ไม่ใช่ไปโกรธเขา
ถ้าหากเราไม่ได้ผิด แล้วเขามาด่าเราด้วยเรื่องไม่จริง เราก็ชี้แจงความจริงไปตามสมควรแก่เหตุ ก็ถือเสียว่า เป็นกรรมเก่าที่เราเคยไปด่าเขาไว้ตามมาทวงคืน ก็ใช้หนี้ไปเสีย ก็แค่ลมปากมากระทบหูแล้วก็ดับไป เราจะไปโกรธเสียงลมทำไม เขาด่าเรา มันก็ออกมาจากกิเลสในใจของเขา ถ้าจะโกรธ ก็ต้องโกรธกิเลสในใจของเขา ซึ่งไม่มีประโยชน์ กิเลสในใจเราก็มี สู้โกรธกิเลสในใจของเราเองดีกว่า เพราะโกรธแล้วเราสามารถฆ่ามันได้ด้วย แต่เราไปโกรธกิเลสคนอื่น เราไปฆ่ากิเลสคนอื่นไม่ได้
เพราะเราเองก็ไม่ใช่ว่าจะทำดีทำถูกได้ตลอดไป บางครั้งเราก็อาจทำผิดได้ ดังนั้น เมื่อเห็นคนอื่นทำผิด ก็ไม่ควรไปดูถูกเหยียดหยามประณามเขา วันหนึ่งเขาก็อาจกลับตัวกลับใจทำดีทำถูกได้ เช่นเดียวกัน
ไม่มีใครจะทำดีได้ตลอดไป และไม่มีใครจะทำชั่วได้ตลอดไป ทุกคนต้องทำดีบ้าง ทำชั่วบ้างคละเคล้ากันไปอย่างนี้ ตราบเท่าที่ยังมีกิเลสอยู่ในใจ แม้ไม่เป็นมิตรกัน ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกันก็ได้ การสร้างศัตรูก็เท่ากับการสร้างพิษภัยให้กับตนเอง ทำเฉย ๆ และอยู่ห่างคนพาลเข้าไว้ นั่นแหละ ดีที่สุด
จึงไม่ควรที่จะโกรธแค้นกันแบบเอาเป็นเอาตายอย่างฝังจิตฝังใจ ชนิดที่ไม่ยอมเผาผีกัน จนถึงขั้นทำร้ายกัน ฆ่าฟันกันในที่สุด มันจะก่อให้เกิดการผูกอาฆาตพยาบาทจองล้างจองผลาญจองเวรกันไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไม่รู้อีกกี่ภพกี่ชาติ ทั้งเป็นเหตุที่จะให้ไปสู่อบาย ตัดหนทางที่จะได้สำเร็จมรรค ผล นิพพานไปอย่างสิ้นเชิง
อย่าลืมว่า สัตว์โลกต้องเป็นไปตามกรรม พระบรมศาสดาสอนไว้ ใครทำดีก็ได้รับผลดีเอง ใครทำชั่วก็ได้รับผลชั่วเอง ถึงไม่ฆ่ากัน ก็ต้องตายกันเองอยู่แล้ว ตายกันหมดทั้งโลก แต่ที่มันต้องฆ่ากัน ก็เป็นเพราะกรรมเก่าเคยฆ่ากันมานั่นเอง บวกกับกรรมใหม่ที่ลุอำนาจแก่ความโกรธด้วย
ดังนั้น ผู้มีปัญญาจึงควรเลือกทำแต่ความดี ละเว้นความชั่วเสีย เพื่อตัวเองจะได้รับแต่ผลดีในวันข้างหน้า ส่วนผู้โง่เขลาเบาปัญญา ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำแต่ความชั่วสั่งสมไป เพื่อให้ตัวเองได้รับผลชั่วในวันข้างหน้าเช่นเดียวกัน
พระอาจารย์วิทยา กิจจวิชโช
~~~~~~
📿📿📿📿📿📿
🔻ช่องทางติดต่อและติดตามข่าวสาร🔻
☎️โทร : 026642095
📲Line : https://lin.ee/jvi1BMC
🏢ที่อยู่📌Google Maps: https://bit.ly/4eMWjI5
⏰วันเวลาทำการ : จันทร์ - เสาร์ 09.00น. - 17.00น.

Credits: 🙏🏻ขอขอบคุณบทความดีๆค่ะ

#มูลนิธิโรจนธรรม #โรจนธรรมสถาน #สุขุมวิท23 #ธรรมใดก็ไร้ค่าถ้าไม่ทำ #ศูนย์ปฎิบัติธรรม

🪷 ในชีวิตประจำวัน ความสามารถในการปรับตัวโดยไม่ละทิ้งหลักการที่ยึดถือ และการตระหนักรู้ในกาลเทศะ เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าปัญญา...
12/09/2025

🪷 ในชีวิตประจำวัน ความสามารถในการปรับตัวโดยไม่ละทิ้งหลักการที่ยึดถือ และการตระหนักรู้ในกาลเทศะ เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าปัญญากำลังเจริญงอกงาม

พระพุทธองค์ทรงเน้นคุณธรรมข้อที่สองนี้ในหลายวาระ และเป็นหนึ่งในคุณสมบัติเจ็ดประการที่พระองค์ตรัสสอนว่าเป็นธรรมของสัตบุรุษ หรือ คุณสมบัติของคนดี (สัปปุริสธรรม ๗)

การตระหนักรู้ในกาลเทศะ หมายถึงการคำนึงถึงเวลาและสถานที่ก่อนจะทำสิ่งใด ในกรณีที่ต้องสนทนาในเรื่องที่ยากหรือสำคัญ กาลเทศะเป็นสิ่งที่พึงพิจารณาเป็นอันดับแรก เวลาใดจะเหมาะสมที่สุด? เวลาใดจะเอื้อต่อการสนทนาให้เกิดผลดีที่สุด? หากคุณหรืออีกฝ่ายกำลังโกรธ อารมณ์เสีย เหนื่อยล้า หรือเครียด การพูดคุยในเรื่องสำคัญมักจะไม่ราบรื่น ควรรอให้ทั้งสองฝ่ายอารมณ์ดีขึ้นก่อนจะเหมาะกว่า บางเรื่องควรพูดกันเป็นการส่วนตัว บางเรื่องควรพูดในห้องที่มีคนอื่นอยู่ด้วย บางเรื่องควรพูดระหว่างเดินเล่นในสวน

แน่นอนว่าเราไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มสนทนาเสมอไป และบางทีเราอาจเลือกเวลาและสถานที่ได้ไม่มากนัก ในกรณีเช่นนี้ กุญแจสำคัญอยู่ที่การรู้จักวางใจให้สงบและปรับตัวอย่างชาญฉลาดกับสิ่งที่เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ หากเวลาและสถานที่ไม่เหมาะสมจริงๆ ควรเสนอทางเลือกอื่น แต่ถ้าไม่มีทางเลือก ก็พยายามหายใจเป็นปกติ รักษาวาจาให้ตั้งอยู่บนหลักของความจริง เป็นประโยชน์ มีความหวังดี และใช้วาจาสุภาพ

เคล็ดลับในการพูดคุยกับคนที่เราไม่ชอบคือ ลองถามตัวเองก่อนว่า สมมติว่าเราชอบเขา มีอะไรเกี่ยวกับเขาที่เราชอบบ้าง

ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร
แปลถอดความ โดย ปิยสีโลภิกขุ
~~~~~~
📿📿📿📿📿📿
🔻ช่องทางติดต่อและติดตามข่าวสาร🔻
☎️โทร : 026642095
📲Line : https://lin.ee/jvi1BMC
🏢ที่อยู่📌Google Maps: https://bit.ly/4eMWjI5
⏰วันเวลาทำการ : จันทร์ - เสาร์ 09.00น. - 17.00น.

Credits: 🙏🏻ขอขอบคุณบทความดีๆค่ะ

#มูลนิธิโรจนธรรม #โรจนธรรมสถาน #สุขุมวิท23 #ธรรมใดก็ไร้ค่าถ้าไม่ทำ #ศูนย์ปฎิบัติธรรม

🪷 "...การปฏิบัติธรรม...นั่งสมาธิ...ภาวนา...ถ้าไม่มาพิจารณา "ความเจ็บปวด" แล้วก็ "ความตาย" นี้  แล้วจะไปพิจารณาอะไร ? แล้...
10/09/2025

🪷 "...การปฏิบัติธรรม...นั่งสมาธิ...ภาวนา...
ถ้าไม่มาพิจารณา "ความเจ็บปวด" แล้วก็ "ความตาย" นี้ แล้วจะไปพิจารณาอะไร ? แล้วถ้าไม่มานั่งนิ่ง ๆ อยู่เฉย ๆ นาน ๆ จะเห็นมั๊ยล่ะ...ความเจ็บปวดที่ชัดเจน...นี่ล่ะ "ทุกข์"...หาสิทีนี้หา "สมุทัย" น่ะ ความเห็นว่าทุกข์ก็อยู่ใน "ไตรลักษณ์" (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป) นั้นชอบแล้ว...แล้วก็คิดที่จะหาสมุทัยนั่นล่ะ "มรรค"...แต่จะไปถึง "นิโรธ" เมื่อไหร่อีกเรื่องหนึ่งนั่นคือ "ผล"

ตอนนี้เรากำลังสร้าง "เหตุ" อยู่... "ทุกขเวทนา" นี่แหละ "หินลับปัญญา" ล่ะ...เกิดมาแล้วจะไม่ให้ แก่ เจ็บ... แล้วก็ตายเป็นไปไม่ได้ ...สิ่งที่ทำได้คือ...ผลิต "ปัญญา" ที่มีคุณภาพขึ้นมา...จึงจะสามารถอยู่ร่วมกับมันได้อย่างทุกข์น้อยหรือไม่ทุกข์เลย...ตามกำลังของ... "ปัญญา" ที่ "ซ.ต.พ." แล้ว...คือเป็นผลที่เกิดจากการปฏิบัตินี่แหละ

"เจ้าชายสิทธัตถะ" ท่านไปเปลี่ยนแปลงอะไร ? ถึงได้เป็น "พระพุทธเจ้า" ...ก็เปลี่ยนแปลงความรู้สึกนึกคิดของท่านนั่นแหละจะไปเปลี่ยนแปลงอะไร...ก่อนจะ "ตรัสรู้" ท่านก็นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ภายใต้แสงจันทร์ ฯลฯ
หลังจาก "ตรัสรู้" แล้ว...สรรพสิ่งภายนอกที่กล่าวมาก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม...พระจันทร์ดวงนั้นก็ยังคงมีอยู่ตราบทุกวันนี้...แต่สิ่งที่หายไปคือ "กิเลส" ที่เคยทำให้ "ดวงจิต" ของพระองค์เศร้าหมอง...พระองค์จึงเป็น "พุทธะ"...ผู้รู้ (รู้ความเป็นจริงของสรรพสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน ไม่เสถียร ไม่มีสาระแก่นสาร ไม่มีอยู่จริง)..ผู้ตื่น (ตื่นจาก "ความหลง"...หลงยึดหลงถือหลงสำคัญมั่นหมายกับสรรพสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืนนี่แหละ)...ผลก็เลยเป็น "ผู้เบิกบาน".

สรุปแล้วคือท่าน "รู้แจ้งโลก" จาก "ภายใน" ไม่ใช่ "ภายนอก" แต่อาศัยเรื่องราวภายนอกเป็นตัวเร่ง...ทุกสรรพสิ่งถ้า "จิต" ไม่สำคัญมั่นหมายมันจะมีอะไรมาสำคัญมั่นหมายเรา...หลังจากที่พระองค์ตรัสรู้แล้ว ท่านก็ยังคงมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ...อยู่เหมือนเดิม...แล้วก็ยังรับผัสสะกับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ได้เป็นปกติ...เพียงแต่ไม่มี "กิเลส" ทำ "ปฏิกิริยา" ร่วมกับ "สิ่งเร้า" เท่านั้น "ความเศร้าหมอง" จึงไม่มีกับ "ดวงจิต" ที่บริสุทธิ์ของพระองค์....เช่นเดียวกับ...ความชื้นมี...ออกซิเจน มี...แต่ไม่มี "เหล็ก" ทำ "ปฏิกิริยา" ร่วม... "สนิม" จะไปเกิดตรงไหน?..."

บางตอนในการบรรยายธรรม
โดย ท่านพระอาจารย์อังคาร อัคคธัมโม
~~~~~~
📿📿📿📿📿📿
🔻ช่องทางติดต่อและติดตามข่าวสาร🔻
☎️โทร : 026642095
📲Line : https://lin.ee/jvi1BMC
🏢ที่อยู่📌Google Maps: https://bit.ly/4eMWjI5
⏰วันเวลาทำการ : จันทร์ - เสาร์ 09.00น. - 17.00น.

Credits: 🙏🏻ขอขอบคุณบทความดีๆค่ะ

#มูลนิธิโรจนธรรม #โรจนธรรมสถาน #สุขุมวิท23 #ธรรมใดก็ไร้ค่าถ้าไม่ทำ #ศูนย์ปฎิบัติธรรม

🪷 พยายามทำให้ถูก ยิ่งไม่ถูก“วิธีสังเกตตัวเองว่า เราบังคับมากไป หรือเพ่งมากไปหรือเปล่า ก็คือใจเรามันจะแน่นขึ้นมา จะหนักๆ ...
08/09/2025

🪷 พยายามทำให้ถูก ยิ่งไม่ถูก

“วิธีสังเกตตัวเองว่า เราบังคับมากไป
หรือเพ่งมากไปหรือเปล่า
ก็คือใจเรามันจะแน่นขึ้นมา
จะหนักๆ แน่นๆ แข็งๆ ขึ้นมา
ถ้าใจเราปกติธรรมดาๆ ดี
แต่ถ้าใจเราเผลอๆ เตลิดเปิดเปิงไป
อันนั้นก็สุดโต่งไปข้างหลง ไม่ดี

จิตเราเวลามันจะผิด ทำให้สมาธิเราเสีย
มันมี 2 อัน อันหนึ่งมันเตลิดเปิดเปิงออกไป
ยิ่งยุ่งกับโลกมากๆ
ไม่ต้องพูดเรื่องสมาธิหรอก
อันนั้นจิตมันย่อหย่อนไป
แล้วภาวนาก็บังคับตัวเองมากเกินไป
จนเคร่งเครียด อันนั้นก็ใช้ไม่ได้ ตึงเกินไป

รู้สึกด้วยใจธรรมดา
ถ้าหนักๆ ก็แสดงว่าตึงเกินไป
ถ้าอ่านตัวเองไม่ออก แสดงว่าหลงไป
สังเกตอย่างนี้เรื่อยๆ ใจมันก็จะค่อยๆ
ผิดน้อยลงๆ
ต่อไปมันไม่ผิด ไม่ผิดมันก็ถูกเอง
ไม่ต้องพยายามทำให้ถูกหรอก
ยิ่งพยายามทำให้ถูก ยิ่งไม่ถูก
เพราะตรงที่พยายามทำให้ถูกนั้น
มันโลภไปเรียบร้อยแล้ว
จิตเป็นอกุศลไปเรียบร้อยแล้ว
ทุกสิ่งที่ทำไปโดยมีความโลภอยู่เบื้องหลัง
อันนั้นความโลภยังคงอยู่
ตลอดสายของการปฏิบัตินั้น
เรียกกิเลสเป็นอาหารปัจจัยของกรรม
กรรมคือการกระทำ ทำอะไร ทำกรรมฐาน
ถ้ายังมีกิเลสบงการอยู่
ทำกรรมฐานไป ก็ทำไปด้วยอำนาจกิเลส
ที่จะรู้แจ้งเห็นจริงอะไร ไม่มีหรอก
เพราะฉะนั้นถ้าจิตถูก กรรมฐานก็ถูก
ถ้าจิตผิด กรรมฐานเราก็ผิด”

หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
13 เมษายน 2567
ฟังเพิ่มเติมได้ที่
youtube.com/watch?v=sUUBNhLjeOg
~~~~~~
📿📿📿📿📿📿
🔻ช่องทางติดต่อและติดตามข่าวสาร🔻
☎️โทร : 026642095
📲Line : https://lin.ee/jvi1BMC
🏢ที่อยู่📌Google Maps: https://bit.ly/4eMWjI5
⏰วันเวลาทำการ : จันทร์ - เสาร์ 09.00น. - 17.00น.

Credits: 🙏🏻ขอขอบคุณบทความดีๆค่ะ

#มูลนิธิโรจนธรรม #โรจนธรรมสถาน #สุขุมวิท23 #ธรรมใดก็ไร้ค่าถ้าไม่ทำ #ศูนย์ปฎิบัติธรรม

🪷  #นิมฺมโลตอบโจทย์ #จิตก็เป็นจิต  #จิตย่อมเกิดดับ #ถาม: โยมอยากขอความรู้ ในเรื่องจิตครับ คำว่า “จิตพระอรหันต์เที่ยง” เพ...
06/09/2025

🪷 #นิมฺมโลตอบโจทย์
#จิตก็เป็นจิต #จิตย่อมเกิดดับ

#ถาม: โยมอยากขอความรู้ ในเรื่องจิตครับ คำว่า “จิตพระอรหันต์เที่ยง” เพราะเที่ยงต่อการไม่เกิดอกุศลใช่ไหมครับ? แต่ยังมีสภาพเกิดดับปกติใช่ไหม? เพราะโยมเคยได้ยินคำว่า “จิตหนึ่ง จิตนี้ไม่ตาย ตั้งแต่ปัจจุบันไม่เคลื่อน ไม่เกิดดับอีกแล้ว” โยมกลัวจะตีความผิด อยากเข้าใจให้ถูกต้องตามหลักพระปริยัติ และสัมมาทิฏฐิครับ

#ตอบ: ถ้าบอกว่า “จิตพระอรหันต์เที่ยง”
ในแง่ที่ว่า เที่ยงต่อการไม่เกิดอกุศล
ถ้าตีความอย่างนี้.. ได้!

ถ้าบอกว่า “เที่ยง”
เที่ยงแท้ที่จะไปสู่พระนิพพาน
เหมือนจิตของพระโสดาบัน
เที่ยงแท้เหมือนกัน
เที่ยงแท้ที่จะไปสู่พระนิพพานไม่เกิน ๗ ชาติ
บอกอย่างนี้ก็ได้
เที่ยงแท้ที่จะไปทางนี้ ก็มีความแน่นอนที่จะไปแบบนี้
“เข้าสู่กระแสแห่งพระนิพพาน”
อย่างนี้นะ
ก็ตั้งแต่พระโสดาบัน นะ! เที่ยงแท้แน่นอน!!
พูดในแง่นี้.. ก็ได้!

แต่ว่า “เที่ยง” เนี่ย
ในลักษณะว่า เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วเนี่ย
ไม่เกิด-ดับแล้วเนี่ย.. ไม่ใช่!
“จิตก็ย่อมเป็นจิต” นั่นแหละ
แม้ว่า จิตท่านจะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างมากแล้วนะ จิตก็ย่อมเกิด-ดับ อยู่ดี
เรียกว่า ในสภาวะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นะ
ก็จะเป็น “สอุปาทิเสสนิพพาน”
ยังมีขันธ์ ๕ อยู่
แต่ตัวขันธ์ ๕ เองนั้นนะ ก็เกิด-ดับนั่นแหละ

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ
ออกอากาศวันศุกร์ที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๘
ลิงก์: https://www.youtube.com/watch?v=fPIYkaVM84A&t=3971s
(นาทีที่ 01:06:11 - 01:08:05)
~~~~~~
📿📿📿📿📿📿
🔻ช่องทางติดต่อและติดตามข่าวสาร🔻
☎️โทร : 026642095
📲Line : https://lin.ee/jvi1BMC
🏢ที่อยู่📌Google Maps: https://bit.ly/4eMWjI5
⏰วันเวลาทำการ : จันทร์ - เสาร์ 09.00น. - 17.00น.

Credits: 🙏🏻ขอขอบคุณบทความดีๆค่ะ

#มูลนิธิโรจนธรรม #โรจนธรรมสถาน #สุขุมวิท23 #ธรรมใดก็ไร้ค่าถ้าไม่ทำ #ศูนย์ปฎิบัติธรรม

🙏🏻ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ค่ะ🙏🏻*** คอร์ส สมาธิ 1 วัน (3ชม) ประจำเดือนตุลาคม 2568 ***📣สถาบันพลังจิตตานุภาพ สาขา25 อโศก-สุขุม...
05/09/2025

🙏🏻ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ค่ะ🙏🏻

*** คอร์ส สมาธิ 1 วัน (3ชม) ประจำเดือนตุลาคม 2568 ***

📣สถาบันพลังจิตตานุภาพ สาขา25 อโศก-สุขุมวิท (อาคารลาส โคลินาส) ร่วมกับ มูลนิธิโรจนธรรม ประสานมิตร ชวนมาเพิ่มพลังบวกให้กับใจ ด้วยหลักสูตรชินนสาสมาธิ 1

“ ชิวกับชิน “

ของขวัญที่ดีที่สุดคือการเห็นตัวเองมี…ความสุข

ชิวกับชิน เดือนตุลาคม [ชีวิตที่ชิวๆได้ ด้วยชินนสาสมาธิ]

สมาธิชนะใจตนเอง
เพื่อเสริมพลังใจ (จิต) ให้กับตนเอง
ฝึกให้เป็น แล้วจะเห็นความสุข

เรียนรู้ และฝึกปฎิบัติสมาธิแบบง่ายๆ สบาย ๆ
โดย พระอาจารย์ชาญชัย สุธมฺโม
พระวิทยากรวัดธรรมมงคล
และ อาจารย์วิทยากรของสถาบัน

📣เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้
ถึงวันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม 2568

https://forms.gle/vETKHe7U4q9ZTn6H9

🗓️กำหนดการฝึกปฎิบัติ
วันอาทิตย์ ที่ 19 ตุลาคม 2568
เวลา 09:00 - 12:00น.

**เปิดให้ลงทะเบียนเวลา 08:00 น.เป็นต้นไป

📍จัดที่ ห้องประชุมชั้น 3
มูลนิธิโรจนธรรม
ซ.สุขุมวิท 23 ประสานมิตร
ใกล้ MRT สุขุมวิท
และ BTS อโศก

รับจำนวนจำกัด 30 ท่าน

ไม่มีค่าใช้จ่าย มีของว่าง และอาหารฟรี

👕ผู้เข้าอบรมแต่งกายสุภาพ
❌ไม่นุ่งสั้น ไม่ฟิต
ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดขาว
✅ชุดที่สามารถ ยืน เดิน นั่ง
ทำสมาธิสะดวก
(สำหรับผู้ไม่สะดวกนั่งพื้น สามารถนั่งเก้าอี้ได้)
✅ผู้ปฏิบัติสวมหน้ากากอนามัยตลอดการอบรม

https://forms.gle/vETKHe7U4q9ZTn6H9

📞(089)441-1522
📞(096)756-5996

🛎️ติดต่อสอบถาม : line open chat
https://shorturl.asia/IifD3

#สมาธิ
#ชิน25
#ฟรี

🙏🏻ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ค่ะ🙏🏻เปิดรับสมัครคอร์ส “กลับมารู้สึกตัว” (คอร์สเบื้องปลาย)เมตตานำปฏิบัติโดย พระครูบวรวีรวงศ์(พระอ...
04/09/2025

🙏🏻ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ค่ะ🙏🏻
เปิดรับสมัครคอร์ส “กลับมารู้สึกตัว” (คอร์สเบื้องปลาย)
เมตตานำปฏิบัติโดย พระครูบวรวีรวงศ์
(พระอาจารย์ครรชิต อกิญจโน) เจ้าอาวาสวัดวีรวงศาราม จ.ชัยภูมิ

🌿ระหว่างวันที่ 19-21 กันยายน 68🌿
(วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์)
เวลา 08.30 - 17.00 น.
ณ โรจนธรรมสถาน ซอยสุขุมวิท 23 (ประสานมิตร)
3 วัน แบบไป-กลับ
รับจำนวน 50 ท่าน

✅สมัครเข้าร่วมกิจกรรม > https://forms.gle/8Bp6TMys69uRTb6m6

📍หากต้องการ ยกเลิกการเข้าร่วมกิจกรรม กรุณาแจ้งล่วงหน้า 3 วัน เนื่องจากทางมูลนิธิ มีการจัดเตรียมอาหาร ตามจำนวนของผู้ที่ลงทะเบียนไว้ค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ🙏🏻
📿📿📿📿📿📿
กำหนดการ:
🪷กำหนดการ: วันที่ 19 - 21 ก.ย.68 “คอร์ส กลับมารู้สึกตัว” 🪷 (คอร์สเบื้องปลาย)
07:15 น. ร่วมใส่บาตร
พระอาจารย์ครรชิต บริเวณด้านหน้าตึก ณ มูลนิธิโรจนธรรม
07:30 น. ถวายภัตตาหารเช้า ชั้น 2
08:00 น. เปิดลงทะเบียน
08.30 น. สวดมนต์ (เมตตานำสวดโดย หลวงพี่โจ)
09:30 น. เริ่ม ธรรมะบรรยาย โดย พระครูบวรวีรวงศ์ (พระอาจารย์ครรชิต อกิญจโน)
11:30 น. ถวายเพล และพักรับประทานอาหารกลางวัน
13:00 น. ธรรมะบรรยาย โดย พระครูบวรวีรวงศ์ (พระอาจารย์ครรชิต อกิญจโน)
15:00 น. พักเบรค
15:20 น. ต่อ ธรรมะบรรยาย โดย พระครูบวรวีรวงศ์ (พระอาจารย์ครรชิต อกิญจโน)
17:00 น. จบกิจกรรม
หมายเหตุ : กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม
📿📿📿📿📿📿
🔻ช่องทางติดต่อและติดตามข่าวสาร🔻
🌐Web: https://sites.google.com/view/rojanadhamfoundation
☎️โทร : 026642095
📲Line : https://lin.ee/jvi1BMC
💌FB Messenger : m.me/427022247476391
🏢ที่อยู่ : 148 มูลนิธิโรจนธรรม ซ.สุขุมวิท23 ถ.สุขุมวิท แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา, Bangkok, Thailand, 10110
📌Google Maps: https://bit.ly/4eMWjI5
⏰วันเวลาทำการ : จันทร์ - เสาร์ 09.00น. - 17.00น.

#มูลนิธิโรจนธรรม #โรจนธรรมสถาน #สุขุมวิท23 #ศูนย์ปฎิบัติธรรม #พระอาจารย์ครรชิต #พระอาจารย์ครรชิตอกิญจโน

🪷 Luang Pu Pan was the abbot of a temple nestled in the mountains of Doi Inthanon, in northern Thailand. He dedicated ne...
02/09/2025

🪷 Luang Pu Pan was the abbot of a temple nestled in the mountains of Doi Inthanon, in northern Thailand. He dedicated nearly 35 years of his life to it, working alone with remarkable courage and determination. He is especially known for single-handedly constructing an 80-meter-tall Buddha statue over the course of eight years—without any safety equipment, relying only on makeshift bamboo and iron ladders. He passed away last Wednesday after falling from a cliff while digging a hole. In tribute to him, here are some of his teachings:

1. Everything happens because of karma, there is no such thing as chance. Every situation results from past causes, and our role is to accept it without emotional reaction, while cultivating kindness and compassion both for ourselves and for those who may have caused it.

2. Be mindful in all that you do. Don’t let your thoughts or memories take you away—simply stay present in the here and now.

3. Don’t judge anyone, everyone follows their own karma. Even wrongdoing has causes beyond what you can see. Don’t let outside influences disturb you, protect the clarity and well-being of your mind.

4. This world is like a dream, we’re just passing through, and we leave behind the merits and faults we have gathered.

5. Don’t be lazy, life is a precious opportunity, don’t waste it. Do your best to grow with a healthy and balanced mind.

6. Many believe that living a long life is a blessing, but as we grow older, suffering often increases. Sometimes, it’s better to go before the pain becomes overwhelming.

7. Look to nature: all beings live, feel, and die just as we do, connected in the same cycle without separation or difference. By observing them, you’ll come to understand the nature within yourself.

8. In this world, suffering is all there is.

9. When you’re gone, I forget you—because you no longer exist in the present moment.

10. When emotions overwhelm you, take a deep breath in and out.

11. When you free yourself from a kilesa (defilement), you endure intense suffering. But afterward, you gain true freedom.

12. The practice of the Buddha isn’t confined to formal exercises like meditation; it’s lived in daily life, in simple tasks, at work, and in every ordinary moment.
~~~~~~
📿📿📿📿📿📿
🔻ช่องทางติดต่อและติดตามข่าวสาร🔻
☎️โทร : 026642095
📲Line : https://lin.ee/jvi1BMC
🏢ที่อยู่📌Google Maps: https://bit.ly/4eMWjI5
⏰วันเวลาทำการ : จันทร์ - เสาร์ 09.00น. - 17.00น.

Credits: 🙏🏻ขอขอบคุณบทความดีๆค่ะ

#มูลนิธิโรจนธรรม #โรจนธรรมสถาน #สุขุมวิท23 #ธรรมใดก็ไร้ค่าถ้าไม่ทำ #ศูนย์ปฎิบัติธรรม

🪷 A WITNESS TO AN EXTRAORDINARY EVENTWhen Venerable Luang Por Chob Ṭhānasamo and Venerable Luang Por Mun Bhūridatto were...
31/08/2025

🪷 A WITNESS TO AN EXTRAORDINARY EVENT

When Venerable Luang Por Chob Ṭhānasamo and Venerable Luang Por Mun Bhūridatto were staying in the Chiang Mai area practising meditation together at the Dok-Kham cave near Sahagorn Village, Nam-Phrae Township, Phrao District, an event of utmost significance occured. Although Luang Por Chob was not directly involved in the event, he bore witness to the crucial moment when Luang Por Mun finally realized the Dhamma-element, that is, the moment when Luang Por Mun realized the path and fruit of the Buddha's teachings and ultimately became one of the Arahants of our time.

It all happened on a day in May 1935, around 3 a.m. As Luang Por Chob was sitting in deep meditation, his mind still and sublime, shining brightly immersed in samādhi, all of a sudden, the brightness and stillness of his heart was blown away in an instant. That very moment, he heard a tremendously loud resounding thunderclap, so massive that everything started to tremble and shake. Later on, Luang Por Chob would describe this bang as being as if a nuclear explosion had gone off right next to him. The force was so powerful that everything started to shake as if the whole world was breaking apart and dissolving into the tiniest particles. The whole scene, however, was unfolding solely within his own mind; the outside world remained the same.

Never since he had begun practising, had Luang Por Chob experienced a meditational phenomenon like this. Inwardly examining his mind, he tried to figure out what was responsible for this mindstate. But in the end, he couldn't discover anything unusual. Therefore, he directed his investigation outwards to inquire as to the reason for such a phenomenon to have occured. As soon as he sent his mind outward, it shot straight towards the nearby dwelling place of Luang Por Mun. There he witnessed (with his mind’s eye) multifarious male and female devas crowding around Luang Por Mun. There were more heavenly beings than he had ever seen before. Hordes of devas from every single heavenly plane gathered to such an extent that the whole of space - from heaven to earth - seemed to be completely saturated. Devas from more than a billion galaxies clustered around Luang Por Mun. The brilliance of their luminosity shone so brightly that the entire surroundings of the Dok-Kham cave were flooded with light, fully illuminated by the powerful radiance of virtue. And yet, the luminosity of all the deva gods combined was nothing compared to the mesmerizing brilliance and majestic beauty of Luang Por Mun's own heart; the blazing radiance of his Dhamma perfection exceeded all else. Luang Por Chob would later report that Luang Por Mun's grandeur and beauty was so much brighter and more majestic than could possibly be described in words.

After admiring Luang Por Mun's dazzling brilliance for a sufficient period of time, Luang Por Chob pulled back his mind and thought to himself: "This is certainly due to an important occurrence in the Great Ajahns practice today. I'm quite sure about it!”

The very next day, around 4 p.m., Luang Por Chob went to Luang Por Mun's dwelling place to prepare the wash water for his daily bath. Just as Luang Por Chob was handing his teacher a fresh bathing cloth, Luang Por Mun asked him: “Tan Chob, how is your practise lately?” Luang Por Chob replied respectfully: “My practise is as usual, Venerable Ajahn. But yesterday something happened in my meditation that almost literally blew my mind away. There was an explosion, a bang as loud as if a huge bomb had detonated right next to me. I've never experienced anything like it in my meditation.” Luang Por Mun then asked: “How do you assess the matter?” Luang Por Chob replied: “I started looking for causes in my heart, but couldn't find anything unusual. But when I directed my mind outwards, immediately I saw an incredibly wonderful light emanating from you, more radiant than I have ever seen before. And on top of that, I have never seen such multitudes of devas gather around you, Luang Por. But still, I don't know why so many devas would have visited you on such a scale.”

Luang Por Mun answered: “The multitude of devas you saw yesterday gathered in such enormous numbers to express their Anumodanā - their emphatic joy and appreciation - to me. They congratulated me for realizing the Dhamma-element - the complete liberation from suffering and the end of the samsaric transmigration. From now on, there is no further birth for me. Everything is cut off completely. To the extent that an Arahant is without delusion, that's exactly how I am now without delusion. The explosion you heard was caused by the devas' saluting proclamation of appreciation and recognition. The Anumodanā-blast created by their psychic power, in all likelihood, impacted your mind so violently, that it was properly shaken and catapulted you out of samādhi."

Luang Por Chob later tells us: “At that moment, all of my hair stood on end. I would never have dreamt to ever hear such a statement from Luang Por Mun personally, nor – up to that day – had I ever heard of this term ‘Dhamma-element’ in my entire life. But it kindled such a mental delight (pīti) that all mindfulness and self-control escaped me and tears began streaming down my face. In that moment, I could not find words appropriate enough to do justice to that highest level of Dhammic realization which my revered and beloved Master - who was like mother and father to me - had attained. So I fell on my knees in front of him and bowed low to his feet. Kneeling with my chest bent down, staring at his feet, I started crying profusely without any inhibition. I was so stunned and overwhelmed by the fact that he had penetrated to the Dhamma-element and had become a fully-awakened Arahant. Never had I cried so much in my life. I don't know how to describe the feelings in my heart that day. It is too deep a spiritual experience and defies any description.

“Up until that day, Luang Por Mun was generally very strict and would reprimand me if I lost my composure. But however harsh he scolded me, I always took it to heart (that's why I had expected a harsh admonishment on that day). But now he said nothing. He just let me cry, let me express my feelings freely. When I calmed down after a while, Luang Por Mun said to me: "Well, look at that one, Tan Chob! See how far the mind can go! Things can be so profound that your mind is so overwhelmed by spiritual joy that it even makes you sob! Isn't that right Tan Chob?" I replied to him: “I am speechless at the idea that you, Luang Por, have finished your work in the Buddha's teachings. That you have overcome all suffering and that now I am left behind and still have to keep practicing. I wish to understand the Dhamma - to see the Dhamma - in this very life, just like you Luang Por!"

Luang Por Mun responded, “If you want to achieve path, fruit and Nibbāna in this life, under no circumstances slacken your efforts. It takes unremitting dedication for the practise. No slacking up, no matter what. Practise as I have taught you so far. If you practise exactly as I have instructed, you will realize to your complete satisfaction path, fruit and Nibbāna in this very life. That, I guarantee you.”

Luang Por Chob Ṭhānasamo: A Witness to an Extraordinary Event

Ācariya Mun Bhūridatto attains to the Dhamma-element
translated by Thiracitto Bhikkhu

Source and photo credit: Vimokkharam.org
~~~~~~
📿📿📿📿📿📿
🔻ช่องทางติดต่อและติดตามข่าวสาร🔻
☎️โทร : 026642095
📲Line : https://lin.ee/jvi1BMC
🏢ที่อยู่📌Google Maps: https://bit.ly/4eMWjI5
⏰วันเวลาทำการ : จันทร์ - เสาร์ 09.00น. - 17.00น.

Credits: 🙏🏻ขอขอบคุณบทความดีๆค่ะ

#มูลนิธิโรจนธรรม #โรจนธรรมสถาน #สุขุมวิท23 #ธรรมใดก็ไร้ค่าถ้าไม่ทำ #ศูนย์ปฎิบัติธรรม

ที่อยู่

148 มูลนิธิโรจนธรรม ซ. สุขุมวิท23 ถ. สุขุมวิท แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา
Bangkok
10110

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 17:00
อังคาร 09:00 - 17:00
พุธ 09:00 - 17:00
พฤหัสบดี 09:00 - 17:00
ศุกร์ 09:00 - 17:00
เสาร์ 09:00 - 17:00

เบอร์โทรศัพท์

+66958805757

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Rojana Dhamma Foundationผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Rojana Dhamma Foundation:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram