02/08/2024
ความรู้เกี่ยวกับรอยโรคสีแดงในช่องปาก สำหรับทันตแพทย์ทั่วไป (Erythroplakia for general dentists)
รอยโรคสีแดง หรือ Erythroplakia เป็นหนึ่งในกลุ่มความผิดปกติเสี่ยงมะเร็งช่องปาก (Oral potentially malignant disorders, OPMD) โดยเมื่อตรวจทางคลินิกแล้ว ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นโรค หรือ เป็นความผิดปกติที่มีลักษณะเป็นรอยแดงชนิดใดๆ ได้
Erythroplakiaเป็นรอยโรคที่พบได้น้อย โดยมีความชุกของการเกิดโรคประมาณ 0.02% - 0.83% ในขณะที่มีโอกาสเปลี่ยนเป็นมะเร็งที่สูงถึงประมาณ 14% - 50% ซึ่งมีความเสี่ยงมากกว่ารอยโรคที่อาจเปลี่ยนเป็นมะเร็งชนิดอื่น ๆ อย่างเช่น รอยโรคสีขาว (Leukoplakia) หรือ submucous fibrosis
ช่วงอายุที่มักพบรอยโรค คือ ในกลุ่มผู้ป่วยอายุในช่วง 40-70 ปีพบได้ในเพศชายและเพศหญิงพอ ๆ กัน หรือ พบในเพศชายมากกว่าเล็กน้อย โดยปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดรอยโรคยังไม่ชัดเจน จากการเก็บข้อมูลในผู้ป่วยหลายรายพบว่าอาจมีความสัมพันธ์ของการเกิดรอยโรค กับ ประวัติการดื่มแอลกอฮอล์หนัก หรือ การสูบบุหรี่จัด
อาการ และ ลักษณะทางคลินิก
Erythroplakia จะพบลักษณะทางคลินิกเป็นรอยผื่นราบสีแดง หรือ ปื้นสีแดง ลักษณะผิวเรียบเสมอพื้นผิวโดยรอบ หรือ อาจเป็นรอยกดกว่าพื้นผิวโดยรอบเล็กน้อย ในบางกรณีอาจมีพื้นผิวที่เป็น ตุ่มเล็กๆ (granular lesion) มักเป็นรอยโรคเดี่ยว มีขอบเขตชัดเจน รูปร่างไม่แน่นอน (irregular shape) ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ แต่ในบางรายอาจมีอาการแสบร้อน หรือ ระคายเคือง เมื่อถูกสัมผัส เมื่อรับประทานอาหารรสจัด หรือ เวลาดื่มเครื่องดื่มร้อน โดยพบได้ในทุกบริเวณในช่องปาก
มีหลายการศึกษารายงานว่าพบ erythroplakia ได้บ่อยที่บริเวณเพดานอ่อน ส่วนบริเวณอื่น ๆ ที่สามารถพบได้ เช่น ด้านใต้และด้านข้างของลิ้น พื้นช่องปาก และ กระพุ้งแก้ม
เนื่องจาก erythroplakia ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ จึงทำให้ตรวจเจอได้ช้า และ เมื่อตรวจเจอ ผลทางจุลพยาธิวิทยาส่วนใหญ่จะเป็น high-graded epithelial dysplasia หรือ squamous cell carcinoma ไปแล้ว ดังนั้น ทันตแพทย์จึงควรให้ความสำคัญในการตรวจเยื่อเมือกในช่องปากโดยละเอียดในการตรวจสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยทุกครั้ง (oral cancer screening)
การวินิจฉัย และวินิจฉัยแยกโรค
จากคำจำกัดความของ erythroplakia ว่าเป็นรอยโรคสีแดงที่ไม่เข้ากับลักษณะของโรคอื่น ๆ หรือ ไม่สามารถอธิบาย หรือ หาสาเหตุของการเกิดรอยโรคได้ ดังนั้น จุดสำคัญแรกที่ทันตแพทย์ควรคำนึงถึงคือ การประเมินประวัติ และ อาการของผู้ป่วย ร่วมกับลักษณะของรอยโรคสีแดงที่พบ เพื่อทำการตัดความเป็นไปได้ของการที่รอยโรคสีแดงนั้นจากอาการแสดงของโรคอื่น ๆ ได้แก่ รอยโรคสีแดงที่เกิดจากการอักเสบ ภาวะภูมิไวเกิน ภาวะภูมิแพ้ตัวเอง การติดเชื้อ การบาดเจ็บ และ รอยโรคที่เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือด
นอกจากนี้ ลักษณะของรอยโรค erythroplakia ที่เป็นรอยผื่นราบสีแดง มีขอบเขตชัดเจน และมักเป็นรอยโรคเดี่ยว ก็มีส่วนช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคจากโรคที่มีลักษณะเป็นรอยโรคสีแดงที่กระจายเป็นวงกว้าง หรือ มีหลายตำแหน่งได้เช่นกัน
โรคที่ควรนำมาพิจารณาวินิจฉัยแยกโรคจาก erythroplakiaได้แก่
-การติดเชื้อราแคนดิดาในช่องปากชนิด erythematous candidiasis
-โรคปากอักเสบจากฟันเทียม (denture-associated stomatitis)
-ลิ้นแผนที่ (geographic tongue/ erythema migrans)
-ไลเคนแพลนัส (lichen planus)
-รอยแผลถลอกจากการบาดเจ็บ การอักเสบ หรือ การติดเชื้ออื่นๆ
การจัดการ
เมื่อตรวจพบรอยโรคสีแดงที่น่าสงสัย เบื้องต้นทันตแพทย์ควรทำการตัดความเป็นไปได้ของการเป็นโรคอื่นๆ หรือ ลองกำจัดสาเหตุที่อาจเกี่ยวข้องกับรอยโรค หากรอยโรคสีแดงนั้นไม่ตอบสนองต่อการรักษาในเวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ ทันตแพทย์ควรพิจารณาส่งตรวจชิ้นเนื้อ
การให้ข้อมูลกับผู้ป่วยด้วยการสื่อสารที่เหมาะสมเกี่ยวกับ erythroplakia และการดำเนินของโรค เป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญในการดูแลและจัดการผู้ป่วย ช่วยให้นำไปสู่การให้ความร่วมมือของผู้ป่วยในการลดปัจจัยที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับรอยโรค เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ การติดตามรอยโรคเป็นระยะอย่างสม่ำเสมอ
ทันตแพทย์ควรมุ่งเน้นที่การตรวจ และวินิจฉัย erythroplakia ให้ได้ถูกต้องแม่นยำ รวมทั้งกลุ่มความผิดปกติเสี่ยงมะเร็งช่องปากที่อาจเปลี่ยนเป็นมะเร็งอื่นๆ ตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัย การป้องกัน และ การรักษาได้อย่างเหมาะสม เพื่อลดโอกาสเปลี่ยนไปเป็นมะเร็งของรอยโรคในกลุ่มนี้
เอกสารอ้างอิง
1) Warnakulasuriya, S., Kujan, O., Aguirre-Urizar, J. M., Bagan, J. V., González-Moles, M. Á., Kerr, A. R., Lodi, G., Mello, F. W., Monteiro, L., Ogden, G. R., Sloan, P., & Johnson, N. W. (2021). Oral potentially malignant disorders: A consensus report from an international seminar on nomenclature and classification, convened by the WHO Collaborating Centre for Oral Cancer. Oral diseases, 27(8), 1862–1880. https://doi.org/10.1111/odi.13704
2) Öhman, J., Zlotogorski-Hurvitz, A., Dobriyan, A. et al. Oral erythroplakia and oral erythroplakia-like oral squamous cell carcinoma – what’s the difference?. BMC Oral Health 23, 859 (2023). https://doi.org/10.1186/s12903-023-03619-2
3) Wetzel, S. L., & Wollenberg, J. (2020). Oral Potentially Malignant Disorders. Dental Clinics of North America, 64(1), 25–37. https://doi.org/10.1016/j.cden.2019.08.004
4) Roza, A. L. O. C., Kowalski, L. P., William, W. N., Jr, de Castro, G., Jr, Chaves, A. L. F., Araújo, A. L. D., Ribeiro, A. C. P., Brandão, T. B., Lopes, M. A., Vargas, P. A., Santos-Silva, A. R., & Latin American Cooperative Oncology Group–Brazilian Group of Head and Neck Cancer (2021). Oral leukoplakia and erythroplakia in young patients: a systematic review. Oral surgery, oral medicine, oral pathology and oral radiology, 131(1), 73–84. https://doi.org/10.1016/j.oooo.2020.09.002
5) Lingen, M. W., Abt, E., Agrawal, N., Chaturvedi, A. K., Cohen, E., D'Souza, G., Gurenlian, J., Kalmar, J. R., Kerr, A. R., Lambert, P. M., Patton, L. L., Sollecito, T. P., Truelove, E., Tampi, M. P., Urquhart, O., Banfield, L., & Carrasco-Labra, A. (2017). Evidence-based clinical practice guideline for the evaluation of potentially malignant disorders in the oral cavity: A report of the American Dental Association. Journal of the American Dental Association (1939), 148(10), 712–727.e10. https://doi.org/10.1016/j.adaj.2017.07.032