เวชศึกษาสมัยใหม่ - เพจหลัก

เวชศึกษาสมัยใหม่ - เพจหลัก ช่องทางการติดต่อสำหรับคนไข้

อาการ "ปวดบ่าร้าวลงไหล่" แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดจากความผิดปรกติของกล้ามเนื้อบ่า และไหล่ - เพราะลักษณะการทำงานของกล...
29/09/2025

อาการ "ปวดบ่าร้าวลงไหล่" แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดจากความผิดปรกติของกล้ามเนื้อบ่า และไหล่ - เพราะลักษณะการทำงานของกล้ามเนื้อมันชัดเจนอยู่แล้วว่าแทบเป็นไปไม่ได้ - เว้นแต่เกิดอุบัติเหตุมาก่อน - เพราะฉะนั้น หาต้นเหตุให้เจอก่อน เพราะถ้าไม่ได้เกิดจากกล้ามเนื้อแล้วไปนวด มันอันตรายกับคนไข้

บทความโดย พท.กมลลาสน์ ชีวสาธน์เวชกุล
แพทย์แผนไทย พท.ว เวชกรรมไทย / พท.ภ เภสัชกรรมไทย

เหมือนที่ได้เคยบอกไปว่า การนวดไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในแพทย์แผนไทย การนวดเป็นแค่หนทางในการรักษาหนทางหนึ่งเท่านั้น แพทย์แแผนไทยจะต้องตรวจและวินิจฉัยให้ละเอียดก่อนเพื่อดูว่า ควรจะต้องรักษาทางเวชกรรมไทยจ่ายยาสมุนไพรตำรับ หรือจะนวด

*** ในส่วนของการใช้ยาสมุนไพรตำรับรักษา ไม่ใช่เป็นการดูสรรพคุณที่เขียนเอาไว้ข้างกระปุก (สั้น ๆ) แน่นอน ยาสมุนไพรไม่ว่าจะเป็นยาเดียวหรือยาสมุนไพรตำรับ ต้องเข้าใจการออกฤทธิ์ของยาในแต่ละระบบของร่างกายก่อนเท่านั้น

*** ใครที่กินยาสมุนไพรตำรับ โดยดูจากสรรพคุณข้างกระปุกแล้วอาการไม่ดีขึ้น อย่าเพิ่งโทษว่ายาไม่ดี เพราะคุณกินยาไม่ตรงกับโรค ถึงแม้ข้างกระปุกจะเขียนเอาไว้ว่าบรรเทาอาการแบบนั้นหรือแบบนี้ได้ก็ตาม เพราะอาการในแต่ละรูปแบบไม่ได้มีแค่สาเหตุเดียว

*******************************

ในส่วนของอาการ "ปวดบ่าร้าวลงไหล่" หลาย ๆ คนอาจเข้าใจว่าเป็นอาการที่เกิดจากความผิดปรกติของกล้ามเนื้อบริเวณนั้น - ขอบอกเลยว่า ถ้าไม่ได้เกิดอุบัติเหตุหรือโดนกระแทกที่ไหล่หรือบ่า แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดจากความผิดปรกติของกล้ามเนื้อ

*** เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ใช่ว่าเป็น Refer Pain มากจากจุดอื่น ก็อาจจะเกิดจากความผิดปรกติของอวัยวะหรือเนื้อเยื่อส่วนอื่น ๆ ในบริเวณนั้นก็ได้ ยกตัวอย่าง (แค่บางส่วน) เช่น

1) อาการ “ปวดบ่าร้าวลงไหล่” ที่มีสาเหตุมาจาก Subclavian artery นั้นเป็นอาการที่สัมพันธ์กับการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงบริเวณไหล่ บ่า แขนไม่เพียงพอ

- ปัจจัยเสี่ยงหรือภาวะเริ่มต้น เช่น atherosclerosis, กดเบียดจากกระดูก, inflammation, cervical rib

- เกิดการ ตีบ/อุดตันของ Subclavian artery ก่อนแขนง vertebral artery

- เลือดไปเลี้ยงแขนและไหล่ลดลง / กล้ามเนื้อบริเวณบ่า-ไหล่ขาดออกซิเจน (ischemia)

- การเคลื่อนไหวแขนหรือไหล่เพิ่มการใช้ออกซิเจน / เกิด pain-induced ischemia

********************************

*** ลำดับการเกิดอาการทาง "ตรีธาตุ" บางส่วน เช่น

- วาตะเสียสมดุล / สะสมที่ Amsa marma (บ่า) และ Urastha marma (ทรวงอกด้านบน) บริเวณที่มีการไหลของพลังงาน Prana ถูกขัดขวาง

- เกิดการอุดกั้นของ Prana และ Rakta srotas / การไหลเวียนของพลังชีวิตและเลือดบกพร่อง / คล้ายกับภาวะ ischemia ในทางการแพทย์

- เนื้อเยื่อ (Dhatu) เช่น Mamsa (กล้ามเนื้อ), Rakta (เลือด), Asthi (กระดูก) เริ่มถูก Vata กดหรือดึงรั้ง / นำไปสู่ปวดแปลบ, ชา, ร้าวลงไหล่

*** ในข้อแรกที่ยกตัวอย่างมานี้ เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดอาการ "ปวดบ่าร้าวลงไหล่" ที่เกิดจากความผิดปรกติของหลอดเลือด ไม่ได้เกิดจากความผิดปรกติของกล้ามเนื้อ ซึ่งจะรู้ได้ว่าต้นเหตุของแต่ละคนเกิดจากความผิดปรกติของหลอดเลือดหรือไม่ แพทย์แผนไทยจะต้องตรวจและซักประวัติคนไข้แต่ละคนให้ละเอียดก่อน

*** แต่ที่สำคัญคือ อาการที่เกิดจากหลอดเลือด ไม่ใช่อาการที่นวดได้เลย ใครที่คิดว่ากล้ามเนื้อตึงแล้วไปบีบรัดเส้นเลือดแล้วทำให้เกิดอาการแบบนี้ ควรต้องกลับไปเรียนใหม่โดยด่วน เพราะอาการนลักษณะนี้มีแต่ยิ่งนวดยิ่งแย่ลงไปทุกวัน

*********************************

หากเป็นอาการในกรณีนี้ ควรต้องรักษาทางเวชกรรมไทย จ่ายยาไปก่อน ซึ่งการเลือกยาสมุนไพรตำรับหรือยาสมุนไพรเดี่ยว ไม่สามารถดูจากสรรพคุณข้างกระปุกได้ เพราะสรรพคุณที่เขียนเอาไว้ข้างกระปุก มันแค่ 1-5% ของการออกฤทธิ์ของยาทั้งหมดเท่านั้นเอง

ข้อมูลที่เหลือ เดี๋ยวจะเอาไปอธิบายในห้อง พท. ในช่วงเวลา Live สด ท่านใดติดงานตามชมย้อนหลังได้เลย เดี๋ยวจะทำเอกสารเอกใน Database ของห้อง พท. ด้วย

ท่านใดต้องการสมัครห้อง พท. ติดต่อทางไลน์ได้เลย Line ID : revthai

การกินยาแผนปัจจุบัน ร่วมกับการการกินยาสมุนไพรหรือยาตำรับแพทย์แผนไทย ตอนที่ 3 - ยากลุ่ม "ลดไขมันในเลือด" แผนปัจจุบัน กับข...
29/09/2025

การกินยาแผนปัจจุบัน ร่วมกับการการกินยาสมุนไพรหรือยาตำรับแพทย์แผนไทย ตอนที่ 3 - ยากลุ่ม "ลดไขมันในเลือด" แผนปัจจุบัน กับข้อควรระวังในการร่วมกับยาสมุนไพร - ถ้ายังไม่รู้กระบวนการทำงานของยาทั้งแผนไทยและแผนปัจจุบัน ไม่ควรกิน - จะดูแค่สรรพคุณอย่างเดียวไม่ได้

*** สมาชิกห้อง VIP กลุ่มเภสัชกรรมไทยขอมา

บทความโดย พท.กมลลาสน์ ชีวสาธน์เวชกุล
(แพทย์แผนไทย พท.ว เวชกรรมไทย / พท.ภ เภสัชกรรมไทย)

คนไข้ เวลากินยาจะดูจากสรรพคุณมันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถ้าเป็นหมอแพทย์แผนไทย เวลาจ่ายยาจะดูจากสรรพคุณของยาไม่ได้ คุณต้องดูไปถึงกระบวนการออกฤทธิ์ของตัวยาให้ได้ - สรรพคุณของยาเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของการออกฤทธิ์เท่านั้น - ยาตัวหนึ่ง ยาตำรับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นแผนไทยหรือแผนปัจจุบัน ไม่ได้ออกฤทธิ์หรือส่งผลกระทบต่อร่างกายแค่ระบบเดียว

*** มีคนไข้หลายคนที่กำลังกิน ยากลุ่ม "ลดไขมันในเลือด" แผนปัจจุบัน และกินยาสมุนไพรตำรับร่วมด้วย เพราะอยากหายเร็ว ๆ ซึ่งถ้าคนไข้ไปซื้อกินเองโดยดูข้อมูลจาก Internet ถือว่าอันตรายมาก เพราะคนไข้จะดูจากแค่สรรพคุณแล้วไปซื้อ ไม่ได้ดูจากการทำงานของตำรับ

****************************************

การรักษาโรคกลุ่มอาการ "ไขมันในเลือดสูง" จำเป็นต้องตรวจให้ทราบก่อนว่า ไขมันในเลือดของคนไข้ที่สูงขึ้นมาเกิดจากอะไร สาเหตุการเกิดโรคไม่ได้มีแค่สาเหตุเดียว อย่ามัวแต่ไปโทษว่าคนไข้กินอาหารที่มีไขมันมากเกินไปถ้ายังไม่ได้ตรวจละเอียด เพราะถ้าไม่ใช่ขึ้นมา คนไข้จะเสียโอกาสในการรักษาที่ถูกต้อง ยกตัวอย่างสาเหตุบางส่วน เช่น

- อาจเกิดจาก "สันตัปปัคคี" หย่อน ที่เป็นผลมาจากธาตุกองอื่น ๆ
- อาจเกิดจาก "Hypothyroidism"
- อาจเกิดจาก "ตับอักเสบเฉียบพลัน"
- อาจเกิดจาก "ปริณามัคคี" บางจุดทำงานเยอะเกินไป
- และอืน ๆ อีกหลายสาเหคุ

*** ถึงแม้อาการปลายทางจะเหมือนกันคือ "ไขมันในเลือดสูง" แต่ต้นทางที่ทำให้เกิดโรคอาจไม่เหมือนกัน และที่สำคัญคุณต้องรู้ว่า "ค่าไขมัน" ตัวไหนของคนไข้ที่ผิดปรกติ เพราะมันไม่ได้มีแค่ตัวเดียว

- บางคนอาจจะเป็น Triacylglycerol
- บางคนอาจจะเป็น Cholesterol

*** เพราะฉะนั้น จะจ่ายยาเหมือนกันกับคนไข้ทุกคนไม่ได้ โดยเฉพาะยาสมุนไพรตำรับ

************************************

สำหรับยากลุ่ม "ลดไขมันในเลือด" แผนปัจจุบัน ก็ไม่ได้มีแค่ตัวเดียวเหมือนกัน แต่รอบนี้จะยกตัวอย่างยาแผนปัจจุบันที่คนไข้กินกันบ่อย ๆ นั่นคือ "Simvastatin" และเช่นเคย ขอเตือนเลยว่า แพทย์แผนไทยไม่มีสิทธิไปยุ่งสั่งลดยาแผนปัจจุบันที่คนไข้กินอยู่เด็ดขาด

*** ผลของยาตัวนี้ส่งผลกระทบโดยตรงกับตัวคุมธาตุไฟ "ทั้งพัทธะปิตตะและอพัธะปิตตะ" ซึ่งอาจส่งผลกระทบทำให้เกิดอาการ "ทุวรรณโทษ" ในกองโทษะ "วาตะ" ขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นถ้าคนไข้กินยาตัวนี้อยู่ สมุนไพรที่ควรระวังในการกินคือ

- ยาสมุนไพร รสร้อน ที่มีผลต่อกุจฉิสยาวาตาโดยตรง
- ยาสมุนไพร รสร้อน กลุ่มธาตุวัตถุ อาจเกิดอาการลำไส้แปรปรวน
- ยาสมุนไพร รสเบื่อเย็น อาจทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร
- และอื่น ๆ อีกหลายรสยา

*** ยาสมุนไพรสามารถกินร่วมกับยาแผนปัจจุบันได้ แต่จำเป็นต้องรู้ถึงการทำงานของยาโดยละเอียด ดูจากสรรพคุณไม่ได้

************************************

สำหรับสมาชิกห้อง พท. เดี๋ยวเอาเข้าไปอธิบายในห้อง Online สดพรุ่งนี้ หลังจากนั้นจะทำคลิปย้อนหลัง และเอกสารแจกสมาชิกให้อีกที

28/09/2025

ท่านใดที่สอบถามเรื่องห้อง พท. - รอบนี้ห้อง พท. เปิดรับเพิ่ม 1 ท่านนะครับ ติดต่อสอบถามทางไลน์ได้เลยที่ - Line ID : revthai

อาการ "ปวดบริเวณเอวและสะโพก" กับความสมเหตุผลในการนวดรักษา - การประเมินอาการก่อนนวดอย่างละเอียดถือเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่ว...
28/09/2025

อาการ "ปวดบริเวณเอวและสะโพก" กับความสมเหตุผลในการนวดรักษา - การประเมินอาการก่อนนวดอย่างละเอียดถือเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่ว่าคนไข้มีอาการเข้ามาหา จะนวดเลยโดยไม่ได้ตรวจไม่ได้ - อย่ามัวคิดแต่ว่าจะนวดยัง จะนวดท่าไหน - วินิจฉัยสำคัญกว่าท่านวด

บทความโดย พท.กมลลาสน์ ชีวสาธน์เวชกุล
แพทย์แผนไทย พท.ว เวชกรรมไทย / พท.น นวดไทย

ขอบอกเลยว่า การวินิจฉัยสำคัญกว่าท่านวด ไม่ว่าจะเป็นแพทย์แผนไทยหรือหมอนวดตามร้าน ก่อนที่คุณจะทำอะไรลงบนร่างกายมนุษย์ คุณจะต้องรู้ก่อนว่าสภาวะร่างกายของคนที่คุณจะนวด พร้อมให้คุณนวดหรือเปล่า - และวิธีที่จะทำให้รู้ได้คือ การตรวจวินิจฉัยก่อน เท่านั้น

*** จะเอาแค่ว่า คนไข้เดินเข้ามาแล้วบอกว่าอยากนวด คนไข้บอกว่าสบายดี ไม่มีโรคประจำตัวที่ต้องห้าม แค่นี้ไม่ได้ เพราะคนไข้บางคนอาจไม่รู้จริง ๆ ว่าตัวเองกำลังเป็นอะไร บางคนจงใจปกปิดประวัติก็มี

*** เชื่อว่าหมอนวดหลาย ๆ ท่าน มีความชำนาญในการนวดอยู่แล้ว แต่ความชำนาญในการนวดมันคนละเรื่องกับการวินิจฉัย เพราะถ้าคุณไม่วินิจฉัยก่อนนวด ท่านวดที่คุณนวดจนชำนาญจากที่มันจะเป็นโยชน์ต่อคนไข้ มันจะกลายเป็นโทษต่อคนไข้ทันที เพราะท่านวดไม่เหมาะสมที่จะใช้กับอาการในลักษณะนั้น

บริเวณสะโพกและเอว ถือเป็นบริเวณที่อันตรายจุดหนึ่งบนร่างกาย - การนวดใด ๆ ลงบริเวณนี้ หากคนไข้มีลักษณะอาการต้องห้ามอยู่แล้ว อาจกระทบกระเทือนถึงชีวิตคนไข้ได้

*****************************
กล้ามเนื้อบริเวณสะโพกและเอว ส่วนใหญ่จะเป็นกล้ามเนื้อในกลุ่ม Slow oxidative เพราะฉะนั้นด้วยลักษณะกล้ามเนื้อ จะเกิดอาการปวดเมื่อยที่กล้ามเนื้อบริเวณนี้ได้ค่อนข้างยาก ถ้าไม่ใช่อาการกลุ่ม "ยอก" ที่เกิดจากการใช้กล้ามเนื้อเฉียบพลัน และความเสื่อมตามอายุ แทบจะไม่มีอาการปวดเกิดขึ้นเลย

ยกตัวอย่างกล้ามเนื้อที่อาจเกี่ยวข้อง บางส่วน เช่น
- Iliopsoas (ประกอบด้วย psoas major, iliacus)
- Gluteus maximus
- Gluteus medius และ minimus
- และอื่น ๆ อีกหลาย ๆ มัด ไม่ได้มีแค่นี้

*** เพราะฉะนั้น หากเกิดอาการในลักษณะ อาการ "ปวดบริเวณเอวและสะโพก" ถ้าคิดว่าเกิดจากความผิดปรกติของกล้ามเนื้อจริง ๆ ก็ต้องซักประวัติหาสาเหตุให้เจอก่อน เพราะถ้าหาแล้วไม่เจอว่าเกิดจากกล้ามเนื้อ ส่วนใหญ่อาการก็จะเกิดจากความผิดปรกติของระบบประสาท และกระดูก

*****************************

ยกตัวอย่างบางโรค ที่อาจทำให้เกิดอาการในลักษณะนี้ได้ เช่น

1) อาการ "ลำบองข้อสะโพก" พยาธิสภาพที่อาจเกิดขึ้น (บางส่วน) ที่ทำให้เกิดอาการในลักษณะ อาการ "ปวดบริเวณเอวและสะโพก" เช่น

- เมื่อลมวาตะเกิน (เช่น จากความแห้ง, อายุที่มากขึ้น, การใช้ร่างกายมากเกินไป, ความเครียด, อดนอน หรือโรคเรื้อรัง)

- จะทำให้การไหลเวียนของเลือด (rakta) ในบริเวณข้อสะโพกลดลง / เกิดการขาดเลือด ไปเลี้ยงกระดูก นำไปสู่การเสื่อมของเนื้อเยื่อกระดูก / กระดูกตาย (Osteonecrosis)

- Kapha ควบคุมโครงสร้างและไขข้อ (shleshaka kapha) เมื่อลดลง / โครงสร้างกระดูกไม่มีความมั่นคง / กระดูกยุบตัวได้ง่าย ในขณะเดียวกัน Vata ยังเกินอยู่ / เกิดอาการปวด ร้าว เคลื่อนไหวยาก (อาการเด่นของ Vata roga)

****************************

อาการในลักษณะนี้ถือเป็นอาการที่น่ากลัว เพราะการนวดหนัก ๆ กับอาการในลักษณะนี้ อาจส่งผลทำให้ข้อสะโพกหักได้

ข้อมูลที่เหลือเดี๋ยวจะเอาไปอธิบายในห้อง พท. ในช่วงเวลา Live สด ท่านใดติดงานตามชมย้อนหลังได้เลย เดี๋ยวจะทำเอกสารเอกใน Database ของห้อง พท. ด้วย

ท่านใดต้องการสมัครห้อง พท. ติดต่อทางไลน์ได้เลย Line ID : revthai

เรื่องของยาสมุนไพรตำรับ "ยาหอมเทพจิตร" กับการใช้ยาอย่างสมเหตุผล - ไม่ใช่ว่าเกิดอาการ "ลมขึ้นขบเบื้องสูง" ตอนไหนก็จะหยิบม...
27/09/2025

เรื่องของยาสมุนไพรตำรับ "ยาหอมเทพจิตร" กับการใช้ยาอย่างสมเหตุผล - ไม่ใช่ว่าเกิดอาการ "ลมขึ้นขบเบื้องสูง" ตอนไหนก็จะหยิบมากินตลอด แบบนี้ไม่ได้ - ถ้ากินแล้วไม่เห็นผลหรือกินแล้วไม่หายขาด อย่าโทษว่ายาไม่ดี เพราะยาไม่ได้ผิดอะไร แต่คุณใช้ยาไม่ตรงกับโรค

บทความโดย พท.กมลลาสน์ ชีวสาธน์เวชกุล
แพทย์แผนไทย พท.ว เวชกรรมไทย / พท.ภ เภสัชกรรมไทย

ขอบอกเลยว่า "ไม่มียาตำรับไหนเป็นยาครอบจักรวาล" ยาทุกตำรับล้วนมีข้อบ่งใช้เฉพาะตัวทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับแพทย์แผนไทย พท.ว และ เภสัชกรแผนไทย พท.ภ คนไหน จะมีความรู้มากพอที่จะวิเคราะห์กระบวนการทำงานของยาได้หรือเปล่าก็เท่านั้น

*** การใช้ยาหอมโดยที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ไม่รู้พยาธิสภาพของโรคที่แท้จริง "ถือเป็นเรื่องอันตรายมาก" อาจทำให้คนไข้เสียโอกาสในการรักษาอย่างถูกต้องเหมาะ แย่ไปกว่านั้น อาจทำให้เกิดอันตรายต่อคนไข้ได้

*** สำหรับอาการ "ลมขึ้นขบเบื้องสูง" ก่อนที่จะจ่ายยาจะต้องรู้ก่อนว่า ต้นเหตุของอาการเกิดขึ้นจากอะไร จะโทษแต่ว่าเป็น "ความดันโลหิตสูง" อย่างเดียวไม่ได้ เพราะภายในอาการ "ลมขึ้นขบเบื้องสูง" มีพยาธิสภาพของโรคซ้อนอยู่หลาย ๆ โรค และไม่ใช่ทุกโรคที่กิน "ยาหอมเทพจิตร" และจะ OK

*** ข้อมูลนี้เป็นแค่ข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ใช่ข้อมูลที่จะนำไปยึดถือเป็นหลักในการใช้ยาได้ เพราะมีเรื่องที่จะต้องวินิจฉัยเพิ่มเติมก่อนการใช้ยาอีกเยอะ สำหรับแพทย์แผนไทยเอาไปคิดต่อยอดการใช้ยา

********************************

"ลมขึ้นขบเบื้องสูง" เป็นลมประจำเส้นประธาน 10 บน "เส้นอิทา" ซึ่งเป็นเส้นประธานหลัก เพราะฉะนั้น จะทำอะไรก็ขอให้ระวัง เพราะลมประจำเส้นอิทาถ้ารักษาไม่เหมาะสมอาจกระทบกระเทือนถึงชีวิตคนไข้ได้ พยาธิสภาพที่อาจเกิดขึ้นกับคนไข้ (บางส่วน) ที่เจอได้บ่อย ๆ เช่น

1) เกิดภาวะกำเริบของ "ลมอุทังคมาวาตา" (1) - กระตุ้น oxidative stress และ inflammation ในระบบประสาท เกิดการทำลาย myelin หรือปลอกประสาท และเกิด peripheral neuropathy

2) เกิดภาวะกำเริบของ "ลมอุทังคมาวาตา" (2) - เลือดดำไม่สามารถระบายออกจากสมองได้ → คั่ง → เพิ่มความดันในเส้นเลือดฝอย เกิด cerebral edema, hemorrhagic infarction เพิ่ม intracranial pressure → ปวดหัวแบบอึดอัด, รุนแรง, มักเป็นตอนเช้า

*** อาการเหล่านี้เป็นแค่บางส่วนเท่านั้น และอาจเกิดโรค "ลมประจำเส้นประธาน" ในเส้นเดียวกันขึ้นมาร่วมด้วยได้อีก เช่น "ลมจันทะกลา" และ "ลมสุริยะกลา" หากเกิดโรคเหล่านี้แทรกขึ้นมา ก็อาจส่งผลกระทบต่อ "เส้นกาลทารี" และ "ลมอังคมังคานุสารีวาตา" ไปด้วยในอนาคต

*******************************

แต่เอาจริง ๆ คนไข้หลาย ๆ คนเวลาเลือกจะกิน "ยาหอมเทพจิตร" ส่วนใหญ่จะกินเพราะอาการ "มึนหัวและเวียนหัว" มากกว่า เพราะถ้าเกิดอาการปวดหัวจริง ๆ มักจะนึกถึงยา "พาราเซตามอล" ซึ่งจริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้มีเอากินรักษาอาการปวดหัวได้ "พร่ำเพรื่อ" ขนาดนั้น

*** และแน่นอนว่า อาการ "ปวดหัว มึนหัว" มันไม่ได้มีแค่สาเหตุเดียว และไม่ได้มีพยาธิสภาพแค่แบบเดียว ยกตัวอย่างบางส่วน เช่น

1) orthostatic hypotension ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ขณะเปลี่ยนท่า → เวียนหัว มึนงง หน้ามืด

2) atrial fibrillation → ทำให้ cardiac output ลดลง → cerebral hypoperfusion

3) Hemoglobin ต่ำ → การลำเลียงออกซิเจนลดลง → สมองขาด O₂ → เวียนหัว มึนงง

*** จะเห็นว่าพยาธิสภาพบางสาเหตุ เกิดจาก "หทัยวาตะ" ผิดปรกติ บางสาเหตุเกิดจาก ความผิดปรกติของเส้น "กาลทารี"

*** และที่สำคัญคือ "ยาหมอเทพจิตร" ไม่ได้ใช้ได้กับทุกพยาธิสภาพ หากใช้ยากับอาการที่ไม่ควรจะใช้ จะทำให้อาการของคนไข้แย่กว่าเดิม

******************************

ยกตัวอย่าง อาการบางส่วนที่ไม่ควรใช้ "ยาหอมเทพจิตร" เช่น Orthostatic hypotension ที่มีสาเหตุจาก โลหิตจาง (anemia) หมายถึง การที่ร่างกายมีความสามารถในการลำเลียงออกซิเจนลดลง เมื่อมีการเปลี่ยนท่าทาง เช่น ลุกขึ้นเร็ว ๆ เลือดไปเลี้ยงสมองลดลง จึงเกิดอาการเวียนหัว หน้ามืด หรือเป็นลม

อาการอันตรายที่อาจเกิดขึ้น (บางส่วน) เช่น

- ยากระตุ้นหัวใจเช่น dobutamine → เพิ่ม preload/afterload → หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น

- ในภาวะโลหิตจาง หัวใจพยายามชดเชยโดยเพิ่มอัตราการเต้นอยู่แล้ว

ข้อมูลที่เหลือ เดี๋ยวจะเอาไปอธิบายในห้อง พท. ในช่วงเวลา Live สด ท่านใดติดงานตามชมย้อนหลังได้เลย เดี๋ยวจะทำเอกสารเอกใน Database ของห้อง พท. ด้วย

ท่านใดต้องการสมัครห้อง พท. ติดต่อทางไลน์ได้เลย Line ID : revthai

อาการ "ไหล่ติด รวมไปถึงอาการยกแขนขึ้นไม่ได้ในบางทิศทาง" ไม่ได้แค่ดูว่า ปวดแบบไหน ตึงแบบไหน แล้วจะนวดยังไงก็ได้โดยไม่ตรวจ...
26/09/2025

อาการ "ไหล่ติด รวมไปถึงอาการยกแขนขึ้นไม่ได้ในบางทิศทาง" ไม่ได้แค่ดูว่า ปวดแบบไหน ตึงแบบไหน แล้วจะนวดยังไงก็ได้โดยไม่ตรวจวินิจฉัยก่อน - อาการบางรูปแบบนวดได้เลย บางรูปแบบต้องกินยาร่วมด้วย - แพทย์แผนไทยจะต้องตรวจให้ละเอียดและเป็นผู้กำหนดแนวทางการรักษา ไม่ใช่ให้คนไข้เดินเข้ามาหาหมอแล้วบอกว่า "ขอนวด"

บทความโดย พท.กมลลาสน์ ชีวสาธน์เวชกุล
แพทย์แผนไทย พท.ว เวชกรรมไทย / พท.น นวดไทย

การตัดสินใจรักษาอาการใด ๆ จำเป็นต้องตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูลทางการแพทย์ จากแพทย์ผู้ที่เป็นคนตรวจเช็คอาการของคนไข้ที่รับการรักษาก่อนเท่านั้น - ไม่ใช่รักษาตามความเชื่อของตนเอง

*** อาการของคนไข้ จะเป็นตัวบ่งชี้และเป็นตัวตัดสินว่า ควรต้องรับการรักษาอย่าง "นวด" หรือ "ใช้ยาสมุนไพรตำรับรักษา" หรือใช้ร่วมกัน

************************************

อาการ "ไหล่ติด รวมไปถึงอาการยกแขนขึ้นไม่ได้ในบางทิศทาง" มีข้อพิจารณาค่อนข้างเยอะ ไม่ได้ดูแค่ว่า ปวดตึงไหล่บริเวณไหนแล้วจะนวดยังไง จะยืดกล้ามเนื้อยัง "แค่นี้ไม่พอหรอก" - เพราะก่อนรักษาจะต้องทราบพยาธิสภาพที่เกิดขึ้นให้มากที่สุดก่อนที่จะลงมือรักษา

*** ภาวะ Frozen shoulder (Adhesive capsulitis) มักถูกมองว่าเป็นปัญหาที่เกิดจาก ข้อไหล่และแคปซูลข้อ แข็ง ตีบ และหนาตัว แต่ในความเป็นจริง พยาธิสภาพไม่ได้จำกัดอยู่แค่ “ข้อต่อไหล่” เท่านั้น ยังมีความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับ ระบบเนื้อเยื่ออ่อน ระบบประสาท และระบบเมตาบอลิซึม ที่ทำให้เกิดอาการและความเรื้อรังร่วมด้วย

1) พยาธิสภาพของเนื้อเยื่ออ่อนรอบข้อไหล่

- เอ็นและกล้ามเนื้อรอบข้อไหล่ (Rotator cuff, biceps tendon): เกิดการหดสั้นลงและมีพังผืด ทำให้การยืดเหยียดผิดปกติ

- Bursa รอบข้อ (เช่น subacromial bursa): มักมีการอักเสบเรื้อรัง (chronic bursitis) เสริมให้ปวดและเคลื่อนไหวลำบาก

- พังผืดใต้แอคโครเมียนและใน subscapularis recess: มีการยึดติดกับกระดูกและเอ็น เคลื่อนไหวได้ไม่อิสระ

************************************

2) พยาธิสภาพของระบบหลอดเลือดและจุลภาค

- มี angiogenesis (เส้นเลือดใหม่ผิดปกติ) ในแคปซูลข้อและเนื้อเยื่อรอบ ๆ ทำให้มีการไหลเวียนเลือดมากผิดปกติ และสัมพันธ์กับปวด

- Fibrovascular tissue proliferation: พังผืดและเส้นเลือดงอกใหม่ร่วมกัน ทำให้แคปซูลข้อหนาและตึง

************************************

3) พยาธิสภาพของระบบประสาทและกลไกความรู้สึกปวด

- Central sensitization: สมองและไขสันหลังมีการไวต่อสิ่งกระตุ้น (pain hypersensitivity) แม้แรงยืดหรือกดเบา ๆ ก็เจ็บมาก

- Peripheral nerve involvement: เส้นประสาท suprascapular หรือ axillary nerve อาจถูกดึงหรือกดทับจากพังผืด ทำให้มีอาการปวดร้าว คอ-แขน

- Neurogenic inflammation: เซลล์ประสาทปล่อย neuropeptides (เช่น Substance P, CGRP) กระตุ้นการอักเสบในเนื้อเยื่อรอบ ๆ

************************************

ในทาง "ตรีธาตุ" มีเรื่องที่จะต้องพิจารณาอยู่หลายเรื่องเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ความผิดปรกติของ "ปิตตะ" - ปิตตะ (Pitta vitiation) – เกี่ยวข้องกับการอักเสบ

*** ปิตตะควบคุมความร้อนและการอักเสบ เมื่อเสียสมดุลจะเกิด

- Daha (burning sensation): รู้สึกร้อน แสบในข้อ
- Raga (redness): ข้อมีการอักเสบ อุ่นกว่าปกติ
- Shopha (swelling): บวมเล็กน้อยจากการอักเสบ

*** มักสัมพันธ์กับระยะ อักเสบระยะแรก (freezing stage) ของ Frozen shoulder - แต่ประเด็นมีอยู่ว่า อาการอักเสบยังอยู่หรือไม่ขณะทำการนวดรักษา เพราะถ้ายังอยู่แล้วลงมือนวด ก็เท่ากับว่า อาการอักเสบอาจลุกลามกลับขึ้นมาอีกได้

*** เพราะฉะนั้น การวินิจฉัยนั้นสำคัญมาก แต่ไม่ค่อยมีใครเอาไปสอนหมอนวดเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่ชอบคิดแต่ว่า แค่นวดผ่อนคลายทำไมถึงต้อตรวจ เรื่องมาก เสียเวลา - ถ้าคุณไม่ตรวจแล้วนวดรักษาโดยที่สภาวะของคนไข้ไม่พร้อม คุณจะรับผิดชอบต่ออาการของคนไข้ยังไง

*** ข้อมูลที่เหลือ เดี๋ยวจะเอาไปอธิบายในห้อง พท. ในช่วงเวลา Live สด ท่านใดติดงานตามชมย้อนหลังได้เลย เดี๋ยวจะทำเอกสารเอกใน Database ของห้อง พท. ด้วย

ท่านใดต้องการสมัครห้อง พท. ติดต่อทางไลน์ได้เลย Line ID : revthai

อาการ “อัมพฤกษ์ อัมพาต” กับอาการลม 2 กองที่ชื่อว่า “ลมชิวหาสดมภ์และลมมหาสดมภ์” - ไม่ว่าจะรักษาทางเวชกรรมไทยหรือนวดไทย ต้...
25/09/2025

อาการ “อัมพฤกษ์ อัมพาต” กับอาการลม 2 กองที่ชื่อว่า “ลมชิวหาสดมภ์และลมมหาสดมภ์” - ไม่ว่าจะรักษาทางเวชกรรมไทยหรือนวดไทย ต้องระวังและมีความรู้เฉพาะโรคอย่างละเอียด - คนไข้กลุ่มนี้ไม่จำเป็นต้องมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือกล้ามเนื้อเกร็งตึงเสมอไป

บทความโดย พท.กมลลาสน์ ชีวสาธน์เวชกุล
แพทย์แผนไทย พท.ว เวชกรรมไทย / พท.ภ เภสัชกรรมไทย

ความชำนาญเฉพาะโรค ไม่ได้ดูแค่ว่าแพทย์แผนไทยหรือหมอนวดคนนั้นมีใบประกาศณียบัตรเฉพาะทางหรือไม่ แต่ต้องดูว่า แพทย์แผนไทยหรือหมอนวดคนนั้น ๆ มีความรู้เรื่องอาการในกลุ่มโรคนี้จริง ๆ หรือเปล่า (ไม่อยากจะเผาอะมากมายเพราะคนในวิชาชีพก็น่าจะรู้กัน)

*** หลาย ๆ คนเวลารักษาอาการของคนไข้ที่เป็น “อัมพฤกษ์ อัมพาต” ส่วนใหญ่จะคิดอย่างเดียวเลยว่า นวดยังไงถึงจะทำให้กล้ามเนื้อของคนไข้ที่เกร็งอยู่อ่อนตัวลง หรือในกรณีของคนไข้ที่กล้ามเนื้ออ่อนแรง จะนวดยังไงให้กำลังของกล้ามเนื้อกลับมา

*** ถ้าจะรักษาคนไข้จริง ๆ คิดแค่นี้ไม่ได้ เพราะถ้าคิดแค่นี้ก็หมายความว่าคุณไม่มีความเข้าใจภาวะโรคที่คนไข้เป็น

*******************************

ในทางการแพทย์แผนไทยมีโรคลมอยู่หลายโรคที่เกี่ยวข้อง แต่ส่วนใหญ่มักจะโยนบาปให้กับลม 2 กองนี้ก่อนเสมอเลย นั่นคือ ”ลมชิวหาสดมภ์“ และ ”ลมมหาสดมภ์“ ซึ่งขอบอกเลยว่าลม 2 กองนี้ มันเป็นอาการปลายทางแล้วไม่ใช่อาการต้นทางหรือกลางทาง และขอบอกเลยว่าในความเป็นจริงก็ไม่ได้มีแค่ลม 2 กองนี้เท่านั้น

*** คนสมัยก่อนไม่รู้จักคำว่า stroke เพราะฉะนั้นคำจำกัดความของ Stroke สมัยนี้กับกลุ่มอาการของโรคลมสมัยก่อนจะไม่เหมือนกันซะทีเดียว ดังนั้นจะเอามาเทียบกัน 1 ต่อ 1 ไม่ได้

ยกตัวอย่างอาการของลม 2 กอง เช่น

- ลมชิวหาสดมภ์ ลักษณะอาการที่มีบันทึกเอาไว้คือ เมื่อแรกให้หาวเรอ และให้เหียน ขากรรไกรแข็ง อ้าขบมิลง ให้แน่นิ่งไปมิรู้สึกตัว ปลุกมิตื่น

- ลมมหาสดมภ์ เมื่อจับให้หาวนอน เป็นกำลัง ให้หวาดหวั่นอยู่แต่ในใจ ให้นอนแน่นิ่งไปมิรู้สึกกายเลย

แพทย์แผนไทยคนไหน ที่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์และรักษาคนไข้กลุ่มนี้บ่อย ๆ จะรู้ว่าอาการที่ตำราบันทึกเอาไว้คือหนึ่งในอาการของกลุ่มอัมพฤกษ์ อัมพาต จริง ๆ แต่ก็ยังไม่ครบอยู่ดี

*********************************

อาการกลุ่ม Stroke ในทางวิทยาศาสตร์แบ่งอาการที่เจอได้บ่อย ๆ ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ นั่นคือ

- โรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (Ischemic Stroke)
- โรคหลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic Stroke)

แต่ในทางแพทย์แผนไทยไม่ได้แบ่งลักษณะอาการกลุ่มโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตแบบนี้ เพราะอาการกลุ่มอัมพฤกษ์อัมพาตทางการแพทย์แผนไทยไม่ได้จำกัดอยู่แค่กลุ่มโรค stroke อย่างเดียว ยกตัวอย่างอาการทางการแพทย์แผนไทยที่อาจเข้าข่ายกลุ่มโรคนี้เพิ่มเติม เช่น

- ลมจันทะกลา (ลมประจำเส้นประธาน “อิทา”) หากคนไข้มีอาการแบบนี้นั่นหมายความว่า ต้นเหตุของอาการโรคที่คนไข้เป็นอาจเกิดจาก “หทัยวาตะ” อาการกลุ่มนี้การนวดจะทำได้แค่พยุงชั่วคราวเท่านั้น อาการของคนไข้จะดีขึ้นก็ต่อเมื่อ “หทัยวาตะ” ฟื้นตัวแล้วเท่านั้น ซึ่งการนวดไม่สามารถฟื้นหทัยวาตะโดยตรง

*********************************

สิ่งที่แพทย์แผนไทยและหมอนวดต้องคำนึงถึงคือ ลักษณะอาการทางกล้ามเนื้อของกลุ่มอาการ “อัมพฤกษ์ อัมพาต” ไม่ใช่อาการต้นทาง อาการต้นทางของโรคกลุ่มนี้อาจเกิดจากความผิดปรกติของระบบประสาท และระบบการไหลเวียนของเลือด

*** เพราะฉะนั้น ความผิดปรกติของหลอดเลือด เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง

ข้อมูลที่เหลือ เดี๋ยวจะเอาไปอธิบายในห้อง พท. สาขานวดไทย ในช่วงเวลา Live สด ท่านใดติดงานตามชมย้อนหลังได้เลย

ท่านใดต้องการสมัครห้อง พท. ติดต่อทางไลน์ได้เลย Line ID : revthai

อาการ "เมื่อยคอ ตึงคอ ถ้าไม่สะบัดคอจนเสียงดัง จะไม่หายเมื่อยคอหรือไม่หายมึนหัว" - อย่าได้คิดสะบัดคอให้เกิดเสียงดังเด็ดขา...
25/09/2025

อาการ "เมื่อยคอ ตึงคอ ถ้าไม่สะบัดคอจนเสียงดัง จะไม่หายเมื่อยคอหรือไม่หายมึนหัว" - อย่าได้คิดสะบัดคอให้เกิดเสียงดังเด็ดขาด - อาการในลักษณะนี้ต้องรักษาทางเวชกรรมไทยร่วมด้วยเท่านั้น - ห้ามนวดอย่างเดียวโดยไม่มีการตรวจหรือรักษาทางเวชกรรมไทยร่วมด้วยเด็ดขาด

บทความโดย พท.กมลลาสน์ ชีวสาธน์เวชกุล
แพทย์แผนไทย พท.ว เวชกรรมไทย / พท.ภ เภสัชกรรมไทย

หลาย ๆ คนที่มีอาการแบบนี้ อาจคิดว่าเอามือทุบ ๆ เดี๋ยวก็หาย หรือไปนวดตามร้านทั่วไปเดี๋ยวก็หาย แต่สุดท้ายผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงอาการก็กลับมาเป็นอีก (และเดี๋ยวก็เอามือไปทุบมันอีก) - แนะนำว่าถ้ามีอาการแบบนี้เกิดขึ้นบ่อย ก่อนที่จะเอามือไปทุบคอตัวเอง หรือก่อนที่จะลงมือนวดควรตรวจหาสาเหตุของอาการให้รู้ก่อนว่าเกิดจากอะไร

*** แค่นั่งทำงานหน้าคอมนาน ๆ ไม่ได้ทำให้กล้ามเนื้อล้าจนเกิดอาการในลักษณะนี้ได้แน่นอน เพราะกล้ามเนื้อที่คอส่วนใหญ่จะมีคุณสมบัติทำงานได้นาน ๆ อยู่แล้ว

*****************************

เพราะฉะนั้น หากไม่ได้เกิดจากความผิดปรกติของกล้ามเนื้อ ต้นเหตุของอาการอาจเกิดจากความผิดปรกติของเส้นเลือด อาจเกิดจากความผิดปรกติของกระดูกคอ หรือความผิดปรกติของเส้นประสาทที่บริเวณคอก็ได้ และอื่น ๆ อีกหลายสาเหตุ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มันนวดไม่ได้ จะต้องได้รับการรักษาทางเวชกรรมไทยร่วมด้วย ยกตัวอย่างเช่น

1) อาการ "เมื่อยคอ ตึงคอ ถ้าไม่สะบัดคอจนเสียงดัง จะไม่หายเมื่อยคอหรือไม่หายมึนหัว" ที่เกิดจากความผิดปรกติของหลอดเลือด ยกตัวอย่างหลอดเลือดบางเส้นที่อาจทำให้เกิดอาการได้ เช่น

*** 1.1) Carotid Artery Stenosis - หลอดเลือด common carotid และ internal carotid อยู่ด้านหน้าคอ

- หากเกิดการตีบหรือมีคราบไขมันสะสม อาจลดการไหลเวียนไปยังสมองและเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อรอบคอ

- อาการ: เมื่อยตื้อ ๆ บริเวณคอ รู้สึกหนักคอ มึนงงเล็กน้อย

*** 1.2) Thoracic Outlet Syndrome (TOS) – แบบ vascular type

- การกดทับของเส้นเลือด subclavian artery หรือ vein ตรงช่องอกส่วนบน ส่งผลต่อเลือดที่มาเลี้ยงคอและแขน

- อาการ: เมื่อยคอ ร้าวไปไหล่ แขน ซีดหรือเขียวที่ปลายมือเวลาใช้แขนมาก
*******************************

ยกตัวอย่าง กลไกการเกิดโรคบางส่วน เช่น

- เสมหะ + เมโท สะสมในหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดตีบ แคบ

- เกิด Avarana ต่อวาตะ การไหลเวียนของเลือดช้าลง กล้ามเนื้อคอและสมองขาดเลือด

- วาตะไม่สามารถเคลื่อนเลือดได้ตามปกติ เกิดอาการ “เมื่อยคอ” หนักศีรษะ มึนตื้อ

*** ถ้าดูจากอาการจะเห็นว่า ถึงแม้อาการจะแสดงออกมาเป็นอาการเมื่อยคอ แต่พยาธิสภาพที่เกิดขึ้นมันไม่ได้อำนวยต่อการนวดแต่อย่างใดเลย เพราะฉะนั้น การรักษาควรเน้นไปที่การรักษาทางเวชกรรมไทยก่อน อย่าไดฝืนนวดเด็ดขาด

********************************

ในกรณีที่เกิดจากความผิดปรกติของกระดูกคอ เช่น Cervical Spondylosis (กระดูกคอเสื่อม)

- เกิดจากการเสื่อมของหมอนรองกระดูกคอ ข้อกระดูก หรือกระดูกสันหลัง ทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาท หรือทำให้ข้อต่อคอไม่มั่นคง

- อาการ: เมื่อย ปวดตื้อ บริเวณคอ ท้ายทอย อาจร้าวไปบ่า มีเสียง “ก๊อกแก๊ก” เวลาเคลื่อนไหวคอ

*** ในส่วนของอาการที่เกิดจากความผิดปรกติของกระดูกคอ อย่าได้คิดว่าการนวดจะทำให้กระดูกคอที่เสื่อมดีขึ้นเด็ดขาด เพราะมันเป็นไปไม่ได้ การนวดทำได้แค่รักษาสภาพของกล้ามเนื้อเท่านั้น

ข้อมูลที่เหลือ เดี๋ยวจะเอาไปอธิบายในห้อง พท. ในช่วงเวลา Live สด ท่านใดติดงานตามชมย้อนหลังได้เลย เดี๋ยวจะทำเอกสารเอกใน Database ของห้อง พท. ด้วย

ท่านใดต้องการสมัครห้อง พท. ติดต่อทางไลน์ได้เลย Line ID : revthai

การนวดบริเวณท้ายทอย กับคนไข้ที่มีอาการ "เวียนหัว" คือสิ่งที่ไม่ควรกระทำ จนกว่าจะตรวจและวินิจฉัยจนรู้แล้วว่าอาการเกิดจากอ...
22/09/2025

การนวดบริเวณท้ายทอย กับคนไข้ที่มีอาการ "เวียนหัว" คือสิ่งที่ไม่ควรกระทำ จนกว่าจะตรวจและวินิจฉัยจนรู้แล้วว่าอาการเกิดจากอะไร - อาการแบบนี้ไม่ได้มีแค่สาเหตุเดียว - ถ้ายังดื้อจะนวดโดยไม่ตรวจก่อนแล้วเกิดอันตราย อย่าโทษว่าวิชานวด "ไม่ดี" - เพราะคนนวดนั่นแหละ "มักง่าย" เอง

บทความโดย พท.กมลลาสน์ ชีวสาธน์เวชกุล
แพทย์แผนไทย พท.ว เวชกรรมไทย / พท.น นวดไทย

เห็นมีหลาย ๆ คนถามกันว่า "อาการเวียนหัว" นวดยังไงถึงจะหาย ขอเตือนเลยว่าใครที่กำลังหาท่านวดอยู่กับ "อาการเวียนหัว" แนะนำว่าอย่าเพิ่งนวดจนกว่าจะทราบสาเหตุว่าต้นเหตุของอาการเกิดจากอะไร - แต่ถ้ายังดื้อ ดึงดันอยากจะนวดทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ตรวจเช็คอะไรเลยและถ้าเกิดอาการผิดปรกติขึ้นมา อย่าได้มาโวยวายว่า "ศาสตร์การนวดอันตราย" เด็ดขาด

*** เพราะ "ศาสตร์การนวดไม่ผิด" ผิดที่คนเอาไปใช้ เอาไปนวด "คุณมักง่าย" เองที่ไม่ได้ตรวจและวินิจฉัยอาการก่อนนวด

*** การตรวจและวินิจฉัยอาการก่อนนวด มันไม่ได้ยากแต่อย่างใด

*************************************

คำถามที่เห็นถามกันมากที่สุด กับอาการ "เวียนหัว" ก็คือ "นวดยังไง" - น้อยคนที่จะถามว่าต้นเหตุของอาการเกิดจากอะไร หรือจะวินิจฉัยยังไง ซึ่งขอบอกเลยว่าอาการ "เวียนหัว" ถือเป็นหนึ่ง "ภาวะที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ" ที่จำเป็นต้องวินิจฉัยอาการก่อนนวด

*** หากร่างกายของคุณปรกติ ไม่มีทางที่จะเกิดอาการ "เวียนหัว" อย่างแน่นอน ซึ่งต้นเหตุที่ทำให้เกิดอาการ "เวียนหัว" มีหลายสาเหตุ (แพทย์แผนไทยและหมอนวดทุกคนจำเป็นต้องรู้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะหาเรียน) ยกตัวอย่าง (บางส่วน) เช่น

1) สาเหตุจากระบบหูชั้นใน (Vestibular system)

หูชั้นใน (vestibular apparatus: semicircular canals, utricle, saccule) ทำหน้าที่ควบคุมการทรงตัว ร่วมกับตาและสมอง

พยาธิสภาพที่พบ

1.1) Benign Paroxysmal Positional Vertigo (BPPV) เกิดจากการที่ otolith (calcium carbonate crystals) หลุดไปอยู่ใน semicircular canal
เมื่อศีรษะเปลี่ยนท่าทาง ของเหลวในช่อง semicircular canal เคลื่อนผิดปกติ กระตุ้นเซลล์ขน (hair cells) ส่งสัญญาณผิดไปที่สมอง เกิดอาการเวียนหัวบ้านหมุน (true vertigo)

*************************************

2) สาเหตุจากระบบประสาทส่วนกลาง (Central nervous system, CNS) - สมองและสมองน้อยมีบทบาทสำคัญในการบูรณาการสัญญาณการทรงตัว

พยาธิสภาพที่พบ - Cerebellar stroke / Ischemia เลือดไปเลี้ยงสมองน้อย (cerebellum) ไม่พอ สมดุลการประสานการเคลื่อนไหวผิดปกติ

*** ถึงแม้หลาย ๆ คนอาจเข้าใจว่าอาการเวียนหัวเกิดจาก "ธาตุลม" ผิดปรกติ ในความเป็นจริงอาการ "เวียนหัว" ไมได้เกิดจากความผิดปรกติของ "ธาตุลม" เสมอไป และก็ไม่ได้เกิดจาก "วาตะ" เสมอไปด้วย (วาตะไม่ใช่ธาตุลม ใครคิดว่าวาตะคือธาตุลมแนะนำให้กลับไปเรียนใหม่)

*** ยกตัวอย่างเช่น เสมหะ (Kapha doṣa) กำเริบ

ลักษณะ - เสมหะเป็น ธาตุน้ำ+ดิน ให้ความหนัก ความมั่นคง ความชุ่มชื้น เมื่อเสมหะเกิน ความหนัก ความชื้น และการคั่งค้างในสโรตะ ทำให้เกิดการอุดตัน การไหลเวียนของปราณและเลือดไปยังสมองลดลง

พยาธิสภาพที่เกิดขึ้น:

- เสมหะสะสมในศีรษะ/หู กดการทำงานของระบบประสาทการทรงตัว
- ความชื้นและความหนืด ทำให้รู้สึกหนักศีรษะ, ง่วง, เวียนหัวเรื้อรัง
- อาการร่วม: มึนหัวแบบตื้อ ๆ หนัก ๆ ตา-หูอื้อ ร่างกายเชื่องช้า เบื่ออาหาร

**********************************

ในบรรดาต้นเหตุของอาการ "เวียนหัว" ทั้งหมด ที่อันตรายมากที่สุดคืออาการที่เกิดจากความผิดปรกติของ "เส้นเลือด" เพราะมันจะสัมพันธ์กับจุดนวดสัญญาณ 1 และ 2 ศีรษะด้านหลัง

*** ตำแหน่งการที่นวดที่คนทั่วไปชอบนวดขยี้กันเอง และหมอนวดบางคนก็ชอบกดโดยไม่ยั้งคิด คือ จุดนวดสัญญาณ 1 และ 2 ศีรษะด้านหลัง นี่แหละ

หากคนไข้เกิดอาการ "เวียนหัว" ที่เกิดจากความผิดปรกติของเส้นเลือดที่บริเวณนี้ หากนวดลงไปได้จังหวะพอดี สิ่งที่อาจเกิดขึ้นกับคนไข้หรือลูกค้าที่ถูกนวดคือ

1) Atherosclerosis / ตีบแข็งของผนังหลอดเลือด - ผนังหลอดเลือดแข็ง หนา และช่องทางแคบลง

*** เมื่อกดท้ายทอย อาจเพิ่มการกดทับทางกล (mechanical compression) luminal diameter ลดลงอีก ลดการไหลเวียนเลือดเข้าสมอง

***********************************

เพราะฉะนั้น อย่าคิดว่าการนวดเป็นเรื่องง่าย แค่นวดคงไม่เป็นอะไร ไม่ต้องตรวจก็ได้ ถ้าฝืนนวดโดยไม่เช็คอาการก่อนแล้วเกิดความผิดปรกติขึ้นมา อย่าโทษว่านวดไม่ดี - คนต่างหากที่ "มักง่าย" เอง

ข้อมูลที่เหลือ เดี๋ยวจะเอาไปอธิบายในห้อง พท. ในช่วงเวลา Live สด ท่านใดติดงานตามชมย้อนหลังได้เลย เดี๋ยวจะทำเอกสารเอกใน Database ของห้อง พท. ด้วย

ท่านใดต้องการสมัครห้อง พท. ติดต่อทางไลน์ได้เลย Line ID : revthai

21/09/2025

ความทรงจำที่ถูกเปลี่ยนเป็นเรื่องเล่า จะมีความเป็นจริงน้อยลง ดังนั้น ความเป็นจริงที่ถูกอ้างจากความความทรงจำ เชื่อถือได้แค่ไหน - วิชาที่ครูสอนจากความทรงจำของครูอาจพลาดได้เหมือนกัน ผู้เรียนต้องมีสติไตร่ตรองก่อนเชื่อ

ลักษณะอาการ "ปวดสะโพกด้านหลังหรือก้นข้างใดข้างหนึ่ง ปวดร้าวลงขา" อย่าได้คิดว่าเป็นอาการของ "ลมปลายปัตฆาตสัญญาณ 1-3 หลัง"...
21/09/2025

ลักษณะอาการ "ปวดสะโพกด้านหลังหรือก้นข้างใดข้างหนึ่ง ปวดร้าวลงขา" อย่าได้คิดว่าเป็นอาการของ "ลมปลายปัตฆาตสัญญาณ 1-3 หลัง" และก็อย่าได้คิดว่าเป็น "กล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท" เด็ดขาด ถ้ายังไม่ได้ตรวจให้ละเอียดก่อน - ระวังให้ดี เจอ "Sacral hypomobility" แล้วจะหนาว หมอนวดทั่วไปเขาไม่สอนภาวะนี้กันด้วย

บทความโดย พท.กมลลาสน์ ชีวสาธน์เวชกุล
แพทย์แผนไทย พท.ว เวชกรรมไทย / พท.น นวดไทย

แพทย์แผนไทยควรต้องพัฒนาวิชาการของตัวเอง ให้มันดีขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่ได้แล้ว มีโรคหลาย ๆ โรคที่ทางการแพทย์แผนไทยระบุว่า "นวดได้" แต่พอไปตรวจวินิจฉัยโรคจริง ๆ กลับกลายเป็นว่า "อย่าได้คิดจะนวดไปเลย" ก็มีอยู่หลายโรค - ใครที่ชอบคิดว่า แพทย์แผนไทยอย่าเอาวิทยาศาสตร์มายุ่งควรคิดใหม่ได้แล้ว

*** เอาความเป็นจริงของสภาวะโรคมาว่ากัน ไม่ใช่นั่งเทียนอ่านแต่ตำรา แล้วก็ไปนวดรักษาโดยอ้างว่าตำราเขียนเอาไว้ว่า "นวดได้" ตำราแพทย์แผนไทยส่วนใหญ่อายุหลายสิบปีทั้งนั้นเลย ขณะที่ตำราการแพทย์สมัยใหม่อัพเดทกันอยู่ตลอด

********************************

*** ยกตัวอย่างลักษณะอาการบางส่วน เช่น

- ปวดบริเวณหลังส่วนล่าง (low back pain)
- ปวดสะโพกหรือก้น
- ปวดร้าวลงขา (บางกรณี)
- ขยับสะโพกหรือหลังได้ไม่เต็มช่วง
- อาการมักรุนแรงขึ้นเมื่ออยู่ท่าเดิมนานๆ เช่น นั่งหรือยืนนานๆ
- และอื่น ๆ อีกหลายลักษณะอาการ

หลาย ๆ คนเวลาเจอคนไข้ที่มีอาการแบบนี้ ใครที่เรียนนวดราชสำนัก แต่ไม่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ จะคิดว่ามันคืออาการกลุ่ม "ลมปลายปัตฆาต" แล้วก็นวดตามตำราโดยที่ไม่ไต่ถาม น้อยคนที่จะมีข้อสงสัยว่า เกิดจากสาเหตุอื่นได้หรือเปล่า เพราะว่า "แพทย์แผนไทยและหมอนวดที่มีความรู้วิทยาศาสตร์จริง ๆ มีน้อย"

อาการในลักษณะนี้ ถ้าจะเปรียบเทียบกับจุดสัญญาณราชสำนักที่เกี่ยวข้อง ยกตัวอย่างบางจุด เช่น สัญญาณ 1 หลัง / สัญญาณ 3 หลัง / สัญญาณ 3 นอก และตัวอย่างกล้ามเนื้อที่อาจเกี่ยวข้อง ทั้งในมุมของ Refer Pain และ Main Pain เช่น

- Gluteus Medius Muscle
- Piriformis Muscle
- Obturator internus muscle

*******************************

ถ้าเจอคนไข้มีอาการแบบนี้ สิ่งที่ควรต้องทำคือ ตรวจร่างกายซักประวัติหาต้นสายปลายเหตุของโรคให้เจอก่อน เพราะอาการแบบนี้ไม่ใช่ "ลมปลายปัตฆาต" เสมอไป และต่อให้เป็นอาการ "กลุ่มกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท" ก็ต้องหาสาเหตุให้เจอก่อนลงมือนวด

ไม่ใช่ว่า Piriformis Muscle จะเกิดอาการ "ลมปลายปัตฆาต" ขึ้นได้เองง่าย ๆ ซะที่ไหน อย่าเพิ่งโทษคนไข้ว่านั่งทำงานนาน ๆ จนทำให้เกิดโรคได้ เพราะในความเป็นจริงใครที่นั่งทำงานในสำนักงาน คุณแทบไม่ได้นั่งเป็นพระอิฐพระปูนตลอดตั้งแต่ 09.00 - 12.00 อยู่แล้ว

*** สาเหตุที่ให้เกิดอาการในกลุ่มนี้ ไม่ได้มีแค่สาเหตุเดียว แต่หนึ่งในสาเหตุที่ถือว่า "อันตราย" และค่อนข้าง "น่ากลัว" ในกลุ่มนี้ คือ "Sacral hypomobility" ต้นเหตุบางส่วนที่อาจทำให้เกิดอาการแบบนี้ เช่น

- เกิดจากภาวะ "ลมจับโปงตามอายุสมุฏฐาน"
- เกิดจากภาวะ "ลมลำบองสัญญาณ 1 หลัง" แล้วลุกลาม
- เกิดจากกลุ่มอาการ "โลหิตทุจริตในสตรี"
- และอื่น ๆ อีกหลายสาเหตุ

*** พยาธิสภาพที่อาจเกิดขึ้นบางส่วน เช่น

- Sacrum อาจติดอยู่ในท่า "anterior tilt"
- หรือ "posterior tilt" ฝั่งใดฝั่งหนึ่ง
- ทำให้เกิดอาการกระดูกเชิงกรานบิดตัว (pelvic torsion)

*******************************

ขอบอกเลยว่าอาการนี้อันตราย ใครที่ไปอบรมเฉพาะทางหรือเฉพาะด้านมา ถ้ายังไม่มีความรู้เรื่องาภาวะนี้โดยละเอียด อย่าได้คิดนวดกลุ่มอาการ "กล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาทเด็ดขาด" เพราะถ้าบังเอิญเจออาการนี้ขึ้นมา แล้วท่านวินิจฉัยอาการไม่ขาด

*** เตรียมพบ "หายนะ" ภาคต่อ กับ "ลำบองสัญญาณ 1 หลัง" ได้เลย หรือถ้าจะเอาวายป่วงกว่านั้นก็ "ลำบองข้อไม้ไผ่แถว L5"

ข้อมูลที่เหลือ เดี๋ยวจะเอาไปอธิบายในห้อง พท. ในช่วงเวลา Live สด ท่านใดติดงานตามชมย้อนหลังได้เลย เดี๋ยวจะทำเอกสารเอกใน Database ของห้อง พท. ด้วย

ท่านใดต้องการสมัครห้อง พท. ติดต่อทางไลน์ได้เลย Line ID : revthai

ที่อยู่

Bangkok

เบอร์โทรศัพท์

+66917056938

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ เวชศึกษาสมัยใหม่ - เพจหลักผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ประเภท