
07/07/2025
# Tic_disorder
แพทย์หญิงปรานี ปวีณชนา
จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น
~*_*~\~*_*~|~*_*~\*_*~*_*\~*_*|
อาการกล้ามเนื้อกระตุกโดยที่ไม่ตั้งใจ (Tic) คือ อาการที่กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกายมีอาการกระตุกขึ้นมาเอง
อาจควบคุมได้บ้าง แต่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
กล้ามเนื้อตามตัวกระตุก (Motor tic) และอาการส่งเสียง (Vocal tic)
#กล้ามเนื้อตามตัวกระตุก ( )
ส่วนใหญ่จะเริ่มมีการกระตุกของกล้ามเนื้อที่ใบหน้าก่อน เช่น กระพริบตาถี่ๆ ยักคิ้ว ย่นจมูก ปากขมุบขมิบ โดยตำแหน่งกล้ามเนื้อที่กระตุกจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ บางคนอาจมีการกระตุกลามไปที่กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ
�• กล้ามเนื้อคอเช่น คอบิด สะบัดคอ
�• กล้ามเนื้อไหล่และแขน เช่น ยักไหล่ เหวี่ยงแขน
�• กล้ามเนื้อส่วนขา เช่น แกว่งขา
�• ส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
#อาการส่งเสียง ( )
พบได้น้อยกว่าอาการกล้ามเนื้อตามตัวกระตุก ส่วนใหญ่ถ้ามีอาการส่งเสียง มักจะเป็นหลังจากที่มีกล้ามเนื้อตามตัวกระตุกมาก่อนหน้านี้แล้ว
อาการที่พบ เช่น กระแอมไอ ส่งเสียงอึกอัก เสียงสะอึก เสียงเหมือนสูดน้ำมูก
(บางครั้งเด็กจะได้รับการตรวจเรื่องภูมิแพ้ แต่ไม่พบความผิดปกติ)
บางคนอาจเปล่งเสียงออกมาเป็นคำที่มีความหมายหรือไม่มีความหมาย
หากมีอาการทั้งกล้ามเนื้อกระตุก (motor tic) และ อาการส่งเสียง (Vocal tic) ร่วมกันเรียกว่า Tourette syndrome
ลักษณะและการดำเนินโรคกล้ามเนื้อกระตุก
มักเริ่มมีอาการตอนวัยประถม
เด็กที่เป็นโรคนี้บางคนรู้ตัวว่ามีกล้ามเนื้อกระตุกหรือเปล่งเสียง
บางคนก็ไม่รู้ตัว อาการดังกล่าวจะเป็นๆ หายๆ เปลี่ยนตำแหน่งกล้ามเนื้อที่กระตุกหรือเปล่งเสียงไปเรื่อยๆ
โดยอาการจะเป็นมากขึ้นเมื่อมีความเครียด อดนอน ร่างกายอ่อนแอ เหนื่อยล้า อุณหภูมิที่หนาวหรือร้อนจนเกินไป
ในเด็กโตที่เริ่มเข้าสู่วัยรุ่นจะเริ่มจับอาการนำ ( ) ก่อนที่จะมีอาการกระตุกได้ คือ ก่อนหน้าที่กล้ามเนื้อจะกระตุกหรือเปล่งเสียง
บริเวณที่กำลังจะมีอาการนั้นจะรู้สึกยิบๆ เกร็งๆ ซ่าๆ ตึงๆ
พอมีความรู้สึกนี้ เด็กอาจพยายามกลั้นไม่ให้มีอาการได้ แต่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
หากปล่อยให้มีอาการเด็กจะรู้สึกผ่อนคลาย โดยทั่วไปเมื่ออายุเพิ่มขึ้นอาการของโรคจะค่อยๆ หายไปหรือลดลง ส่วนน้อยที่จะเป็นจนถึงวัยผู้ใหญ่
#สาเหตุของโรคกล้ามเนื้อกระตุก
เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น กรรมพันธุ์ สมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อมีการทำงานผิดปกติ หรือการติดเชื้อบางชนิด
#โรคที่พบร่วมได้บ่อย
มักพบโรคอื่นร่วมด้วย เช่น โรคสมาธิสั้น โรคย้ำคิดย้ำทำ โรควิตกกังวล และโรคซึมเศร้า
#แนวทางการรักษาและการช่วยเหลือ
�1. การใช้ยา โดยปกติแล้วตัวโรคเองจะเป็นๆ หายๆ เป็นระยะ
หากอาการที่เป็นไม่ได้รบกวนต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากนัก
เช่น ถูกคนรอบข้างต่อว่าหรือล้อเลียนอย่างมาก สะบัดมือจนเขียนหนังสือไม่ได้ ส่งเสียงหรือกระตุกจนเสียบุคลิกอย่างมาก อาจไม่ต้องกินยา
แต่ถ้าอาการเป็นมากจนรบกวนชีวิตประจำวัน การกินยาจะช่วยลดอาการดังกล่าว โดยระยะเวลาของการกินยาไม่จำเป็นต้องกินตลอด กินเป็นช่วงๆ ตามความรุนแรงของอาการ
�2. การรักษาโดยการฝึกควบคุมอาการ ( )
ได้ผลดีในเด็กโตที่จับอาการนำ (Urge) ได้ และร่วมมือในการฝึก
�3. การรักษาโรคที่พบร่วม เช่น โรคสมาธิสั้น โรควิตกกังวล โรคบกพร่องทักษะการเรียนเฉพาะด้าน (LD)
เนื่องจากหากโรคที่พบร่วมส่งผลให้เด็กมีปัญหาด้านต่างๆ เช่น การเรียน หรือมีความกังวลอย่างมาก ความเครียดที่เกิดขึ้นจะทำให้อาการของ Tic Disorder เป็นเพิ่มขึ้น
�4. การทำความเข้าใจกับคนรอบข้าง ต้องเข้าใจว่าอาการที่เด็กเป็นไม่ได้เกิดจากการ #แกล้งทำ
บางครั้งการที่คนรอบข้างต่อว่า ล้อเลียน ทัก หรือ #พยายามห้ามไม่ให้ทำ จะทำให้เด็กเกิดความเครียด
ยิ่งเครียดอาการจะเป็นมากขึ้น
#สิ่งที่ควรทำคือเพิกเฉยต่ออาการ
(ไม่ทัก ไม่ล้อ ไม่ต่อว่า)
#หาสาเหตุที่อาจทำให้เด็กเครียดแล้วช่วยแก้ (ถ้าหาได้)
เช่น มีอาการมากขึ้นตอนนั่งทำการบ้านนานๆ ควรให้เด็กพักผ่อนหรือเบี่ยงเบนไปทำอย่างอื่นที่ผ่อนคลาย
�5. เมื่อมีอาการตอนอยู่ที่โรงเรียน คุณครูต้องทำความเข้าใจกับเด็กคนอื่นๆ ว่า
อาการของเด็กนั้นไม่ได้เกิดจากการเป็นโรคร้ายแรง ไม่ได้เป็นบ้า ไม่ได้เป็นโรคติดต่อ
ขอความร่วมมือว่าห้ามทักล้อเลียน กลั่นแกล้ง หรือกีดกันไม่ให้เข้ากลุ่ม หากเด็กมีอาการมากช่วงที่ครูสอน อาจให้เด็กไปพักผ่อนก่อน
�6. หลีกเลี่ยงการอดนอน การออกกำลังหรือใช้ร่างกายจนเหนื่อยเกินไป สถานการณ์ตึงเครียด หากต้องเผชิญ ควรฝึกทักษะการจัดการความเครียด
~*_*~\~*_*~|~*_*~\*_*~*_*\~*_*|
เครดิต ภาพ : https://images.app.goo.gl/dfm3mp4doDQHgwtd9