ชมรมรอยโรคช่องปากแห่งประเทศไทย

ชมรมรอยโรคช่องปากแห่งประเทศไทย Oral Diseases Group of Thailand (ODGT)

🦷 โอกาสที่คุณไม่ควรพลาด! โครงการฝึกอบรมทางทันตแพทย์เวชศาสตร์ช่องปาก🔥 สิ่งที่คุณจะได้รับ: * เจาะลึกทุกมิติของโรคในช่องปาก...
26/04/2025

🦷 โอกาสที่คุณไม่ควรพลาด! โครงการฝึกอบรมทางทันตแพทย์เวชศาสตร์ช่องปาก
🔥 สิ่งที่คุณจะได้รับ:
* เจาะลึกทุกมิติของโรคในช่องปาก การวินิจฉัย และการวางแผนการรักษาที่ซับซ้อน
* เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์จริง
* เสริมสร้างความมั่นใจในการดูแลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

🎯 เหมาะสำหรับ: ทันตแพทย์ผู้สนใจพัฒนาความรู้ความสามารถด้านเวชศาสตร์ช่องปาก
➡️ อย่ารอช้า! ที่นั่งมีจำนวนจำกัด ลงทะเบียนเลย!
รายละเอียดตามลิงค์ด้านล่างนี้นะคะ

https://www.facebook.com/share/p/1Z8Lb9qjfZ/

ประชาสัมพันธ์
คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาฯ
จัดโครงการศึกษาต่อเนื่อง
LLL - CE Excellence in Oral Mucosal Disease Management Ep. 1 รุ่นที่ 3
ลงทะเบียนด่วน จำนวนจำกัด

ลงทะเบียนที่ https://shorturl.asia/M9Br4
ดาวน์โหลดเอกสารที่ https://drive.google.com/drive/folders/1MHo6Vbw3IGWVkuu3dv_UO5r_DjcYq6Gv?usp=sharing

ข้อมูลที่ถูกต้องเรื่อง  Fluoride  จากสมาคมทันตกรรมเด็กแห่งประเทศไทยhttps://www.facebook.com/share/p/1AoKFqsCpP/
02/02/2025

ข้อมูลที่ถูกต้องเรื่อง Fluoride จากสมาคมทันตกรรมเด็กแห่งประเทศไทย
https://www.facebook.com/share/p/1AoKFqsCpP/

มีความกังวลเรื่องโทษของฟลูออไรด์ เผยแพร่ในสื่อออนไลน์ ก่อนจะกังวล เราควรศึกษาให้รู้จริงว่าคืออะไรนะคะ

แทบทุกอย่างในโลกนี้ ถ้ามีมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ก็อาจทำให้เกิดโทษ ซึ่งบางอย่างต้องใช้เวลาในการศึกษาหลายๆปีกว่าจะรู้
สำหรับฟลูออไรด์ มีการนำมาใช้และศึกษามากกว่า 100 ปี พ้น generation หนึ่งของคนแล้ว เราจึงรู้จักฟลูออไรด์ดีพอที่จะนำมาใช้ให้ได้ประโยชน์ในการป้องกันฟันผุ โดยไม่เกิดโทษของมัน

🌸ปริมาณที่แนะนำให้ใช้ในยาสีฟัน ตามภาพ เป็นปริมาณที่ปลอดภัย และห่างไกลปริมาณที่ทำให้เกิดโทษ ใช้ตามที่แนะนำช่วยป้องกันฟันผุได้ค่ะ

🌸แล้วปริมาณเท่าไรที่ทำให้เกิดโทษ (toxicity) มาดูกันชัดๆค่ะ

โทษของฟลูออไรด์ มี 2 แบบ

🍀แบบฉับพลันทันที เมื่อได้รับฟลูออไรด์ในปริมาณมาก คือ 5mg/kg ขึ้นไป จะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง

… 5 mg/kg คือ ปริมาณเท่าไร
สมมุติเด็กอายุ 6-12 เดือน หนัก 8 kg (คิดจากเด็กเล็กสุด น้ำหนักน้อย เพื่อคำนวณปริมาณต่ำสุด ที่จะเกิดโทษนะคะ)
ปริมาณที่ทำให้เด็กน้ำหนัก 8 kg คลื่นไส้อาเจียน = 40 mg Fluoride
ยาสีฟัน 1000 ppm แปลว่า ใน 1 g. ของยาสีฟัน มี ฟลูออไรด์ 1 mg.
👉🏻 นั่นคือ เด็กเล็กต้องบีบยาสีฟันออกมา 40 กรัม และทานเข้าไปทั้งหมดในคราวเดียว
ถ้าเป็นหลอดขนาด 40 g คือบีบกินทั้งหลอด

(ยาสีฟันเด็ก 1 หลอดมีขนาด 40,60,80 กรัม ยาสีฟันผู้ใหญ่ หลอดใหญ่ 1 หลอดมี 160 กรัม)
เราจึงแนะนำให้เก็บยาสีฟันห่างจากมือเด็ก และให้ผู้ใหญ่บีบยาสีฟันให้เด็กตามปริมาณที่แนะนำเสมอ

🍀 โทษจากการได้รับสะสม หากได้รับฟลูออไรด์เกิน 0.05-0.07 mg/kg ต่อวัน เป็นระยะเวลาหนึ่งจะทำให้ฟันตกกระ ที่เรียกว่า fluorosis

สมมุติเด็กอายุ 6-12 เดือน หนัก 8 kg (คิดจากเด็กเล็กสุดเช่นเดิม ถ้าเป็นเด็กโตขึ้น ปริมาณก็เพิ่มขึ้นตามน้ำหนัก)
ปริมาณที่ทำให้เกิด fluorosis ได้ = 0.4 mg Fluoride ทานเข้าไปทุกวัน
จากคำแนะนำในภาพ เด็กอายุน้อยกว่า3 ปี ให้ใช้ยาสีฟันแค่แตะแปรงพอเปียก มีปริมาณฟลูออไรด์ 0.1 mg ต่อครั้ง การแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง ก็ยังคงน้อยกว่าปริมาณที่ทำให้เกิดฟันตกกระได้ และเมื่อผู้ปกครองเช็ดยาสีฟันหลังแปรงฟัน ก็ยิ่งเหลือในช่องปากลูก น้อยมากๆที่ไม่ทำให้เกิดโทษ แต่ยังได้ประโยชน์จากฟลูออไรด์ค่ะ เด็กโตขึ้น น้ำหนักเพิ่มขึ้น ยิ่งปลอดภัยขึ้น เพราะปริมาณที่เริ่มทำให้เกิดโทษ ก็มากขึ้นตามน้ำหนัก
เมื่อเด็กควบคุมไม่กลืนยาสีฟันได้ ก็ใช้ปริมาณยาสีฟันเพิ่มขึ้นได้ และยังปลอดภัย

🍀 อาจได้เห็นข้อความที่แชร์ต่อๆกันมาว่า ฟลูออไรด์มีผลต่อไอคิว ซึ่งเมื่อหมอไปหาดูบทความต้นเรื่อง เป็นรายงานถึงหมู่บ้านในเมืองจีนที่ประชากรมีไอคิวต่ำ และพบว่ามีฟลูออไรด์ในแหล่งน้ำสูงมาก ถึง 3-5 mgขึ้นไป/ลิตร ซึ่งในการศึกษานั้นก็ไม่ได้มองดูปัจจัยอื่นๆอีก พื้นที่ที่มีแร่ฟลูออไรด์ในธรรมชาติสูงก็อาจจะมีแร่ตะกั่วหรือโลหะหนักอื่นๆอยู่สูงด้วย ซึ่งโลหะหนักเหล่านี้ก็มีผลต่อสมองได้

🌸อย่างไรก็ตาม มีการวิจัยในส่วนของฟลูออไรด์ว่า 👉🏻 ปริมาณเท่าใดที่จะมีผลต่อพัฒนาการของสมอง
พบว่า สำหรับเด็กอายุ 7 เดือน – 4 ปี ต้องได้รับในปริมาณที่เกิน 1.6 - 3.2 mgต่อวัน เป็นระยะเวลาหนึ่ง
(เด็กโตขึ้นปริมาณที่ทำให้เกิดโทษได้ ก็เพิ่มขึ้น) ซึ่งที่หมู่บ้านในประเทศจีนนั้น หากเด็กดื่มน้ำวันละ 1 ลิตร ก็อาจจะได้รับถึง 3-5 mg มีผลต่อสมองได้

🌸แต่ประเทศไทยเราไม่มีแร่ฟลูออไรด์ในแหล่งน้ำสูงขนาดนั้น ยิ่งกรุงเทพฯและปริมณฑล มีน้อยกว่า 0.3 mgต่อลิตร เด็กน้อยต้องดื่มน้ำวันละ 5-10 ลิตรกันเลย ทุกวัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้

จะมีแต่บางพื้นที่ในภาคเหนือและตะวันตกของประเทศไทย ที่มีแร่ฟลูออไรด์ในแหล่งน้ำธรรมชาติ ที่ปริมาณสูงกว่า 0.7 mgต่อลิตร
แต่ก็ยังเป็นปริมาณที่ปลอดภัยต่อสมอง
และประเทศไทยก็ไม่ได้เติมฟลูออไรด์ในน้ำประปาให้ประชาชนด้วย

🌸ส่วนปริมาณยาสีฟันที่เราใช้สำหรับเด็กเล็ก วัยก่อน 3 ขวบ ที่กังวลว่าจะกลืนเข้าไปนั้น แนะนำให้ใช้ปริมาณเท่าเมล็ดข้าวสาร มีฟลูออไรด์เพียง 0.1 mg/ครั้ง ห่างไกลปริมาณที่จะมีผลต่อสมองมากนักค่ะ
ส่วนเด็กโตควบคุมไม่กลืนยาสีฟันได้ ให้ใช้ปริมาณมากขึ้นได้ ตามภาพ

🌸 ฟลูออไรด์ช่วยป้องกันฟันผุได้จริง ทุกท่านใช้ยาสีฟันฟลูออไรด์ ตามปริมาณที่แนะนำได้อย่างสบายใจนะคะ คือ
✅ เด็กเล็ก อายุต่ำกว่า 6 ปีใช้ยาสีฟันฟลูออไรด์ 1000 ppm ปริมาณ แบ่งตามช่วงอายุ

📢ประกาศฯ เรื่อง การสมัครเข้ารับการฝึกอบรมเพื่อวุฒิบัตรของทันตแพทยสภา ประจำปีการศึกษา 2568 รอบที่ 2✅️ ช่วงเวลาการรับสมัคร...
09/01/2025

📢ประกาศฯ เรื่อง การสมัครเข้ารับการฝึกอบรมเพื่อวุฒิบัตรของทันตแพทยสภา ประจำปีการศึกษา 2568 รอบที่ 2

✅️ ช่วงเวลาการรับสมัคร 3 - 28 มีนาคม 2568

👨‍👩‍👧 จำนวนเปิดรับสมัครในแต่ละสาขาและสถาบัน
https://www.royalthaident.org/examination/train/num

📌 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
www.royalthaident.org/examination/train

19/12/2024

📌🔴 ด้วยที่พักในโรงแรมเชียงใหม่เกรนด์วิวมีจำนวนจำกัด ทำให้ผู้เข้าประชุมหลายท่านไม่สามารถจองที่พักได้ตามความประสงค์

✍️ ท่านสามารถจองที่พักบริเวณใกล้เคียง โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์วิว ดังนี้

1. Prime Square Hotel (4-star hotel) 180 เมตร (เดิน 3 นาที)
โทร. 053-215600
website: http://www.primesquarehotel.com/

2. Furama Chiang Mai (4-star hotel) 500 เมตร (เดิน 7 นาที)
โทร. 053-415222
website: http://www.furama.com/chiangmai

3. Eastin Tan Hotel Chiang Mai (4-star hotel) 600 เมตร (เดิน 9 นาที)
โทร. 052-001999
website: https://www.eastinhotelsresidences.com/eastintanchiangmai/

4. B2 Grand Nimman Premier Hotel (3-star hotel) 170 เมตร (เดิน 2 นาที)
โทร. 052-010008
website: https://www.b2hotel.com/

5. Ma Muan Budget & Boutique Chiang Mai (150 เมตร เดิน 2 นาที)
โทร. 085-1003700

Exosome และบทบาททางทันตกรรมปัจจุบันคงได้เห็นโฆษณาเกี่ยวกับ exosome มากมาย แต่หลายคนยังอาจสงสัยว่า exosome คืออะไรเพราะดู...
09/12/2024

Exosome และบทบาททางทันตกรรม

ปัจจุบันคงได้เห็นโฆษณาเกี่ยวกับ exosome มากมาย แต่หลายคนยังอาจสงสัยว่า exosome คืออะไรเพราะดูเป็นสิ่งแปลกใหม่มาก

Exosome คือสิ่งที่เซลล์ของร่างกายสร้างขึ้นมาสามารถสร้างได้จากเซลล์ทุกชนิดในร่างกาย จัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า extracellular membrane vesicle (EMV) จุดประสงค์เพื่อใช้ในการสื่อสารระหว่างเซลล์ โครงสร้างของ exosome จะเป็นถุง (vesicle) ผนังของถุงก็จะเหมือนผนังเซลล์ที่สร้างมันขึ้นมา ภายในประกอบด้วยถุงเล็กๆอีกเป็นจำนวนมาก จึงถูกเรียกว่า multivesicular body (MVB) ในถุงเล็กๆเหล่านี้จะมีทั้งหน่วยพันธุกรรม (DNA, RNA), โปรตีนที่เซลล์สร้างขึ้น เป็นต้น เมื่อเซลล์ปล่อย exosome ออกมา exosome จะไปยังเซลล์ข้างเคียงเพื่อเป็นการติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกัน ทำให้เซลล์มีการสร้างหรือยับยั้งการสร้างโปรตีนตามที่ต้องการ (รูปที่ 1)

ดังนั้น exosome จึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกหรือมหัศจรรย์เป็นพิเศษแต่อย่างใดเพราะเป็นสิ่งที่เซลล์สร้างขึ้นมาตามปกติอยู่แล้ว ประเด็นที่น่าสนใจคือเนื่องจากเป็นสิ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นมาตามธรรมชาติ ไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมที่สร้างขึ้นมาใหม่ ดังนั้นจึงมีการศึกษาวิจัยเพื่อนำเอา exosome มาใช้ทั้งการวินิจฉัยโรค (diagnosis) ติดตามโรค (disease monitoring) และรักษาโรค (therapy)

เซลล์ในร่างกายไม่ว่าจะเป็นเซลล์ผิดปกติหรือเซลล์ผิดปกติต่างก็สามารถสร้าง exosome แต่จะมีความแตกต่างขององค์ประกอบภายใน exosome เช่น เซลล์มะเร็ง เซลล์สมองที่เป็นอัลไซเมอร์ ก็จะสร้าง exosome ที่ต่างไปจากเซลล์ที่ปกติของอวัยวะนั้นๆ ดังนั้นจึงสามารถนำเอามาช่วยในการวินิจฉัยโรคได้ และสามารถช่วยติดตามผลในการรักษา ถ้าการรักษาได้ผลก็จะพบ exosome ที่ผิดปกติน้อยลง แต่ถ้าไม่ได้ผลหรือโรคกลับเป็นใหม่ (recurrent) ก็จะพบ exosome ที่ผิดปกติในปริมาณที่ไม่ต่างจากเดิมหรือมากขึ้น

ในแง่ของการรักษา มีงานวิจัยนำเอายาหรือสารที่สนใจใส่เข้าไปใน exosome โดยหวังให้ exosome เป็นพาหะ (vehicle) ในการนำพายาหรือสารนั้นไปถึงเซลล์เป้าหมาย exosome ประเภทนี้จะเรียกว่า engineered exosome ซึ่งต่างจาก natural exosome เนื่องจากเรามีการใส่สารอื่นที่ร่างกายไม่ได้สร้างเข้าไปใน exosome นั้น รวมถึงมีการเปลี่ยนแปลงผิวของ exosome เพื่อให้จำเพาะกับเซลล์เป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นจึงเหนือกว่าพาหะประเภท nanoparticle ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เพราะมีความเหมือนกับเซลล์ร่างกายมากกว่า จึงมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงหรือแพ้ยาได้น้อยกว่า ยิ่งไปกว่านั้น exosome ยังสามารถผ่าน blood-brain barrier จึงสามารถใช้ในการวินิจฉัย ติดตามโรคและรักษาโรคทางสมองหรือไขสันหลังได้

ส่วนทางทันตกรรม มีการศึกษาวิจัยโดยสกัดเอา exosome จากเลือด น้ำลาย หรือ gingival crevicular fluid (GCF) มาเป็น diagnostic biomarker ใน periodontitis, oral lichen planus (OLP), oral cancers, และ Sjögren's syndrome (รูปที่ 2)

Mesenchymal stem cell (MSC) exosome มีบทบาทในหน้ามี่การทำงานของ dental pulp cell ทั้งในเรื่อง migration, proliferation, และ odontogenic differentiation จึงช่วยส่งเสริม dental pulp regeneration ดังผลที่รายงานจากการศึกษาในหนูที่มี pulp defect

โรคที่กำลังมีการวิจัยเพื่อนำเอามาใช้ในการวินิจฉัยและติดตามโรคได้แก่ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน ส่วนในการรักษาเช่น โรคตับ โรคหัวใจ โรคทางระบบประสาท ใช้ซ่อมแซมกระดูกอ่อนและเนื้อเยื่อ ใช้ซ่อมแซมความเสื่อมของผิวหนังเพื่อช่วยชะลอวัย ใช้เพื่อเป็นตัวช่วยกระตุ้นภูมิต้านทานของร่างกายในวัคซีน (adjuvant) ที่ปลอดภัยกว่า nanoparticle ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ exosome ยังเป็นแค่ผลผลิตจากเซลล์แต่ไม่ใช่ตัวเซลล์จริง ดังนั้นจึงมีความปลอดภัยมากกว่าการใช้สเต็มเซลล์ (cell-free therapy)

ถึงแม้ว่า exosome ดูจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจและเป็นความหวังทางการแพทย์ แต่ก็ยังมีปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขเพื่อที่จะสามารถนำเอา exosome มาใช้ในชีวิตจริง ได้แก่

1. exosome เสื่อมสภาพได้เร็วมาก ดังนั้นต้องหาการเก็บรักษาที่ดีถ้าจะนำมาใช้จริงๆ ตามทฤษฎีแนะนำให้เก็บไว้ในตู้แช่ -80 องศาเซลเซียสเหมือนพวก mRNA vaccine แต่ก็ไม่สะดวกในทางปฏิบัติ ดังนั้นปัจจุบันจึงพยายามพัฒนา ให้สามารถเก็บในรูป freeze-drying ซึ่งทำได้ไม่ง่ายเพราะกระบวนการในการทำให้ปลอดเชื้อก็จะทำให้ exosome เสียสภาพได้
2. การเก็บและแยก exosome ในปัจจุบันนี้ยังได้ผลผลิตที่น้อยเกินไป ทำให้ยากที่จะเอามาใช้เป็นอุตสาหกรรมในวงกว้างได้
3. exosome ที่แยกได้ยังไม่บริสุทธิ์เท่าที่ควรจะเป็นที่จะนำมาใช้จริง
4. ยังไม่สามารถทำ exosome ให้สามารถ จำเพาะต่อเซลล์เป้าหมายได้แม่นยำ 100%

ดังนั้นถ้าสามารถแก้ไขข้อจำกัดดังกล่าวข้างบนได้ มีโอกาสที่ exosome จะเป็น disruption ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ในอนาคตอันใกล้

เรียบเรียงโดย นพ.ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริ
วว. (ตจวิทยา)
PhD (Immunology)

Reference :

1. Xing X, Han S, Li Z, Li Z. Emerging role of exosomes in craniofacial and dental applications. Theranostics. 2020 Jul 9;10(19):8648-8664.
2. Shi J, Teo KYW, Zhang S, Lai RC, Rosa V, Tong HJ. et al. Mesenchymal stromal cell exosomes enhance dental pulp cell functions and promote pulp-dentin regeneration. Biomaterials and Biosystems. 2023;11,100078.
3. Kalluri R, Lebleu VS. The biology, function, and biomedical applications of exosomes. Science. 2020 Feb 7;367:6478.

01/11/2024

Management of OPMDs

ถึงแม้ว่าสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งช่องปากยังไม่แน่ชัด แต่กลับพบว่าโรคมะเร็งช่องปากบางส่วนนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงมาจาก oral potentially malignant disorders ดังนั้นการตรวจวินิจฉัยอย่างถูกต้องแม่นยำตั้งแต่ระยะเริ่มแรก รวมถึงการวางแผนการรักษา oral potentially malignant disorders อย่างเหมาะสม จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยลดอุบัติการณ์ในการเกิดโรคมะเร็งช่องปากลงได้
การวางแผนการรักษา

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่ารอยโรคในกลุ่ม oral potentially malignant disorders เป็นรอยโรคที่มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นโรคมะเร็งค่อนข้างสูง ดังนั้นแผนการดูแลรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้จึงเป็นการป้องกันทั้งการเกิด recurrence ของโรคที่ได้รักษาเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วและการลดโอกาสในการเพิ่มจำนวนของรอยโรคที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งช่องปาก รวมถึงลดภาวะวิกลวิการจากการลุกลามของรอยโรคจนกลายไปเป็นโรคมะเร็ง

ขั้นตอนการวางแผนการรักษาผู้ป่วยรอยโรคที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งประกอบด้วย
1. Risk factors assessment
2. Clinical observation
3. Treatment

การประเมินปัจจัยเสี่ยง (risk factors assessment)
นอกจากการประเมินพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันแล้วจำเป็นต้องประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งช่องปากจากลักษณะและตำแหน่งของรอยโรคที่ปรากฏในช่องปากร่วมด้วย เมื่อทำการประเมินและพบปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ต่อการเกิดโรคมะเร็งในผู้ป่วยรอยโรคที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งจำเป็นที่จะต้องชี้ให้ผู้ป่วยเห็นและตระหนักถึงความสำคัญ พร้อมทั้งทำการแก้ไขปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ส่วนรอยโรคที่มีลักษณะหรืออยู่ในตำแหน่งที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งช่องปากจำเป็นจะต้องวางแผนการรักษาให้เหมาะสม เพื่อให้แผนการรักษาประสบความสำเร็จและป้องกันการกลับมาเกิดโรคซ้ำอีกในรายที่รักษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Clinical observation
เมื่อตรวจพบพยาธิสภาพ รอยโรค หรือความผิดปกติที่มีลักษณะคล้ายรอยโรคที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งขึ้นในช่องปากจำเป็นต้องเริ่มด้วยการหาสาเหตุหรือปัจจัยที่อาจทำให้เกิดรอยโรคขึ้นเป็นอันดับแรก เมื่อตรวจพบสาเหตุหรือปัจจัยที่อาจทำให้เกิดความผิดปกติขึ้นเริ่มแรกจึงต้องทำการกำจัดสาเหตุหรือปัจจัยเหล่านั้นออกก่อน หลังจากนั้นจะต้องทำการนัดผู้ป่วยกลับมาตรวจวินิจฉัยซ้ำเพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของรอยโรคภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์ หากรอยโรคนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่รุนแรงมากขึ้นหรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ควรที่จะพิจารณาทำการตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจลักษณะทางจุลพยาธิวิทยาต่อไป

การนัดผู้ป่วยกลับมาตรวจซ้ำเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของรอยโรคขึ้นอยู่กับผลการประเมินปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในช่องปาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งลักษณะทางคลินิกของรอยโรครวมถึงความรุนแรงของเซลล์ในชั้น epithelium ที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบ dysplastic change ซึ่งเมื่อพบรอยโรคที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นโรคมะเร็งช่องปากจำเป็นที่จะนัดผู้ป่วยกลับมาเพื่อตรวจวินิจฉัยซ้ำเร็วขึ้นกว่าปกติ

การรักษา (treatment)
เมื่อพบรอยโรคที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคมะเร็งช่องปากหรือรอยโรคที่การเปลี่ยนแปลงในทางที่แย่ลงหลังการนัดผู้ป่วยกลับมาตรวจติดตามการเปลี่ยนแปลงของรอยโรคจำเป็นต้องพิจารณากำจัดพยาธิสภาพ รอยโรค หรือความผิดปกติที่เกิดขึ้นออกทั้งหมดเพื่อลดโอกาสเสี่ยงต่อการกลายเป็นโรคมะเร็งช่องปาก ซึ่งในปัจจุบันนอกเหนือจากวิธีการผ่าตัดแบบที่ใช้กันอยู่โดยทั่วไปแล้วยังมีวิธีการรักษาอื่น ๆ อีกมากมายหลายวิธี อย่างไรก็ตามการวางแผนการรักษานั้นจะต้องคำนึงถึงผลดีผลเสีย รวมถึงการอธิบายให้คนไข้ทราบอย่างชัดเจนว่า รอยโรคที่ตัดออกไปนั้นมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำใหม่ได้ ซึ่งจำเป็นต้องกลับรับการตรวจวินิจฉัยซ้ำเพื่อติดตามผลการรักษาเป็นระยะ ๆ

ปัจจัยหลักที่มีส่วนช่วยให้การรักษาโรคมะเร็งให้ประสบความสำเร็จนั้นก็คือ การตรวจวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้องและวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสมตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ดังนั้นเมื่อพบ oral potentially malignant disorders จำเป็นจะต้องมีการวางแผนการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม หากมีเปลี่ยนแปลงของรอยโรคคล้ายกับโรคมะเร็ง จะได้ให้การดูแลรักษาได้ทันท่วงที ซึ่งจะมีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยให้การรักษานั้นประสบความสำเร็จและมีพยากรณ์โรคที่ดียิ่งขึ้น

เอกสารอ้างอิง
1. Warnakulasuriya S. Oral potentially malignant disorders: A comprehensive review on clinical aspects and management. 2020 Mar;102:104550.
2. Kalavrezos N, Scully C. Mouth Cancer for Clinicians Part 6: Oral potentially Malignant Disorders. Dent Update. 2015 Nov; 42: 866-8, 871-4, 877.
3. Thomson P. Oral precancer: Diagnosis and management of Potentiallly Malignant Disorders: Wiley-blackwell; 2012.
4. van der Waal I. Oral potentially malignant disorders of the oral and oropharyngeal mucosa; present concepts of management. Oral Oncol. 2010 Jun; 46: 423-5.

การให้การวินิจฉัยโรคของเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปาก      หลักในการให้การวินิจฉัยโรคของเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปาก มีลักษณะขั้นตอน...
04/10/2024

การให้การวินิจฉัยโรคของเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปาก

หลักในการให้การวินิจฉัยโรคของเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปาก มีลักษณะขั้นตอนคล้ายคลึงกับการให้การวินิจฉัยโรคของฟันโดยทั่วไป เริ่มตั้งแต่
1. การซักประวัติอย่างครอบคลุมทั้งประวัติและลักษณะของอาการและอาการแสดงในช่องปากไปจนถึงโรคประจำตัวของผู้ป่วย และยาที่ใช้ (ทั้งรูปแบบรับประทานและเฉพาะที่)
2. การตรวจภายนอกช่องปากอย่างละเอียดเพื่อประเมินว่ารอยโรคดังกล่าวเป็นผลจากโรคทางระบบหรือยาที่ผู้ป่วยใช้ หรือเป็นโรคที่มีอาการแสดงทางผิวหนังหรือเยื่อเมือกบริเวณอื่นร่วมด้วยหรือไม่
3. การตรวจภายในช่องปาก โดยตรวจทั้งฟันและเนื้อเยื่ออ่อน เพื่อประเมินว่ารอยโรคของเนื้อเยื่ออ่อนมีสาเหตุมาจากฟันหรือไม่ จากนั้นทำการตรวจเนื้อเยื่ออ่อน โดยดูจำนวน (รอยโรคเดี่ยวหรือหลายรอยโรค) สี ขนาด ขอบเขต และพื้นผิวของรอยโรค รวมถึงความสัมพันธ์กับเนื้อเยื่อข้างเคียง นอกจากนี้ควรทำการคลำเพื่อประเมินว่าโรคดังกล่าวอยู่แค่บริเวณพื้นผิวหรือลึกไปยังเนื้อเยื่อด้านล่าง
4. กรณีที่สามารถให้การวินิจฉัยโรคได้จากการซักประวัติและตรวจทางคลินิก ตัวอย่างเช่นสามารถเช็ดรอยโรคสีขาวออกมาได้ เหลือเป็นพื้นแดงอยู่บริเวณพื้นผิว สามารถนำมาย้อม KOH เพื่อยืนยันการติดเชื้อ Pseudomembranous candidiasis หรือเป็นรอยโรคสีขาวที่อยู่บริเวณที่สัมผัสกับขอบฟันที่คม สามารถลองลบคมของฟันแล้วติดตามผลว่าเป็น frictional keratosis หรือไม่
5. อย่างไรก็ตามมีรอยโรคที่ไม่สามารถให้การวินิจฉัยทางคลินิกเพียงอย่างเดียวได้ จึงมีความจำเป็นจะต้องทำการตัดชิ้นเนื้อออกมาเพื่อให้การวินิจฉัยทางจุลพยาธิวิทยา ทั้งนี้การตัดชิ้นเนื้อไปตรวจมีสองแบบได้แก่ การตัดชิ้นเนื้อบางส่วน (incisional biopsy) และการตัดชิ้นเนื้อทั้งหมด (excisional biopsy)

ข้อบ่งชี้ของการตัดชิ้นเนื้อบางส่วนได้แก่การที่รอยโรคมีขนาดใหญ่กว่า 1 เซนติเมตร รอยโรคที่สงสัยว่าเป็นเนื้อร้าย หรือรอยโรคที่อาจต้องรับการรักษาที่ไม่ใช่การผ่าตัด เช่น รักษาด้วยยา เป็นต้น หากกรณีที่รอยโรคมีขนาดเล็กกว่า 1 เซนติเมตร และสามารถรักษาได้โดยการตัดชิ้นเนื้อออกทั้งหมดได้สามารถทำ excisional biopsy ได้
ทั้งนี้ ลักษณะของชิ้นเนื้อที่เหมาะสมสำหรับการรับการวินิจฉัยทางจุลพยาธิวิทยา มีดังนี้
1. ควรเป็นชิ้นเนื้อที่มีขนาดอย่างน้อย 0.5 เซนติเมตร หรือขนาดใหญ่กว่าหากรอยโรคมีขนาดใหญ่
2. กรณีที่รอยโรคเป็นแผล ไม่ควรตัดตำแหน่งที่เป็นแผลมาทั้งหมด แต่ควรตัดบริเวณรอยต่อของแผลกับเนื้อเยื่อปกติ
3. ควรตัดชิ้นเนื้อให้มีความลึกที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ตัดโดยความลึกประมาณ 2-3 มิลลิเมตรเป็นอย่างน้อย หากรอยโรคมีลักษณะเป็นก้อนควรมีความลึกประมาณ 5 มิลลิเมตรเป็นอย่างน้อย
4. การตัดชิ้นเนื้อด้วย electrocautery ต้องอาศัยความชำนาญและเทคนิคการตัดที่เหมาะสม เพราะอาจก่อให้เกิด cautery artifacts ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์และเนื้อเยื่อฉีกขาด (ดังรูปซ้าย) ส่งผลต่อการแปลผลทางจุลพยาธิวิทยาได้
5. ชิ้นเนื้อที่ได้ควรทำการแช่ในน้ำยาฟอร์มาลีน 10% ทันที เพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายของเนื้อเยื่อซึ่งจะส่งผลต่อการแปลผลทางจุลพยาธิวิทยา ควรหลีกเลี่ยงการแช่ชิ้นเนื้อในน้ำเกลือ (normal saline solution) เนื่องจากก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเซลล์ และปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อรา (ดังรูปขวา) ทำให้ไม่สามารถประเมินลักษณะทางจุลพยาธิวิทยาได้ หากไม่มีน้ำยาฟอร์มาลีน 10% สามารถแช่ชิ้นเนื้อในแอลกอฮอล์ความเข้มข้นสูงได้ชั่วคราว แล้วเปลี่ยนมาแช่น้ำยาฟอร์มาลีน 10% ทันที
6. ควรระบุชื่อผู้ป่วยและตำแหน่งของชิ้นเนื้อที่ภาชนะใส่ชิ้นเนื้ออย่างชัดเจน
7. กรณีของชิ้นเนื้อที่ได้รับการทำ excisional biopsy และต้องการดู surgical margin ควรมีสัญลักษณ์เพื่อระบุด้านของชิ้นเนื้อที่ตัด เช่น ใช้ไหมผูก และให้ข้อมูลโดยเขียนอธิบายหรือวาดภาพประกอบในใบส่งตรวจชิ้นเนื้อ

เอกสารอ้างอิง
1. Oliver RJ, Sloan P, Pemberton MN. Oral biopsies: methods and applications. Br Dent J. 2004;196(6):329-33.
2. Nikitakis NG. Oral soft tissue lesions: A guide to differential diagnosis Part II: Surface alterations. Braz J Oral Sci. 2005;4(13):707-715.
3. Lam-ubol A, Kitrueangphatchara K, et al. Nonformalin Fixative Agents: A Comparative Study of Fixative Efficacy and Histomorphology. Int J Surg Pathol. 2018;26(8):701-706.

ชมรมวิทยาการวินิจฉัยโรคช่องปากแห่งประเทศไทย ร่วมกับ ชมรมรอยโรคช่องปากแห่งประเทศไทย 📣 ขอเชิญชวนสมาชิก ทันตแพทย์ทั่วไป นิส...
30/09/2024

ชมรมวิทยาการวินิจฉัยโรคช่องปากแห่งประเทศไทย ร่วมกับ ชมรมรอยโรคช่องปากแห่งประเทศไทย 📣 ขอเชิญชวนสมาชิก ทันตแพทย์ทั่วไป นิสิตนักศึกษาทันตแพทย์ทุกระดับ และบุคลากรทางแพทย์ที่สนใจ เข้าร่วมงานประชุมวิชาการครั้งที่ 1/2568
👉 เรื่อง "Redefining Oral Health: Emerging Topics in Diagnostic Sciences - ก้าวทันโรคช่องปากกับศาสตร์วินิจฉัย" 🤩
📌 วันที่ 3-4 กุมภาพันธ์ 2568 ณ Chiang Mai Grandview Convention Center จังหวัดเชียงใหม่
✅ ลงทะเบียนล่วงหน้า Early-bird registration (ภายใน 31 ธันวาคม 2567) ✍️
https://forms.office.com/r/F0vKc7HcSa
📩 ดาวน์โหลดหนังสือเชิญประชุม https://cmu.to/CE2025invitation
และขอเชิญร่วมงานมุทิตาจิตเนื่องในโอกาสเกษียณอายุราชการของ
ศ.(เชี่ยวชาญพิเศษ) ดร.ทพ. อะนัฆ เอี่ยมอรุณ และ ศ.ดร.ทพ. สิทธิชัย วนจันทรรักษ์
สังกัดภาควิชาชีววิทยาช่องปากและวิทยาการวินิจฉัยโรคช่องปาก คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ค่าลงทะเบียนงานมุทิตาจิต 600 บาท)
🧑🏻‍💻 ลงทะเบียนงานมุทิตาจิต https://forms.office.com/r/6egQ3Qj70z
สำหรับผู้สนใจสนับสนุนงานประชุมสามารถติดต่อคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ได้ที่ ce-thaioraldiag2025@outlook.com
ติดตามข่าวสารประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับงานประชุมได้ทาง FB page ชมรมวิทยาการวินิจฉัยโรคช่องปาก และ FB page ชมรมรอยโรคช่องปากแห่งประเทศไทย
แล้วพบกันครับบบ 😀🥰

ชมรมวิทยาการวินิจฉัยโรคช่องปากแห่งประเทศไทย ร่วมกับ ชมรมรอยโรคช่องปากแห่งประเทศไทย 📣 ขอเชิญชวนสมาชิก ทันตแพทย์ทั่วไป นิสิตนักศึกษาทันตแพทย์ทุกระดับ และบุคลากรทางแพทย์ที่สนใจ เข้าร่วมงานประชุมวิชาการครั้งที่ 1/2568
👉 เรื่อง "Redefining Oral Health: Emerging Topics in Diagnostic Sciences - ก้าวทันโรคช่องปากกับศาสตร์วินิจฉัย" 🤩
📌 วันที่ 3-4 กุมภาพันธ์ 2568 ณ Chiang Mai Grandview Convention Center จังหวัดเชียงใหม่

✅ ลงทะเบียนล่วงหน้า Early-bird registration (ภายใน 31 ธันวาคม 2567) ✍️
https://forms.office.com/r/F0vKc7HcSa

📩 ดาวน์โหลดหนังสือเชิญประชุม https://cmu.to/CE2025-invitation

และขอเชิญร่วมงานมุทิตาจิตเนื่องในโอกาสเกษียณอายุราชการของ
ศ.(เชี่ยวชาญพิเศษ) ดร.ทพ. อะนัฆ เอี่ยมอรุณ และ ศ.ดร.ทพ. สิทธิชัย วนจันทรรักษ์
สังกัดภาควิชาชีววิทยาช่องปากและวิทยาการวินิจฉัยโรคช่องปาก คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ค่าลงทะเบียนงานมุทิตาจิต 600 บาท)
🧑🏻‍💻 ลงทะเบียนงานมุทิตาจิต https://forms.office.com/r/6egQ3Qj70z

สำหรับผู้สนใจสนับสนุนงานประชุมสามารถติดต่อคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ได้ที่ ce-thaioraldiag2025@outlook.com

ติดตามข่าวสารประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับงานประชุมได้ทาง FB page ชมรมวิทยาการวินิจฉัยโรคช่องปาก และ FB page ชมรมรอยโรคช่องปากแห่งประเทศไทย

แล้วพบกันครับบบ 😀🥰

11/09/2024
ข่าวประชาสัมพันธ์ จาก ฝ่ายบัณฑิตศึกษา คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย📣คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาฯ รับสมัครผู้สนใจเข้...
04/09/2024

ข่าวประชาสัมพันธ์ จาก ฝ่ายบัณฑิตศึกษา คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

📣คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาฯ รับสมัครผู้สนใจเข้าศึกษาต่อหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา ภาคการศึกษาต้น ปีการศึกษา 2568 📚
🗓ช่วงเวลารับสมัคร: 2 กันยายน 2567 - 29 พฤศจิกายน 2567
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.dent.chula.ac.th/en/grad/admission

📣Admission in Graduate Studies, Faculty of Dentistry, CU
First Semester, Academic Year 2025 📚
🗓Application period: 2 September 2024 - 29 November 2024
For More Details www.dent.chula.ac.th/en/grad/admission

💜มาเป็นครอบครัวDentChulaกันนะคะ
#จุฬา #คณะทันตแพทยศาสตร์

Active recruitment is now open to all students from around the world who are interested in pursuing the advanced education at the Faculty of Dentistry,

รอยโรคสีขาวปนแดงในช่องปาก (White and red lesions of oral mucosa)รอยโรคสีขาวปนแดงในช่องปากเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่...
03/09/2024

รอยโรคสีขาวปนแดงในช่องปาก (White and red lesions of oral mucosa)
รอยโรคสีขาวปนแดงในช่องปากเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ การติดเชื้อราในช่องปาก โรคที่เกี่ยวข้องกับภูมิต้านทานต่อตนเองหรือเป็นกลุ่มรอยโรคก่อนมะเร็ง โดยกรณีพบรอยโรคสีขาวปนแดงในช่องปาก อาจนึกถึงรอยโรคดังต่อไปนี้
- รอยโรคที่มีการอักเสบที่เกิดจากการกระตุ้น (Reactive inflammatory lesions) เช่น ปากอักเสบเหตุนิโคติน (Nicotinic stomatitis)
- การติดเชื้อ เช่น เชื้อราในช่องปาก
- อีริโทรเพลเคีย (Erythroplakia)
- รอยโรคไลเคนแพลนัสในช่องปาก (Oral lichen planus)
- รอยโรคไลเคนอยด์ (Lichenoid reactions)
- ลูปัส อีริทีมาโตซัส (Lupus erythematosus)
- รอยโรคอื่น เช่น ลิ้นแผนที่ (Geographic tongue)
อย่างไรก็ตามในที่นี้จะขอกล่าวถึงรอยโรคสีขาวปนแดงที่พบได้บ่อย ได้แก่
1. การติดเชื้อราในช่องปาก (Oral Candidiasis)
การติดเชื้อราในช่องปากรูปแบบที่พบได้บ่อย คือ Pseudomembranous Candidiasis รอยโรคชนิดนี้มักสัมพันธ์กับการติดเชื้อแคนดิดา อัลบิแคนส์ (Candida Albicans) ลักษณะทางคลินิกจะพบเป็นแผ่นคราบสีขาวปกคลุมเยื่อเมือกช่องปาก สามารถเช็ดถูออกได้ เมื่อเช็ดออกจะพบเยื่อบุด้านใต้อาจมีสีแดง สามารถพบในตำแหน่งใดก็ได้ในช่องปาก พบบ่อยที่บริเวณกระพุ้งแก้ม เพดานปาก และด้านบนของลิ้น ผู้ป่วยอาจมีอาการแสบร้อน หรือมีการรับรสผิดปกติไป ปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อราชนิดนี้ เช่น การใช้ยาสเตียรอยด์ทั้งชนิดทาเฉพาะที่และชนิดรับประทาน การใช้ยาปฏิชีวนะชนิดที่มีการออกฤทธิ์อย่างกว้างขวาง (broad spectrum antibiotic) ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเอดส์ และผู้ที่ได้รับยาเคมีบำบัดหรือรับประทานยากดภูมิคุ้มกัน เป็นต้น การวินิจฉัยโรคได้จากการซักประวัติและตรวจดูลักษณะทางคลินิก หรือทำการขูดบริเวณเนื้อเยื่อที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ
2. รอยโรคไลเคนแพลนัส (oral lichen planus)
ไลเคนแพลนัสจัดอยู่ในกลุ่มโรคเรื้อรังชนิดหนึ่งของผิวหนังและเยื่อเมือก พบมากในวัยกลางคน เพศหญิงมากกว่าเพศชาย มีลักษณะทางคลินิกได้หลายรูปแบบ โดยสามารถพบเป็นรอยแดง ซึ่งจัดเป็นชนิดฝ่อลีบหรือพบเป็นแผลถลอก ร่วมกับรอยขาวที่มีลักษณะเป็นร่างแห รอยโรคมักพบที่บริเวณกระพุ้งแก้ม ลิ้นและเหงือก พบได้หลายตำแหน่งในช่องปาก โดยรอยโรคไลเคนแพลนัสในช่องปากที่คงอยู่เป็นระยะเวลานานโดยไม่ได้รับการรักษามีโอกาสเปลี่ยนเป็นมะเร็งในช่องปากได้ โดยเฉพาะชนิดแผลถลอกและชนิดฝ่อลีบ ดังนั้นการให้การวินิจฉัย รักษาและติดตามอาการเป็นสิ่งสำคัญ ควรมีการตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจทางพยาธิวิทยาและอาจส่งตรวจด้วยวิธีอิมมูโนฟลูออเรสเซนต์ทางตรงเพื่อช่วยในการวินิจฉัยร่วมด้วย
3. รอยโรคไลเคนอยด์ (Oral lichenoid lesion)
เป็นคำที่ใช้เรียกรอยโรคที่มีลักษณะทางคลินิกและจุลพยาธิวิทยาที่คล้ายคลึงกับรอยโรคไลเคนแพลนัสในช่องปาก แต่มีสาเหตุการเกิดโรคที่แตกต่างกัน โดยรอยโรคไลเคนอยด์ อาจสัมพันธ์กับการแพ้วัสดุทาง
ทันตกรรม หรือการได้รับยารักษาโรคทางระบบ สำหรับ Oral lichenoid contact lesion เป็นรอยโรคไลเคนอยด์ที่พบในบริเวณเนื้อเยื่อที่สัมผัสหรือใกล้ชิดกับวัสดุที่เป็นสาเหตุ โดยมีรายงานสัมพันธ์กับวัสดุอุดฟันชนิดอะมัลกัม หรือครอบฟันโลหะ ส่วน Oral lichenoid drug reaction เป็นรอยโรคที่มีความสัมพันธ์กับการได้รับยารักษาโรคทางระบบ ยาที่มีรายงานว่ามีความสัมพันธ์กับการเกิดรอยโรคไลเคนอยด์ในช่องปาก ได้แก่ ยาลดความดัน (Antihypertensive Drug) และต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroid Anti-Inflammatory Drug (NSAIDs)) การวินิจฉัยรอยโรคชนิดนี้ได้จากการซักประวัติ ตรวจดูลักษณะทางคลินิก ร่วมกับตรวจทางจุลพยาธิวิทยา ในกรณีหากสงสัยว่ามีการแพ้วัสดุทางทันตกรรม อาจพิจารณาส่งตรวจการทดสอบปฏิกิริยาการแพ้ (patch test) โดยเมื่อเปลี่ยนวัสดุทางทันตกรรมที่ก่อให้เกิดการแพ้แล้วรอยโรคจะหายไปหรือมีลักษณะดีขึ้น
4. รอยโรคสีขาวปนแดงที่ไม่ทราบสาเหตุหรืออีรีโทรลิวโคเพลเคีย (Erythroleukoplakia)
จัดอยู่ในกลุ่มโรคลิวโคเพลเคีย (leukoplakia) ชนิดนอนโฮโมจีเนียส (non-homogenous leukoplakia) โดยอีริโทรลิวโคเพลเคีย มีลักษณะทางคลินิกเป็นรอยขาวปนแดงบนเยื่อบุช่องปาก โดยมักพบรอยโรคที่ลิ้นและกระพุ้งแก้ม รอยโรคชนิดนี้มีโอกาสเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงเป็นมะเร็งช่องปากสูง สาเหตุการเกิดโรคยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่พบว่าการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยส่งเสริมให้เกิดรอยโรคได้การวินิจฉัยโรคควรทำการตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจทางจุลพยาธิวิทยาเพื่อการวินิจฉัยแยกโรคจากรอยโรคอื่นๆที่สงสัยและเพื่อตรวจหาการเปลี่ยนแปลงไปเป็นมะเร็งช่องปาก

References
1. Warnakulasuriya S. White, red, and mixed lesions of oral mucosa: A clinicopathologic approach to diagnosis. Periodontol 2000. 2019;80(1):89-104.
2. Warnakulasuriya S. Clinical features and presentation of oral potentially malignant disorders. Oral Surg Oral Med Oral Pathol Oral Radiol. 2018 Jun;125(6):582-590.
3. Warnakulasuriya S, Ariyawardana A. Malignant transformation of oral leukoplakia: a systematic review of observational studies. J Oral Pathol Med. 2016 Mar;45(3):155-66.

ความรู้เกี่ยวกับรอยโรคสีแดงในช่องปาก สำหรับทันตแพทย์ทั่วไป (Erythroplakia for general dentists)        รอยโรคสีแดง หรือ ...
02/08/2024

ความรู้เกี่ยวกับรอยโรคสีแดงในช่องปาก สำหรับทันตแพทย์ทั่วไป (Erythroplakia for general dentists)

รอยโรคสีแดง หรือ Erythroplakia เป็นหนึ่งในกลุ่มความผิดปกติเสี่ยงมะเร็งช่องปาก (Oral potentially malignant disorders, OPMD) โดยเมื่อตรวจทางคลินิกแล้ว ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นโรค หรือ เป็นความผิดปกติที่มีลักษณะเป็นรอยแดงชนิดใดๆ ได้
Erythroplakiaเป็นรอยโรคที่พบได้น้อย โดยมีความชุกของการเกิดโรคประมาณ 0.02% - 0.83% ในขณะที่มีโอกาสเปลี่ยนเป็นมะเร็งที่สูงถึงประมาณ 14% - 50% ซึ่งมีความเสี่ยงมากกว่ารอยโรคที่อาจเปลี่ยนเป็นมะเร็งชนิดอื่น ๆ อย่างเช่น รอยโรคสีขาว (Leukoplakia) หรือ submucous fibrosis

ช่วงอายุที่มักพบรอยโรค คือ ในกลุ่มผู้ป่วยอายุในช่วง 40-70 ปีพบได้ในเพศชายและเพศหญิงพอ ๆ กัน หรือ พบในเพศชายมากกว่าเล็กน้อย โดยปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดรอยโรคยังไม่ชัดเจน จากการเก็บข้อมูลในผู้ป่วยหลายรายพบว่าอาจมีความสัมพันธ์ของการเกิดรอยโรค กับ ประวัติการดื่มแอลกอฮอล์หนัก หรือ การสูบบุหรี่จัด

อาการ และ ลักษณะทางคลินิก

Erythroplakia จะพบลักษณะทางคลินิกเป็นรอยผื่นราบสีแดง หรือ ปื้นสีแดง ลักษณะผิวเรียบเสมอพื้นผิวโดยรอบ หรือ อาจเป็นรอยกดกว่าพื้นผิวโดยรอบเล็กน้อย ในบางกรณีอาจมีพื้นผิวที่เป็น ตุ่มเล็กๆ (granular lesion) มักเป็นรอยโรคเดี่ยว มีขอบเขตชัดเจน รูปร่างไม่แน่นอน (irregular shape) ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ แต่ในบางรายอาจมีอาการแสบร้อน หรือ ระคายเคือง เมื่อถูกสัมผัส เมื่อรับประทานอาหารรสจัด หรือ เวลาดื่มเครื่องดื่มร้อน โดยพบได้ในทุกบริเวณในช่องปาก
มีหลายการศึกษารายงานว่าพบ erythroplakia ได้บ่อยที่บริเวณเพดานอ่อน ส่วนบริเวณอื่น ๆ ที่สามารถพบได้ เช่น ด้านใต้และด้านข้างของลิ้น พื้นช่องปาก และ กระพุ้งแก้ม
เนื่องจาก erythroplakia ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ จึงทำให้ตรวจเจอได้ช้า และ เมื่อตรวจเจอ ผลทางจุลพยาธิวิทยาส่วนใหญ่จะเป็น high-graded epithelial dysplasia หรือ squamous cell carcinoma ไปแล้ว ดังนั้น ทันตแพทย์จึงควรให้ความสำคัญในการตรวจเยื่อเมือกในช่องปากโดยละเอียดในการตรวจสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยทุกครั้ง (oral cancer screening)

การวินิจฉัย และวินิจฉัยแยกโรค

จากคำจำกัดความของ erythroplakia ว่าเป็นรอยโรคสีแดงที่ไม่เข้ากับลักษณะของโรคอื่น ๆ หรือ ไม่สามารถอธิบาย หรือ หาสาเหตุของการเกิดรอยโรคได้ ดังนั้น จุดสำคัญแรกที่ทันตแพทย์ควรคำนึงถึงคือ การประเมินประวัติ และ อาการของผู้ป่วย ร่วมกับลักษณะของรอยโรคสีแดงที่พบ เพื่อทำการตัดความเป็นไปได้ของการที่รอยโรคสีแดงนั้นจากอาการแสดงของโรคอื่น ๆ ได้แก่ รอยโรคสีแดงที่เกิดจากการอักเสบ ภาวะภูมิไวเกิน ภาวะภูมิแพ้ตัวเอง การติดเชื้อ การบาดเจ็บ และ รอยโรคที่เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือด
นอกจากนี้ ลักษณะของรอยโรค erythroplakia ที่เป็นรอยผื่นราบสีแดง มีขอบเขตชัดเจน และมักเป็นรอยโรคเดี่ยว ก็มีส่วนช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคจากโรคที่มีลักษณะเป็นรอยโรคสีแดงที่กระจายเป็นวงกว้าง หรือ มีหลายตำแหน่งได้เช่นกัน
โรคที่ควรนำมาพิจารณาวินิจฉัยแยกโรคจาก erythroplakiaได้แก่
-การติดเชื้อราแคนดิดาในช่องปากชนิด erythematous candidiasis
-โรคปากอักเสบจากฟันเทียม (denture-associated stomatitis)
-ลิ้นแผนที่ (geographic tongue/ erythema migrans)
-ไลเคนแพลนัส (lichen planus)
-รอยแผลถลอกจากการบาดเจ็บ การอักเสบ หรือ การติดเชื้ออื่นๆ

การจัดการ

เมื่อตรวจพบรอยโรคสีแดงที่น่าสงสัย เบื้องต้นทันตแพทย์ควรทำการตัดความเป็นไปได้ของการเป็นโรคอื่นๆ หรือ ลองกำจัดสาเหตุที่อาจเกี่ยวข้องกับรอยโรค หากรอยโรคสีแดงนั้นไม่ตอบสนองต่อการรักษาในเวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ ทันตแพทย์ควรพิจารณาส่งตรวจชิ้นเนื้อ
การให้ข้อมูลกับผู้ป่วยด้วยการสื่อสารที่เหมาะสมเกี่ยวกับ erythroplakia และการดำเนินของโรค เป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญในการดูแลและจัดการผู้ป่วย ช่วยให้นำไปสู่การให้ความร่วมมือของผู้ป่วยในการลดปัจจัยที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับรอยโรค เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ การติดตามรอยโรคเป็นระยะอย่างสม่ำเสมอ
ทันตแพทย์ควรมุ่งเน้นที่การตรวจ และวินิจฉัย erythroplakia ให้ได้ถูกต้องแม่นยำ รวมทั้งกลุ่มความผิดปกติเสี่ยงมะเร็งช่องปากที่อาจเปลี่ยนเป็นมะเร็งอื่นๆ ตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัย การป้องกัน และ การรักษาได้อย่างเหมาะสม เพื่อลดโอกาสเปลี่ยนไปเป็นมะเร็งของรอยโรคในกลุ่มนี้

เอกสารอ้างอิง
1) Warnakulasuriya, S., Kujan, O., Aguirre-Urizar, J. M., Bagan, J. V., González-Moles, M. Á., Kerr, A. R., Lodi, G., Mello, F. W., Monteiro, L., Ogden, G. R., Sloan, P., & Johnson, N. W. (2021). Oral potentially malignant disorders: A consensus report from an international seminar on nomenclature and classification, convened by the WHO Collaborating Centre for Oral Cancer. Oral diseases, 27(8), 1862–1880. https://doi.org/10.1111/odi.13704
2) Öhman, J., Zlotogorski-Hurvitz, A., Dobriyan, A. et al. Oral erythroplakia and oral erythroplakia-like oral squamous cell carcinoma – what’s the difference?. BMC Oral Health 23, 859 (2023). https://doi.org/10.1186/s12903-023-03619-2
3) Wetzel, S. L., & Wollenberg, J. (2020). Oral Potentially Malignant Disorders. Dental Clinics of North America, 64(1), 25–37. https://doi.org/10.1016/j.cden.2019.08.004
4) Roza, A. L. O. C., Kowalski, L. P., William, W. N., Jr, de Castro, G., Jr, Chaves, A. L. F., Araújo, A. L. D., Ribeiro, A. C. P., Brandão, T. B., Lopes, M. A., Vargas, P. A., Santos-Silva, A. R., & Latin American Cooperative Oncology Group–Brazilian Group of Head and Neck Cancer (2021). Oral leukoplakia and erythroplakia in young patients: a systematic review. Oral surgery, oral medicine, oral pathology and oral radiology, 131(1), 73–84. https://doi.org/10.1016/j.oooo.2020.09.002
5) Lingen, M. W., Abt, E., Agrawal, N., Chaturvedi, A. K., Cohen, E., D'Souza, G., Gurenlian, J., Kalmar, J. R., Kerr, A. R., Lambert, P. M., Patton, L. L., Sollecito, T. P., Truelove, E., Tampi, M. P., Urquhart, O., Banfield, L., & Carrasco-Labra, A. (2017). Evidence-based clinical practice guideline for the evaluation of potentially malignant disorders in the oral cavity: A report of the American Dental Association. Journal of the American Dental Association (1939), 148(10), 712–727.e10. https://doi.org/10.1016/j.adaj.2017.07.032

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ชมรมรอยโรคช่องปากแห่งประเทศไทยผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

ประเภท