Green-L ดูแลสุขภาพ

Green-L ดูแลสุขภาพ โรคตับ อวัยวะสำคัญอย่างหนึ่งของร่า

โรคตับ อวัยวะสำคัญอย่างหนึ่งของร่างกายเรา อยู่ใต้ชายโครงด้านขวา มีหน้าที่ในการผลิตน้ำดี เพื่อไปย่อยอาหารประเภทไขมัน และกำจัดสารพิษตกค้างในร่างกายของเรา นอกจากนี้ยังช่วยผลิตสารที่นำเกล็ดเลือดไปห้ามเลือดได้อีกด้วย ส่วนโรคเกี่ยวกับตับนั้นมีหลายชนิด ทั้งตับอักเสบ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัส หรือจากสารพิษ กรรมพันธุ์ หรือภาวะภูมิแพ้ตนเอง ตับแข็งนั้นเกิดจากการสะสมของเนื้อเยื่อแข็งที่ทดแทนเซลล์ตับที่ตายไป

แล้ว โดยมักจะเกิดจากเชื้อไวรัส ภาวะพิษสุราเรื้อรัง หรือการที่ได้รับสารพิษต่างๆ ผู้ป่วยโรคตับนั้นมักจะไม่มีอาการที่ชัดเจน กว่าจะตรวจพบว่าเป็นโรคตับก็สายไปแล้ว





อาการของผู้ป่วยโรคตับ
โรคแทรกซ้อนของผู้ป่วยโรคตับ
สัญญาณบ่งบอกการเป็นโรคตับ
สาเหตุของการเกิดโรคตับมีหลายประการและที่พบบ่อย
การป้องกันไม่ให้เกิดโรคตับ
การปฏิบัติตนของผู้ป่วยโรคตับ
โรคตับอักเสบ


อาการของผู้ป่วยโรคตับ

ผู้ป่วย โรคตับแข็ง ในระยะแรก มักจะไม่มีอาการที่เห็นได้ชัดเจน อาจจะมีเพียงอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ คล้ายอาหารไม่ย่อย จึงไม่ค่อยรู้สึกตัวว่ามีความผิดปกติใดๆที่ตับ แต่พอเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะเกิดอาการของตับแข็ง คือ ผู้ป่วยก็จะมีอาการอ่อนเพลีย ตาเหลือง ปัสสาวะเหลือง ท้องโตขึ้น ขาบวม คลื่นไส้ เบื่ออาหารและทำให้น้ำหนักลด อาจจะรู้สึกเจ็บบริเวณชายโครงขวาเล็กน้อยและมีอาการคันตามตัว

โรคตับ
โรคตับ

สำหรับในผู้หญิงที่เป็น โรคตับแข็ง อาจจะมีอาการประจำเดือนขาดหรือมาไม่สม่ำเสมอ มีหนวดขึ้น หรืออาจจะมีเสียงแหบแห้งคล้ายผู้ชาย

สำหรับ ในผู้ชายอาจรู้สึกนมโตและเจ็บ อัณฑะฝ่อตัว บางคนอาจจะสังเกตเห็นฝ่ามือแดงผิดปกติ หรือมีจุดแดงที่หน้าอกหรือหน้าท้อง เป็นต้น

โรคแทรกซ้อนของผู้ป่วยโรคตับ

1) ตัวเหลือง ตาเหลือง เพราะตับไม่สามารถที่จะขับน้ำดีออกมาได้

2) มีอาการคันตามร่างกาย เพราะมีน้ำดีสะสมอยู่ตามบริเวณผิวหนัง

3) เกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้

4) ทำให้มีอาการบวมหลังเท้า แขนขา และท้อง เพราะตับนั้นจะไม่สามารถสร้างไข่ขาว (หรือโปรตีนในเลือด) ได้

5) ทำให้เลือดออกได้ง่าย เพราะตับจะไม่สามารถสร้างสารที่ทำให้เลือดแข็งตัวได้

6) อาจจะสูญเสียความสามารถเกี่ยวกับความจำหรือสติ เพราะจะเกิดการคั่งของของเสีย

7) ผู้ป่วยจะไวต่อยามากขึ้น ดังนั้นการให้ยากับผู้ป่วยโรคตับแข็ง จะต้องระวังการเกิดยาเกินขนาด เพราะตับจะไม่สามารถทำลายยาได้เลย แม้แต่การให้ยาให้ขนาดปกตินั้นก็ต้องระวังด้วย

8) ผู้ป่วยจะอาเจียนเป็นเลือด เพราะตับแข็งทำให้ความดันในตับสูง จนทำให้หลอดเลือดดำในหลอดอาหารนั้นมีความดันสูง และถ้าหากมีความดันสูงมาก อาจจะทำให้หลอดเลือดดำแตกได้

9) สามารถติดเชื้อได้ง่าย เพราะมีภูมิคุ้มกันลดลง อาจจะเป็นท้องมานหรือไตวายได้


สัญญาณบ่งบอกการเป็นโรคตับ

โรคตับ
โรคตับ

1) มีอาการเครียด ขี้หงุดหงิด อารมณ์ฉุนเฉียวและตกใจง่าย

2) มีอาการปวดแน่นชายโครงเป็นบางครั้ง และมีอาการตึงเกร็งที่กล้ามเนื้อช่องท้องหรือปวดท้องน้อยบ่อย และรู้สึกร้อนวูบวาบที่ช่องอก

3) มักจะนอนหลับยาก มักจะง่วงนอนตอนกลางวัน และมีอาการอ่อนเพลียไม่มีเรี่ยวแรง

4) จะรู้สึกว่ามีอะไรจุกอยู่ในคอหอย กลืนก็ไม่ลงหรือจะคายก็ไม่ออก และทำให้เบื่ออาหาร มีอาการท้องอืดท้องเฟ้อคล้ายอาหารไม่ย่อย เรอบ่อย

5) มีผิวหน้าซีดเหลือง จะไม่มีเลือดฝาดและมีฝ้าบนใบหน้า

6) บริเวณมุมปากและริมฝีปากจะหมองคล้ำ ส่วนลิ้นจะออกสีม่วงคล้ำ และขอบลิ้นจะมีรอยกดทับของฟัน

7) มีอาการเจ็บหรือคัดเต้านม โดยจะเป็นหนักขึ้นช่วงก่อนจะมีประจำเดือนสำหรับผู้หญิง และสำหรับผู้ชายจะปวดหน่วงอัณฑะ

8) จะรู้สึกหายใจไม่เต็มท้อง จึงต้องถอนหายใจบ่อยๆ

9) มีอาการท้องร่วงหรืออุจจาระหยาบและไม่จับตัวเป็นก้อน

สาเหตุของการเกิดโรคตับมีหลายประการและที่พบบ่อย คือ

1) การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินไป ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะการที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาก ๆ จะทำให้เกิดความผิดปกติในการใช้โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตในตับ จึงทำให้เกิดภาวะตับอักเสบและเรื้อรังได้จนกลายเป็นโรคตับแข็ง และผู้หญิงจะเป็นโรคตับแข็งได้มากกว่าผู้ชาย

2) การเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง เป็นการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือไวรัสตับอักเสบซี จนทำให้ตับอักเสบเป็นเวลานานหลายปี ก่อนที่จะกลายเป็นโรคตับแข็งในที่สุด ไวรัสตับอักเสบบีและซีเป็นเชื้อไวรัสที่สามารถติดต่อกันทางเลือดและการมีเพศสัมพันธ์ การติดเชื้อเป็นพาหะนั้นมักเกิดโดยไม่รู้ตัว

3) เกิดภาวะไขมันสะสมในตับ ซึ่งจะพบได้ในผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือโรคอ้วนหรือไขมันในเลือดสูง

4) จากการรับประทานยาบางชนิด และทำให้เกิดภาวะตับอักเสบเป็นระยะเวลานาน ๆ เช่น ยาแก้ปวด ยาลดไข้พาราเซตามอล ยาปฏิชีวนะเตตราไซคลีน ยารักษาวัณโรคบางชนิด

5) โรคทางพันธุกรรมบางโรคที่ทำให้เกิดตับแข็ง เช่น โรคทาลัสซีเมีย

6) ภาวะหัวใจวายเรื้อรัง จะทำให้เส้นเลือดคั่งที่ตับ และเลือดไหลเวียนในตับน้อยลง จึงทำให้เนื้อตับขาดภาวะออกซิเจนจนตายลง

7) พยาธิบางชนิด เช่น พยาธิใบไม้ในเลือดอาจจะทำให้เกิดตับแข็ง

ผู้ป่วยโรคตับแข็งมักจะปรากฏอาการเริ่มแรกนั้นในช่วงอายุระหว่าง 40 - 60 ปี แต่ถ้าพบในคนอายุน้อยก็ มักจะมีสาเหตุจากตับอักเสบจากเชื้อไวรัส และมีอาการค่อนข้างรุนแรง

การป้องกันไม่ให้เกิดโรคตับ

1) หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ถ้าหากตรวจพบว่าเป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ห้ามดื่มโดยเด็ดขาด

2) ให้ฉีดวัคซีนป้องกันตับอักเสบจากไวรัสบี ซึ่งนิยมฉีดกันตั้งแต่แรกเกิด

3) ต้องระมัดระวังการใช้ยาที่มีพิษต่อตับ

การปฏิบัติตนของผู้ป่วยโรคตับ

โรคตับ

โรคตับ

เนื่องจากตับนั้นมีหน้าที่สำคัญหลายอย่าง รวมทั้งสร้างการทำลายและเผาผลาญสารต่างๆ ในร่างกายรวมทั้งอาหารด้วย และเมื่อผู้ป่วยมีตับแข็ง ตับจะสูญเสียหรืออาจจะมีความบกพร่องในการทำงาน ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ผู้ป่วยและญาติที่จะต้องช่วยดูแลในการปฏิบัติของผู้ป่วยอย่างเหมาะสม ดังนี้

1) การรับประทานอาหาร สำหรับผู้ป่วยตับแข็งในระยะที่ตับยังสามารถทำงานได้ดี และควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ตามหลักโภชนาการ และควรรับประทานอาหารจำพวกโปรตีนประมาณวันละ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ซึ่งประมาณ 60 กรัมต่อวัน และอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงคือ

ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เพราะตับจะทำหน้าที่ย่อยไขมันได้น้อยลง และควรหลีกเลี่ยงไขมันจากสัตว์ โดยใช้ไขมันพืชแทน เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง
ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก หมูยอ เพราะในอาหารมีโซเดียมเป็นส่วนประกอบและอาหารเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการบวม อาการท้องมานเลวลง โดยทั่วไปแล้วแพทย์จะแนะนำให้รับประทานเกลือได้แต่ไม่เกินวันละ 2 กรัม เทียบเท่ากับเกลือป่นประมาณ เศษหนึ่งส่วนสามช้อนชาต่อวัน
ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ชื้น เช่น พริกป่น ถั่วป่น เพราะเป็นแหล่งของสารอะฟลาท็อกซิน จะทำให้ตับทำงานมากขึ้น และทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับมากขึ้น
ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่สะอาด อาหารที่เก็บค้างคืน อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ ลวกและย่าง
2) หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สำหรับผู้ป่วยที่มีตับแข็งแล้ว ควรหลีกจะเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เช่น สุราทุกชนิด เพราะอาจจะทำให้โรคตับแย่ลง นอกจากนี้การดื่มแอลกอฮอล์ยังเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการแตกของเส้นเลือดโป่งพองในหลอดอาหารและกระเพาะอาหารอีกด้วย ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญของการเสียชีวิตในผู้ป่วยโรคตับแข็ง

3) ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สำหรับผู้ป่วยตับแข็งที่ตับยังสามารถทำงานได้ดีก็สามารถออกกำลังกายได้ตามปกติเพียงแต่ไม่หักโหมจนเกินไป และควรพักผ่อนให้เพียงพอ แต่ในกรณีที่ตับทำงานไม่ปกติแล้วควรออกกำลังกายเบาๆ เช่น การวิ่งเหยาะๆ หรือการเดินเร็ว ถ้าหากรู้สึกเพลียก็ควรพัก และที่สำคัญควรต้องระวังการเกิดอุบัติเหตุ เพราะผู้ป่วยตับแข็งอาจจะมีเกล็ดเลือดต่ำและมีการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุให้เลือดออกง่ายและหยุดยาก

4) การใช้ยาและสารเคมี ผู้ป่วยตับแข็งควรจะหลีกเลี่ยงการรับประทานยาถ้าไม่จำเป็นและยาสมุนไพรต่างๆ เพราะยาหลายชนิดจะถูกทำลายที่ตับ และยาหลายชนิดเองก็อาจจะทำให้เกิดตับอักเสบ ดังนั้นการใช้ยาควรใช้เมื่อมีข้อบ่งชี้และภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น

5) การฉีดวัคซีน ผู้ป่วยตับแข็งนั้นควรตรวจเลือดดูว่าเคยมีการติดเชื้อไวรัสบีและไวรัสเอ หรือไม่ ถ้าไม่ควรรับการฉีดวัคซีนป้องกัน เพราะถ้าเกิดว่าติดเชื้อตับอักเสบฉับพลันจากไวรัสเอ และไวรัสบีในผู้ป่วยตับแข็ง จะมีโอกาสในการเกิดตับวายและอาจเสียชีวิตได้สูง

6) การเฝ้าระวัง ผู้ป่วยตับแข็งควรจะติดตามการดูแลรักษากับแพทย์อย่างสม่ำเสมอตามที่แพทย์นัด และควรจะมีการเฝ้าระวังการเกิดมะเร็งตับ โดยวิธีการเจาะเลือดตรวจดูค่า AFP ซึ่งจะเป็น marker ของมะเร็งตับชนิดหนึ่งและการตรวจอัลตร้าซาวด์ดูตับทุก 6 เดือน และในกรณีที่ผู้ป่วยตับแข็งต้องได้รับการตรวจหรือการทำหัตถการต่างๆ เช่น การถอนฟัน ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบ เพราะจะมีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติที่ต้องเตรียมการผู้ป่วยเป็นพิเศษ

7) ยาแก้ปวดลดไข้พาราเซตตามอน ยังเป็นยาที่ปลอดภัย แต่ถึงอย่างไรก็ตามผู้ป่วยตับแข็งจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดตับอักเสบ มากกว่าคนปกติทั่วไป จึงควรรับประทานยาแก้ปวดพาราเซตตามอนได้ไม่เกิน 5 เม็ดต่อวัน และแนะนำให้รับประทาน ขนาด 500 มิลลิกรัมครั้งละ 1 เม็ด แต่จะรับประทานซ้ำได้ 1 เม็ดทุก 6 ชั่วโมง และในส่วนของยารักษาโรคตับที่แพทย์จัดให้นั้นควรรับประทานอย่างสม่ำเสมอ และยาบางชนิดเช่น ยาป้องกันเส้นเลือดโปร่งพองแตก แต่ถ้ารับประทานไม่สม่ำเสมอก็อาจจะมีผลเสียมากกว่า

8) รับประทานวิตามิน ผู้ป่วยตับแข็งนั้นมักจะขาดวิตามินหลายชนิด ดังนั้นควรจะรับประทานวิตามินเสริมร่วมด้วย ถึงอย่างไรก็ตามไม่ควรจะรับประทานวิตามินที่ละลายในไขมันเอง เช่น วิตามินเอ วิตามินอี เพราะวิตามินที่ละลายในไขมันนั้นถ้ารับประทานมากจนเกินไปก็จะมีการสะสมที่ตับ และอาจจะมีผลเสียต่อตับเอง และนอกจากนี้ถ้าผู้ป่วยไม่ได้ขาดธาตุเหล็กก็ไม่ควรจะรับประทานเหล็กเสริมเข้าไป เพราะเหล็กจะทำให้เกิดการสร้างผังผืดในตับมากขึ้น

เรื่องดีๆมีไว้แบ่งปัน
16/12/2017

เรื่องดีๆมีไว้แบ่งปัน

โรคตับแข็ง โรคที่ทุกคนมีความเสี่ยงที่จะเป็น มาสังเกตกันว่าอาการของโรคตับนั้นดูได้จากความผิดปกติใดในร่างกาย          ตับเ...
15/12/2017

โรคตับแข็ง โรคที่ทุกคนมีความเสี่ยงที่จะเป็น มาสังเกตกันว่าอาการของโรคตับนั้นดูได้จากความผิดปกติใดในร่างกาย

ตับเป็นอวัยวะที่ทำงานคล้ายตัวคัดกรองสำคัญในร่างกาย มีหน้าที่ทั้งช่วยสร้างสารอาหารและกำจัดของเสียในที่มีอยู่ภายในตัวเรา ดังนั้นจะถือว่าตับเป็นเครื่องในที่มีความสำคัญต่อสุขภาพของเราก็ไม่ผิดนัก ซึ่งด้วยภาระหน้าที่นี้ของตับ ก็อาจทำให้เกิดความเสี่ยงกับตับมากมาย โดยอาการผิดปกติของโรคตับที่พบมากที่สุดในประเทศไทยก็จะมีโรคตับแข็ง

ดังนั้นวันนี้เราจะมาสำรวจอาการของโรคตับแข็งในเบื้องต้นกันก่อน เพราะโรคตับแข็งจริง ๆ แล้วก็สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คนที่ไม่ดื่มเหล้าเลยนะคะ ฉะนั้นมาเรียนรู้อาการของโรคตับไว้คร่าว ๆ จะได้เอาไว้สังเกตตัวเองและคนรอบข้าง

โรคตับแข็ง

โรคตับแข็งเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง

1. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

สุราและเครื่องดื่มมึนเมาทุกชนิดกลายเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคตับแข็ง โดยเฉพาะผู้ที่ดื่มสุราวิสกี้ 480 ซีซี ต่อวัน หรือไวน์ 1,600 ซีซีต่อวัน หรือเบียร์ 4,000 ซีซีต่อวัน ติดต่อกันนาน 5-10 ปี บุคคลผู้นี้ย่อมเสี่ยงเป็นโรคตับแข็งมากกว่าใคร เนื่องจากแอลกอฮอล์ในเครื่องดื่มเหล่านี้จะทำให้การใช้โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตในตับผิดปกติไป ส่งผลให้เกิดภาวะตับอักเสบได้ง่าย และเมื่อตับอักเสบนาน ๆ เข้าก็จะก่อให้เกิดภาวะตับแข็งตามมาในไม่ช้า

2. ไวรัสตับอักเสบ

ไวรัสตับอักเสบมีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด คือ ไวรัสตับอักเสบเอ บี และไวรัสตับอักเสบซี โดยไวรัสทั้ง 3 ชนิดนี้จัดเป็นสาเหตุที่ทำให้ตับเกิดอาการอักเสบเรื้อรังและพัฒนาเป็นโรคตับแข็งได้ในที่สุด

3. ยา สารพิษ และพยาธิบางชนิด

สำหรับคนที่ใช้ยาติดต่อกันนาน ๆ โดยเฉพาะยาสมุนไพรบางชนิด เช่น ยาเม็ดใบขี้เหล็ก ก็อาจทำให้เกิดการตกค้างจนก่อภาวะตับอักเสบเรื้อรังได้ รวมทั้งสารพิษ เช่น สารหนู (Arsenic) ก็สามารถทำให้เกิดพังผืดในตับ และพยาธิบางชนิด เช่น พยาธิใบไม้ที่แฝงตัวอยู่ในเส้นเลือดก็กระตุ้นให้เกิดภาวะตับแข็งได้เช่นกัน

4. ท่อน้ำดีอุดตัน

ปกติแล้วน้ำดีจะถูกสร้างขึ้นที่ตับและไหลลงมาสู่ลำไส้เล็กส่วนต้น แต่ถ้าเกิดภาวะท่อน้ำดีอุดตัน เช่น นิ่วอุดตันท่อน้ำดี หรือเนื้องอกอุดตันท่อน้ำดีจนทำให้ท่อน้ำดีตีบตันเป็นเวลานาน น้ำดีจะไหลย้อนกลับไปที่ตับและทำลายเนื้อเยื่อตับจนเกิดภาวะตับแข็งได้

5. ภาวะหัวใจวายเรื้อรัง

ผู้ที่มีภาวะหัวใจวายเรื้อรัง อาจทำให้มีเลือดคั่งที่ตับ รวมทั้งปริมาณเลือดที่ไหลเวียนในตับก็จะลดลงจนอาจทำให้เนื้อตับขาดออกซิเจนและตายลง

6. โรคทางพันธุกรรมบางชนิด

โรคทางพันธุกรรมบางชนิด เช่น โรควิลสัน ซึ่งมีการสะสมของทองแดงในตับมากเกินไป จนอาจทำให้ตับอักเสบเรื้อรังและแข็ง หรือโรคทางพันธุกรรมอื่น ๆ อย่างภาวะเหล็กเกิน (Hemochromatosis) ที่เกิดจากการสะสมของเหล็กมากเกินไปในตับ หรือโรคไกลโคเจนสะสม (glycogen storage disease) ที่อาจมีความบกพร่องทางการใช้คาร์โบไฮเดรตบางประเภท ก็อาจทำให้เกิดภาวะตับเรื้อรังและตับแข็งได้

7. ไขมันสะสมสูง

ภาวะที่มีไขมันสะสมอยู่ที่ตับมาก อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรังและกลายเป็นตับแข็งในที่สุด โดยภาวะไขมันในตับมากนี้อาจพบร่วมกับโรคอื่น ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคขาดสารอาหาร และโรคอ้วน

8. โรคตับอักเสบจากภูมิต้านทานตนเอง (Autoimmune Hepatitis)

เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่หันกลับมาทำลายตับตนเอง สาเหตุนี้พบมากในชาวยุโรปแต่ในไทยยังไม่ค่อยมีรายงานผู้ป่วยโรคนี้มากเท่าไรนัก

โรคตับแข็ง

อาการของโรคตับ เช็กให้ชัดเข้าข่ายโรคตับแข็งหรือยัง ?

อาการของโรคตับแข็งในระยะเริ่มแรกจะไม่แสดงออกอย่างชัดเจน ดังนั้นผู้ป่วยโรคตับแข็งจึงไม่ค่อยรู้ตัว โดยอาการของโรคตับแข็งที่พอจะสังเกตได้มีดังนี้

//img.kapook.com/image/icon/48be2683.gif ท้องอืด ท้องเฟ้อ คล้ายอาหารไม่ย่อย

//img.kapook.com/image/icon/48be2683.gif รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักลด

//img.kapook.com/image/icon/48be2683.gif รู้สึกเจ็บบริเวณชายโครงขวาเล็กน้อย หรืออาจคลำเจอก้อนที่ชายโครงขวา

//img.kapook.com/image/icon/48be2683.gif ตัวเหลือง นัยน์ตาเหลือง เพราะตับไม่สามารถขับน้ำดีออกจากร่างกายได้

//img.kapook.com/image/icon/48be2683.gif อาจมีอาการคันตามเนื้อตัว

//img.kapook.com/image/icon/48be2683.gif อารมณ์ทางเพศลดลง

//img.kapook.com/image/icon/48be2683.gif ในผู้หญิงอาจมีประจำเดือนผิดปกติ เช่น ประจำเดือนมาขาดหรือมาไม่สม่ำเสมอ มีหนวดขึ้น และในบางคนอาจมีแสงแหบแห้งคล้ายผู้ชาย

//img.kapook.com/image/icon/48be2683.gif ผู้ป่วยชายอาจรู้สึกเจ็บนม อัณฑะฝ่อตัว บางคนอาจสังเกตเห็นฝ่ามือแดงผิดปกติ หรือมีจุดแดงที่หน้าอกและหน้าท้อง

โรคตับแข็งระยะสุดท้าย อาการรุนแรงขนาดไหน ?

เมื่อเป็นโรคตับแข็งอยู่หลายปีหรือยังคงดื่มเหล้าหนัก อาการของโรคตับแข็งระยะสุดท้ายจะสังเกตได้จาก

//img.kapook.com/image/icon/48be2683.gif มีไข้เรื้อรัง ขาบวม ท้องบวม

//img.kapook.com/image/icon/48be2683.gif สังเกตเห็นหลอดเลือดบริเวณหน้าท้องพองบวม

//img.kapook.com/image/icon/48be2683.gif อาเจียนเป็นเลือด เนื่องจากเกิดภาวะหลอดเลือดขอดที่หลอดอาหารแตก ซึ่งอาจทำให้เสียเลือดมากจนเสียชีวิตได้

//img.kapook.com/image/icon/48be2683.gif ในระยะสุดท้ายที่ตับวายไปแล้ว ก็จะเกิดอาการทางสมอง เช่น ซึม เพ้อ ไม่รู้สึกตัว เป็นต้น

ทั้งนี้ นอกจากโรคตับแข็ง ยังมีภาวะความผิดปกติของโรคตับที่พบได้มากในสุขภาพของคนไทย ซึ่งได้แก่

1. โรคตับอักเสบ

ภาวะตับอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยสาเหตุหลัก ๆ เกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบเอและเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งไวรัสตับอักเสบเออาจติดต่อผ่านทางอาหารและน้ำที่ไม่สะอาด ส่วนไวรัสตับอักเสบบีสามารถติดต่อได้ทางการสัมผัสกับเลือดของผู้เป็นพาหะ เช่น การถ่ายเลือด การใช้ของมีคมร่วมกัน หรือแม้แต่การมีเพศสัมพันธ์ร่วมกับผูที่เป็นพาหะ

อย่างไรก็ตาม นายแพทย์นุสนธิ์ กลัดเจริญ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้เตือนว่า การใช้แปรงสีฟัน กรรไกรตัดเล็บ หรือมีดโกนร่วมกับผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบอยู่ อาจทำให้คุณติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซีได้ หรือในกรณีเด็กที่คลอดจากมารดาผู้เป็นพาหะ อาจได้รับเชื้อจากมารดาได้ ซึ่งในกรณีเช่นนี้โรคตับอักเสบจะไม่แสดงอาการในวัยเด็ก แต่จะแฝงตัวอยู่ในร่างกายของเด็กจนเด็กโตเป็นผู้ใหญ่ โดยในบางรายโรคตับอักเสบอาจหายเองได้ แต่บางรายอาจกลายเป็นพาหะโรคตับอักเสบเรื้อรังโดยไม่รู้ตัว

2. มะเร็งตับ

นายแพทย์นุสนธิ์ กลัดเจริญ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า โรคมะเร็งตับอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ มะเร็งที่เริ่มจากตัวตับเอง ซึ่งมักจะเป็นผลพวงของภาวะตับอักเสบเรื้อรังและโรคตับแข็ง และมะเร็งตับแพร่กระจายที่เริ่มจากอวัยวะอื่น ๆ อย่างมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งตับอ่อนแล้วจึงค่อยลามมาเป็นมะเร็งตับในที่สุด

โรคตับแข็ง

การรักษาโรคตับ ทำได้ดังนี้

1. รักษาที่สาเหตุ

ก่อนอื่นต้องรู้ว่าต้นเหตุของโรคตับแข็งเกิดจากอะไร และรักษาไปตามสาเหตุนั้น เช่น มีสาเหตุจากการดื่มสุรา ก็ให้งดสุรา ถ้าเกิดจากไวรัสตับอักเสบก็ให้ยารักษาที่ชื่อว่า อินเตอเฟอรอน

ส่วนในกรณีที่เป็นโรคตับแข็งจากภูมิต้านทานตนเอง (Autoimmune Hepatitis) ให้ใช้ยาสเตียรอยด์รักษา แต่หากเป็นโรคตับแข็งจากการสะสมของสารทองแดงในตับ ต้องใช้ยาเฉพาะเพื่อขับสารทองแดงออกจากร่างกาย

2. รักษาตามลักษณะอาการที่เกิด

อาการของโรคตับที่เกิดจากความผิดปกติของตับในกรณีต่าง ๆ เช่น ตัวเหลือง ตาเหลือง ขาบวม ท้องบวม อาเจียน แพทย์จะรักษาโรคไปตามลักษณะอาการในเบื้องต้น

3. การผ่าตัดเปลี่ยนตับ

สำหรับผู้ป่วยโรคตับระยะสุดท้าย ที่พบว่าการทำงานของตับลดน้อยลง หรือไม่สามารถควบคุมโรคแทรกซ้อนได้ จำเป็นต้องผ่าตัดเปลี่ยนตับร่วมกับการรักษาด้วยตัวยา ซึ่งการรักษาแบบนี้จะให้ผลดีถึงร้อยละ 80-90 และโดยเฉลี่ยแล้วผู้ป่วยโรคตับแข็งที่รักษาด้วยการผ่าตัดจะมีชีวิตยาวนานขึ้นอีก 5 ปี เลยทีเดียว

ที่อยู่

242 ถนนสุวินทวงศ์ แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี
Bangkok
10510

เบอร์โทรศัพท์

089-767-2965

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Green-L ดูแลสุขภาพผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Green-L ดูแลสุขภาพ:

แชร์